อาบน้ำแร่ แช่น้ำร้อน
ชิมอินทผลัม-ผลไม้สวรรค์

เขียนเรื่องอาหารการกินมาหลายเมนูแล้ว วันนี้ขอเปลี่ยนอาชีพ
เอ๊ย เปลี่ยนแนว
สวมชุดไกด์นำเที่ยว พาท่านผู้อ่านไปทัวร์เมืองสวรรค์กันเสียหน่อย
อยู่เมืองนรก (ลาสเวกัส) นานไปประเดี๋ยวจะเซ็ง ไหนจะหาว่ามหานรินทร์เป็นแต่กิน
เอ๊ย ฉัน !
ทั้งๆ ที่อาตมานั้น
"เที่ยวก็เป็นเหมียนกันนะโยม"
แฮ่ม
!
เมืองที่ว่านี้มิใช่ลาสเวกัสซึ่งมี
"วัดไทย ลาสเวกัส"
ตั้งอยู่ แม้ว่าคนส่วนใหญ่ทั่วโลกจะเชื่อว่านี่คือเมืองนรก
เพราะเป็นแหล่งคาสิโน่คือบ่อนการพนันใหญ่ที่สุดในโลก
แถมด้วยสารพันบันเทิงอันเป็นสุดๆ ของโลก เป็นเมืองที่ไม่เคยหลับไหล
ยิ่งเวลาที่ใครเขาหลับ คนเมืองนี้กลับยิ่งตื่น ใครมาเที่ยวลาสเวกัสกลางวันแล้วกลับไป
ท่านว่าขาดทั้งทุนทั้งกำไรไม่คุ้มค่า
ก็นั่นแหละ บางคนก็นึกว่าใครอยู่ลาสเวกัสแล้วละก็ คงมีแต่
"บ่อนกับบันเทิงเริงรมย์"
เพราะเมืองนี้มีชื่อเล่นว่า
Sin City
หรือเมืองคนบาป
ทั้งๆ
ที่จริงแล้ว คนเมืองนี้หาได้มีบาปดังว่าไม่
เพราะมีคนไทย-ลาว-เขมร-ศรีลังกา-อเมริกัน ช่วยกันสร้างวัด โบสถ์ สุเหร่า
ขึ้นมามากมาย โดยเฉพาะวัดไทยในเมืองนี้มีถึง 5 วัด วัดลาวอีก 2 วัด
หลายคนมุ่งหน้าเข้าวัดมากกว่าเข้าบ่อน จะเพราะเบื่อบ่อนแล้วก็ไม่รู้
แปลกนะ อยู่เมืองนี้เป็นคนมีบาปแต่อยากขึ้นสวรรค์กัน
แต่คนเมืองอื่นซึ่งเป็นเมืองสวรรค์ไม่มีบ่อนการพนัน กลับอยาก
"ตกนรก"
อยากมาเที่ยวลาสเวกัส
!!

Las
Vegas The Sin City
จากตัวเมือง
Las Vegas
ตัดเส้นทาง
Blue Diamond
ไปในทิศตะวันตก ข้าม
Red Rock Canyon
อันสูงจนหนาวไปประมาณ 50 ไมล์ ก็จะถึงเมืองหนึ่ง ชื่อว่า
Palum
อ่านว่า
พะลัม
หรือ ผะลัม
และจากเมืองนี้ไปอีกราว 30 ไมล์ ในเขตแคลิฟอร์เนีย
ก็จะมีหมู่บ้านอินเดียนแดงอยู่ เมื่อมองจากหน้าต่างรถลงไปตามรายทาง
จะเห็นพื้นดินสีขาวๆ เขาลูกเตี้ยๆ เรียงรายกันไปสุดลูกหูลูกตา
ลองจอดรถลงจับดินสีขาวที่ว่านั้นมาแตะที่ลิ้นดู ก็รู้สึก
"เค็มจนขม"
ชัดเจนว่า บริเวณนี้มีแต่เกลือภูเขาหรือเกลือสินเธาว์ ไม่ใช่เกลือทะเล
แต่จะเคยเป็นทะเลมาก่อนหรือไม่นั้น ไม่ถนัดเรื่องนี้ขอข้ามไป
เมืองอินเดียนแดงที่ว่านั้นมีชื่อว่า
Tecopa
จะอ่านว่า เทโคป้า หรือทาโคป้า ก็ตามถนัด
เพราะตรงนี้ไม่มีราชบัณฑิตตรวจสอบ จะผิดมั่งถูกมั่งก็ชั่งมันเถอะ
ขอให้เราเข้าใจกันก็พอเหมือนเบิร์ด-ธงชัยว่า เมืองเทโคป้าที่ว่านั้น
มีสถานสำคัญอยู่ เป็นบ่อน้ำแร่ซึ่งร้อนระอุพุ่งขึ้นตลอดปี
น้ำแร่ที่ว่านี้ผสมกับเกลือซึ่งเค็มสุดๆ ดังว่ามานั้น
เมื่อเราเอาร่างกายลงไปแช่เพียง 10-20 นาที ก็จะกะปลี้กะเปล่า
หูตาสว่างดังโดนผีหลอกกลางวัน นี่เป็นเรื่องมหัศจรรย์อันมีอยู่ไม่ไกลจากวัดไทย
ลาสเวกัส
แต่ก่อนนั้น ผู้เขียนยังวัยสะรุ่น สะบัดแข้งสะบัดขาเดินก็คิดว่า
"กูแน่"
เหมือนตอนที่หลวงพ่อพระพรหมมังคลาจารย์
หรือปัญญานันทะภิกขุ
ท่านเดินทางมาร่วมประชุมสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกา
ที่วัดพุทธเบเกอร์ฟิลด์ หรือวัดสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เมืองเบเกอร์ฟิลด์
ในปี พ.ศ.2543
ผู้เขียนมีโอกาสเข้าไปกราบไหว้หลวงพ่อปัญญานันทะ
และด้วยความคึกคะนองตามดังว่า
ทราบมาก่อนว่า
หลวงพ่อปัญญานันทะนั้นท่านเป็นนักปราชญ์
นักเทศน์
เคยขึ้นไปปราบอบายมุขที่เมืองเชียงใหม่บ้านเกิดของผู้เขียนตั้งแต่ปี
พ.ศ.2500 ก่อนผู้เขียนจะเกิดตั้ง 10 กว่าปี ก่อนหน้านั้นสองปี มีงานเปิดวัดพุทธปัญญา
เมืองโพโมน่า ในปี พ.ศ.2541
ซึ่งหลวงพ่อปัญญานันทะเดินทางมาเป็นประธานในพิธี มี
พระมหา ดร.บาง เขมานันโท
ชาวขอนแก่นเป็นเจ้าอาวาส หลวงพ่อปัญญายังเทศน์เกี่ยวกับเชียงใหม่
เล่าเรื่องการบิณฑบาตกลางคืนของพระเณรเชียงใหม่ ในวันเดือนเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ
ที่ชาวเหนือนิยมเรียกว่า
วันเป๊งปุ๊ด
คือ เพ็ญวันพุธ
นั่นเอง
วันที่ว่านั้น จะมีไม่กี่ครั้งในรอบปี หรือบางทีก็หลายปีมีครั้ง
ชาวเหนือเชื่อเกี่ยวกับตำนานพระอุปคุตมาเนิ่นนานว่า
พระอุปคุตท่านเป็นพระอรหันต์มีฤทธิ์มาก
อายุยืนนานเป็นพันๆ ปี ปัจจุบันนี้ก็ยังไม่นิพพาน
ยังคงอาศัยเข้าฌานสมาบัติอยู่ที่สะดือทะเล
และท่านจะขึ้นมาหาอาหารประทังชีพก็ต่อเมื่อวันนั้นเป็นวันพุธ
ขึ้น 15 ค่ำ
เท่านั้น ผู้ใดได้ถวายอาหารบิณฑบาตแก่พระอุปคุตจะประสบโชคลาภอย่างใหญ่หลวง
ดลบันดาลให้เป็นเศรษฐียิ่งกว่าห้อยจตุคามรามเทพรุ่นโคตรเศรษฐีเสียอีก
ครั้นถึงวัน "เป๊งปุ๊ด"
หนุ่มสาวชาวเหนือจึงชักชวนกันจัดแต่งขนมนมเนยอาหารการกิน ข้าวตอกดอกไม้
ไว้คอยไหว้และถวายพระอุปคุต ส่วนพระเณรนั้นก็รอแล้วรอเล่า รอให้ถึงเที่ยงคืน
จะได้ฤกษ์ออกเดินบิณฑบาตรอบพิเศษ โดยที่เจ้าอาวาสไม่ห้ามปราม

