สมณศักดิ์ 50

ยโส ลทฺธา น มชฺเชยฺย
มียศแล้ว อย่าบ้า
!
พระพุทธพจน์
มีแฟนเว๊บไซต์อะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะ
ดอทคอม
เมล์เข้ามายุผู้เขียนว่า
น่าจะวิจารณ์โผเจ้าคุณหรือสมณศักดิ์ ปี พ.ศ.2550
ที่เพิ่งจะเปิดให้สาธารณชนได้ชมกันเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา
เพราะว่าอยากรู้...แถมแฟนเพลงท่านที่ว่านี้ยังยกยอผู้เขียนด้วยว่า
วิจารณ์การเมือง เอ๊ย การศาสนาได้ตรงไปตรงมา
แบบว่าไม่มีอคติ
!
ได้ยินแล้วส่วนหนึ่งก็ปลื้มใจ แต่ส่วนหนึ่งก็ฝ่อใจ
เพราะตามความหมายของคำว่า
"คติ"
นั้น มี 2 นัยยะ คือ หนึ่งนั้นแปลว่า
ที่ไปที่มา เป็นสิ่งดีงาม
เป็นคุณธรรมน้ำใจ
เช่นใช้ในความหมายว่า
คติธรรมประจำใจ
ใครที่ไม่มีคติ ก็เป็นคน
"อคติ"
ไม่มีคุณธรรมประจำใจ ถ้าใช้ในความหมายนี้ก็ไม่ไหว
ส่วนความหมายต่อไปนั้นก็มาจากธรรมะในหมวด 4
ที่เราเรียนกันมาตั้งแต่สมัยนั่งอยู่ในห้องนักธรรมชั้นตรีที่ว่า
อคติ
คือ ความลำเอียง
มี 4 อย่าง ได้แก่
ลำเอียงเพราะโกรธ
ลำเอียงเพราะรัก ลำเอียงเพราะกลัว และลำเอียงเพราะหลง
ดังนั้น ก็ขอใช้ในความหมายท้ายนี้ดีกว่า แต่เอาละ
ไม่พูดพล่ามทำเพลงบรรเลงกันให้ยืดเยื้อละ เพราะเขาให้มาวิจารณ์วงการสงฆ์เรื่องยศช้างขุนนางพระ
ไม่ใช่ให้มาเขียนธรรมวิจารณ์
ยศช้างขุนนางพระ
โบราณว่าไว้เช่นนี้
เด็กสมัยปัจจุบันเกิดมาไม่ทันเล่นหมากรุกเป็นเกมประจำชาติไทย
จึงไม่เข้าใจความหมาย ว่ามันหมายถึงอะไร อ๋อ ก็ง่ายๆ
คือความหมายก็ตามที่เขียนไว้นั่นแหละ คือ
ยศช้างขุนนางพระ
แปลว่า
ยศถาบรรดาศักดิ์ เป็นเจ้าขุนมูลนาย
ที่เรียกว่า
"ท่านเจ้าคุณ"
นั่นน่ะ ในประเทศไทยแต่สมัยดึกดำบรรพ์มาแล้ว มีไว้สำหรับคนและสัตว์
3 จำพวก
ได้แก่ ช้าง
ขุนนาง และพระ
เท่านั้น นอกนั้นไม่มีสิทธิ์
ขุนนางนั้น
เป็นข้าราชบริพาร
ซึ่งกลายมาเป็นภาษาปัจจุบันว่า
ข้าราชการ
ภาษาบาลีเรียกว่า
ราชภัฏ แปลว่า
ผู้ที่พระราชาทรงเลี้ยงดูอุ้มชูไว้
คนพวกนี้มีหน้าที่สนองพระยุคลบาท ถ้าทรงโปรดปรานก็จะทรงพระราชทานยศ
สูงขึ้นเป็นลำดับไป ไล่ตั้งแต่
ยศ-บรรดาศักดิ์ |
ตัวอย่าง |
นาย |
นายสุดจินดา
มหาดเล็กหุ้มแพร |
พัน |
พันท้ายนรสิงห์
ตำแหน่งนายท้ายเรือสมัยพระเจ้าเสือ |
หมื่น |
หมื่นไวยวรนาถ |
ขุน |
ขุนอินทรเทพ |
จมื่น หรือเจ้าหมื่น |
จมื่นศรีเสาวรักษ์ |
หลวง |
หลวงราชเสน่หา |
พระ |
พระศรีสุนทรโวหาร |
พระยา |
พระยาราชสงคราม |
เจ้าพระยา |
เจ้าพระยาจักรี |
สมเด็จเจ้าพระยา |
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ |
สำหรับยศ
"ขุนหลวง" นั้น
เป็นคำเรียกพระนามของพระเจ้าแผ่นดิน
ใช้มาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เช่น
ขุนหลวงหาวัด
หมายถึง
กรมขุนพรพินิต
พระมหากษัตริย์อันดับที่ 33 แห่งพระนครศรีอยุธยา ทรงยกราชสมบัติให้แก่กรมขุนอนุรักษ์มนตรีพี่ชาย
แล้วทรงออกบวช คนจึงเรียกพระนามว่า
ขุนหลวงหาวัด
พระนั้น
ได้แก่นักบวชในพระพุทธศาสนา มีความสามารถพิเศษ เช่น เรียนสูง
หรือบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์เป็นที่พอพระทัย ก็จะทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะ
เรียกตามภาษาปากว่า
เป็นเจ้าคุณ
มีอยู่ด้วยกัน 6 ชั้น ได้แก่
ชั้น |
ตัวอย่าง |
สามัญ |
พระศรีวิสุทธิโมลี |
ราช |
พระราชปฏิภาณกวี |
เทพ |
พระเทพเวที |
ธรรม |
พระธรรมปิฎก |
หิรัณยบัฎ (รองสมเด็จ) |
พระพรหมจริยาจารย์ |
สุพรรณบัฏ (สมเด็จ) |
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ |
ส่วนช้างนั้นเป็นสัตว์พิเศษ ถือคติมาแต่อินเดียโบราณ
ช้างเผือกช้างเนียมนั้นถือว่าเป็นช้างมงคล
พระมหากษัตริย์พระองค์ไหนได้มาไว้ประดับพระบารมีก็เป็นศรีแก่แผ่นดิน
จะเกริกไกรไปยังนานาประเทศ ที่สำคัญก็คือ
ช้างเผือกที่ต้องตามลักษณะมหามงคลนั้น เมื่อนำเข้าสู่สงครามแล้ว
เชื่อว่าจะสามารถทำให้ชนะอริราชศัตรูได้โดยง่าย
นี่คือความหมายหลักของการยกสัตว์ประเภทนี้ให้มียศมีศักดิ์เป็นเอกลักษณ์ที่ไม่มีใครเหมือนในโลกนี้ของประเทศไทย
ช้างนั้นมีอยู่ 2 กลุ่มใหญ่ คือ ช้างเผือกกับช้างเนียม
ซึ่งถือว่าเป็นช้างประหลาด
ช้างเผือก ได้แก่
ช้างที่มีสีขาว หรือเหลือง
หรือส้ม หรือแดง
คนธรรมดาอย่างพวกเราดูยังไงก็ไม่รู้ นอกจากผู้รู้ลักษณะของช้างเท่านั้น
ช้างที่ว่านี้เขาดูกันละเอียดลออไปจนถึงเพดานปากและอวัยวะเพศเลยทีเดียว
จนคนโบราณต้องนำมากล่าวเป็นคำพังเพยว่า
ดูช้างให้ดูหาง
ดูนางให้ดูแม่ ดูแน่ๆ ก็ให้ดูถึงตาถึงยายโน่นทีเดียว
เพราะว่า..ลูกไม้นั้นจะหล่นไม่ไกลต้น
คนก็เช่นกัน เมื่อสืบพันธุ์มาจากเทือกเถาเหล่ากอใด ชั่วหรือดี มีหรือจน
ก็จะซึมซับเอาคุณสมบัติของบรรพบุรุษไว้ไม่มากก็น้อย
ช้างเผือกนั้นมีลักษณะสำคัญส่วนใหญ่นับได้ 7 ประการ คือ ผิวขาว ตาขาว
ขนหางขาว เพดานขาว เล็บขาว ขนขาว และฝักอวัยวะเพศขาว
ส่วนช้างเนียมนั้น
เป็นช้างสีดำ
ความจริงช้างไทยทั่วไปก็มีสีดำเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว
แต่ช้างเนียมนี้มีลักษณะพิเศษคือ
มีผิวสีดำสนิท เล็บดำสนิท
และมีงาเหมือนปลีกล้วย จึงจะจัดเข้าเป็นช้างเนียม
เป็นช้างมงคลตระกูลหนึ่งซึ่งหาได้ยากมาก
เมื่อช้างอันมีลักษณะถูกต้องตามตำราโบราณแล้ว ก็จะได้รับการ
"ขึ้นระวาง"
คือเข้าสู่พิธีสมโภชยกขึ้นเป็นพระราชพาหนะของพระมหากษัตริย์
ซึ่งต้องมีการพระราชทานยศให้ตามแก่บุญวาสนา
ช้างเผือกในพงศาวดารไทยที่โด่งดังที่สุดนั้นเห็นจะเป็นช้าง 7 เชือก
มีนามตามลำดับคือ
พระคเชนทโรดม พระบรมไกสร พระสุริยกุญชร พระรัตนากาศ พระแก้วทรงบาศ
และช้างเผือกพังแม่ลูกอีก 2 เชือก ที่ชักนำเอาพระเจ้าบุเรงนองมาชิงกรุงศรีอยุธยาในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ
จนต้องเสียกรุงให้แก่พม่าเป็นครั้งแรก เราเรียกศึกครั้งนั้นว่า
สงครามช้างเผือก
นี่แหละคือ
ยศ-ช้าง-ขุนนาง-พระ
ตามตำราโบราณมา
ยศเหล่านี้มีการสร้างเสริมเติมแต่งเข้าไปต่างกรรมต่างวาระกัน
บางสมัยก็ไม่ตั้ง บางครั้งก็ตั้งใหม่
สุดแท้แต่องค์พระมหากษัตริย์จะทรงโปรดปราน
ครั้นถึง พ.ศ.2485
หลังจากการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศให้มีรัฐธรรมนูญได้ไป 10 ปี
คณะราษฎรอันนำโดย
หลวงประดิษฐ์มนูธรรม หรือนายปรีดี พนมยงค์
ก็ออกพระราชบัญญัติ
"ยกเลิกบรรดาศักดิ์"
แถมด้วยการ
"คืนบรรดาศักดิ์"
ให้ทุกคนกลับไปเป็น
"ราษฎรเต็มขั้น"
เหมือนสมัยดึกดำบรรพ์ แต่ก็ไปไม่รอด เพราะคนที่ไม่อยากคืนมีเยอะ จนในปี
พ.ศ.2487
รัฐบาลสมัยนั้นทนกระแสเรียกร้องบรรดาศักดิ์ของ
"คนเคยเป็น"
ไม่ไหว จำใจต้องออกกฎหมาย
"คืนบรรดาศักดิ์"
ให้แก่ผู้ที่ถูกยกเลิกบรรดาศักดิ์ไป
แต่ก็ไม่มีการตั้งบรรดาศักดิ์อีกเลยนับตั้งแต่นั้นมา
คงเหลือ..เหลือเฉพาะในวัดวาอารามเท่านั้น
ที่อำนาจรัฐยังเอื้อมไปไม่ถึง จึงปรากฏมาถึงปีพุทธศักราช 2550 ว่า
ยังมีการตั้งบรรดาศักดิ์ทางพระที่เรียกว่า
"สมณศักดิ์"
ให้แก่พระภิกษุสงฆ์อยู่
ถามว่า
จำเป็นหรือไม่ที่ต้องมียศถาบรรดาศักดิ์อยู่คู่สังคมไทย ?
