จุดยืนของมหานรินทร์
มีแฟนคอลัมน์นี้ที่เคยอ่านผ่านตามาตลอด หลายท่านหลายคน
ทั้งท้วงติงและถามไถ่กันมามากมายว่า
"มุมมองของมหานรินทร์เปลี่ยนไปแล้วหรือ"
เห็นช่วงหลังนี้
อะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะ
ออกมาต่อต้านกลุ่มพันธมิตรอย่างรุนแรง
"แสดงว่าไปเข้ากับทักษิณแล้ว"
และ
"ถูกซื้อตัวละสิท่า ฯลฯ"
ครับก็ว่ากันไป ใจใครก็ใจมัน
เพราะผู้เขียนก็มองดูสารรูปตัวเองอยู่เป็นประจำ
แน่ใจยิ่งกว่าสุรพล
สมบัติเจริญ ที่ร้องเพลงว่า
"แน่เสียยิ่งกว่าแน่อีกน้อง น้องนะซิพี่กลัวไม่แน่
กลัวรักเปลี่ยนไปจะทิ้งให้ใจของพี่เป็นแผล พี่กลัวใจน้องไม่แน่
ไม่แน่เหมือนพี่หรอกนาง ฯลฯ"
ที่แน่ใจนั้นก็คือว่า
ตัวผู้เขียนเองมีแนวทางเป็นของตนเอง
และขอยืนยันว่า
"ไม่เคยเปลี่ยน"
ไม่เหมือนหนังสือพิมพ์บางฉบับที่คลุ้มดีคลุ้มร้าย ประกาศตัวเองว่า
"เปลี่ยนไป๋"
ต้องขอเรียนต่อมิตรรักแฟนคอลัมน์ทุกท่านว่า
จากการสังเกตทางการเมืองมาตั้งแต่พรรคไทยรักไทยกำลังจะลงสนาม
(ความจริงแล้วผู้เขียนสนใจการเมืองมาตั้งแต่เด็ก ติดตามข่าวสาร
จำชื่อพรรคและนักการเมืองไทยตั้งแต่สมัย พ.ศ.2526
เป็นต้นมาได้แทบทั้งหมดจนถึงปัจจุบันนี้
รวมทั้งการค้นคว้าการเมืองไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัย มาจนถึงสมัยการอภิวัฒน์การปกครอง
พ.ศ.2475)
แต่ต้องขอตัดตอนเอาเฉพาะตอนสำคัญที่ต่อเนื่องมาถึงตอนปัจจุบันวันนี้
ซึ่งก็คือตอนที่
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กำลังจะตั้งพรรคไทยรักไทย
เพื่อเตรียมลงเล่นการเมืองอย่างเต็มสตรีม
ที่น่าสังเกตก็คือว่า เมื่อ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
กำลังจะลงสมัครรับเลือกตั้งในปี พ.ศ.2542 นั้น มีหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง
ชื่อว่า
ผู้จัดการ โดยนายสนธิ
ลิ้มทองกุล
ได้ฉีกแนวทางการเป็นสื่อ
คือทำตัวเป็นกระบอกเสียง ออกโรงเชียร์
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคไทยรักไทย
ประโคมโน้มน้าวให้ประชาชนคนไทยหลงเชื่อว่า
นี่แหละคือพระศรีอาริย์เมตไตรยมาโปรดประชาชนคนไทย
จนกระทั่งพรรคไทยรักไทยได้เป็นรัฐบาล
แม้จะผ่านศาลรัฐธรรมนูญอย่างหมิ่นเหม่ด้วยวาทะดังก้องโลกว่า
"เป็นความบกพร่องโดยสุจริต"
พอทักษิณขึ้นนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ก็มีอาสาสมัครชื่อว่า
สนธิ ลิ้มทองกุล
