84 ปี หลวงพ่อคูณ

 

นายสุธี มากบุญ ผวจ.นครราชสีมา อัญเชิญน้ำสรงและผ้าไตรพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถวายแด่ พระเทพวิทยาคม หรือหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ อ.ด่านขุนทด เนื่องในวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 84 ปี ในวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ.2550

 

 

      วันนี้นับว่าเป็นวันสำคัญวันหนึ่งของคนไทย ถือว่าเป็นวันพิเศษสำหรับประเทศไทย เพราะเป็นวันคล้ายวันเกิด ปีที่ 84 ของพระเทพญาณวิทยาคม พูดอย่างนี้คนคงไม่รู้จัก ต้องบอกว่า "หลวงพ่อคูณ" เป็นร้องอ๋อกันทั้งบ้านทั้งเมือง พูดได้เต็มปากเต็มคำว่า ไม่มีคนไทยคนไหนไม่รู้จักหลวงพ่อคูณ ที่เป็นเช่นนั้นจะเพราะท่านเป็นดาราละครทีวีก็หามิได้ หากแต่ว่าเกียรติคุณที่มากมายนั่นสิ ที่ทำให้คนไทยรู้จักท่านกันทั่วหน้า

      หลวงพ่อคูณนั้นท่านเป็นชาวโคราชบ้านเอ็ง คำว่า "บ้านเอ็ง" นี้เป็นสร้อยที่คนทั่วไปมักพูดติดปาก เมื่อพูดถึงคนจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเมืองนี้มีชื่อเล่นว่า โคราช คำว่า "เอ็ง" นี้ ที่เชียงใหม่ผู้เขียนก็ได้ยินคนเฒ่าคนแก่นิยมพูดเช่นกัน โดยใช้ในความหมายเป็น "ปฐมบุรุษ" คือแสดงถึงตัวผู้พูด คำว่า "เอ็ง" ในถิ่นแถบเมืองเหนือไปจนอีสานนั้น เป็นคำพูดแสดงตัวเองของเจ้าของ "เอ็ง" จึงเท่ากับ "ข้าพเจ้า" บ้านเอ็งก็คือ "บ้านเรา" นั่นเอง แต่ถ้าไปพูดให้คนไทยกรุงเทพฯฟังแล้ว เขาก็จะตีความหมายเป็น "บ้านคุณ" ไปทันที นี่แหละความแตกต่างถิ่นฐานและความหมายในภาษาไทย

     ยี่สิบกว่าปีแล้วมั๊ง ที่โรงงานแห่งหนึ่งถูกไฟไหม้ และอีกแห่งหนึ่งนั้นถล่มลง มีคนตายมากมายก่ายกอง เหลือผู้รอดชีวิตเพียงน้อยนิด คนที่รอดตายหลายคน เมื่อถูกถามว่า รอดตายเพราะอะไร ? ก็ตอบว่า "เพราะห้อยเหรียญหลวงพ่อคูณ" ว่าพลางก็เอาเหรียญมีรูปพระภิกษุรูปหนึ่งออกมาอวด เป็นเหรียญแปลกประหลาด เพราะรูปพระที่ปรากฏบนเหรียญนั้น อยู่ในท่านั่งกระโหย่ง แถมในมือของท่านยังมีบุหรี่มวนกลมโตอีกหนึ่งมวนด้วย นับจากนั้นชื่อเสียงเรียงนามของพระรูปนั้นก็ดังกระหึ่ม วัดบ้านไร่ อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งถูกระบุว่า "เป็นวัดที่หลวงพ่อคูณจำพรรษา" ล้วนคราคร่ำไปด้วยผู้คนทุกเพศทุกวัย ต่างก็มุ่งหน้าไปหาหลวงพ่อคูณเพื่อ "ขอของดี" ไว้คุ้มกันภัย

      "เมื่อมหาชนปรารถนา พระท่านก็สนอง" ด้วยกลัวว่าญาติโยมที่สู้อุตส่าห์ดั้นด้นเดินทางมาไกลแสนไกล เพื่อขอพบและขอของดีจะพลาดหวัง หลวงพ่อคูณจึงจัดสร้างวัตถุมงคลในรูปแบบอันหลากหลาย เพื่อให้ประชาชนได้บูชาตามต้องการ โดยท่านเน้นหนักว่า "วัตถุมงคลนั้นต้องไม่สร้างด้วยวัสดุราคาแพง เพราะพี่น้องประชาชนเขายากจน" เหรียญของหลวงพ่อคุณที่ให้บูชาจากวัดจึงอยู่ที่ 10 บาท 20 บาท ใครไม่มีเงินบูชาแล้วออกปากขอ หลวงพ่อคูณท่านก็เมตตา "แจกให้ฟรีๆ"