ตอบว่า
จำเป็นครับ จำเป็นมากๆ
ทั้งนี้เพราะยศถาบรรดาศักดิ์นั้น เป็นเครื่องมือสำคัญในการปกครองบ้านเมือง
ถ้าไม่มีสิจะยุ่ง แต่โบราณกาลนั้น พระมหากษัตริย์องค์ไหนนำทัพออกรบ
มีชัยชนะกลับมา ต้องกระทำการสำคัญ 2 ประการ ดังนี้
1.พระราชทานบำเหน็จเป็นเงินทองของใช้ตามสมควรแก่ตำแหน่ง และ
2.ต้องพระราชทานยศถาบรรดาศักดิ์ปูนบำเหน็จให้ตามสมควรแก่ผลงาน
ถ้าใช้เขาเอาอย่างเดียว ไม่เคยให้ ใช้แล้วทิ้งใช้แล้วขว้าง
ราชบัลลังก์นั่นแหละจะล้มง่าย แม้ในสมัยปัจจุบันก็ตาม
พรรคการเมืองไหนได้รับเลือกตั้งเยอะ มีอำนาจได้เป็นรัฐบาล
เมื่อหัวหน้าพรรคได้เป็นนายกรัฐมนตรี
ก็ต้องพิจารณาความดีความชอบให้แก่พรรคพวกก่อนเพื่อน
มิใช่เอาไปให้คนนอกเสียหมด
ถ้าอย่างนั้นก็นับวันลงจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีได้เลย
นี่มองอย่างมหานรินทร์นะ ที่เขาว่าไม่มีอคติน่ะ มองกันอย่างนี้
แต่บางคนที่ชินกับลัทธิคอมมิวนิสต์อาจจะมองว่าเป็นคติก็ได้
นั่นไม่ว่ากันอยู่แล้ว
ปัญหาเรื่องยศถาบรรดาศักดิ์ในปัจจุบันที่คนนินทากันเกลื่อนเมือง
แต่ผู้หลักมักใหญ่มักไม่ได้ยิน (เพราะถูกคำสอพลอตอแหลปิดหูซ้ายขวาไว้)
ก็คือว่า
ท่านใช้กฎเกณฑ์ใดในการพิจารณาให้ยศถาบรรดาศักดิ์แก่พระภิกษุสงฆ์ ???
"ถือย่าม ตามก้น
นิมนต์บ่อย คอยไปหา ชาดี บุหรี่ฉุน เจ้าคุณชอบ"
เป็นคำพังเพยที่ท่องง่ายๆ
บ่งความหมายสูตรสำเร็จในการไต่เต้าเข้าสู่เส้นทางการเป็นพระราชาคณะของพระสงฆ์ไทย
ว่ากันตามหลักการใหญ่ๆ ผู้หลักผู้ใหญ่นั้น
นิยมชมชอบพระที่พินอบพิเทาเอาใจเก่ง เด้งสนองงานได้ทุกระดับประทับใจ
แบบว่าไม่มีปากมีเสียง คือต้องเถียงไม่เป็น คนประเภทนี้มักจะได้ดิบได้ดี
ดังในหนังสือหิโตปเทศกล่าวไว้ว่า
คนถ่อยตลบแตลง
มักเป็นที่ชอบใจของอิสตรี |
คนไม่มีคุณความดี
มักเป็นที่โปรดปรานของท้าวไท |
แต่ส่วนใหญ่แล้ว
คนเก่งคนดีมีอุดมการณ์เป็นของตนเองนั้น
มักจะมีอิทธิฤทธิ์ราชเดช ทั้งเถียงทั้งหัวรั้น ไม่พินอบพิเทา
แถมยังบังอาจเล่นบท
"สอนสังฆราช"
ซะอีก ซึ่งพระผู้ใหญ่นั้นท่านเอาเด็กมาใช้
ไม่ใช่ให้มาสอน
คนที่คิดจะสอนสังฆราชจึงคิดผิดถนัด สุดท้ายคนเก่งๆ
ทั้งหลายก็ต้องอำลาผ้าเหลืองไปอยู่นอกวัด ปล่อยให้
"วัดสระเกศ"
เหลือแต่
"พระมหาเสนาะ ประโยค 6"
ลอยลำขึ้นรองสมเด็จเป็นลูกโทนอยู่องค์เดียว เสียวจริงๆ
ดังนั้น
จะว่าผู้ใหญ่ผิดก็คงไม่ถูก
เพราะเขาเป็นผู้ใหญ่ มิใช่ผู้น้อย
คำปรึกษาที่ดีมีประโยชน์นั้น
ผู้ใหญ่เขาก็ต้องการ แต่การทำให้ท่านเสียหน้าเสียอารมณ์นั้น
ไม่ว่าใครก็ไม่ต้องการ
ทหารที่ดีนั้นต้องมีระเบียบวินัย สั่งซ้ายได้ สั่งขวาได้
สั่งกลับหลังหันก็ยังได้ แต่ถ้าสั่งไม่ได้ แม้ว่าจะดีมีฝีมือ
เขาก็ไม่เรียกว่าทหารดี แต่ถูกจัดเกรดลงเป็น
"ทหารเลว"
ในสายตาของผู้มีอำนาจ
ยิ่งถ้าเป็นคนดีมีฝีมือ แต่ไม่เข้ามาสนับสนุนผู้ใหญ่ แต่กลับไปตั้งตัวแข่งบารมีเสียเอง
ยังงี้สมัยโบราณนั้นนอกจากจะไม่เลี้ยงแล้ว ท่านยังมีนโยบายว่า
"ต้องกำจัด"
เพื่อตัดไฟเสียแต่ต้นลมด้วยซ้ำไป รู้ไว้ใช่ว่า ก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ทาง
"เจ้าของแมนเชสเตอร์ซิตี้"
จะเคยอ่านผ่านตามาบ้างหรือเปล่า ?
ก็นั่นแหละคือบริบทของเรื่องยศถาบรรดาศักดิ์ตามหลักการใหญ่
ทีนี้ก็จะเข้าไปในหลักการน้อย คือในรายละเอียด
ว่าเขามีกฎเกณฑ์กันยังไงในการพิจารณา
"คัดเลือก-เสนอ"
รายชื่อพระภิกษุผู้เหมาะสมจะได้เป็นเจ้าคุณ
ว่าโดยหลักใหญ่ๆ
ก็ได้แก่
1.คุณสมบัติส่วนตัว
เช่น เรียนจบสูง เป็นมหาเปรียญเอก ประโยค 7-8-9
หรือมีความถนัดในเรื่องที่คณะสงฆ์ต้องการให้ทำงาน
และมีตำแหน่งในการปกครองคณะสงฆ์ เช่น เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระอารามหลวง
เป็นเจ้าคณะพระสังฆาธิการ ตั้งแต่ตำแหน่งเจ้าอาวาสขึ้นไป แต่ส่วนใหญ่แล้ว
ผู้ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าคุณจะเป็นระดับเจ้าคณะอำเภอขึ้นไป
ยกเว้นแต่บางกรณี
2.คุณสมบัติส่วนรวม
ได้แก่ เนื้องานที่ทำลงไป เช่น เป็นเจ้าอาวาสสร้างอะไรใหม่ๆ มาบ้าง
มิใช่นั่งกินนอนกินหล่อยให้วัดวาอารามทรุดโทรมโดยไม่ทำนุบำรุง
เป็นเจ้าสำนักเรียนมีผลงานการศึกษาออกมาดี ปีหนึ่งๆ
มีพระเณรสอบนักธรรม-บาลี ได้มาก
3. อื่นๆ เช่น
เป็นพระกรรมฐานวิปัสสนา มีลูกศิษย์ลูกหามาก มีชื่อเสียงโด่งดัง
เป็นพระนักเทศน์ เทศน์มาจนหงำเหงือก เช่น
พระพยอม
ก็จะได้รับการยอมรับยกขึ้นพอเป็นพิธี สายนี้ส่วนใหญ่จะถูกจัดเข้าในสายวิปัสสนา
ถ้าเป็นพระธรรมดา
ไม่เป็นมหาเปรียญ จะเรียนจบนักธรรมหรือไม่ก็แล้วแต่
แต่ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคุณก็จะเรียกว่า
สามัญยก
ถ้าเป็นพระมหาเปรียญได้รับแต่งตั้ง ก็จะเรียกว่า
เปรียญยก
ถ้าเป็นพระสายวิปัสสนากรรมฐาน ได้รับแต่งตั้งก็จะเรียกว่า
วิปัสสนายก
นอกจากนั้นก็ยังมีกฎเกณฑ์เล็กน้อยๆ
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นรวมอยู่ในกฎเกณฑ์ใหญ่เพียงข้อเดียวคือ
ความพึงพอใจของผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจในการพิจารณา
"ให้"
เพราะถ้าคุณสมบัติอื่นๆ จะเต็มจนล้น แต่ไม่เข้าตากรรมการเสียอย่างเดียว
ก็ป่วยการ สู้ใช้สูตรดาราหน้ากล้องไม่ได้ คือต้องพยายามทำตัวให้เป็นข่าว
เข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่บ่อยๆ ใช้สูตร
"ถูกใจได้ฟรี ทำดีได้เบิ้ล"
นั่นแหละ ของแท้แน่ยิ่งกว่าดูหมอ
ถามว่า ผู้ใหญ่สูงสุดผู้มีอำนาจในการพิจารณาให้สมณศักดิ์แก่พระสงฆ์นั้น
คือใคร ?