เสนอหน้าออกทีวีช่อง 9 ทางรายการเมืองไทยรายสัปดาห์
เลียแข้งเลียขาทักษิณสารพัด พูดอย่างไม่อายปากว่า
"ทักษิณคือนายกรัฐมนตรีดีที่สุดที่ประเทศไทยเคยมีมา"
(แต่วันนี้เปลี่ยนเป็นป๋าเปรมดีที่สุดไปแล้ว)
และว่ากันว่า สนธิเคยพูดว่า
"ทักษิณเป็นคนดีเสมือนบิดาของตนเอง"
คำหลังนี้ผู้เขียนไม่ได้ยิน แต่เห็นเขาว่ากันว่า
สาเหตุที่ผู้เขียนไม่ได้เข้าข้างทักษิณมาแต่ต้นนั้น ขอเปิดเผยเลยว่า
ก็มาจากพฤติกรรมของทักษิณหลายครั้งหลายคราต่างกรรมต่างวาระนั่นแหละ
ตอนกำลังเนื้อหอมนั้นใครว่าอะไรทักษิณไม่เคยฟัง
ยังจำคำพูดของทักษิณได้ว่า
"คนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลนั้นไม่รักชาติ"
และหนักเข้าถึงกับท้าพระท้าเจ้าสึกหาออกมาเล่นการเมืองแข่งกันกับตน
มีอีกคนหนึ่งที่ชะเลียร์ทักษิณอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู คือ
นายไพศาล พืชมงคล
ศิษย์เก่าวัดระฆัง มือกฎหมายที่ร่างนโยบายของ คมช. ตอนปฏิวัติปี 49
เขียนคอลัมน์ "สิริอัญญา-ข้างประชาราษฎร์"
ใน นสพ.ผู้จัดการ ยกยอปอปั้นทักษิณ ชินวัตร
ประหนึ่งพระโพธิสัตว์มาโปรดชาวไทย แล้วปัจจุบันเป็นไง กลายเป็น
"สิริอัญญา-ข้างทรราช"
ไปเสียฉิบ
ช่วงที่สนธิและไพศาล รวมทั้งผู้ที่ใช้ชื่อว่า เซี่ยงเส้าหลง
(ขอเรียกว่าแก๊งค์ผู้จัดการ)
กำลังหลับหูหลับตาเชียร์ทักษิณอย่างเมามันอยู่นั้น
อะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะ
ดอทคอม
เปิดตัววิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทักษิณไปก่อนแล้ว แต่ใช้หลักการที่ว่า
"นิคคณฺเห นิคฺคหารหํ
ปคฺคณฺเห ปคฺคหารหํ"
แปลว่า ข่มผู้ที่ควรข่ม ยกย่องผู้ที่ควรยกย่อง ดังนั้น
สิ่งใดที่รัฐบาลทักษิณทำแล้วดี ก็ต้องว่าดี
แต่บางสิ่งบางอย่างที่ไม่ดีหรือไม่เหมาะสม
ไม่ว่าจะเป็นด้านนโยบายหรือพฤติกรรมส่วนตัวของนายกรัฐมนตรี
ข้อนี้ก็ต้องติติงกันตามความเหมาะความสม
ไม่ใช่ตะบี้ตะบันด่ากันข้างเดียวเหมือนทีวีบางช่องกำลังบ้าเลือดอยู่ในขณะนี้
สนธิ
ลิ้มทองกุล
ไพศาล พืชมงคล หรือ
เซี่ยงเส้าหลง
จะได้อะไรเป็นสินน้ำใจจาก
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในการเชียร์ก็ตาม หรือไม่ได้ก็ตาม
นั่นมิใช่สาระที่จะพูดถึงในวันนี้ แต่ที่ขอพูดก็คือว่า
"มหานรินทร์ไม่เคยเชียร์ทักษิณเลยทั้งอดีตและปัจจุบัน"
แถมยังวิพากษ์วิจารณ์ก่อนที่สนธิ ลิ้มทองกุล จะเปลี่ยนสันดาน เอ๊ย