พระเณรในจังหวัดเชียงราย
ออกบิณฑบาตเที่ยงคืน
ในวันเป็งปุ๊ด 26 กันยายน 2550 ที่ผ่านมา ปรากฏว่าคนล้นหลาม
เป็นการ
"ทำบุญร่วมชาติ ใส่บาตรร่วมขัน"
ของหนุ่มสาวอย่างแท้จริง ได้ทั้งบุญได้ทั้งกุศล
หลวงพ่อปัญญาท่านเทศน์ว่า
เคยไปพูดปราบปรามห้ามมิให้พระเณรเชียงใหม่บิณฑบาตกลางคืน
"แต่ยังเหลืออยู่ทาง
รอบนอก แถวๆ เมืองฝางโน้นแหละ มันไกล"
หลวงพ่อว่าไป
อาจารย์สมศักดิ์ โสรโท
ซึ่งปัจจุบันเป็นเจ้าอาวาสสำนักวิปัสสนาสมมิตร-ปรานี ชลบุรี
ท่านนั่งติดอยู่กับผู้เขียน รู้ว่าผู้เขียนเป็นคนเมืองฝาง
จึงหันมากระเซ้าว่า
"มหานรินทร์เคยบิณฑบาตกลางคืนไหม"
ผู้เขียนได้แต่พยักหน้ายิ้มยอมรับว่า
"เคยเป็นมาตั้งแต่เป็นเณร"
ส่วนรสชาตบิณฑบาตกลางคืนนั้นเอาไว้คุยกันหลังธรรมาสน์
หลังจากนั้นก็มาพบหลวงพ่อปัญญาที่เมืองเบเกอร์ฟิลด์ที่ว่านี้แหละ
ผู้เขียนเป็นคนปากไว พอจับแข้งหลวงพ่อมานวด
เห็นว่ากล้ามน่องของท่านยังแน่นอยู่ ทั้งๆ ที่ตอนนั้นท่านก็อายุ 80
ปีกว่าแล้ว จึงแหย่ท่านเล่นว่า
"หลวงพ่อยังเตะปิ๊ปไหวไหมครับ"
ท่านหันมาตอบทันควันว่า
"เตะทำไมปิ๊ป เตะก็เตะคนเลย"
ผู้เขียนได้ฟังก็ยกมือไหว้ท่วมหัว นี่แหละของจริง เล่นกับใครไม่เล่น
เล่นกับปัญญานันทะ
ตอนที่หลวงพ่อพระพิมลธรรม
(อาจ อาสโภ) อธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎ์
ถูกรัฐบาลจอมพลผ้าขาวม้าแดงจับสึกไปขังไว้ที่สันติบาลนานถึง 5 ปี
มีคดีนับร้อยไว้คอยถ่วงท่านให้หมดไฟ แถมยังใช้ศาลทหารเป็นด่านตัดสินอีกด้วย
คดีหนึ่งซึ่งหลวงพ่ออาจโดนก็คือ
"แต่งกายคล้ายฆราวาส"
สาเหตุนั้น เมื่อตอนที่ท่านได้รับเชิญให้เดินทางไปประเทศเยอรมันนี
ร่วมกับขบวนการ เอ็ม อาร์ เอ ซึ่งเป็นขบวนการส่งเสริมวัฒนธรรมระหว่างประเทศ
(อินเตอร์เนชั่นแนล)
ท่านได้รับเชิญให้ไปดูเหมืองถ่านหินและต้องลงไปดูถึงในบ่อ
แต่เพื่อความปลอดภัย จึงต้อง
"สวมชุดป้องกัน"
ไว้ด้านนอก หลวงพ่ออาจก็อือออห่อหมก สวมชุดนิรภัยทับจีวรไว้
แล้วก็ถ่ายรูปไว้แกร๊กหนึ่ง ครั้นกลับมาถึงกรุงเทพฯ
ก็นำรูปนั้นติดอัลบั้มไว้ให้ลูกศิษย์ลูกหาได้ดู
ว่าครูบาอาจารย์ไปต่างประเทศได้ทำอะไรมาบ้าง
นี่ก็คือสาเหตุหนึ่งที่ท่านถูกฟ้องร้องว่า
"แต่งกายเป็นกรรมกรร่วมกับพลเรือน"
อันไม่เหมาะสมต่อสมณสารูป
ทั้งๆ ที่เป็นพระเถระผู้ใหญ่ระดับรองสมเด็จฯ และเป็นสังฆมนตรี
หรือรัฐมนตรีทางพระอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย
!
ครั้งนั้น มีหลวงพ่อปัญญานันทะนี่แหละ
ที่แอ่นอกยอมรับว่ากับเขาด้วยว่า
"อาตมาก็เคยไปเมืองนอกมา
และเคยแต่งชุดชาวบ้านตามสถานการณ์จำเป็นด้วย
การแต่งกายเป็นไปตามความเหมาะสมแก่สถานการณ์"
พระพิมลธรรมท่านก็เอาหลวงพ่อปัญญานันทะไปอ้างในศาล
ส่งผลให้ท่านพ้นมลทินทุกประเด็น จนศาลต้องปลอบอกปลอบใจว่า
"ขอให้คิดว่าเป็นกรรมเก่าก็แล้วกัน"