เฉลยว่า
ได้แก่
เจ้าคณะใหญ่ทั้ง 5 หน
ได้แก่ หนกลาง หนเหนือ หนใต้ และหนตะวันออก ในฝ่ายมหานิกาย
และเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต เพราะทั้ง 5 ท่านเหล่านี้
มีอำนาจในการปกครองหรือแบ่งประเทศไทยบริหารกันเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
ไม่มีใครใหญ่กว่าใคร เมื่อใครได้บัญชีสมณศักดิ์ประจำปีในเขตปกครองของตนเองมาแล้ว
ก็จะนำเอาบัญชีนั้นเข้าสู่ที่ประชุมมหาเถรสมาคมเพื่อ
"รับทราบ"
เป็นการใช้ที่ประชุมมหาเถรสมาคมประทับตราออกมาเป็นกฎหมาย
โดยแต่ละเจ้าคณะใหญ่ก็จะสงวนมารยาท ไม่ก้าวก่ายสายงานของท่านอื่นๆ
มหาเถรสมาคมจึงเป็นเพียง
"รัฐบาลร่วม"
ของ 5 เจ้าคณะใหญ่
ไม่ใช่ระหว่าง
"มหานิกาย" กับ
"ธรรมยุต"
ดังที่คนทั่วไปเข้าใจ ตัวที่ขีดเส้นใต้ไว้นั้นสำคัญนะ ขอย้ำอีกครั้งว่า
ตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่นั้นสำคัญกว่าตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช
เพราะตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชนั้นเป็นเพียงเจว็ด
หรือนายกรัฐมนตรีที่มีพรรครัฐบาล 5 พรรครวมกันเท่านั้นเอง
พระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราชถ้าไม่ผ่านการเห็นชอบของมหาเถรสมาคมจึงไม่มีความหมายอะไรไปมากกว่า
"พระดำริส่วนพระองค์"
เท่านั้นเอง
กล่าวเป็นบุคคลาธิษฐานถึงตัวบุคคลกันเลยนะ
ผู้มีอำนาจสูงสุดในคณะสงฆ์ไทยสมัยปัจจุบันเหล่านั้นได้แก่
1.
สมเด็จพระพุฒาจารย์
(เกี่ยว อุปเสโณ ป.ธ.9) วัดสระเกศ เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก (มหานิกาย)
ปกครองภาคอีสานทั้งหมดในฝ่ายมหานิกาย
2. สมเด็จพระมหาธีราจารย์
(นิยม ฐานิสฺสโร
ป.ธ.9) วัดชนะสงคราม เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ปกครองภาคกลางทั้งหมดในฝ่ายมหานิกาย
3. สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์
(ช่วง วรปุญโญ
ป.ธ.9) วัดปากน้ำ เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ ปกครองภาคเหนือทั้งหมดในฝ่ายมหานิกาย
4. พระธรรมรัตนากร
(สงัด ปญฺญาวุโธ ป.ธ.7) วัดกะพังสุรินทร์
รักษาการเจ้าคณะใหญ่หนใต้แทนพระพรหมจริยาจารย์ วัดเบญจมบพิตร
ที่มรณภาพไปเมื่อปีกลาย ปกครองภาคใต้ทั้งหมดในฝ่ายมหานิกาย
5. พระพรหมมุนี
(จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต ป.ธ.9)
วัดบวรนิเวศวิหาร รักษาการเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต
ปกครองพระสงฆ์นิกายธรรมยุตทั่วประเทศไทย
รักษาการตำแหน่งนี้แทนสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งทรงประชวร
นี่แหละคือ
ตัวจริงเสียงจริง ผู้มีอำนาจตัวจริง
เพราะประวัติหรือบัญชีรายชื่อพระราชาคณะทั้งสิ้นจะต้องผ่านมือ 5
เจ้าคณะใหญ่เหล่านี้เท่านั้น
!
ไม่ว่าจะมาจากสายไหน
ถ้าไม่มีลายเซ็นของเจ้าคณะใหญ่ทั้งห้ากำกับและนำเสนอในที่ประชุมมหาเถรสมาคมแล้ว
ก็ไร้ความหมาย
เว้นแต่จะเป็นพระราชอัธยาศัยขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเท่านั้น
มหาเถรสมาคมจึงจะน้อมรับพระบรมราชโองการ
เพราะพระราชาคณะทุกรูปก็ได้รับการสถาปนาโดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
แต่กรณีอย่างนี้มีไม่บ่อยนัก
"สมเด็จเกี่ยวสั่งถอนบัญชีสมณศักดิ์เป็นกรณีพิเศษ
เนื่องในวโรกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมายุ ครบ 80 พรรษา"
เป็นข่าวหน้าหนึ่งของอะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะ
ดอทคอม
ในตอนหัวค่ำของวันที่ 13 พฤษภาคม 2550 ที่ผ่านมา
กระแสข่าวรายงานว่า บัญชีพิเศษที่ว่านี้ เจ้าคณะใหญ่ทั้ง 5 รูปไม่มีส่วนร่วม
แต่เป็นผลงานการสร้างของรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์
โดยรัฐบาลอ้างเอางานเฉลิมพระชนมพรรษาขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขึ้นมาบังหน้า
แล้วก็สั่งการให้หน่วยงานของรัฐไปจัดโผสมณศักดิ์เป็นกรณีพิเศษ
เสร็จแล้วก็ส่งให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาตินำเข้าเสนอในที่ประชุมมหาเถรสมาคมเพื่อขอให้รับหลักการในวันที่
13 พฤษภาคม พ.ศ.2550
จากการอภิปรายไม่ไว้วางใจในที่ประชุมมหาเถรสมาคม มีการตั้งข้อสังเกตว่า
"บัญชีนี้รัฐบาลเป็นฝ่ายจัดเองเบ็ดเสร็จเด็ดขาด พระสงฆ์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
จึงมองว่าไม่ให้เกียรติคณะสงฆ์"
แต่เนื้อหาที่ลึกลงไปกว่านั้นก็คือ มีการวิ่งเต้นเข้าหาผู้มีอำนาจ
หรือผู้มีอำนาจได้เสนอรายชื่อพระภิกษุที่ตนเองนับถือเข้ามามากมาย
หลายรูปนั้นถูกคณะสงฆ์ไทยหมายหัวไม่ให้โต บางรูปก็อยู่ที่ไหนไม่รู้
เพราะไม่เคยเห็นหน้ามาถวายสักการะ สำทับด้วยคำพูดของพระพรหมสุธี
หรือท่านเจ้าคุณเสนาะ
เลขาสมเด็จพระพุฒาจารย์ เป็นกรรมการมหาเถรสมาคมด้วย ท่านได้ออกมาบอกว่า
"มีการวิ่งเต้นใช้เงินซื้อยศในบัญชีนี้กันหลายราย" จะเป็นข่าวลือหรือข่าวกรองก็ไม่รู้ละ
แต่สังคมไทยนั้นอ่อนไหวกับเรื่องพรรค์นี้ สุดท้ายบัญชีนี้ก็ถูก
"ดองเค็ม"
ไว้ที่ทำเนียบรัฐบาลมาจนป่านนี้
บัญชีสมณศักดิ์กรณีพิเศษนี่เอง
ที่เป็นเกม
"ประลองกำลัง"
อย่างแรง ระหว่างรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารกับรัฐบาลคณะสงฆ์ไทย
ซึ่งส่วนใหญ่ยังมีไมตรีต่อ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
อดีตนายกรัฐมนตรี ที่กรุงลอนดอน ผลก็คือ รัฐบาล
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์
ต้องพ่ายแพ้ยับเยิน กันชนพังยับ ต้องเข้าอู่ซ่อม เครดิตก็ติดลบ นึกๆ
ไปยังเสียดายจังหวะสวยๆ นะ ถ้าตอนนั้นใจกล้าขาไม่สั่นยอมเปลืองน้ำหมึกเซ็น
"ปลดสมเด็จเกี่ยว"
ออกจากตำแหน่งเสีย แล้วตั้งวัดชนะขึ้นรักษาการสังฆราชแทน
เรื่องก็ไม่เรื้อรังและผลลัพธ์ก็คงไม่ออกมาในรูปแบบนี้
แต่เพราะไม่เอาวัดชนะก็จึงไม่ชนะ นี่คือความอ่อนหัดทางการศาสนาของรัฐบาลฤาษีกินเหี้ย
เอ๊ย ฤาษีเลี้ยงเต่า
แม้จะมีพลพรรคพันธมิตรของหลวงพี่สนธิ
สนฺตจิตฺโต (ลิ้มทองกุล) ลุ้นช่วยตัวโก่งก็ตามเถอะ
จระเข้น่ะถ้าขืนวิ่งเข้าป่าก็มีหวังเสร็จเสือไม่เหลือหนัง
รู้จักสมเด็จเกี่ยวน้อยไปซะแล้ว
คิดอีกสมการหนึ่ง ถ้ารัฐบาลเล่นเป็น ก็อาจจะขอมติที่ประชุมมหาเถรสมาคมก่อน
แล้วให้มหาเถรสมาคมเป็นผู้ดำเนินการจัดบัญชี โดยรัฐบาลอาจจะขอ
"แจม"
รายชื่อเข้าไปด้วยจำนวนหนึ่ง อาจจะเป็น 20-30 รูป อีกซัก 50 รูป
ก็แบ่งให้เจ้าคณะใหญ่ท่านไปเขตละ 10 รูป
ก็คงลงตัวเหมือนที่รัฐบาลทักษิณเคยทำสำเร็จมาก่อน
แต่นี่รัฐบาลเล่นกินรวบเหมือนหวยบนดิน ก็เข้าในพุทธพจน์บทว่า
"เนกาสี ลภเต สุขํ
กินคนเดียวไม่อร่อย"
ดังเท้าความมาฉะนี้ จนกระทั่งมาถึงโผจริงที่เปิดข่าวออกมาเมื่อวันที่
15 พฤศจิกายน 2550
นี่แหละ
การข่าวเกี่ยวกับบัญชีสมณศักดิ์ในปีนี้ เหยี่ยวข่าวศาสนาชี้ว่า
"ออกมาช้ากว่าปกติ"
ทั้งนี้เพราะมีปัญหามาแต่ปีกลาย คือพอพิจารณาผ่านมหาเถรสมาคมเสร็จ
อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา หนังสือพิมพ์ไทยรัฐก็เจาะข่าวไปลง ที่สำคัญก็คือ
ก่อนหน้านั้นมีโผออกมาไม่รู้ว่าจริงหรือปลอม
บอกว่าองค์นั้นจะได้เป็นชั้นนั้นชั้นนี้
ทีนี้พอของจริงออกมากลับไม่เหมือนโผก่อน
สร้างความสับสนให้แก่ผู้มีชื่อติดโผ
ที่สำคัญก็คือเป็นการละลาบละล้วงพระราชอำนาจไปกลายๆ
ซึ่งโผเจ้าคุณนั้นก็เหมือนโผทหาร ถ้ายังไม่มีพระบรมราชโองการลงมา
ใครจะไปแอบอ้างไม่ได้ ปีกลายนั้น ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติซึ่งถูกเพ่งเล็งจากมหาเถรสมาคมว่าเป็นต้นตอปล่อยข่าว
ต้องร้อนก้นออกมาแก้ตัว เอ๊ย แก้ข่าวว่า
สำนักพุทธฯไม่ได้ให้ข่าวแก่ใคร
แต่จะได้ไปจากทางไหนนั้นไม่ทราบ
!