เปลี่ยนบทบาทเสียอีก ถ้าใครติดตามอะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะ มาโดยตลอด
ก็คงมองเห็น แน่นอนว่า ตอนที่ทักษิณขายหุ้นราคา 7
หมื่นล้านให้สิงคโปร์นั้น มหานรินทร์ออกโรงไล่ทักษิณด้วย
แม้ว่ากระแสจะเข้าทางกลุ่มพันธมิตรก็ตาม
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า
"มหานรินทร์เป็นพันธมิตร"
แต่เชื่อไหมว่า
"มีคนตั้งฉายาให้มหานรินทร์เป็นพันธมิตรรุ่นแรก ที่ออกมาด่าทักษิณ"
ซึ่งผู้เขียนก็ยิ้มๆ คนที่ไม่รู้จริงก็คาดเดากันไป ไม่ว่ากันอยู่แล้ว
ใจใครก็ใจมัน
มาถึงวันนี้ วันที่ต้องเลือกข้าง (ตามคำขู่ของหมู่พันธมิตร)
ผู้เขียนเริ่มเห็นความผิดสังเกตหลายอย่างในการรณรงค์ของพันธมิตร
ไม่ว่าจะเป็นการประกาศการเมืองใหม่เอาโพธิรักษ์และสันติอโศกมาเป็นแม่แบบของวิถีชีวิตพอเพียง
ไม่ว่าจะเป็นการผูกขาดความชอบธรรมไว้เฉพาะกลุ่มของตนว่ารักชาติ ศาสน์
กษัตริย์ ใครไม่เป็นพันธมิตรแสดงว่าไม่รักสถาบัน
รวมทั้งการบังคับให้เลือกข้าง
ว่าถ้าไม่ประกาศตัวเป็นพันธมิตรก็ต้องไปเป็นฝ่ายรัฐบาล
ซึ่งขยายความไปจนถึงว่า
"ถ้าไม่เลือกข้างฝ่ายพันธมิตร แสดงว่าไม่เอากับสถาบันพระมหากษัตริย์
แต่หมายถึงเลือกข้างว่าจะเอาทักษิณมาแทนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและราชวงศ์จักรี"
นี่แหละที่ผู้เขียนเห็นว่าไม่ถูกต้อง
เพราะผู้เขียนเชื่อว่า
คนไทยทุกคนล้วนแต่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
แต่การแสดงออกอาจจะไม่เหมือนกัน เพราะสถานะต่างกัน ความพร้อมต่างกัน
วิถีชีวิตต่างกัน
จะให้ทุกคนทำตัวแบบจำลองศรีเมืองซึ่งสามารถนอนได้ทั้งในวัด ทำเนียบ
และในคุกนั้น เขาทำไม่ได้ เมื่อเขาทำไม่ได้ดังตัว
ก็อย่าไปเหมาว่าเขาไม่จงรักภักดี
แต่กลุ่มพันธมิตรกลับไม่เคยฟังใคร
!
เท่านั้นยังไม่พอ พอใครไม่ฟังตัวเอง ก็กลับด่าเขาอย่างสาดเสียเทเสีย
ใช้ถ้อยคำกักขฬะสามานย์ ผิดวิสัยของผู้ที่อ้างตัวว่า
"อารยะขัดขืน"
และนี่หรือคือ
"การเมืองใหม่"
ที่จะนำพาประชาชนคนไทยข้ามระบอบทักษิณไป
สมัยทักษิณเรืองอำนาจ ใครไม่เอากับรัฐบาลทักษิณ สนธิ ลิ้มทองกุล
ก็ร่วมด้วยช่วยประโคมว่า
"ไม่รักชาติ"
เพราะคนที่รักชาติต้องเอากับทักษิณเท่านั้น
สมัยทักษิณอินลอนดอน ใครเอากับทักษิณ สนธิ ลิ้มทองกุล ก็ตราหน้าว่า
"ไม่รักชาติ"
เพราะคนที่รักชาติต้องไม่เอากับทักษิณเท่านั้น
ตกลงว่าความรักชาติ
ศาสน์ กษัตริย์ ของสนธิ ลิ้มทองกุล คืออะไร ?