นั่นคือปัญญานันทะภิกขุ
น้องชายของหลวงพ่อพุทธทาส
พระภิกษุผู้ไม่กลัวลูกปืนของสฤษดิ์
ธนะรัชต์
แล้วนับประสาอะไรกับกระต่ายตัวจ้อยเช่นผู้เขียน
ซึ่งอาจหาญไปตีคารมคมสำนวนเอากับท่าน จึง
"โดน"
ท่านสวนเอาอย่างเฉียบขาด ไม่โดนท่านเตะเอาซักป้าป ก็บุญโขแล้ว
มหานรินทร์เอ๊ย
!
พูดเรื่องกำลังวังชาก็อ้อมไปอ้อมมาจนเกือบจะลืมเรื่องที่จะเล่าแล้ว
ก็เรื่องสุขภาพร่างกายนี่แหละ พระสงฆ์เรานั้นส่วนมากก็
"เช้าแล้วเอน เพลแล้วนอน
บ่ายพักผ่อน กลางคืนจำวัด"
ผ่อนส่งชีวิตไปวันๆ ไม่ค่อยรู้จักเรื่องสุขภาพร่างกายเท่าใด
ดีก็แต่สอนคนอื่นเขาเท่านั้น ผู้เขียนก็อีกคนหนึ่ง ซึ่งเคยคิดว่า
"จะไปแช่น้ำแร่น้ำร้อนทำไม
มันไม่มีผลอะไรต่อสุขภาพร่างกายของเราเท่าใดหรอก"
ดูอย่างที่อำเภอฝางบ้านเกิดสิ มีทั้งน้ำพุน้ำแร่
ความร้อนนั้นสูงถึงขนาดตั้งโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานใต้พิภพได้
ส่วนใหญ่ที่ไปเที่ยวก็หาไข่ไปต้มกินกันเท่านั้น
มิได้สนใจจะไปแช่น้ำแร่อะไรหรอก ก็เพราะคิดอย่างงี้นี่ไง
แต่..ครั้งหนึ่ง
ผู้เขียนต้องหลวมตัว มีคนเขาชวนไปอาบน้ำแร่
เอ้า
!
ไปก็ไป
ในใจก็คิดว่า น้ำที่วัดก็มี จะอาบร้อนอาบเย็นอย่างไงก็ได้
ไกลก็ไกล ไปทำไมให้เสียเวลาเสียเงินเสียทองเปล่าๆ แต่ที่ยอมก็เพื่อมิให้เสียไมตรี
ทีแรกไปถึงหน้าบ่อแล้วก็กะจะ
"ไม่ลง"
ขอแค่มาส่งเท่านั้น แต่เขาบอกว่า
"ออกเงินถวายให้ท่านแล้ว
นิมนต์ลงเถอะ ไม่ต้องอายหรอก เขาให้เข้าไปได้ห้องละคน"
ถ้างั้น เอ้า
!
ลงก็ลง
แต่จะลงนิดหน่อยพอเป็นพิธีเท่านั้น
เพราะเข้าห้องไปแล้วก็ปิดประตูอยู่คนเดียว จะลงหรือไม่ใครจะไปรู้
นอกจากพวกเทวดา เพราะว่าห้องอาบน้ำแร่ที่เขาทำไว้นั้น
ด้านข้างเป็นกำแพงหนาทึบ
แต่ด้านบนนั้นกลับเปิดโล่งเห็นไปถึงเทวดาชั้นกามาพจรโน่น
ทีนี้เมื่อเข้าไปแล้ว จะไม่อาบก็ยังไงอยู่ ลองดูซักหน่อยก็ดี
จึงเอาเท้าแหย่ลงไป
รู้สึกว่าน้ำร้อนจัด กว่าจะปรับตัวเดินจากขอบอ่างไปสู่ในอ่างอันห่างแค่วากว่าๆ
ก็ปาเข้าไปเกือบ 10 นาที แช่ได้ 3-4 นาทีก็ขึ้น ออกมานั่งรออยู่ด้านนอก
ทีนี้พอร่างกายเย็นลง ก็เริ่มรู้สึกเบาหวิวๆ ยังไงชอบกล
พอขึ้นจับพวงมาลัยขับรถกลับ ก็รู้สึกว่าหูตาชักสว่างกว่าเมื่อก่อนเยอะ
มันคอนเซ็นเทรด คือว่านิ่งมากๆ
หันไปทางไหนก็สว่างไสว
ไม่ฝ้าฟางเหมือนเมื่อก่อน ถึงตอนนั้นผู้เขียนจึงยอมรับว่า
"น้ำแร่มีคุณประโยชน์จริง"
นี่เป็นประสบการณ์
ทราบมาอีกว่า มีคนชราบ้าง เป็นอัมพฤกษ์อัมพาตบ้าง
เดินทางมาเช่าห้องอยู่นานเป็นเดือนๆ
เพื่ออาศัยน้ำแร่แห่งนี้ช่วยบำบัดรักษาโรค และหายไปหลายราย
จนบางฤดูนั้นห้องพักแทบไม่ว่าง ผู้เขียนจึงเปลี่ยนอุปเท่ห์ จากแอนตี้มาเป็นออกปากชักชวนคนไปอาบน้ำแร่เสียเอง
โดยเฉพาะก็ฤดูนี้แหละ ช่วงเปลี่ยนฤดูจากร้อนมาหนาว อากาศเมืองลาสเวกัสช่วงนี้อยูที่
60-80
ดีกรี เรียกว่ากำลังดีที่จะไปอาบน้ำแร่ ถ้าร้อนจัดถึง 100 องศาก็ไม่ไหว
ร้อนเจอร้อน ประเดี๋ยวตายก่อน ถ้าหนาวต่ำกว่า 50 องศาฟาเรนไฮต์ก็ไม่ไหวอีก
หนาวจัดเจอร้อนจัด ร่างกายปรับตัวไม่ทัน มีหวังไปเอาไข้กลับมาฝาก ดังนั้น
ท่านผู้ใดอยากจะมาพักผ่อนแบบธรรมชาติที่เมืองลาสเวกัส ก็ขอเชิญนะ
นั่นเป็นเรื่องน้ำแร่น้ำร้อน ต่อจากเมืองเทโคป้าที่ว่านั้นไปอีก 4-5 ไมล์
ก็มีสิ่งมหัศจรรย์อีกแห่งหนึ่งขอโลก คือว่า
แดนดินถิ่นที่เป็นทะเลทรายสุดลูกหูลูกตาที่ว่านี้มีสวนผลไม้สวรรค์ขึ้นอย่างอุดมสมบูรณ์ด้วย
ต้นไม้ที่ว่านั้นมันคือ
Date
หรือ
อินทผลัม