ตั้งแต่นั้นมา กรรมการมหาเถรสมาคมรูปอื่นๆ จึงสงวนมารยาทเป็นพิเศษ
โผปีนี้จึงมีบัญชีเดียว และออกมาล่ากว่าปกติดังที่เห็น
แต่ถึงช้าก็ชัวร์นะ
!
ทีนี้ก็จะกางบัญชีสมณศักดิ์ ปี 2550 วิจารณ์กันให้ราบเป็นหน้ากลองไปเลย
ก็ตามรายชื่อพระเถรานุเถระทั่วประเทศ จำนวน 84 รูป
ที่ได้รับแต่งตั้ง-เลื่อน และสถาปนา ในครั้งนี้นั้น เราจะสามารถแบ่งออกเป็น
3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่
1. มองในมุมของการจัดโซน
โดยแยกออกเป็น กลุ่มเจ้าคุณในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเมืองหลวง กับต่างจังหวัด
2.
มองตามสายการปกครองของเจ้าคณะใหญ่หนต่างๆ ทั้ง 5 หน
3.
มองดูตามคุณสมบัติที่ได้รับการพิจารณา ว่าแต่ละรูปแต่ละองค์
แต่ละหมู่แต่ละเหล่า เขามีความดี-เด่น ด้านใดบ้าง จึงได้รับการโปรดเกล้าฯ
ในครั้งนี้
ตามข้อที่หนึ่งนั้น ในฝ่ายมหานิกาย มีเจ้าคุณขึ้นบัญชีครั้งนี้ทั้งสิ้น 63
รูป ในฝ่ายธรรมยุตได้ 21 รูป ซึ่งก็เป็นไปตามสัดส่วนที่ลงตัว
เพราะว่าพระมหานิกายทั่วประเทศมีถึง
300,000 รูป
ส่วนธรรมยุตมีเพียง
30,000 รูป
ได้ไป 21 รูปก็เหลือเฟือแล้ว
บางคนไม่รู้อัตราประชากรระหว่างนิกายก็ทึกทักเอาว่า ธรรมยุตได้น้อย ทั้งๆ
ที่จริงนั้นวัดธรรมยุตมีเจ้าคุณมากกว่ามหานิกาย พระบางรูปถึงกับกล่าวว่า
"เหลือเพียงหมากับแมวเท่านั้นกระมังที่ธรรมยุตยังไม่ได้เสนอตั้งเป็นเจ้าคุณ"
ก็ถือว่าเป็นคำประชดได้สะใจอีกวลีหนึ่ง
จำนวน 63 รูปในฝ่ายมหานิกาย
แบ่งออกเป็นพระในกรุงเทพฯ จำนวน
23 รูป
เป็นพระในต่างจังหวัดจำนวน
40 รูป
ทีนี้ท่านผู้อ่านจะเห็นว่า มหานิกายนั้นแบ่งการปกครองเป็น 4 หน
ซึ่งจะเข้าไปพ้องกับเลข 40 ในต่างจังหวัด ที่จัดอยู่ในบัญชีปีนี้
แสดงว่าเจ้าคณะใหญ่ทั้ง 4 มีการรอมชอมบัญชีกันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย ให้โควต้าเป็นอัตรากันไปเลย
หนไหนได้เท่าไหร่ในแต่ละปีก็เอาไปไม่ยุ่งเกี่ยวกัน ก็แฟร์ดี
ทีนี้ก็มองๆ หาชื่อวัดของท่านเจ้าคณะใหญ่ทั้ง 4 คือ วัดสระเกศ วัดชนะสงคราม
วัดปากน้ำ และวัดกะพังสุรินทร์ ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจถือโผจาก 4
มารวมเป็นหนึ่งในครั้งนี้ เราจะเห็นได้ว่า ทั้ง 4 วัดนี้ มีรายชื่อติดโผหมด
ไล่ตั้งแต่
วัดสระเกศ
มี 1 รูป คือ
พระครูอรรถเมธี
องค์นี้คนคงจำกันได้ ท่านไปเทศน์ที่พรรคไทยรักไทยในงานทำบุญพรรค
เมื่อวันที่ 13 มกราคม ต้นปีนี้ โดยเทศน์ซะสะเด็ดว่า "..จากการที่ได้ไปพบปะชาวพุทธที่อยู่ในยุโรป
ต่างเรียกร้องอยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาดูแลบ้านเมือง
เพราะประเทศไทยกำลังมีปัญหา
และที่ผ่านมาได้สร้างผลงานจนเป็นที่ยอมรับหลายเรื่อง
เมื่อวันนี้ต้องการทำบุญเพื่อปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย
ก็อยากจะให้พวกเราช่วยกันแก้ปัญหา
เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กลับมาเหมือนเดิม
ช่วยกันขจัดสิ่งไม่ดีที่มีอยู่ออกไป..ฟ้าใสเมื่อไหร่
ขอให้รู้ไว้ว่าชาวบ้านต่างจังหวัดทุกคนยังเป็นแฟนคลับ
พร้อมสนับสนุนพรรคไทยรักไทยเหมือนเดิม"
ทักษิณได้ยินก็เป็นปลื้ม
นึกอยากจะเซ้งกัณฑ์เทศน์ถวายด้วยมือตนเองซะเลย แต่ทางทหาร โดยเฉพาะ
พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร
นั้นไม่ปลื้มถึงกับออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า
"โดยสามัญสำนึกไม่มีใครไปควบคุมพระ
น่าจะถามว่าพระภิกษุรูปนั้นได้ทำกิจของสงฆ์หรือไม่ ถ้าไม่ใช่กิจของสงฆ์
ต้องไปตรวจสอบพระธรรมวินัยว่า สิ่งที่ควรทำ หน้าที่ของพระมีอะไรบ้าง
ไม่ควรถามว่าพวกเราไปคุกคามหรือไม่ มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
!"
แรงกว่ากระทิงแดงไปแค่ร้อยกว่าๆ เองฮะ
ท่านพระครูอรรถเมธี
มีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ
และมีรายชื่อได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าคุณในราชทินนาม
"พระปัญญาวชิราภรณ์"
ในครั้งนี้ แสดงว่ากัณฑ์เทศน์เมื่อวันที่ 13 มกราคม ที่ผ่านมานั้น
มีมูลค่ามหาศาล แม้จะเป็นเพียงเจ้าคุณชั้นสามัญ
แต่การได้มาในครั้งนี้ก็เป็นการการันตีว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์ท่านอุ้มพระครูอรรถเมธีเต็มตัว
แน่เสียยิ่งกว่าแน่อีกน้อง
!