ทำไมมันกลับไปกลับมา
ระยะเวลาเพียง 4-5 ปีนี่เอง จุดยืนของสนธิ ลิ้มทองกุล
เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนกลายเป็นคนละคน แสดงว่าภูมิปัญญาของสนธิ
ลิ้มทองกุล ที่เคยสั่งสมอบรมมานานนับ 60 ปีนั้น มันไม่มีมาตรฐาน
!
ซึ่งเรื่องนี้ผู้เขียนมองเห็นด้วยความสะอิดสะเอียน ตั้งแต่สมัยสนธิแลบลิ้นเลียทักษิณทุกครั้งที่จัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์แล้วล่ะ
รวมทั้งนางสโรชานั่นด้วย คอหอยกับลูกกระเดือกยิ่งกว่าลำตัดหวังเตะกับแม่ประยูรเชียว
!
กะจะเป็นพระเอก-นางเอก ตลอดชาติ
เอากับทักษิณ
ก็ได้เป็นพระเอก
ไม่เอากับทักษิณก็ได้เป็นพระเอก
นี่มันผูกขาดบทบาทนี่หว่า
!
ทักษิณก็เป็นทักษิณ จะดีจะเลวก็ทักษิณคนเดิม
แต่ทักษิณนั้นเปลี่ยนไปแล้ว จากพระเอกกลายเป็นดาวร้าย
แต่บทบาทพระเอกตลอดกาลกลับถูก
"สนธิ ลิ้มทองกุล"
สัมปทานไปคนเดียวเจ็ดร้อยชาติ ทั้งๆ ที่ร่วมทีมพระเอกทักษิณมาโดยตลอด
ตอนนี้มีแต่ทักษิณเท่านั้นที่เน่า
แต่สนธิกลับบริสุทธิ์ผุดผ่องเป็นยองใย อาศัยคำสารภาพง่ายๆ ที่ว่า
"ผมขอโทษ"
โห
ประเทศไทยฉิบหายเพราะสนธิสะเออะขุนทักษิณมากินเมือง แล้วแก้ตัวด้วยคำว่า
"ขอโทษ"
มันไม่ง่ายไปหน่อยหรือ ทำไมไม่ลากคอสนธิเข้าแดนประหารล่ะ
ถ้าโทษทีว่านี้มันขอกันได้ ก็ให้ทักษิณออกมาขอมั่งสิ
เจ๊าๆ กันไปไม่ดีกว่าหรือ
ถามด้วยสิว่า ตอนที่เสนอหน้าเชียร์ทักษิณนั้น
บิดามารดาหน้าไหนใช้ให้คุณทำ ? คุณอาสาทำเอง
ก้มหัวเป็นเบ๊ให้ทักษิณเอง
ใครไม่เอากับทักษิณก็ด่าเขาว่า
"ไม่รักชาติ" บัดนี้ก็เอาอีก
อาสาออกมาเคลื่อนไหวล้มล้างระบอบทักษิณ พอใครไม่เอาด้วย คุณก็ด่าเขาว่า
"ไม่รักชาติ"
สรุปว่า ทั้งเอาด้วยและไม่เอาด้วย โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง
เพราะใครในประเทศไทยจะต้องเชื่อสนธิ ลิ้มทองกุล เพียงคนเดียว
อย่างนั้นหรือ ?
ก็การเมืองที่มันวุ่นวายขายปลาช่อนอยู่ทุกวันนี้ มิใช่เพราะมี 1.โพธิรักษ์และสันติอโศก
2.จำลอง ศรีเมือง 3.สนธิ ลิ้มทองกุล สามคนนี้เป็นผู้กำกับ-ผู้จัดการ
สร้างระบอบทักษิณขึ้นมาดอกหรือ ?
1.