     ส่วนเงินทองที่ได้จากการบริจาคของญาติโยมนั้น หลวงพ่อคุณท่านมิได้นำไปสร้างกุฏิ 10 ชั้น 20 ชั้นไว้นอนเล่นเพื่อเสวยสุขคนเดียว แต่ท่านได้นำไปแจกจ่ายมอบหมายให้วัดวาอารามต่างๆ ได้นำไปบูรณะวัดวาอารามเพื่อสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา นอกจากนั้นท่านก็บริจาคให้แก่โรงพยาบาลและสร้างสาธารณะกุศล โดยไม่เลือกว่าผู้ที่มาขอนั้นจะเป็นใครมาจากไหน ขอเพียงให้มาถึงวัดบ้านไร่แล้วไม่มีคำว่า "ผิดหวัง"

    หลวงพ่อคูณท่านปรารภว่า "เมื่อเกิดมานั้น ตัวท่านเองก็ยากจน ถึงกับต้องอาศัยร่มผ้ากาสาวพัสตร์ ชีวิตจึงรอดตาย พ้นปากเหยี่ยวปากกามาจนบัดนี้ แม้กระนั้นก็ยังไม่มีการศึกษาดีในระดับที่ว่าพอใจ" หลวงพ่อคูณยอมรับว่า "ตัวท่านมีความรู้น้อย เพราะโอกาสมันน้อย" ครั้นมีโอกาส คือมีเงินมีทองขึ้นมา ตัวท่านก็ย่างเข้าสู่วัยชรา เหมือนไม้ยาวเกินไป ยากที่จะใช้สอยมะม่วงได้ คิดถึงจุดนี้ ท่านเกิดความเมตตาต่อลูกหลานญาติโยมที่สู้อุตส่าห์ใส่บาตรเลี้ยงท่าน จึงได้สละปัจจัยเป็นจำนวนมหาศาล บริจาคสร้างโรงเรียน และมอบทุนการศึกษา เหมือนประชาชนภาคเหนือได้สนับสนุนการสร้างบารมีของ "ครูบาเจ้าศรีวิไชย" เมื่อสมัย 80 ปีที่ผ่านมา อาจจะเป็นเพราะว่า เมื่อประมาณ พ.ศ.2512 หลวงพ่อคูณได้ออกธุดงค์ขึ้นไปในภาคเหนือ ถึงจังหวัดเชียงใหม่ ท่านได้ปักใจจำพรรษา ณ วัดพ้นอ้น ในตัวเมืองเชียงใหม่ ชีวประวัติของครูบาเจ้าศรีวิไชย นักบุญแห่งล้านนาไทย ท่านย่อมได้ทราบ และอาจจะกลายเป็นอุดมคติในใจของท่านเมื่อกลับคืนสู่วัดบ้านไร่ อันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนในสมัยต่อมา...

       เงินทองที่ญาติโยมนำไปถวายแก่หลวงพ่อคูณที่วัดบ้านไร่นั้น จึงปรากฏว่า หลวงพ่อคูณมิได้เก็บไว้ที่วัดบ้านไร่ แต่ท่านนำออกมาแจกจ่ายให้แก่วัดวาอาราม โรงร่ำโรงเรียน โรงพยาบาล ทั่วประเทศ แม้กระทั่งหน่วยงานของราชการ ท่านก็ "ให้" โดยไม่มีข้อยกเว้น เมื่อเป็นเช่นนี้ น่าที่เงินเหล่านั้นจะหดหายไปเหมือนน้ำป่าหลากมาแล้วก็ไป แต่น่าทึ่งใจว่า เมื่อประชาชนทราบว่า "หลวงพ่อคูณท่านไม่สะสมเงินทอง แต่ท่านนำออกบริจาค" จึงได้กลับไปวัดบ้านไร่รอบแล้วรอบเล่า เพื่อถวายปัจจัยให้แก่หลวงพ่อคูณได้นำไปใช้ในกิจการการกุศลเหล่านั้น นับจำนวนแล้วหลายร้อยล้าน หรืออาจะถึงพันล้าน ยิ่งให้ก็ยิ่งได้ !