วัดชนะสงคราม
ครั้งนี้ไม่พลาด ส่งพระครูปลัดสัมพิพัฒนธีราจารย์
พระครูถานานุกรมของสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ขึ้นเป็น
"พระโสภณปริวัติเวที"
ก็ไม่มีใครกล้าว่า เพราะว่าท่านเป็นผู้ใหญ่
จะเอาใครในอวยก็สุดแต่พระเดชพระคุณจะโปรด
วัดปากน้ำ ปีนี้สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ส่งพระเทพโกศล
ขึ้นเป็น
พระธรรมรัตนากร
อันเป็นชื่อเดิมของพระธรรมรัตนากร วัดกะพังสุรินทร์ จังหวัดตรัง ก็ลงตัว
วัดกะพังสุรินทร์ จังหวัดตรัง วัดนี้ปีนี้ต้องโฟกัสกันพิเศษหน่อย
เพราะว่าเจ้าอาวาสคือพระธรรมรัตนากรนั้น
ท่านได้มหาลาภชิ้นใหญ่ เป็น
"รักษาการตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่หนใต้"
แทนพระพรหมจริยจารย์
วัดเบญจมบพิตร
ซึ่งถึงแก่มรณภาพลงไปเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ.2549
ส่งผลให้พระธรรมรัตนากร
ซึ่งเป็นชาวใต้มีความรู้ความสามารถในการบริหารการปกครองอย่างหาตัวจับได้ยาก
จึงได้รับการแต่งตั้งให้รักษาการในตำแหน่งดังกล่าว
ขอเท้าความนิดหนึ่งว่า อันตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่หนต่างๆ นั้น
เปรียบเสมือนตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชของแต่ละภาคในคณะสงฆ์ไทย
เพราะเป็นผู้กุมอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
มากกว่าตำแหน่งแม่ทัพภาคในทางทหารด้วยซ้ำไป จึงแต่เดิมมานั้น
ไม่มีประเพณีให้พระสงฆ์ต่างจังหวัดดำรงตำแหน่งดังกล่าว เป็นคติเดียวกับสมณศักดิ์ที่สมเด็จพระราชาคณะ
จะไม่มีพระต่างจังหวัดได้เป็น ดังนั้น ใครอยากเป็นเจ้าคณะใหญ่ เป็นสมเด็จ
ก็ต้องอยู่ในกรุงเทพฯ เท่านั้น
แต่สำหรับครั้งนี้มีปัญหาเฉพาะหน้า มีภาระเฉพาะกิจ
เนื่องเพราะแต่ก่อนร่อนชะไรนั้น
การปกครองทางคณะสงฆ์จะอำนวยตามสถานการณ์บ้านเมือง
และเมืองไทยสมัยก่อนก็ไม่มีปัญหากระทบศาสนาเหมือนสมัยนี้
การตั้งพระกรุงเทพฯ
กินหัวเมืองอันเป็นการรวบอำนาจไว้ส่วนกลางนั้นจึงทำได้ไม่มีปัญหา
ก็แค่ไปให้นโยบาย หรือปีหนึ่งๆ ก็ไปประชุมให้โอวาทมั่ง แจกพัดมหา-พระครู
แทนสมเด็จพระสังฆราชมั่ง นอกนั้นงานใหญ่ๆ ก็จะอยู่ที่สำนักงานเจ้าคณะหน
ยกเว้นแต่งานเสกจตุคาม เพราะต้องลงไปเสกที่ภาคใต้
เพราะจตุคามนั้นเป็นเทพของชาวใต้ ตามธรรมเนียมไทยแล้ว
ไม่มีประเพณีผู้ใหญ่วิ่งไปหาผู้น้อย มีแต่ผู้น้อยวิ่งเข้าหาผู้ใหญ่
ปัญหาเฉพาะกิจที่มหาเถรสมาคมจำต้องหยิบเอา
"พระธรรมรัตนากร"
ขึ้นมาใช้ชั่วคราวในครั้งนี้ก็คือ
ไฟใต้
อันประทุมานานหลายปี นับตั้งแต่เริ่มรัฐบาลทักษิณจนถึงปัจจุบันนั้น
มีการฆ่ากันรายวัน จนภาคใต้กลายเป็นเลบานอนแห่งเอเชียไปแล้ว
กลุ่มบุคคลผู้ถูกรัฐบาลจับกุมมาเป็นจำนวนมากนั้น กลับกลายเป็น
"อุสตาด"
หรือนักสอนศาสนนาในมัสยิดและปอเนาะต่างๆ ทั่วภาคใต้
ตำแหน่งที่ว่านี้ก็ไม่ต่างไปจากพระในพระพุทธศาสนา
แสดงว่าเป็นสงครามศาสนาชัดเจน
แม้รัฐบาลจะเลี่ยงไม่อยากพูด เพราะไม่อยากให้ปัญหาบานปลายไปมากกว่านี้
แต่ความจริงก็คือความจริง
ถึงรัฐบาล-คณะสงฆ์ไม่กล้าพูด
แต่มหานรินทร์จะพูด
พูดเพื่อให้คนไทยหายโง่
!
ปัญหาที่ว่านี้มีสมการง่ายๆ
แค่ว่า
ในประเทศมุสลิมนั้น ศาสนาอิสลามเขาคุมการเมือง แต่ในประเทศไทยเรานั้น
การเมืองกลับคุมศาสนา
ไม่ยอมแม้แต่แค่จะเขียนว่า
"พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ"
ก็ไม่ใช่อะไรหรอก
กลัวมุสลิมจนขี้ขึ้นสมอง
ยกตัวอย่าง
กฎหมายสมรสไทยบัญญัติไว้ว่า ชายหรือหญิงจะมีสามีภรรยาเกิน 1 คนไม่ได้
คือไม่ให้มีการจดทะเบียนสมรสซ้อน
แต่หลักศาสนาอิสลามนั้นอนุโลมให้ผู้ชายมีเมียได้ 4 คน ครั้นมีข่าวว่า
ชาวมุสลิมบางคนซึ่งมียศถาบรรดาศักดิ์เป็นถึงระดับพลเอกคุมกองทัพไทย
มีการจดสมรสซ้อนกับผู้หญิงหลายคน ทั้งๆ ที่ผิดกฎหมายเห็นๆ
แต่กลับมีการอ้างว่า
"ก้อเขาเป็นมุสลิมนี่ เขามีสิทธิ์ตามศาสนาของเขา"
นี่คือความบูดเบี้ยวของกฎหมายไทย ภายใต้การตีความของด๊อกเตอร์จากฮาวาร์ด
สำรวจดูภูมิลำเนาของเจ้าคณะใหญ่หนใต้ในอดีต พระพรหมจริยาจารย์อดีตเจ้าคณะใหญ่หนใต้
วัดเบญจมบพิตร ที่เพิ่งมรณภาพไปนั้น ท่านเป็นชาวจังหวัดอ่างทอง
ก่อนหน้านั้นตำแหน่งนี้เป็นของสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม
ซึ่งท่านเป็นชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
จะเห็นว่าไม่มีคนใต้ได้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่หนใต้
แต่เพราะตอนนั้นยังไม่มีไฟใต้ การปกครองจึงไม่มีปัญหา แต่บัดนี้มีไฟใต้แล้ว
ใครๆ ก็หย้าน คือกลัวไฟใต้จะไหม้มือ แถมในวงการสงฆ์เดี๋ยวนี้ยังหามือดีๆ
ได้ยาก มีแต่ปากดีๆ เท่านั้น สุดท้ายมหาเถรสมาคมจึงไปคว้าเอาพระธรรมรัตนากร
วัดกะพังสุรินทร์ จังหวัดตรัง ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าคณะภาค 18
ปกครองคณะสงฆ์ในเขตจังหวัดสงขลา
พัทลุง สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส
มารักษาการในตำแหน่งนี้ซึ่งก็เป็นเวลาเกือบปีแล้ว
ระยะเวลารักษาการที่ว่านี้ เป็นที่ผิดสังเกตมาก
เพราะว่าตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่หนใต้นั้นเป็นตำแหน่งหลัก
ส่วนใหญ่แล้วถ้าเจ้าคณะหนตายก็จะรีบตั้งกันทันทีไม่มีรีรอ
เพราะมิใช่ตำแหน่งเจ้าอาวาส
แถมยังเป็นตำแหน่งสำคัญสูงสุดในการปกครองคณะสงฆ์ด้วย
แต่ก็เป็นเรื่องแปลกที่คณะสงฆ์ยังไม่มีการแต่งตั้งเจ้าคณะใหญ่หนใต้ตัวจริงมาจนบัดนี้
ทั้งนี้มีมาจาก 2 สาเหตุ
1. หาตัวคนทำงานไม่ได้
คนทำงานที่ว่านี้ชี้ไปที่
"พระผู้ใหญ่ในกรุงเทพมหานคร"
เท่านั้นนะ
เรื่องนี้มิใช่ว่าไม่มีคนอยากเป็น อันคนอยากเป็นนั้นมีเป็นร้อย
แต่คนที่เป็นแล้วจะทำงานได้ดีไม่มีปัญหานั้นจะหาที่ไหน
โดยเฉพาะในภาคใต้ซึ่งฆ่ากันตายรายวัน เผือกร้อนชิ้นนี้ถึงจะมีคนหิวอยากกิน
แต่ก็กลัวลวกปากไม่กล้ากินกัน จำใจที่จะต้องให้พระธรรมรัตนากร
ซึ่งเป็นคนในพื้นที่คุมพื้นที่อยู่ดูแลต่อไป
จนกว่าไฟใต้จะดับ
2.