โพธิรักษ์
ผู้อาจหาญประกาศว่าบรรลุธรรมมาหลายสิบปีแล้ว ก็ยอมรับว่า
ในสมัยพรรคไทยรักไทยนั้น
ได้ใช้พลพรรคสันติอโศกระดมพลังช่วยหาเสียงให้ทักษิณ
แต่ภายหลังก็หลุดคำพูดกับจำลองศรีเมืองว่า
"ข้าเคยโง่ที่ช่วยทักษิณมัน"
โอ้ นี่ขนาดพระอรหันต์ระดับบรมศาสดายังโง่
แล้วพระอริยบุคคลระดับรองลงมาไม่กลายเป็นบรมโง่ไปหมดทั้งสันติอโศกดอกหรือ
2. จำลอง
ศรีเมือง
ตอนที่ทักษิณติดคดีซุกหุ้นครั้งแรกนั้น
ก็เสนอหน้าไปนั่งคู่กับทักษิณในศาลรัฐธรรมนูญ จนกระทั่งศาลตัดสินว่า
"ไม่ผิด"
ด้วยสกอร์ 8 ต่อ 7 ถามว่า
ตอนนั้นจำลองผู้มีศีลธรรมอันเคร่งครัดที่สุดในประเทศไทยนั้น
ไม่รู้หรือไรว่าทักษิณผิด ? แต่แล้วทำไมจึงเข้าข้างทักษิณ ?
3. สนธิ
ลิ้มทองกุล
ก็ยอมรับว่า ใช้สื่อในเครือผู้จัดการทุกอย่าง
รวมทั้งตัวเองก็ออกโรงออกแรงเชียร์ทักษิณ ทั้งก่อนเลือกตั้ง
พอได้รับเลือกตั้งแล้วก็ตั้งวงเชียร์กลางจอทีวีช่อง 9 อย่างเป็นทางการ
ก็สามโป๊งเหน่งเหล่านี้แหละที่สร้างทักษิณขึ้นมา
แต่ถามว่าอะไรหรือคือสาเหตุที่ทำให้ทั้งสามคนต้องมาแตกคอกับทักษิณในภายหลัง
???
และในเมื่อพวกคุณก็คือคนสร้างทักษิณขึ้นมา
(ที่กำลังตราหน้าว่าเป็นระบอบเลวร้ายสำหรับประเทศไทยในวันนี้)
แล้วน้ำหน้าอย่างพวกคุณน่ะหรือที่จะสามารถสร้างการเมืองใหม่ขึ้นมาทดแทนระบอบเก่าๆ
ในปัจจุบัน ?
เรื่องนี้ใครจะเชื่อก็เชื่อไป
แต่มหานรินทร์ไม่เชื่อ
และไม่เอาด้วย
!
และขอประกาศด้วยว่า
"มหานรินทร์ไม่ใช่พวกทักษิณ"
ไม่เคยรู้จักมักจี่เป็นการส่วนตัว เคยเห็นหน้าครั้งเดียวเองแค่ "แว๊บๆ"
สมัยทักษิณมาแอลเอก่อนจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี ตอนนั้นผู้เขียนอยู่แคลิฟอร์เนีย
ไปประชุมลงปาติโมกข์ที่วัดไทยแอลเอ
และโฆษกประกาศว่า
"พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
หัวหน้าพรรคไทยรักไทย มาเยี่ยมวัดไทย
ขอนิมนต์พระสงฆ์ไปร่วมต้อนรับด้วย"
ก็เห็น พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าไปกราบพระประธานและนมัสการพระราชธรรมวิเทศ
รวมทั้งรับของที่ระลึก แล้วก็ลากลับ
นั่นแหละคือครั้งเดียวในชีวิตที่เคยเห็นตัวตนของทักษิณ ชินวัตร
นอกนั้นเห็นแต่ในจอทีวี
ผู้เขียนไม่เชื่อตามคำโฆษณาของพันธมิตรหรอกที่ว่า
"ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่เอากับทักษิณ ไม่เอาสถาบัน"
เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจริง สถาบันอยู่ไม่ได้หรอก จะบอกให้
อย่าว่าแต่ส่วนใหญ่เลย แม้แต่ส่วนน้อยก็อันตราย
แต่ก็อาจจะมีบ้างเช่นพวกหลุดโลก พวกนอกคอก
ที่อาจหาญออกมาพูดจาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
เช่นนายอะไรที่ไม่ยืนเคารพเพลงชาติในโรงหนัง
ซึ่งพวกนี้จะนับเป็นกลุ่มคนนั้นยังหาได้ไม่
เพราะผู้เขียนเชื่อว่า
"ในทุกสังคม
ย่อมมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย"
แต่ความแตกต่างไม่ใช่แตกแยก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
คนที่กล้าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้น ต้องพยายามใช้พระคุณ
คืออธิบายให้เขาเข้าใจว่า
สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยเรานั้นมีความสำคัญอย่างไร
มีที่มาที่ไปอย่างไร มีความถูกต้องดีงามอย่างไร
ไม่ใช่ใช้เป็นแต่พระเดชคือกดหัว ลงโทษ หรือประณามหยามหมิ่นกันรุนแรง
ซึ่งเชื่อเถิดว่ามันไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ ถึงฆ่าได้ก็แต่ตัว
แต่หัวใจของเขาจะไม่จงรักภักดี
นี่สิน่ากลัว
ที่สำคัญก็คือว่า
การที่พันธมิตรโหมประโคมยกสถาบันพระมหากษัตริย์ขึ้นมาเป็นหลักต่อสู้
ชี้นำให้คนเลือกข้างว่า
"ถ้าไม่เอาสถาบันพระมหากษัตริย์ก็แสดงว่าเอาทักษิณเป็นพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่"
เรื่องนี้ใครต่อใครได้ยินก็หัวร่อ เพราะไม่มีทางเป็นไปได้
แม้แต่ผู้เขียนก็ไม่ยอมรับ ขอประกาศเลยว่า ไม่ยอมรับ
โพธิรักษ์ จำลอง ศรีเมือง และสนธิ ลิ้มทองกุล
ก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันคืออะไร พวกคุณไม่ใช่คนโง่ แต่วันนี้กำลังแกล้งโง่
เพื่อจุดมุ่งหมายเดียวเท่านั้น คือ
กำจัดทักษิณ
โดยไม่สนใจว่าอาวุธที่จะนำไปทำลายทักษิณนั้น แม้ว่าจะได้ผลจริง
แต่ผลกระทบอาจจะรุนแรงทำลายสถาบันได้เช่นกัน
!
แปลให้ชัดๆ ก็คือว่า ไอ้พวกนี้มันบ้าแล้ว !
ไม่อยากเขียนเลยว่า
ไม่ว่าทักษิณหรือสนธิ
ก็เลวร้ายพอๆ กัน
หรือ
ระบอบสนธิอาจจะอันตรายกว่าระบอบทักษิณด้วยซ้ำ
ดังคำกล่าวของนักข่าวต่างประเทศที่ว่า
"Worse
than a coup"
ที่แปลว่า
เลวร้ายยิ่งกว่ารัฐประหาร
นั่นแหละ
แต่จริงๆ
แล้วคิดเห็นเช่นนั้น สองคนนี้ถ้าดีแล้วดีสุดๆ ถ้าร้ายก็อันตรายที่สุด
สุดแต่ว่าจะใช้วิชาความรู้ไปทางไหนเท่านั้น เหมือนที่ท่านว่า
"มีคุณอนันต์ มีโทษมหันต์"
แต่สองคนนี้คิดอะไรในใจไม่มีใครล่วงรู้ ดังนั้น
อย่ามัวแต่ระวังแต่ทักษิณเพียงด้านเดียว
แม้แต่สนธิก็ต้องระมัดระวังด้วย
ขอให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทเท่านั้นสำคัญที่สุด
นี่คือเหตุผลหลักเลยที่ผู้เขียนไม่เอากับพันธมิตร
และต้องขอต่อต้านวิธีการอย่างถึงที่สุด !