บริเวณรอบๆ
เมือง
Tecopa
และป่าอินทผลัม พระมหาเกรียงไกรยิงชัตเตอร์ลงจากรถ จับภาพได้เหมือนมืออาชีพ

ทางไป
Chaina Ranch สวนอินทผลัมในทะเลทราย
ทั้งๆ
ที่เคยขับรถผ่านทุกครั้งที่มาบ่อน้ำแร่ แต่ไม่รู้จักว่า ไอ้
"Date
Farm"
มันคืออะไร ต่อมามีคนบอกว่าที่นี่มีต้นอินทผลัมอยู่มากมาย ประมาณเดือน
กันยายน
ถึง ธันวาคม
มันจะออกลูกสุกกินได้สดๆ ทีแรกก็ไม่เชื่อ
แต่เมื่อเขาพาไปดูกับตาและชิมกับลิ้น จึงเชื่อล้านเปอร์เซ็นต์ว่า
ต้นไม้ในวรรณคดีที่ชื่อ
"อินทผลัม"
นั้น มีอยู่จริงๆ และผลของมันที่หวานฉ่ำเหมือนแช่อิ่มน้ำตาลมานานปีนั้น
แท้ที่จริงแล้วเขามิได้แช่ แต่เป็นผลผลิตของธรรมชาติล้วนๆ

ทางเข้า
China Ranch -
Date Farm
หรือสวนอินทผลัม ขรุขระพอๆ กับอิรัก

สวนอินทผลัมที่ว่านี้ มีประวัติยาวนานมาก มีป้ายเล่าไว้ว่า เมื่อประมาณ
ค.ศ.1920
หรือ 87 ปีก่อน
คุณโวโนลา โมไดน์
ลูกสาวคนสุดท้องของมิสเตอ์ร์อาร์
เจ แฟร์แบงส์
ซึ่งเป็นผู้ค้นพบ
Death Valley
ซึ่งเป็นหุบเขาลึก
แห้งแล้ง และร้อนที่สุดในสหรัฐอเมริกา
เนื่องจากว่าเป็นทางลัดจากยูท่าห์มาแคลิฟอร์เนีย
จึงมีพ่อค้าคาราวานและคนเดินทางสัญจรไปมาอยู่ประจำ ก่อนรัฐบาลกลางจะสร้างไอฟิฟทีน
หรือฟรีเวย์สาย 15 ขึ้นมาใช้ในปัจจุบัน
ในหุบเขาที่ว่านั้นเคยมีคนมานอนพักและไหลตายไปเป็นจำนวนมากเพราะขาดอ๊อกซิเจ้น
จึงได้ชื่อว่า "เดต
วัลเลย์" แปลว่า
หมู่บ้านแห่งความตาย อันตรายยิ่งกว่าเมืองลับแล
เพราะที่เมืองลับแลนั้นยังพอมีคนเล็ดลอดออกมาได้บ้าง อุณหภูมิสูงสุดในเดตวัลเลย์ที่เขาบันทึกไว้นั้น
วันที่ 10
เดือนกรกฎาคม ค.ศ.1913
ปรอทพุ่งขึ้นไปถึง
134 องศาฟาเรนไฮต์
คิดแบบไทยๆ ก็ได้
56.7 องศาเซลเซียส
แต่โดยปรกตินั้น ในเดือนกรกฎาคมของทุกปี ที่นี่จะมีอูณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่
117 ถึง 122
องศาฟาเรนไฮต์
ซึ่งก็เท่ากับ 47
ถึง 50
องศาเซลเซียส จะเย็นกว่าก็แค่ในนรกเท่านั้นเองกระมัง
ใครที่คิดว่าตัวเองเป็นคนบาป ตายไปคงตกนรก จะลองมาเทสต์ความร้อนที่นี่ก็ได้นะ
เผื่อไปถึงนรกแล้วจะได้ไม่ต้องปรับตัวมาก !

Death
Valley หุบเขาแห่งความตาย
เจ้าหุบเขาที่ว่านี้อยู่ห่างจากที่นี่ไปประมาณ 50 ไมล์
มีทะเลเกลือขาวโพลนเหมือนปุยฝ้าย แต่ไม่มีน้ำพุร้อน ปีนั้นและลูกสาวคนนั้น
ได้นำสั่งเมล็ดเจ้าเดทหรืออินทผลัมมาจากประเทศอิรัก
เพื่อทดลองปลูกในพื้นที่ที่คิดว่า
"น่าจะใกล้เคียงกับเมโสโปเตียเมีย"
เพราะทั้งร้อนและเป็นทะเลทรายเหมือนกัน โดยตั้งชื่อสวนว่า
China Ranch
ก็ไม่รู้ว่าเกี่ยวอะไรกับจีนด้วย

ป้ายประวัติเดท ณ ไชน่าแรนช์
สวนอินผลัม เมืองเทโคป้า แคลิฟอร์เนีย 80 ไมล์จากลาสเวกัส เนวาด้า
แรกที่ผู้เขียนได้ชิมอินทผลัมนั้น ก็ยังไม่เชื่อว่า
"มันเป็นธรรมชาติ"
จึงชูผลอินทผลัมนั้นถามเจ้าของสวนว่า
"Do
you add sugar in this"
เขาก็บอกว่า "โน
โน"
ว่าพลางก็ชี้ไปทางต้นมะพร้าวที่ขึ้นอยู่เต็มหุบเขา ด้วยความสนใจจึงเดินไปดู