 

      ดินแดนแถบอำเภอด่านขุนทดนั้น ถ้าได้ไปเห็นแล้วก็น่ารันทดใจเหมือนชื่อเรียก ชาวไทยถิ่นนั้นยากจนค่นแค้นแสนสาหัส เนื่องเพราะเกิดมีเกลือสินเธาว์ผุดขึ้นนับเป็นหมื่นเป็นแสนไร่ น้ำที่ใช้ทำนาจึงกลายเป็นน้ำกร่อย ปลูกอะไรก็ไม่ขึ้น คนหนุ่มคนสาวจำใจต้องทิ้งไร่ทิ้งนาและบ้านเรือน กราบพ่อลาแม่ขอไปแสวงโชคหางานทำในเมืองกรุง ทิ้งบ้านไร่ปลายนาให้เหลือแต่คนเฒ่าคนแก่เฝ้าบ้าน นี่เป็นเรื่องจริงที่ผู้เขียนไปได้สัมผัสมา

     น้ำที่ใช้อาบใช้กินนั้น อย่านับแต่ในท้องไร่ท้องนาเลย แม้แต่ในห้องน้ำวัดบ้านไร่ของหลวงพ่อคูณเองก็ตาม เป็นน้ำขุ่นข้น คนต่างถิ่นเมื่อเห็นก็แทบไม่กล้าใช้ เมื่อพ่อแม่พี่น้องต้องระกำลำบากเช่นนี้ หลวงพ่อคูณท่านจึงได้ตั้งโครงการน้ำประปาเพื่อชาวบ้าน ให้มีน้ำกินน้ำดื่มน้ำอาบได้พอสมควรแก่อัตภาพ ความทราบถึงองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงเสด็จวัดบ้านไร่ เพื่อนมัสการหลวงพ่อคูณพร้อมทั้งทรงนำเอาโครงการหลวงไปเสริมโครงการหลวงพ่อคูณ !

    หลวงพ่อคูณจึงแทบจะเป็นหนึ่งในพระเพียงไม่กี่รูปในเมืองไทย ที่ในหลวงทรงทราบถึงเกียรติคุณ ทรงพระกรุณาเสด็จไปนมัสการถึงในกุฏิที่อยู่ ต่างกันกับพระอีกมากมายหลายหมื่นรูป ที่ตะเกียกตะกายหาทางเข้าวังเพื่อจะได้เฝ้าพระเจ้าอยู่หัว แม้แต่พระส่วนใหญ่ในอเมริกานี่ก็เถอะ บางรายนั้นหน้าด้านถึงกับติดสินบนเจ้าหน้าที่เพื่อขอให้มีชื่อติดในกิจนิมนต์ของสำนักพระราชวัง !

ใครยิ่งใหญ่ ใครกระจอก มองออกก็ตรงนี้ !

 

     หลวงพ่อคูณนั้นมีเงินมากกว่าพระรูปไหนในเมืองไทย แต่ท่านกลับไม่มีรถเบนซ์ประจำตัวเหมือนเจ้าคุณหลายรูป ถ้ามีกิจนิมนต์ ญาติโยมเขาเอารถอะไรมารับ ท่านก็ขึ้นรถคันนั้นไป แม้กระทั่งนั่งซ้อนมอเตอร์ไซด์ท่านก็ไม่เกี่ยง แต่ก็แปลกว่ามหาเศรษฐีคนมีเงินทั้งหลาย น่าจะเอารถไปถวายให้เจ้าคุณในกรุงเทพฯไว้ใช้ กลับขับรถมุ่งหน้าไปวัดบ้านไร่ เพื่อขอถวายให้หลวงพ่อคูณใช้ หรืออย่างน้อยก็ขอให้ท่านขึ้นนั่ง "เพื่อความเป็นสิริมงคล" จนกระทั่งว่า เมื่อมีกิจนิมนต์รัดตัวเข้า ผู้คนกลัวหลวงพ่อจะไปไม่ทันงาน เพราะวันๆ มีคนจองตัวท่านไปออกงานซ้อนกันนับสิบๆ งาน ยิ่งกว่าคิวเสกจตุคามรามเทพในเวลาขาขึ้น ด้วยเหตุนั้น กลุ่มลูกศิษย์จึงคิดให้หลวงพ่อคูณ "เหาะ" ไปให้ทันงาน การเหาะของหลวงพ่อคูณจึงเริ่มขึ้น โดยกลุ่มลูกศิษย์ได้ติดต่อขอ "เช่าเฮลิคอปเตอร์" ไว้เป็นพาหนะถวายหลวงพ่อคูณ "เหาะ" หลวงพ่อคูณจึงเป็นพระไทยเพียงรูปเดียวที่มีเฮลิคอปเตอร์ประจำตัว แต่ไม่ใช่ของตัวท่าน และไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่ท่านได้มา "โดยประชาชน เพื่อประชาชน" บริสุทธิ์หมดจดงดงามยิ่งกว่าประชาธิปไตยที่ใช้รัฐธรรมนูญเป็นกติกา หลวงพ่อคูณได้มาโดย "ธรรมาธิปไตย" ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า !