ขอยืมบทเพลงของแอ๊ด คาราบาว มากล่าวในที่นี้ว่า
"เราไม่ใช่พวกสมชาย
และไม่ชอบดู
ASTV"
แต่เรามีหลักการ มีจุดยืนของเรา
โดยไม่จำเป็นต้องให้ใครมาชี้นำในการสร้างสรรค์ประเทศไทย
แต่ใครจะเชื่อจะเดินตามพันธมิตรก็ตามใจ ไม่มีใครว่า
ใครจะเชื่อและนับถือว่าสนธิคือ
"ศาสดาของตนเอง"
ก็เรื่องของพวกคุณ
แต่สำหรับเรา เราไม่เชื่อ ไม่นับถือ และเราจะเดินหน้าตรวจสอบทั้งรัฐบาลและพันธมิตร
ไม่ยอมให้ใครมีอภิสิทธิ์เหนือกฎหมาย
วันพรุ่งนี้ ถ้าศาลฎีกาพิพากษาว่า
"ทักษิณและภริยาผิด"
เรื่องที่ดินรัชดา ก็ว่ากันไปตามกระบวนการ กรรมใดใครทำ
ผลกรรมก็ย่อมตกแก่บุคคลนั้น
มะรืนนี้ ถ้าศาลตัดสินว่า
"สนธิ ลิ้มทองกุล ผิด"
ข้อหาหมิ่นประมาททักษิณ
ก็ว่ากันไปตามกระบวนการ กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นก็ย่อมสนองกรรม
หรือแม้แต่ว่า ระหว่าง
สนธิ-จำลอง-โพธิรักษ์
VS
ทักษิณ
ใครก่อกรรมทำเวรไว้ในระหว่างกัน
จึงจองล้างจองผลาญกันเหมือนคู่เวรคู่กรรม ก็เรื่องของพวกคุณ
พวกกูไม่เกี่ยว
!
แต่อย่าพาคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ไปตายเท่านั้น !
เพราะเราเชื่อมั่นว่า ประเทศไทยยังมีระบบการตรวจสอบที่ดีอยู่
ระบบยังไม่พัง มันยังเวิร์ค ไม่จำเป็นต้องเป็นการเมืองใหม่
ทำไมผู้เขียนเชื่อเช่นนั้น ?
เหตุผลก็คือ
"บ้านเลขที่ 111"
นั่นไง ที่บอกว่าระบบของประเทศไทยยังใช้ได้ แม้ว่าจะช้าไปหน่อย
อาจจะไม่ถูกใจใครหลายคน แต่คำสั่งศาลก็ศักดิ์สิทธิ์ นักการเมืองใหญ่ๆ
ระดับทักษิณและกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย จำนวนมหาศาลถึง 111 ชีวิต
ต้องติดคุกยาวนานถึง 5 ปี ไม่มีสิทธิ์เล่นการเมือง
และต่อไปเราก็จะได้เห็นคำพิพากษายุบพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย
ตามมาด้วย
ก็รอหน่อยไม่ได้หรือไง
แกงวัวตัวใหญ่ ใช้เวลาเพียง 1 นาที จะเป็นไปได้อย่างไร
นอกจากจะชอบกินลาบก้อยแบบสุกๆ ดิบๆ ซึ่งอันตรายถึงตายถ้าโชคร้ายมีพยาธิ
เหมือนสนธิ ลิ้มทองกุล กำลังบ้าระห่ำลากลู่ถูกังนำพาประชาชนวิ่งไปหาการเมืองแบบใหม่ในเวลานี้
ระวังให้ดีก็แล้วกัน จะเข้าตำราที่ว่า
"หนีเสือ ปะจระเข้"
ส่วนเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์จะถูกโค่นล้มอะไรนั้น
ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เพราะในหลวงและพระบรมวงศานุวงศ์ทรงมาจากประชาชน
โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ถึงทุกวันนี้ก็ยังทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจเพื่อประชาชน
ตราบใดที่พระองค์ยังทรงเป็นคนของประชาชน
รับรองว่าไม่มีใครทำอะไรท่านได้
ขอร้องว่า
ไม่ต้องเชื่อผู้เขียนหรอก ให้ผู้เขียนเพ้อฝันไปคนเดียวก็พอแล้ว
ขอประกาศอีกทีว่า
"เราไม่ใช่พวกสมชาย
และไม่ชอบดู
ASTV"
และนี่คือ
จุดยืนของมหานรินทร์
|