ต้นอินผลัมรุ่นแรกที่นำมาปลูกเมื่อ
87 ปีก่อน บางต้นเหนื่อยอ่อนเพราะยืนมานาน จึงขอนอนพัก
อินทผลัมนั้น ท่านว่าเป็นไม้ในตระกูลปาล์มหรือมะพร้าว
ประมวลมีในโลกนับได้หลายร้อยชนิด แตกต่างกันไปทั้งขนาดและสีสันต์
ที่กินได้ก็มี กินไม่ได้ก็มี อย่างมะพร้าวคู่ หรือ
Double Coconut
นั้น เป็นมะพร้าวในทะเล ขึ้นแถวๆ
หมู่เกาะมัลดีฟส์
ซึ่งแต่ก่อนนั้นถือว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก
เชื่อกันว่ามันมาจากสะดือทะเล เป็นผลไม้พระเจ้าที่ทรงประทานให้
ใครได้ไว้ก็จะทำให้มีฤทธิ์อำนาจปราบชนะข้าศึกศัตรูยิ่งกว่าช้างเผือกของอินเดีย
ภายหลังจึงได้รู้ว่า มันอยู่ที่หมู่เกาะมัลดีฟส์กลางมหาสมุทรอินเดีย
กว่าจะสามารถเดินทางฝ่ามหาสมุทรมาถึงฝั่งนี้ได้นั้น ร้อยปีจะมีซักลูกหนึ่ง
จึงเป็นของหายากดังว่าจริงๆ

หุบเขา ไชน่า แรนช์
ดินแดนมหัศจรรย์ 80 ไมล์ใกล้ลาสเวกัส

สวนอินทผลัม เมื่อดูจากไกลๆ
ในฤดูออกลูกกำลังสุกเต็มต้น
เจ้าอินทผลัมที่ว่านี้ ท่านชี้ว่า แต่เดิมมานั้นมันมีถิ่นเกิดอยู่แถวๆ
เมโสโปเตเมีย
ซึ่งเป็นคำที่นักประวัติศาสตร์ผู้บรรยายอารยธรรมของโลกในยุคเก่าสมัยบาบิโลนจะยกมาอ้างอิงให้นักเรียนเซอร์ไพรซ์เสมอ
ก่อนจะแปลเป็นภาษาสากลในสมัยปัจจุบันว่า
"มันคือดินแดนลุ่มแม่น้ำไทกรีสและยูเฟรติส ที่เรียกว่า
อิรัก ในเดี๋ยวนี้ไง"
อ๋อ
!
อ้อ ..ก็ไม่บอก
ปล่อยให้งงอยู่ได้ อีกทางหนึ่งนั้นท่านว่ามาจากแอฟริกาใต้
แต่ไม่แน่ใจว่าใครเกิดก่อนใคร
ยกให้เป็นปัญหาโลกแตกคู่กับไก่และไข่ไปก็แล้วกัน

อินทผลัมรุ่นต่อมา
ถูกปลูกเป็นแถวเป็นแนว มีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ และให้ผลผลิตมหาศาล
เมื่อปลูกรุ่นแรกได้ผลแล้ว ต่อมาจึงมีการออเดอร์เมล็ดพันธุ์อินทผลัมมาจากหลายประเทศเพื่อมาปลูกบ้าง
เขาขึ้นป้ายบอกว่า อินทผลัมในสวนนี้มีหลายพันธุ์ สั่งพันธุ์มาจากประเทศ
อิรัก อียิปต์ โมร็อคโค และอัลจีเรีย
นำมาผสมพันธุ์กันเป็นอเมริกันพันธุ์แท้
ขนาดและรสชาติอาจจะไม่เหมือนกับพันธุ์ดั้งเดิม

สวนอินทผลัม-ผลไม้ต่างแดน
กลางทะเลทรายอันอุดมสมบูรณ์
อินทผลัมเหล่านี้ มีอยู่ 2 เพศ คือเพศผู้กับเพศเมีย ท่านบอกว่า
ต้องให้มันผสมพันธุ์กันจึงจะได้ผล ถ้ามีแต่ต้นใดต้นหนึ่งก็จะไม่ได้ผล
เสียท่าแต่ว่าเราไม่รู้ว่าต้นไหนมันตัวผู้ ต้นไหนมันตัวเมีย เหมือนๆ
กับนกพิราบนั่นแหละ หน้าตาเหมือนกันยังกะฝาแฝด
เฮ้อ จนด้วยเกล้า
!

ใกล้เข้าไปอีกนิด
ชิดเข้าไปอีกหน่อย
ว่าเรื่องเพศเรื่องพันธุ์แล้ว ก็จะเข้าเรื่องขนาด-สี และรสชาตของอินทผลัม
เท่าที่เดินสำรวจดูในสวนแม้ว่ายังไม่ทั่วเท่าไหร่ ก็พอประมาณได้ว่า มีอยู่
2 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่ กลุ่มพันธุ์สีแดงกับสีเหลือง
ไม่แน่ใจว่ากลุ่มไหนมาจากประเทศไหน สีแดงนั้นลูกจะใหญ่ เนื้อจะฉ่ำหวานจัด
คนไทยไม่ค่อยชอบหวานจัดจึงเลี่ยงไปชิมต้นอื่น
ส่วนสีเหลืองนั้นก็มีหลายขนาดเช่นกัน ทั้งฉ่ำและกรอบ ที่กรอบๆ คือแห้งๆ
ไม่ค่อยมีน้ำตาลเยอะนั้นจะถูกปากคนที่ไม่อยากกินหวาน ดูรูปเอาก็แล้วกัน

อินทผลัมสุก
สามารถเด็ดกินสดๆ จากต้นได้ แต่ควรไปอุดหนุนเขาด้านในด้วย อย่ากินฟรีๆ
สรรพคุณของอินทผลัมนั้น
นอกจากจะให้น้ำตาลมากที่สุดในบรรดาผลไม้ในโลกนี้แล้ว
แพทย์ก็จาระไนให้ฟังว่า มันดีกับท้องกับไส้ โดยเฉพาะสตรีที่มีครรภ์
จะช่วยกระชับมดลูก เพราะประกอบด้วยสารอาหารหลายชนิด
มีบันทึกอยู่ในพระคัมภีร์กุรอานว่า
ศาสดามะหะหมัดทรงเสวยผลไม้ชนิดนี้เป็นประจำ
ทั้งยังทรงแนะนำสาวกให้ทาน เพื่อสุขภาพร่างกายอีกด้วย และเล่ากันถึงว่า
ผลไม้ในสวนของพระเจ้าที่อาดัมกับอีวาแอบเด็ดกินนั้น หาใช่
"องุ่น" หรือ
"แอ๊ปเปิ้ล"
ไม่ ทว่ามันคือ
อินทผลัมนี่เอง
เพราะพระเจ้าองค์แรกนั้นทรงถือกำเนิดที่ประเทศอียิปต์