     หลวงพ่อคูณไปกิจนิมนต์ที่ไหน นอกจากจะ "ไม่เคยเอา" แล้ว แถมยังควักตังค์ถวายให้แก่วัดนั้นๆ วัดละ 10,000 บาท เป็นอย่างน้อย ต่างกันกับพระทั่วไป ที่จ้องแย่งคิวกันไปกิจนิมนต์บ้านเศรษฐีมีเงิน เพื่อจะได้เงินที่เขาถวายกลับมาใช้มากๆ เมื่อท่านไปเสกวัตถุมงคลของวัดหรือสถานที่ราชการทุกแห่งนั้น ได้แสนได้ล้านหรือสิบล้านร้อยล้าน ท่านมิเคยขอส่วนแบ่ง ถึงเอามาให้ก็ไม่รับ ! วัตถุมงคลของหลวงพ่อคูณที่วัดต่างๆ มาขอสร้างเพื่อสร้างวัดนั้น ท่านเมตตา "อนุญาต" ให้สร้างหมด ! จนยอดพระเครื่องของหลวงพ่อคูณพุ่งขึ้นไปถึง 1,000 กว่ารุ่น ภายหลังนั้น เมื่อของชักจะมากเข้า แต่ผู้คนยังมุ่งมาขอหลวงพ่อจัดสร้าง ท่านจึงเมตตาบอกว่า "อย่าทำเลยไอ้นายเอ๊ย มันขายบ่ออกดอก ของกูก็แทบจะล้นกุฏิอยู่แล้ว เห็นไหม มึงอยากได้พระก็เอาไปโลด หรือถ้าจะสร้าง มึงขอเงินกูไปเลยจะดีกว่า กูไม่อยากให้มึงขาดทุน" นั่นคือความรู้ทันกระแสของหลวงพ่อคูณ หลวงพ่อคูณ "ไม่เคย" มอมเมาประชาชน ไม่ว่าในตลาดหุ้นหรือตลาดพระ ! ห้อยพระของหลวงพ่อคูณจึงไม่มีคำว่า "หลง" หรือ "งมงาย" มีแต่สว่างทางปัญญา เพราะท่านสร้างด้วยศรัทธาและปัญญา คู่กัน !!! ส่วนรุ่นไหนที่โฆษณาว่า "รุ่นรวยวันรวยคืน" นั้น ฟังเอาเองก็แล้วกัน ว่าของจริงหรือของปลอม

 

     พ.ศ.2539 ผู้เขียนเคยติดตามหลวงพ่อพระพิพัฒน์ปริยัติวิมล เจ้าอาวาสวัดบางนาใน ไปกราบนมัสการหลวงพ่อคูณที่วัดบ้านไร่ ท่านนิมนต์หลวงพ่อเจ้าอาวาสเข้าไปพบที่ในห้องนอน ผู้เขียนก็ได้รับเมตตาจากท่านให้เข้าไปได้ เมื่อใช้สายตาสำรวจดูห้องนอนของ "พระรวยที่สุดในเมืองไทย" ดูว่าจะโอ่อ่าโอ่โถงเหมือนกุฏิของท่านเจ้าคุณรองสมเด็จฯในกรุงเทพฯไหม แต่ต้องผิดหวังอย่างแรง ห้องนอนของหลวงพ่อคูณนั้นแคบพอๆ กับห้องเณรน้อย มีเพียงเตียงไม้ตั้งอยู่ตัวเดียว บนเตียงก็เห็นเพียง 1.มุ้งไว้กันยุงกัด 2.เสื่อลำแพนปูนอน 3.หมอนหนึ่งใบไว้หนุนหัว แค่เนียะ !