ไม่มีประเพณีตั้งพระต่างจังหวัดเป็นเจ้าคณะใหญ่หนใดหนหนึ่งมาก่อน
เพราะต้องคุมอำนาจไว้ที่ส่วนกลาง
เจ้าคณะใหญ่ทุกหนในประเทศไทยก็เหมือนกระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม
กระทรวงยุติธรรม ฯลฯ ซึ่งจะตั้งอยู่ใกล้ๆ กันไม่ไกลสนามหลวง
ให้มอเตอร์ไซด์วิ่งส่งเอกสารแค่ 5 นาที 10 นาที ก็ถึงมือแล้ว
วัดที่คุมหนต่างๆ ก็ฉันนั้น จากวัดสระเกศไปวัดเบญจฯ จากวัดเบญจะไปวัดชนะ
จากวัดชนะไปวัดปากน้ำ ก็ครบ 4 หน หรือ 4 ภาคทั่วไทยแลนด์แล้ว เที่ยว 4
วัดนี้มีภาษีดีกว่าไหว้พระ 9 วัด ของ ททท. เสียอีก
ทีนี้เมื่อมีประเพณีที่ว่านี้ แต่มีปัญหาข้อหนึ่งตามมา
คือว่าจะหาคนมือถึงคุมงานดับไฟใต้ได้ที่ไหน
เพราะพระใต้ที่ได้ดิบได้มีในกรุงเทพฯ นั้นก็หาได้ยาก
เอาใกล้ที่สุดก็คือสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศนั้น ถึงท่านจะเป็นชาวใต้
เกิดในจังหวัดสุราษฎร์ธานี แต่ก็ไม่ใช่ใต้จริง เป็นใต้กลางๆ เกือบๆ
จะเหนือแล้ว แถมหลายสิบปีมานี้ท่านแทบจะไม่ได้กลับใต้
เพราะไปดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก คุมภาคอีสานติดประเทศลาว
เผลอๆ จะลืมดอกคำใต้ไปแล้วไม่รู้ อาจจะเว้าลาวได้ถนัดกว่าแหล้งต้ายด้วยซ้ำไป
พระเถระผู้ใหญ่ในภาคใต้ที่ใกล้ชิดศูนย์อำนาจมากที่สุดในปัจจุบันก็น่าจะเป็น
พระเทพปริยัติเมธี หรือท่านเจ้าคุณรุ่น ธีรปญฺโญ ป.ธ.9
เป็นชาวพัทลุง รู้เรื่องภาคใต้ลึกมากรูปหนึ่ง แต่ก็ไม่อยู่ในกรุงเทพฯ ท่านอยู่ที่วัดชลประทานรังสฤษฎ์
จังหวัดนนทบุรี ของหลวงพ่อปัญญานันทะ
ปัญหาจึงมีว่า
ถ้าตั้งพระธรรมรัตนากรเป็นเจ้าคณะใหญ่หนใต้
ก็จะเป็นการแหกประเพณี
เพราะถ้าทำได้
ต่อไปก็อาจจะมีการเรียกร้องให้ตั้งชาวเหนือเป็นเจ้าคณะใหญ่หนเหนือ
เรียกร้องให้ต้องชาวอีสานเป็นเจ้าคณะใหญ่หนอีสาน
เหมือนให้ ผบ.ทบ.ไปประจำอยู่ต่างจังหวัด
หรือให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นปลัดกระทรวงมหาดไทยไม่ต้องมากรุงเทพฯ
ซึ่งมันไม่มีประเพณีปฏิบัติ ผิดหลักการรัฐประสาสนศาสตร์ กระแสภาคนิยมจะฟูเฟื่อง
เป็นปัญหาทางด้านการเมืองการปกครองของคณะสงฆ์ไทยในระดับยอด
แล้วจะมีเมืองหลวงไว้ทำอะไร เปิดเฟรนไชด์ขายหมูกระทะก็มีค่าพอกันกันตำแหน่งเจ้าคณะหน
เรื่องนี้ทางมหาเถรสมาคมก็คิดหนัก
แต่ถ้าไม่ตั้งพระธรรมรัตนากรให้เป็นเต็มตัว โดยให้เป็นรักษาการไปเรื่อยๆ
ถ้าเข้าปีที่ 2-3 เมื่อไหร่
คณะสงฆ์ไทยเป็นโดนชะยันโตว่าหมดสิ้นคนดีแล้ว หรือใช้คนแต่ไม่ให้ตำแหน่ง
คนที่รักษาการก็อาจจะน้อยใจ เป็นเรื่องละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง
คิดแล้วก็ปวดหัว
แต่อย่างไรก็ตาม จากการที่ได้รักษาการในตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่หนใต้
ส่งผลให้พระธรรมรัตนากร เจ้าคณะภาค 18 ได้รับเลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นเป็นรองสมเด็จใหม่ในนาม
"พระพรหมจริยาจารย์"
แทนนามเก่าของเจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตร หรือนี่จะเป็นของขวัญปลอบใจ
เมื่อให้ตำแหน่งไม่ได้ก็ให้ยศไปก่อน เอากล่องไปก่อนนะท่านเจ้าคุณ ขนมเค็กนั้นยังไม่ทันสุก
นี่เล่าซะยาวเลย
ก็หมดวัดของเจ้าคณะใหญ่ทั้ง 4 หนแล้ว
ต่อไปก็คือวัดที่ทรงอิทธิพลในคณะสงฆ์ไทยรองลงไปจากเจ้าคณะใหญ่หนต่างๆ
อันได้แก่
เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร เจ้าคณะภาคต่างๆ
ทั้ง 18 ภาค
ขอจาระไนให้ฟังดังนี้
วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์
อดีตศูนย์กลางของคณะสงฆ์ไทยสมัยรัชกาลที่ 1-3
เป็นวัดที่สมเด็จพระสังฆราชทุกพระองค์ต้องเสด็จมาประทับที่นี่
เพื่อทรงบัญชาการคณะสงฆ์ ครั้นพอคณะธรรมยุตเกิดขึ้นมา
จึงต้องแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง
เพราะพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระองค์ทรงพอพระทัยให้คณะสงฆ์ไทยแตกออกเป็น
2 นิกาย ภายใต้พระบรมโพธิสมภาร ตอนนั้นบ้านเมืองยังเป็นราชาธิปไตย
จึงไม่มีปัญหา จะแบ่งเป็นกี่ก๊กก็ต้องขึ้นต่อพระเจ้าอยู่หัว แต่พอถึง
พ.ศ.2475 เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองขึ้นมา
จากให้พระราชาเป็นใหญ่ก็ให้ประชาชนเลือกผู้นำ กระทบกระทั่งกันมาเรื่อยๆ
จนถึงวันที่
19 กันยา 2549
นายกรัฐมนตรีขวัญใจรากหญ้าก็ต้องเดินทางไปรับตำแหน่งนายกสโมสรแมนเชสเตอร์ซิตี้ที่กรุงลอนดอนมาจวบบัดนี้
เรื่องคณะสงฆ์ไทยนั้นมีความสลับซับซ้อน ลับๆ ล่อๆ
เพราะมีกำแพงวัดป้องกันไว้หลายชั้น ด้านนอกนั้นเป็นผู้ดีมีศีลธรรม
ด้านในนั้นเล่นการเมืองเรื่องอำนาจ
โดยเฉพาะคณะธรรมยุตนั้นเห็นใส่สีขี้ม้าก็เถอะ พรรคปลาไหลเห็นแล้วยังซูฮกเลยว่า
"พระเดชพระคุณช่างปราดเปรื่องในทางการเมืองโดยแท้"
ทั้งนี้ควรมองให้ไกลไปว่า อำนาจทางคณะสงฆ์นั้น
แม้ไม่ยิ่งใหญ่เหมือนในทางบ้านเมือง แต่ว่ามั่นคงยิ่งนัก
พระสมเด็จพระราชาคณะนั้นกฎหมายรับรองให้เป็นไปจนตาย
แถมยังต้องร่วมรัฐบาลคณะสงฆ์ไปจนมรณภาพด้วย ใครได้เป็นสมเด็จฯ
ก็ยิ่งกว่าถูกหวยร้อยล้าน เพราะแม้จะถูกหวยรวยเละ แต่ไม่รู้ว่าจะเจ๊งวันไหน
สู้ช้าๆ แต่ชัวร์ไม่ได้ เห็นไหมว่าอะไรคือะไร
ต่อไปก็เรื่องวัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์
จากพระจันทร์เดือนเพ็ญก็กลายเป็นเดือนแรม แถมยังแรม 15 ค่ำด้วยสิ
ทุกวันนี้ใครไปดูวัดมหาธาตุฯ สิ
มีศักดิ์ศรีสมเป็นวัดอดีตสมเด็จพระสังฆราชของไทยซะที่ไหน
แม่ชีแม่ชงขยงขยะรถราหมาแมว ฯลฯ
สกปรกรกรุงรัง พระสงฆ์ในวัดแบ่งค่ายแบ่งก๊ก ต่างคนต่างอยู่
กูก็ใหญ่มึงก็ใหญ่ เล่ากันว่าอดีตเจ้าอาวาสบางยุคนั้นถึงกับไม่กล้าออกนอกคณะ
เพราะไม่มีใครยอมรับ
อำนาจสุดท้ายที่อธิบดีสงฆ์วัดนี้เกาะท้ายขบวนไว้ได้นั้นก็คือ
ตำแหน่งเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นเมืองหลวง คล้ายกับว่า
ลดเกรดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาเป็นผู้ว่า กทม.
เท่านั้นเอง
เหมือนเส้นทางการเมืองของมหาห้าขันกับ
ส.สุนทรเวช
ยังงั้นเลยฮะ
!