พันธุ์สีเหลือง สุกปนดิบ
ถ้าดิบก็จะรสฝาด ถ้าสุกก็จะหวานฉ่ำ เด็กๆ ชอบมากเลย
นอกจากจะแพ็กขายเป็นถุงๆ
ละ 4 เหรียญ รวมทั้งแปรรูปไปทำคุ๊กกี้อินทผลัมแล้ว ทางไชน่าแรนช์เขาก็ยังมี
"อินทผลัมปั่น"
เหมือนน้ำผลไม้นั่นแหละ ไว้ให้นักท่องเที่ยงได้ชิม แต่ผู้เขียนยังไม่เคยชิม
กะว่าไปรอบหน้าจะลองดู

พันธุ์สีแดง สีสดสวย
พวงโตเหมือนองุ่น สุกเนื้อหวานฉ่ำ
น่าหม่ำมะ ?
ทราบข่าวจากสื่อบอกว่า เวลานี้ที่เมืองไทยมีอินทผลัมอยู่มากมาย
เป็นทั้งไม้ดอกไม้ประดับและสำหรับบริโภค แต่เดิมมานั้นอินทผลัมเป็นของนอก
ตั้งสั่งมาจากต่างประเทศ แถวๆ
อิรัก อิหร่าน อิสราเอล และโมร็อคโค
แม้ว่าราคาในพื้นที่จะมิได้พงแพงอะไร แต่ค่าเครื่องบินนี่สิหนัก
คนไทยจึงต้องจ่ายแพงเมื่อคิดจะกิน
"อินทผลัม"
ผลไม้ของพระเจ้า
!!

เขาใช้ผ้าสวมไว้
สงสัยจะป้องกันแดดหรือแมลง ผืนนี้สีแม่ม่าย สวยสะดุดตา
ครั้นถึงยุคคนไทยนิยมไปขุดทองที่ประเทศซาอุดิอาระเบียและแถบตะวันออกกลาง
ก่อนจะเกิดรายการ
"เพชรซาอุ"
อันบันลือโลกนั้น สมัยนั้น คนไทยในภาคอีสาน ตั้งแต่อุบล
อุดร ขอนแก่น ฯลฯ
ล้วนแต่เป็นคนงานอินเตอร์ไปทำงานในประเทศเหล่านี้ เพราะเงินมันดี
เมื่อมีปัญหาเรื่องเพชรเรื่องพลอยขึ้นมา
รัฐบาลซาอุก็ตัดสัมพันธ์กับรัฐบาลไทย ไม่ให้คนไทยซึ่งถูกตราหน้าว่า
"ขี้ขโมย"
เข้าประเทศอีก คนไทยอีสานจึงหันมาประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่จนแทบว่าจะยึดกรุงเทพมหานครไปเป็นอุดรธานีแล้ว
อย่างที่เห็นในปัจจุบัน มีเพียงประเทศเดียวที่ยังพอขายแรงแข่งกับเขาได้
คือไต้หวัน
ซึ่งไปง่ายมาง่าย นั่งเครื่องแค่ 3 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว
คนไทยในไต้หวันซึ่งเป็นเกาะเล็กกะจิ๊ดริดนั้น
ว่ากันว่ามีประมาณแสนคน
!
เพลงหมอลำขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เพราะว่าคนคิดถึงบ้านเมื่ออยู่ไกล
ถึงสงกรานต์ทีไร จะจัดงานในร้านอาหารสถานที่ก็แคบ เลยเหมาสนามกีฬา
จ้างนักร้องหมอลำระดับซุปเปอร์สตาร์มาจากเมืองไทย จัดริ้วขบวนเข้าร่วมมหกรรมสงกรานต์นอกประเทศ
จนหนังสือพิมพ์วิทยุโทรทัศน์เอาไปตีข่าวใหญ่ในระดับสากลด้วย
นี่แหละอิทธิพลของคนงานไทยในต่างแดน

ใบอินทผลัม
คล้ายใบอ้อยหรือใบเตย เป็นใบปาล์มพันธุ์หนึ่ง แม่ไม่สวย
แต่ลูกสิทั้งสวยและหอมหวาน
วกกลับไปที่เมืองซาอุฯ
คนไทยไปอยู่ที่นั่น จะหาบักหุ่งหรือมะละกอมาสับกับพริกขี้หนู กระเทียม
น้ำตาล น้ำปลา มะนาว เป็นตำลาวตำไทยกินกับไก่ย่างให้หายอยากก็ยากเย็น
มะม่วงก็แพ๊งแพง แถมยังเป็นคนละพันธุ์กันด้วย
แม้แต่มะม่วงแก้วที่ว่ามีเกลื่อนเมืองไทยนั้นที่นี่ก็ไม่มีแม้แต่เงา
ไม่รู้พวกนี้มันอยู่กันได้ยังไงตั้งหลายพันปี ยังงี้เป็นตายยังไงก็ขอกลับไปตายเมืองไทยดีกว่า
สรุปว่า
ผลไม้เมืองไทยที่ว่ามีมากและหลากหลายสายพันธุ์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกนั้น
พอไปถึงซาอุดิอาระเบียแล้ว กลับเป็นของหากยากมากที่สุดในโลกไปเลย
คนไทยไกลบ้านเริ่มคิดถึงบ้านก็ตรงนี้แหละ
นี่ยกเว้นแต่คนมีแฟนรออยู่ที่เมืองไทยเรานะ
เห็นแต่ต้นมะพร้าวยืนโด่อยู่กลางทะเลทราย ถึงหน้าหนาว
ประมาณเดือนตุลา-พฤศจิกา
จึงรู้ว่าต้นมะพร้าวหรือปาล์มพวกนี้มีผลดกรสชาตอร่อยมาก มันคือเจ้าอินทผลัมที่ว่านี่เอง

อากาศใส แดดแรง
แสง-เงา-กล้อง และมุมมองเป็นเยี่ยม ภาพน้องๆ มืออาชีพ
กล้อง Digital
Nikon D-70 ของอาจารย์สนิท ซูมพิเศษ เมดอินไทยแลนด์
ครั้นจะเมือ เอ๊ย จะกลับบ้าน ก็ต้องคิดถึง
"ของฝาก"
นอกจากเงินแล้วจะเอาอะไรไปฝากพี่น้อง
อ้อ !
ก็อินทผลัมไง
ที่เมืองไทยมันแพง เหมือนคนไทยในอเมริกานิยมซื้อยีนส์ลีวาย 501
ไปฝากเพื่อนฝูงนั่นแหละ ได้อินทผลัมไปฝากพี่น้องรับรองว่าชอบใจ
อินทผลัมจึงแพร่หลายในเมืองไทยมาตั้งแต่นั้น