      มีแค่นี้เอง ! ห้องนอนพระอภิมหาเศรษฐีที่มีเงินทำบุญสุนทานไปทั่วบ้านทั่วเมือง นึกว่าจะกินดีอยู่ดีกว่าเรา ดูแล้วกระจอกมาก มีที่สะดุดตาอีกอย่างหนึ่งก็คือ "กระโถนฉี่" ตั้งอยู่ที่ปลายเตียง ซึ่งเวลาปวดฉี่ ถ้าไม่มีสิ่งนี้ กว่าหลวงพ่อจะเดินฝ่าฝูงชนที่นั่ง-นอน รอหลวงพ่ออยู่ที่ห้องโถงใหญ่ด้านนอกไปจนถึงห้องน้ำได้นั้น คงใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ ลูกศิษย์จึงได้นำเอากระโถนใบนั้นมาตั้งถวายให้หลวงพ่อภายในห้องนอน

     กระโถนใบนี้แหละ หลายวันทีเดียวที่หลวงพ่อท่านฉี่แล้วไม่มีใครเอาไปทิ้ง จะว่าท่านขี้เกียจหรือไม่มีลูกศิษย์ดูแลก็หาไม่ หากแต่ว่าเวลาท่านฉี่เสร็จทีไร ยังไม่ทันได้ขึ้นนอนบนเตียง พวกลูกศิษย์ก้นกุฏิก็กรูกันเข้าไปแย่งกระโถนฉี่ของหลวงพ่อ เบียดเสียดแย่งฉี่ของหลวงพ่อ ไปดื่ม ! โดยเชื่อว่า "เป็นของดี" ทั้งๆ ที่มันเป็นของเสีย วุ่นวายถึงขนาดหลวงพ่อต้องห้ามปราม แต่รั้งยังไงก็เอาไม่อยู่ !

     พูดถึงเรื่องกินฉี่แล้ว ยังจำความได้ สมัยเด็กนั้น ถ้าพี่รังแกน้องโดยการ "เขกหัวน้อง" เป็นต้องถูกแม่ดุ ด้วยอ้างว่า "ห้ามเขกหัวน้อง เพราะจะทำให้น้องฉี่รดที่นอน" ทางเชียงใหม่บ้านผู้เขียนนั้น ถ้าใครตกต้นไม้เป็นต้องได้กินฉี่ เพราะฉี่มีสรรพคุณแก้จุกเสียดได้ชะงัด ดังนั้น ถ้าไม่อยากกินฉี่ก็อย่าขึ้นสูง จำไว้ นี่เล่าไว้กันลืม ทีนี้ เมื่อผู้คนรู้ว่าฉี่ของหลวงพ่อคูณนั้นศักดิ์สิทธิ์ จึงแย่งกันได้สิทธิ์ "กินฉี่" ของหลวงพ่อ หลวงพ่อเห็นว่าเหลวไหลจึงไม่ยอมฉี่ให้ใครกินอีก

     หลวงพ่อคูณท่านบำเพ็ญตัวเป็น "แมลงผึ้ง" มิใช่ทำตัวเป็น "แมลงวัน" ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสเปรียบไว้ว่า "แมลงผึ้งนั้น จะกินพอประมาณ บินไปช้าๆ จับที่ดอกช่อนี้ ดูดกินน้ำหวานเพียงเล็กน้อย แล้วก็บินไปที่ดอกอื่นเรื่อยๆ โดยไม่ทำให้ดอกไม้ต้องชอกช้ำ เปรียบเหมือนพระที่ดี จะรับอาหารบิณฑบาตที่บ้านนี้เพียงนิดหน่อย แล้วก็จะเดินไปโปรดญาติโยมที่บ้านอื่นอีก ครั้นได้พอประมาณแล้ว ก็จะนำกลับไปฉันที่วัด นี่คือวัตรปฏิบัติของพระภิกษุแมลงผึ้ง ส่วนแมลงวันนั้น จะกินแล้วกินอีก ตอมแล้วตอมอีก ไม่รู้จักอิ่มจักพอ แม้แต่ของเน่าเหม็นก็เห็นเป็นของหอม พระภิกษุแมลงวันก็มีพฤติกรรมฉันเดียวกับแมลงวันนั่นแหละ"