จะจริงหรือไม่ก็ไม่รู้สินะ เขาเล่ากันหนาหูว่า
มีความไม่ชอบมาพากลในกองงานเลขานุการเจ้าคณะกรุงเทพมหานครหลายอย่าง
ทั้งด้านความสะดวกในการติดต่องาน ทั้งด้านอื่นๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นอัปมงคล
ก็กราบเรียนท่านเจ้าคณะกรุงเทพรูปปัจจุบัน คือพระธรรมสุธีร์
กรุณาสำรวจตรวจตราดูเด็กในคาถาของท่านหน่อย
อย่าปล่อยให้โกงกินหรือเอาแต่ไล่จับคนอื่นโดยลืมดูตัวเอง นะครับ ด้วยความเคารพล่ะ
วัดมหาธาตุปีนี้ส่งเด็กขึ้นชิงชัยในตำแหน่งและได้มาด้วย
โดยมีชื่อพระมหาสายเพชร วชิรเมธี ได้เป็น
พระเมธีวรญาณ
แสดงว่าไม่ใช่มหาเปรียญ 9 เพราะถ้าเป็น ป.ธ.9 เขาจะนิยมตั้งชื่อเป็น
พระศรี..เช่น พระศรีวิสุทธิเมธี เป็นต้น ก็เอาเป็นว่า วัดนี้ไม่พลาดแบ่งเค็กงวดนี้ด้วย
แสดงว่าตำแหน่งเจ้าคณะกรุงเทพฯ และพระอารามหลวงใหญ่แห่งนี้ยังพอมีแรงต่อรอง
วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม
พระอารามหลวงที่ในหลวง ร.5 ทรงสร้างขึ้นมา เคียงคู่พระที่นั่งอนันตสมาคมอันเคยใช้เป็นที่ทำการของรัฐสภาไทยในอดีต
วัดใหญ่แห่งนี้เคยรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมเด็จพระวันรัต
(ปลด กิตฺติโสภโณ ป.ธ.9)
อดีตเณรนาคหลวงองค์แรกในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อตอนแปลบาลี ป.ธ.9
ได้ในสนามหลวงต่อหน้าพระพักตร์นั้น ว่ากันว่า
สมเด็จพระปิยมหาราชทรงดีพระทัยเหมือนได้ช้างเผือก ถึงกับเสด็จลุกไปอุ้มสามเณรปลดยกขึ้นเลยทีเดียว
และต่อมาจากสามเณรปลด ก็อุปสมบทเป็นพระมหาปลด เป็นเจ้าคุณปลด
จนเป็นสมเด็จพระสังฆราชปลด
พระสงฆ์วัดเบญจรุ่นหลังถ้าไม่ได้สืบสายสาแหรกคือบวชกับสมเด็จพระสังฆราชปลดแล้ว
ก็จะไม่ได้รับการยอมรับ เรื่องนี้เกิดขึ้นชัดเจนที่สุดในตอนที่พระพรหมจริยาจารย์มรณภาพ
แล้วพระธรรมวโรดม
(บุญมา คุณสมฺปนฺโน ป.ธ.9)
ได้เป็นรักษาการแทนในตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเบญจ ตอนนั้นมีการกล่าวกันว่า
"เจ้าคุณบุญมาบวชมาจากวัดปากน้ำ มาเรียนหนังสือที่วัดเบญจแล้วไม่กลับ
ไม่ได้บวชที่วัดเบญจ จึงไม่ใช่ชาววัดเบญจ ไม่สมควรเป็นเจ้าอาวาสวัดเบญจ
ฯลฯ" จริงหรือไม่
เขาให้ไปถาม
"หลวงตาทอง"
หรือพระธรรมกิตติเวที
ซึ่งดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรรูปปัจจุบัน
แต่ดูเหมือนจะเป็นจริง
ขณะกำลังบำเพ็ญกุศลศพพระพรหมจริยาจารย์อยู่นั้น จู่ๆ ในเช้าวันที่
26
มกราคม พ.ศ.2550 พระธรรมวโรดมก็เกิดหน้ามืดมรณภาพไปอย่างกะทันหัน
นับจากวันที่พระพรหมจริยาจารย์เดินทางไปก่อนท่านในวันที่
24 ธันวาคม
พ.ศ.2549 ก็เป็นเวลาแค่หนึ่งเดือนเอง หรือคำกล่าวที่ว่า
"ถ้าไม่ได้บวชวัดเบญจแล้ว
ก็จะไม่มีบุญเป็นเจ้าอาวาสวัดเบญจะ"
จะเป็นจริง ?
จากความสูญเสียมหาศาลถึงสองครั้งซ้อนเช่นนี้
วัดเบญจก็หมดผู้สืบทอดอำนาจในระดับล่าง เพราะทิ้งช่วงห่างกันเกินไป
พระราชกิตติโสภณ
หรือพระมหาฉ่ำ
ปุญฺญชโย ป.ธ.9
ชาวเชียงรายก็ยังเด็กเกินไป บารมียังไม่ถึง ประเดี๋ยวจะเป็น
"จาตุรนต์" ฉายไฟ เอ๊ย
!
ฉายแสง
คนที่สองอีก จากหัวหน้าพรรคก็จะกลายเป็นหัวหน้าแก๊งค์ มันทะแม่งๆ ชอบกล
ครั้นจะให้พระเทพกิตติโสภณ
วัดวชิรธรรมปทีป ที่นิวยอร์ค
กลับไปเป็นเจ้าอาวาสวัดเบญจฯ ก็มีปัญหา
เพราะว่าติดตำแหน่งประธานสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกาอยู่อีก 1 ปี
แถมโบสถ์ทรงวัดเบญจฯราคา 3 ล้านกว่าเหรียญ ก็ยังสร้างไม่เสร็จ
หรือถ้าจะนิมนต์พระธรรมราชานุวัตร
วัดพระแก้ว
เชียงรายกลับมาครองวัดเบญจฯ ก็ต้องสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งกันวายวุ่น
พระเถระทั้งสองรูปนี้บวชกับสมเด็จพระสังฆราชปลด
ถือเป็นศิษย์เก่าวัดเบญจฯระดับคีย์แมนของสำนักนี้ทีเดียว ที่สำคัญก็คือ ภายในวัดยังมีพระธรรมกิตติเวทีทำทีท่าว่าเป็นเจ้าของเหมือนจระเข้ขวางคลองแสนแสบอยู่
สุดท้ายชาววัดเบญจฯจึงจำใจต้องยกเอาหลวงปู่พระธรรมกิตติเวที
(ทอง สุวณฺณสาโร ป.ธ.6) อายุ 88 ปี
แก่หงำหงือก
ขึ้นนั่งหลับ เอ๊ย
ขัดตาทัพ บนเก้าอี้เจ้าอาวาสไปพลางก่อน เพื่อรอเด็กรุ่นหลังมันโตทันมารับตำแหน่งแทน
ส่วนตำแหน่งอื่นๆ นั้น
นับตั้งแต่กรรมการมหาเถรสมาคมไปจนถึงเจ้าคณะใหญ่หนใต้
ก็แยกย้ายไปประดับบารมีผู้มีอำนาจวาสนาท่านอื่นๆ เป็นโลกธรรม
ตามสัจธรรมธรรมข้อที่ว่า
"สมบัติผลัดกันชม"
ดังนั้น
จะเป็นการปลอบใจวัดเบญจหรือไม่ก็ไม่ทราบ จึงมีการเลื่อนสมณศักดิ์พระธรรมกิตติเวที
เจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตร ขึ้นเป็น
"พระพุทธวรญาณ"
ชั้นรองสมเด็จพระราชาคณะ ดังทราบแล้ว
นอกจากนั้นก็มี
วัดสุทัศนเทพวราราม เสาชิงช้า ของพระวิสุทธาธิบดี
เจ้าคณะภาค 4
ได้ชั้นเทพ 1 รูป
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือวัดโพธิ์ท่าเตียน ของพระธรรมปัญญาบดี
วัดนี้ในอดีตนั้นยิ่งใหญ่เทียบชั้นวัดมหาธาตุฯ เลยเชียว สมัยรัชกาลที่ 3-4
เคยเป็นวัดที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส
ครองกฐิน
อันเป็นการริเริ่มธรรมเนียม
"ผู้ครองไม่ต้องท่องอุปโลกน์"
ขึ้นมา
จนมาถึงยุค
"14 ตุลา 2516 มหาวิปโยค"
สมเด็จพระวันรัต (ปุ่น)
หรือสมเด็จป๋า ชาวสุพรรณ หลานหลวงพ่อสด
เจ้าอาวาสวัดนี้ได้ดีเป็นสมเด็จพระสังฆราช
ช่วงนั้นเลขาของพระองค์ คือ
พระเทพโสภณ หรือ หลวงเตี่ย
เรืองอำนาจเหมือนพระอาทิตย์ในเดือนเมษา เคยมีปัญหาพิพาทกับพระมหาสิงห์ทน
คำซาว
ชาวเชียงใหม่ คลับคล้ายคลับคลาว่ามีรายการแจกกำปั้นกันอย่างนั้นแหละ บู๊ไม่เบานะพระวัดโพธิ์นี่
สงสัยติดนิสัยไปจากยักษ์หน้าโบสถ์
เรื่องนี้คนยุคเก่าเขาเล่ากันให้แซ่บ
!
ผู้เขียนเป็นคนยุคใหม่ ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรลึกซึ้งหรอก
ใครอยากรู้มากกว่านี้ก็ขอให้
"สืบเอาเอง"
จ้างให้ก็ไม่เขียน
แต่สมัยปัจจุบันนั้น สมภารวัดโพธิ์ซึ่งเคยโตระดับ
"ครูใหญ่"
ก็ไร้รัศมี ต้องลดดีกรีเป็นแค่
"ภารโรง"
คือจากสมเด็จพระสังฆราชครองอำนาจทั่วสังฆมณฑล จะเอาอะไรก็ได้ดังใจนึก
ก็เหลือเพียงตำแหน่ง
"ที่ปรึกษาเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร"
อ่อนกว่าวัดมหาธาตุไปอีก 50 ดีกรี
ปีนี้แย่งพัดชั้นราชมาได้ 1
ด้าม
ถือว่าฟลุ๊คสุดๆ แล้ว ก็เอาเถอะนะอย่าน้อยใจไปเลย สมบัติผลัดกันชม
บางทีคนที่เคยชมแล้วอาจจะเบื่อๆ อยากๆ ก็เป็นได้ใครจะรู้
วัดพิชยญาติการาม
ของพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1
ได้ชั้นสามัญไป 1 รูป
วัดยานนาวา ของพระพรหมวชิรญาณ ได้ชั้นสามัญไป 1 รูป
วัดไตรมิตรวิทยาราม ของพระพรหมเวที สายตรงสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ
ได้ชั้นสามัญไป 1 รูป
วัดกัลยาณมิตร ฝั่งธน ของพระธรรมเจดีย์
ศิษย์เอกสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม เอาชั้นสามัญไป 1 รูป
อ่านไปอ่านมา ก็สะดุดตาก็ลงตรงชื่อ
วัดราชโอรสาราม
ของท่านราชบัณฑิต
พระธรรมกิตติวงศ์
พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.9) นั้น
สมัยก่อน พ.ศ.2535 ท่านเป็นพระที่มาแรงที่สุดในสังฆมณฑล
รอมร่อจะขึ้นเป็นสมเด็จก่อนใครเพื่อน แต่ไปทำอีท่าไหนไม่รู้
ถูกบัญชาสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ปลดออกจากตำแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคม
แถมถูกริบตำแหน่งเจ้าคณะภาค 16
มาจนบัดนี้
มีเพียงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดราชโอรสารามเท่านั้นที่ยังมั่นคง
บวกกับตำแหน่ง
"ราชบัณฑิต"
ที่ติดชื่อเสียงพอเป็นที่ยอมรับได้บ้างในทางสังคม นอกเหนือไปจากตำแหน่ง
"สังฆราชแห่งธรรมกาย"
ที่หลายคนตั้งให้จากพฤติกรรมไปทำศาสนกิจที่คลองสามบ่อย
เคยมีข่าวว่า
"ท่านจะ..ได้รับเลื่อน.." เมื่อหลายปีก่อน
ตอนคุณทักษิณยังเป็นนายก แต่ก็เงียบหายไป มาครั้งนี้
แม้จะมีชั้นรองสมเด็จว่างถึง 2
เก้าอี้ ก็ยังไม่มีชื่อ
"พระธรรมกิตติวงศ์"
เช่นเคย
เรียกเป็นภาษาอีสานว่า
"มิดจี่หลี่"
สงสัยพระราหูจะอยู่นาน เมื่อเกิดปัญหาว่าด้วยบัญชีสมณศักดิ์กรณีพิเศษในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานั้น
มีเสียงเถียงพูดกันในที่ประชุมกรรมการมหาเถรสมาคมว่า
"พระเถรานุเถระที่ได้รับการเลื่อนและตั้งสมณศักดิ์ในวาระพิเศษ
อาทิ กรณีพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ครบ 6 รอบ 72 พรรษา
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ วันที่ 12 สิงหาคม 2547
หรือกรณีพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัติ ครบ 60 ปี เมื่อปี
2549 จะไม่ถูกนับรวมระยะเวลาในการดำรงสมณศักดิ์ในชั้นนั้นๆ
ในวาระปกติและไม่นับจำนวนปีที่ได้
ถือเป็นสมณศักดิ์เฉพาะที่ผู้มีบทบาททางการเมืองร่วมกับผู้มีบทบาททางฝ่ายสงฆ์จัดทำขึ้น
โดยไม่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการพระสงฆ์ฝ่ายธรรมยุตและมหานิกาย
หรือไม่ได้ผ่านมหาเถรสมาคมนั่นเอง..."