พวงโต ลูกสวย
ใครเห็นเป็นต้องเด็ด อดใจไม่ไหว
แต่ที่นี้ว่ายังมีปัญหา เพราะว่าอินผลัมที่นำเมล็ดไปเพาะจนได้ต้นกล้าขึ้นมาในเมืองไทยเรานั้น
มักจะผลิดอกออกผลในหน้าฝน เช่นขณะนี้น้ำกำลังท่วมเมืองไทย อินผลัมก็เร่งปั๊มลูกออกมาใหญ่
ทำให้ผลไม้นั้นเสีย ใช้บริโภคไม่ได้ เจ้าของต้นก็เสียดาย จึงจำใจต้องเก็บ
"ก่อนฤดู"
ผลของอินทผลัมที่ถูก
"ชิงสุกก่อนห่าม"
นั้นจึงทั้งฝาดทั้งเปรี้ยว เข็ดเขี้ยวพอๆกับหมากที่ใช้กินกับปูนดีๆ นี่เอง
ถึงจะป้องกันยังไงก็เอาไม่ไหว เพราะเมืองไทยเราอยู่เขตร้อนชื้น
ฝนตกชุกที่สุดในโลก ต่างกับซาอุฯและลาสเวกัส ซึ่งเป็นทะเลทราย
นานทีปีหนจึงจะตกมาซักสี่ห้าหยด จึงไม่ต้องกลัวว่าอินทผลัมจะเสีย
ประเทศไทยเราเสียเปรียบตรงนี้เอง นี่เห็นไหม ได้ลิ้นจี่ ขนุน ลำไย มะม่วง
มะละกอ เงาะ มังคุด ทุเรียน ลางสาด ลองกอง ฯลฯ ของดีๆ ไปหมดแล้ว
ก็ต้องยอมเสียอินทผลัมให้แก่แขกไป
สมัยนั้นพระผู้เป็นเจ้าคงจะพิพากษาอย่างยุติธรรมที่สุดแล้ว
ทางวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีอุดรธานี
จึงคิดหาวิธีถนอมอินทผลัมไว้ไม่ให้เสีย เห็นมันฝาดๆ
จึงคิดว่าน่าจะเอาไปทำเหล้าองุ่น เพราะองุ่นที่ใช้ทำไวน์นั้นมันฝาด
เรื่องนี้ผู้เขียนแม้มิเคยชิมไวน์ แต่ก็พอรู้เลาๆ ว่าเขามิได้ใช้
"องุ่นหวาน"
ไปหมัก
แต่ใช้องุ่นเปรี้ยวพันธุ์เดียวเท่านั้น
ที่วัดพระพุทธิวงศมุนี
ของท่านพระครูสมบุญ เมืองสต็อกตัน รัฐแคลิฟอร์เนียนั้น
ท่านซื้อที่ทำวัดอยู่กลางป่าองุ่นสุดลูกหูลูกตานับหมื่นๆ ไร่
เวลามันออกลูกก็ลูกเล็กๆ เต็มต้น ห้อยย้อยสวยงามล่อหูล่อตานัก
ลองเด็ดชิมดูแล้วเปรี้ยวยังกะมะนาว ท่านจึงบอกว่า
องุ่นพวกนี้มิได้มีไว้บริโภคทั่วไป หากแต่เขาปลูกไว้ทำไวน์
อ๋อเหรอ ?
นั่นแหละ คือที่ไปที่มาของ
"ไวน์อินทผลัม"
แห่งแรกในโลก ทีอุดรธานี