     เมื่อมีญาติโยมนำเงินมาถวายท่านเพียงใบเดียว หลวงพ่อคูณท่านจะปฏิเสธไม่ยอมรับ ท่านให้เหตุผลว่า "เรานั้นเป็นพระอยู่ยังไงก็อยู่ได้ แต่ญาติโยมเขาลำบากกว่าเรา จะเอาเงินของเขามาทั้งหมดนั้นมันไม่ควร" แต่กระนั้น เมื่อมีคนถวายเงินท่านเป็นจำนวน 2 ใบขึ้นไป ท่านก็จะเลือกรับเอาเฉพาะ "ใบที่มีค่าน้อยกว่า" เพียงใบเดียว โดยท่านจะบอกว่า "กูให้มึงเก็บไว้ทำทุน" ปัจจุบันญาติโยมลองพิศดูก็จะรู้ว่า พระแมลงวันชักจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกที ขอแล้วขออีก ได้แล้วก็ยังจะเอาอีก ไม่รู้จักอิ่มไม่รู้จักพอ ไถญาติไถโยมจนหมดเนื้อหมดตัว เงินไม่มียังแนะนำให้กู้หรือชาร์จเครดิตคาร์ดมาทำบุญ ออกจตุคามรามเทพดูดทรัพย์ประชาชนผู้กำลังโหยหิว ท่ามกลางเศรษฐกิจตกสะเก็ดขนาดหนัก แถมยังมุสาอีกว่า "รุ่นรวยโดยไม่มีเหตุผล" นี่แหละโจรในคราบผ้าเหลือง

 

กระแสความดังของหลวงพ่อคูณนั้นไม่มีอะไรจะสามารถฉุดอยู่จริงๆ จนกระทั่ง ยืนยง โอภากุล หรือแอ๊ด คาราบาว ได้ตัดสินใจนำเอาเรื่องราวของหลวงพ่อคูณไปประพันธ์เป็นบทเพลง ตั้งชื่อว่า "หลวงพ่อคูณ" ใส่ทำนองสามช่า ปรากฏว่าคนร้องติดปากกันทั้งเมือง หลวงพ่อคูณจึงเป็นพระเพียงรูปเดียวในเมืองไทยที่มีเพลงเป็นของตนเอง

 

     นอกจากพระเครื่องของหลวงพ่อคูณจะขึ้นชื่อในเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์แล้ว ท่านยังมีกิตติศัพท์ในด้าน "ปฏิภาณเป็นยอด" นับว่าเป็นเรื่องแปลก คือโดยปรกติแล้ว พระป่าพระกรรมฐานหรือพระเกจิอาจารย์นั้น จะดูเคร่งขรึม ไม่ค่อยพูดจา ถ้าโดนดักหน้าดักหลังก็จะงงเอาง่าย แต่สำหรับหลวงพ่อคูณแล้วท่านเป็นพระเกจิพันธุ์ใหม่

 

ครั้งหนึ่ง เกิดอุบัติเหตุ มีคนตายด้วย สภาพรถพังยับ สำรวจภายในรถ พบรูปหล่อหลวงพ่อคูณนั่งสูบบุหรี่มวนโตนั่งเอียงกระเท่เร่อยู่ นักข่าวเมื่อได้โอกาสจึงกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า "ทำไมในรถคันนั้นมีพระของหลวงพ่ออยู่ แต่เกิดอุบัติเหตุ"

     หลวงพ่อก็ถามว่า "แล้วมันเกี่ยวอะไรกับกู"

     นักข่าวก็เซ้าซี้ว่า "เกี่ยวสิครับหลวงพ่อ เพราะว่าถ้าพระของหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์จริง ย่อมต้องป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ ถึงเป็นเหตุสุดวิสัยก็ไม่น่าจะถึงตาย แสดงว่าพระเครื่องของหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ไม่จริง"

     หลวงพ่อนิ่งไปนิดหนึ่ง ท่านจึงถามว่า "แล้วไอ้รถคันนั้น คนขับมันขับไวเท่าใด ไอ้นาย"

     นักข่าวตอบว่า "เห็นเขาว่าขับประมาณ 120 ครับ"

     หลวงพ่อก็ตอบว่า "อ้อ มันขับไวนี่หว่า ถึงว่ามันตาย แค่มันขับเกิน 80 ไป กูก็กระโดดลงก่อนแล้ว แหละหลานเอ๋ย กูไม่ไปด้วยด๊อก" นักข่าวก็จนปัญญาจะต้อนหลวงพ่อ

 