งานนี้จะเป็นหลักการหรือวิธีการก็ไม่รู้
รู้แต่ว่าพระเถระที่ได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์ตามบัญชีพิเศษ ในวันสมัยรัฐบาลนายอานันท์
ปันยารชุน ในปี
พ.ศ.2535 นั้น หนึ่งในนั้นคือ
พระเทพปริยัติโมลี
(ทองดี สุรเตโช ป.ธ.9) วัดราชโอรสาราม ได้รับเลื่อนขึ้นเป็น
พระธรรมกิตติวงศ์
ในหนังสือปกแดง "สมณศักดิ์
บัลลังก์แห่งอำนาจ"
ซึ่งออกมาวิจารณ์โผสมณศักดิ์ในปี
พ.ศ.2548 นั้น ผู้เขียนซึ่งใช้นามแฝงว่า
"สังฆทัศน์"
ได้เรียบเรียงประวัติและจัดอันดับอาวุโสพระราชาคณะในชั้นธรรมทั้งหมด
ปรากฏว่า
พระธรรมกิตติวงศ์มีอาวุโสเป็นอันดับที่ 1 ดังในตาราง



แต่อันดับ
9-10-12-13-14-15
เขาได้เป็นชั้นรองสมเด็จกันไปหมดแล้ว แซงพระธรรมกิตติวงศ์ไปแบบว่า
"ข้ามรุ่น"
ทั้งๆ ที่อายุพรรษาของพระธรรมกิตติวงศ์ก็ยังหนุ่มแน่น ยังทำงานได้อีกเยอะ
พ.ศ.2550 พระธรรมกิตติวงศ์มีอายุ
61 ปี เท่านั้น
หนังสือปกแดงดังกล่าว ที่ออกมาถล่มเจ้าคุณเสนาะอย่างเจาะจง
แถมยังเป็นการยกพระธรรมกิตติวงศ์ขึ้นในครั้งนั้น เจตนาสำคัญเป็นอย่างไร
จะเชิดชูหรือฝังพระธรรมกิตติวงศ์ไว้ที่เก่าก็ไม่รู้
รู้แต่ว่าไม่เป็นผลดีต่อพระธรรมกิตติวงศ์เลยไม่ว่าประการใดๆ
ในบัญชีพิเศษที่รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ ขอให้มหาเถรสมาคมรับรองเมื่อวันที่ 13
พฤษภาคม 2550 ที่ผ่านมา แม้ว่าจะไม่มีใครเห็นชื่อ
"พระธรรมกิตติวงศ์"
ติดบัญชีนั้นในชั้น
"รองสมเด็จ"
แต่ตามข้อความที่ถกเถียงกันในที่ประชุมมหาเถรสมาคม อ้างว่า
"พระที่ได้รับเลื่อนสมณศักดิ์เป็นกรณีพิเศษ
เช่น 12 สิงหา วันแม่แห่งชาติ เป็นต้น จะนับอาวุโสเพื่อขอเลื่อนไม่ได้"
ยังงี้มันก็ส่อไปว่า
"มีรายชื่อพระที่ได้รับเลื่อนเป็นกรณีพิเศษเสนอผ่านรัฐบาลเข้ามาให้มหาเถรสมาคมได้รับรองด้วย"
หลักการที่ว่านี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน เพิ่งจะมาได้ยินก็คราวนี้แหละ
และไม่ทราบเหมือนกันว่า กรรมการมหาเถรสมาคมรูปไหนเป็นผู้พูด
และพูดเพื่อกีดกันใคร ???
สาวให้ลึกลงไปอีก พระเถระที่ได้รับเลื่อนเป็นกรณีพิเศษ เช่น
วันแม่แห่งชาติ
ที่อยู่ในระดับสูงควรแก่การทักท้วงในที่ประชุมมหาเถรสมาคมนั้นมีใครบ้าง
ถ้าไม่ยกเว้น
"พระธรรมกิตติวงศ์"
องค์นี้เสีย ไม่รู้สินะว่า จะเพราะชื่อของพระธรรมกิตติวงศ์หรือเปล่า
ที่ทำให้โผสมณศักดิ์วันที่ 13 พฤษภาคม 2550 เป็นหมัน ถูกตีตกไปทั้งบัญชี
โดยไม่รีรอลงอาญา ??
แต่มาในโผ 5
ธันวา 2550 ครั้งนี้ มีชื่อพระราชาคณะในวัดราชโอรสารามได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์ด้วย
คือ พระเมธีวรญาณ
เป็นพระราชปฎิภาณโสภณ
ผู้คนเขางุนงงว่า
เอ..คณะสงฆ์ไทยนี่ก็แปลกนะ
เจ้าอาวาสไม่ให้ แต่กลับให้พระลูกวัด แต่ก็เอาเถอะ เขาให้ดีกว่าไม่ให้
อันนี้ผู้เขียนก็วิจารณ์ไปตามเนื้อผ้า โดยไม่ได้มีอคติต่อผู้ใด
เพราะไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับใครเลย
ปีนี้มีพระเกจิอาจารย์ได้เป็นเจ้าคุณกันหลายรูป ได้แก่
1. พระครูสุภัทรศีลคุณ
หรือหลวงปู่ครูบาดวงดี
วัดท่าจำปี อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ ได้เป็นเจ้าคุณพระมงคลวิสุต
2.
พระอธิการเครื่อง หรือหลวงปู่เครื่อง
วัดสระกำแพงใหญ่
อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีษะเกษ เป็นเจ้าคุณพระมงคลวุฒ
ดูเหมือนว่าทางมหาเถรสมาคมจะจับทางถูก
พระเกจิอาจารย์เมื่อจะยกขึ้นเป็นพระราชาคณะก็กำหนดให้ขึ้นต้นราชทินนามด้วยคำว่า
"มงคล" เหมือนๆ กับพระราชาคณะเปรียญ 9 ที่ขึ้นต้นด้วย "พระศรี"
หรือพระราชาคณะในต่างประเทศที่นิยมขึ้นต้นด้วยหรือลงท้ายด้วยคำว่า
"วิเทศ" อันแปลว่า ต่างประเทศ นั่นแล
ที่สำคัญก็คือ
พระราชธรรมสุธี
เจ้าอาวาสวัดพระมหาธาตุ จังหวัดนครศรีธรรมราช
ซึ่งท่านเป็นเจ้าของโบสถ์ที่ใช้ปลุกเสกจตุคามรามเทพเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย
ใครไม่เอาไปปลุกเสกที่วัดนี้มีหวังอยู่กับก๋ง
กับผลงานการสร้างจตุคาม
"ปีเดียว 1,000 รุ่น"
หมุนเงินให้ประเทศไทยกว่า
50,000 ล้าน
!
ส่งผลให้พระราชธรรมสุธีมีผลงานดีเด่นถูกใจกรรมการมหาเถรสมาคม จึงได้เลื่อนสมณศักดิ์ให้ท่านเป็น
พระเทพวินยาภรณ์
อย่างทันอกทันใจ ในวันที่ 5 ธันวาคม ศกนี้ ที่วัดพระมหาธาตุ นครศรีธรรมราช
คาดว่าจะมีจตุคามรามเทพรุ่นพระเทพวินยาภรณ์แจกเป็นกรณีพิเศษ
ดูสิ คุยเรื่อง
"สมณศักดิ์"
อยู่ดีๆ ก็มาเจอ
"จตุคามรามเทพ"
จนได้
!
อย่างไรก็ตาม การได้รับยศถาบรรดาศักดิ์นั้น แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ดีงาม
เป็นการแสดงออกซึ่งเกียรติคุณของผู้ได้รับ
แต่อำนาจวาสนานั้นเป็นเหมือนยาเสพติด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จึงทรงเตือนสติไว้ว่า
"ยโส ลทฺธา น มชฺเชยฺย
แปลเป็นไทยว่า ได้เป็นเจ้าคุณแล้ว อย่าบ้า"
เพราะถ้าใครบ้าอำนาจวาสนา ก็จะถูกตราหน้าว่า
"ไอ้บ้า !."
ดังพรรณนามาฉะนี้
และนี่คือ
สมณศักดิ์ 50
ในมุมมองของพระมหานรินทร์
|