ถ้างวดนี้ผ่าน
ต่อไปถ้าไปทางไกด์ไม่ไหว ก็คงผันตัวเองไปเป็นตากล้อง
กล่าวทางเมืองเชียงใหม่ก็มีดีไม่เบา
มีข่าวออกมาว่า ที่สวนโกหลัก ของคุณศักดิ์
ลำจวน ในเขตอำเภอไชยปราการ
ใกล้บ้านของผู้เขียนนั้น ท่านพัฒนาอินทผลัมไว้มากมาย
แถมยังให้ผลผลิตคุณภาพระดับโลกด้วย
ต้องขอเล่าเกี่ยวกับเรื่องเมืองฝาง-แม่อาย-ไชยปราการ
ให้ท่านผู้อ่านทราบเสียหน่อยนะ ขออภัยอย่าหาว่าผู้เขียนยัดเยียดเรื่องของตัวเองให้อ่านเลย
คือว่า แต่เดิมมานั้น นับตั้งแต่เขตเมืองเชียงดาวไปจนจดเชียงรายนั้น
พื้นที่ระหว่างนั้นเป็นเขตอำเภอฝางหรือเมืองฝาง ซึ่งเป็นเมืองที่พระเจ้าพรหมมหาราชทรงสร้างขึ้นคู่กับเมืองเชียงราย
ระยะเวลาที่สร้างนั้นบันทึกอยู่ในตำนานสิงหนวัต
คือมหาศักราช 299
หรือปี
พ.ศ.
1482
ตามบันทึกอยู่ในพงศาวดารโยนกว่า
"เมื่อพรหมกุมารได้ขับไล่ขอมออกจากอาณาจักรโยนกลงไปถึงแดนเฉลี่ยงแล้วนั้น
ครั้นต่อมา พระยาพรหมมหาราชพิจารณาเห็นว่า
ถ้าอยู่ครองที่เมืองเชียงแสนก็จะเป็นอันตราย
จึงได้ทรงสร้างเมืองใหม่ขึ้นมาบนฝั่งน้ำแม่กกสบกับน้ำแม่ฝาง
อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงแสนไปเป็นระยะคนเดิน 2 วันถึง
ตั้งชื่อว่าเมืองไชยปราการ สำเร็จในวันพุธ ขึ้น 15 ค่ำ เดือนยี่
แล้วพระยาพรหมก็อยู่เสวยราช ณ
เมืองฝางไชยปราการนั้นจนกระทั่งสิ้นพระชนม์ในปีมหาศักราช 354
ขณะมีพระชนม์ได้ 59 พรรษา..." สาเหตุที่ได้ชื่อว่าเมืองฝางไชยปราการนั้น
เพราะตัวเมืองนี้มีสัณฐานดังฝักฝาง โค้งรีไปตามลำน้ำฝาง
หรืออาจจะได้ชื่อตามน้ำฝางก็เป็นได้ ปัจจุบัน ตัวเมืองฝาง-ไชยปราการเก่านั้น
อยู่ในเขตอำเภอแม่อาย มีวัดอยู่บนยอดเขา เป็นวัดเก่าแก่ที่สุดในอาณาจักร
ชื่อว่าวัดพระธาตุสบฝาง ว่ากันว่า ศิลปะวัตถุที่วัดเบญจมบพิตรส่วนหนึ่ง
ก็ถูกสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ทรงมาย้ายมาจากวัดพระธาตุสบฝางแห่งนี้
ถึงสมัยพระยามังราย
เจ้าเมืองเชียงราย
ก็ทรงดำเนินตามรอยพระบาทพระเจ้าพรหมมหาราช ทรงย้ายมาประทับที่เมืองฝาง
จนกระทั่งนำทัพเข้าตีมหานครหริภุญไชยของพระยายีบา
เชื้อสายพระนางเจ้าจามเทวี แตก ในปี พ.ศ.1824 ก่อนจะทรงย้ายมาสร้างเมืองนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ขึ้นในปี
พ.ศ.1839
ประวัติศาสตร์สำคัญของเมืองฝางอีกประการหนึ่งก็คือว่า ก่อนหน้านั้น
นับจากพระเจ้าพรหมมหาราชลงมาถึงรัชกาลพระเจ้าไชยศิริ
ทรงถูกมอญรุกราญ
จึงทรงย้ายหนีข้าศึกลงมาถึงเมืองกำแพงเพชร สร้างเมืองไตรตรึงส์
จนเกิดเรื่องท้าวแสนปมกับพระธิดาเจ้าเมืองไตรตรึงส์ มีทายาทชื่อว่า
"อู่ทอง"
และเป็นพระเจ้าอู่ทองผู้สร้างเมืองอู่ทอง
ก่อนที่แม่น้ำจระเข้สามพันจะเปลี่ยนทาง เกิดโรคห่าขึ้น
จึงทรงยกย้ายมาสร้างเมืองใหม่ในบริเวณหนองโสน ตั้งชื่อว่า
กรุงเทพทวาราวดีศรีอยุธยา
ในปี พ.ศ.1893 ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
จะทรงย้ายมาสร้างกรุงเทพขึ้นใหม่ในปี พ.ศ.2325
นี่คือที่มาของประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่เด็กรุ่นหลังไม่มีใครรู้จัก
ว่าแท้ที่จริงแล้ว บรรพบุรุษของคนไทยสมัยนี้ อยู่ที่อำเภอฝาง
จังหวัดเชียงใหม่ สืบสายมาจากพระเจ้าพรหมมหาราช !
ถึงสมัยรัตนโกสินทร์ เมืองฝางถูกยกขึ้นเป็นอำเภอ
สมัยก่อนขึ้นอยู่กับจังหวัดเชียงราย เพราะอยู่ใกล้กับเชียงแสนแค่คนเดิน 2
วันถึง แต่ถ้าเดินไปเชียงใหม่จะไกลกว่านั้น
แต่ก็ถูกกำหนดให้อยู่ในเขตจังหวัดเชียงใหม่
เป็นอำเภอใหญ่อันดับหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่
มีอาณาเขตครอบคลุมตั้งแต่เชียงรายมาถึงเชียงดาว ครั้นถึง พ.ศ.2510
อำเภอฝางในฐานะที่มีพื้นที่กว้างเกินไป
จึงถูกตัดแบ่งพื้นที่ในทิศเหนือออกเป็นอำเภอแม่อาย
และมาถูกตัดออกอีกครั้งในปี พ.ศ.2531 เป็นอำเภอไชยปราการ
สถานที่ถูกตัดนั้นอยู่ทางทิศใต้
อำเภอฝางในปัจจุบันจึงถูกกระหนาบด้วยลูกในไส้สองอำเภอ คือ
แม่อายและไชยปราการ ดังพรรณนามาฉะนี้

อีกชัตเตอร์หนึ่ง
ซึ่งภูมิใจอวดฝีมือถ่ายรูปแข่งกับอาจารย์ ดร.พระมหาถนัด วัดไทยดีซี
ที่ไปเอาดีทางอินเดีย
ทีนี้ ที่อำเภอไชยปราการที่ว่านี้แหละ ที่สวนโกหลัก
คุณศักดิ์ ลำจวน
อดีตนักศึกษาสถาบันแม่โจ้ ได้ทดลองนำเอาอินทผลัมมาปลูก
โดยการผสมพันธุ์ขึ้นใหม่เป็นสายพันธุ์ไทยขนานแท้ ปรากฏว่าได้ผลดีเกินคาด
รสชาตสู้ต่างชาติได้สบายๆ จึงตั้งชื่ออินทผลัมพันธุ์ใหม่นี้ว่า
KL.1
ย่อมาจากโกหลัก 1 นั่นเอง นี่เห็นไหม จากเที่ยวสวนอินทผลัมลาสเวกัส -
เดทวัลเลย์ แคลิฟอร์เนีย
สหรัฐอเมริกาก็พาท่านผู้อ่านไปถึงอำเภอไชยปราการบ้านเกิดจนได้
มั่วไม่มั่วก็ดูเอาเถิด ใครไปเชียงใหม่
ก็เชิญแวะชมแวะชิมอินทผลัมไทยที่สวนโกหลักได้นะ
และท้ายสุด กับเมืองที่ชื่อว่า
Palum
ในเขตเนวาด้า ใกล้กันกับป่าเดทนั้น เห็นทีจะเพี้ยนมาจากคำว่า
อินทผลัม
ผลไม้สวรรค์นี้เอง โดยเรียกให้ย่อเข้า ตัดคำว่า
"อินทะ" ทิ้ง
เหลือเพียง ผลัม
กลายเป็น
Palum
ด้วยประการฉะนี้

ไหนๆ ไปถึงสวนทั้งที ก็กดชัตเตอร์นำภาพมาฝากกันให้เต็มอิ่ม
เชิญท่านชิมด้วยสายตาไปก่อน หากอยากชิมของจริงก็เชิญนะ
ติดต่อ
"มหานรินทร์ทัวร์" จะพาไปชมสวนพระเจ้า ..
ใกล้จะออกพรรษาแล้ว คงไม่มีเวลาเขียนในคอลัมน์ไปอีกหลายวัน
ก็ขอเรื่องนี้ไว้ส่งท้ายวันออกพรรษา
ขอขมาอภัยท่านใดที่ถูกพาดพิงถึงใน
อะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะ
ดอทคอม และขอให้แฟนานุแฟนมีความสุขความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป และตลอดไป...
หมายเหตุ
:
เก็บภาพเหล่านี้มาฝากเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2550 เวลา 4:00
P.M.
|