     ในบรรดาผู้สื่อขาวของเมืองไทย เรื่องปากไวเชาวน์ไวแล้ว เห็นจะไม่มีใครเกิน "เสี่ยยุ่น" หรือ สุทธิชัย หยุ่น ซึ่งเป็นเจ้าของสื่อสารในเครือเนชั่นไปได้ บุคลิกลักษณะของเฮียยุ่นนั้นรู้จักและนิยมกันถึงขนาดว่า มีคนในสภาโจ๊กลอกเลียนแบบเฮียยุ่นขึ้นมา โดยตั้งชื่อล้อเลียนว่า "สุทธิชัย หย่อน" สำนวนฮิตที่ถูกนำมาพูดติดปากก็คือ "กรั๊บ ท่านกั๊บ  กรั๊บ ท่านกั๊บ" นั่นเอง

     คราวประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช อนุญาตให้นักข่าวหัวกะทิจากต่างประเทศเข้าสัมภาษณ์ที่ทำเนียบขาวได้นั้น เฮียยุ่นไม่ยอมไป แต่ให้ลูกน้องไปแทน แต่สำหรับการสัมภาษณ์หลวงพ่อคูณนั้น เฮียยุ่นกลับออกโรงเอง ใครได้ดูรายการสัมภาษณ์ในวันนั้นก็คงเหมือนได้ชมมวยคู่เอกบนเวที เพราะทั้งผู้สัมภาษณ์และผู้ถูกสัมภาษณ์ แลกคารมคมคายกันดุเดือด แถมเฮียยุ่นยังยอมเป็นฝ่ายปราชัยในไปยกสุดท้าย นี่คือความยิ่งใหญ่ในด้าน "ปฏิภาณ" ของพระบ้านนอก นามว่า หลวงพ่อคูณ !

 

      ตอนที่หลวงพ่อพระพิพัฒน์ปริยัติวิมล นิมนต์หลวงพ่อคูณมาปลุกเสกพระที่วัดบางนาในนั้น ตอนนั้น พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร ยังดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารบกอยู่ ท่าน พล.อ.เชษฐา ได้ไปนิมนต์หลวงพ่อคูณที่วัดบ้านไร่ด้วยตนเอง พร้อมทั้งจัดทหารมาช่วยงานวัดบางนาใน ในวันที่หลวงพ่อคูณมาด้วย ผู้เขียนก็มีโอกาสถวายการต้อนรับหลวงพ่อคูณภายในพระอุโบสถวัดบางนาใน หลวงพ่อคูณและ พล.อ.เชษฐา เข้ามาในพระอุโบสถ นมัสการพระรัตนตรัย พักผ่อนเพียงชั่วครู่ ก็เตรียมจะออกไปที่บริเวณพระเจดีย์เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เพื่อทำพิธีปลุกเสกพระ

     ด้านนอกนั้น ฝูงชนล้นหลาม รถติดตั้งแต่วัดธาตุทองไปยันสำโรง สี่แยกบางนานั้นไม่ต้องพูดถึง เป็นอัมพาตไปหมด มองไปบนฟ้ามองเห็นเฮลิคอปเตอร์ของรายการ "จส.ร้อย เพื่อนถนนของคนกรุงเทพฯ" บินวนเวียนไปมา เพื่อรายงานการจราจรสลับกับข่าวหลวงพ่อคูณมาวัดบางนาใน เป็นรายการพิเศษสุดๆ

    ภายนอกพระอุโบสถนั้น ผู้เขียนเห็นประชาชนเบียดเสียดกัน บ้างก็เอาโฉนดที่ดิน บ้างก็เอากระเป๋าเงิน บ้างก็เอาวัตถุมงคล มาวางไว้ตรงหน้าบนทางเดินผ่านของหลวงพ่อคูณ เพื่อขอให้หลวงพ่อช่วย "เหยียบ" เพื่อเป็นสิริมงคล โดยเฉพาะคนที่เอาโฉนดที่ดินมาให้ท่านเหยียบนั้น เพราะเชื่อว่า จะทำให้ขายได้ ? ด้านหลังก็ดันเข้ามา ด้านหน้าก็กันไว้ ถ้าไม่ได้ทหารช่วยกันตั้งแถวจัดระเบียบแล้วละก็ รับรองว่าวันนั้นมีรายการเหยียบกันตายแน่ แม้กระนั้นก็ยังมีคนเป็นลมหลายคน !

     ภายในพระอุโบสถ พระเจ้าหน้าที่เอาบุหรี่ไปประเคนหลวงพ่อคูณๆ ก็รับไว้พอเป็นพิธี มีพระอีกรูปจุดบุหรี่ถวายหลวงพ่อๆ ก็สูบสองสามทีพอเป็นพิธี แล้วก็วางไว้บนจานรอง จากนั้นท่านก็หันไปกราบพระ พร้อมกับเดินออกไปที่พระเจดีย์ ทีนี้ เมื่อหลวงพ่อคูณพ้นพระอุโบสถไปแล้ว ก็ต้องรีบปิดประตู เพราะกลัวประชาชนจะกรูกันเข้ามาแย่งของดีอันมีอยู่น้อย พระเจ้าหน้าที่จึงนำเอาเหมี้ยง-บุหรี่ เต็มสองถาดนั้นโปรยออกจากทางหน้าต่าง ตะโกนบอกว่า "เหมี้ยง-บุรี่หลวงพ่อคู๊ณๆๆ" เท่านั้นแหละท่านเอ๋ย ชาวบ้านร้านตลาดต่างแปลงร่างกลายเป็นนักฟุตบอลอเมริกัน กระโดดแย่งกันตะครุบเอาบุหรี่และเหมี้ยงเหล่านั้นกันพัลวัน แต่เพราะไม่มีหมวกกันน็อกและหน้ากาก จึงทำให้หัวร้างข้างแตกกันไปเป็นแถวๆ

    

     นักการเมืองไทยในระดับแนวหน้า ไม่ว่าจะเป็น "น้าชาติ" พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรี "บิ๊กจิ๋ว" พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีต ผบ.ทบ. และอดีตนายกรัฐมนตรี นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี หรือแม้แต่ "อภิมหาเศรษฐีแม้ว" พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ถือโอกาสไปทำบุญที่วัดบ้านไร่กับหลวงพ่อคูณ ซึ่งเมื่อแขกผู้หลักผู้ใหญ่มาเยี่ยมวัด หลวงพ่อก็ต้อนรับขับสู้ ก่อนกลับท่านก็มอบของที่ระลึกให้ เป็นเหรียญบ้าง ตะกรุดบ้าง ผ้ายันต์บ้าง แต่ท่านเหล่ากราบเรียนหลวงพ่อว่า "ขออย่างอื่นได้ไหม"

     "แล้วมึงอยากได้อะไรจากกู ถ้ากูมี กูก็จะให้" หลวงพ่อถาม, เพื่อว่าถ้ามีของที่ถูกใจท่านเหล่านั้นก็จะมอบให้ แต่สิ่งที่ท่านได้ยินจากปากของท่านเหล่านั้นก็คือ "ผมขอเป็นนายกรัฐมนตรี" ทำยังกะว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้นเป็นสมบัติส่วนตัวของหลวงพ่อคูณอย่างนั้นแหละ

     หลวงพ่อคูณท่านก็ใจดีเหลือหลาย เมื่อได้ยินคำขอเช่นนั้น ท่านก็อำนวยอวยพรว่า "เอ้า ถ้ามึงอยากเป็น กูก็ให้มึงเป็น ขอให้มึงได้เป็นนายกฯ สมใจเถิด ไอ้นายเอ๋ย" เพียงแค่นั้น ท่านเหล่านั้นก็ชื่นใจ ก้มกราบหลวงพ่อแล้วลาไปอย่างสมอกสมใจ

    มีคนเขาเข้าไปถามหลวงพ่อว่า "หลวงพ่อครับ หลวงพ่อให้ทั้งน้าชาติ ทั้งเฮียจิ๋ว ท่านชวน และเสี่ยแม้ว เป็นนายกฯ กันหลายคน แล้วเขาจะได้เป็นกันทุกคนหรือ" หลวงพ่อคูณก็ตอบว่า "ก็มันขอกู กูก็ให้พรให้มันเป็น แต่มันจะได้เป็นหรือไม่กูก็ไม่รู้ดอก เพราะอันนี้มันแล้วแต่ประชาชน ถ้าประชาชนเลือกมัน-มันก็ได้เป็นเอง แหละหลานเอ๋ย" แต่เชื่อไหมเล่าว่า ทั้งน้าชาติ ทั้งบิ๊กจิ๋ว ทั้งท่านชวน ทั้งเสี่ยทักษิณ ที่เคยไปขอเป็นนายกกับหลวงพ่อคูณนั้น ล้วนได้เป็นสมใจ ไม่มีใครผิดหวัง !

 

ปฏิภาณการตอบปัญหาของหลวงพ่อคูณนั้น

คม-ชัด-ลึก และซึ้งบาดใจไหมเล่า ?

นี่แหละคือ หนึ่งเดียวในสยาม

 

    วันเกิดของหลวงพ่อในวันนี้ ทราบข่าวว่า มีประชาชนล้นหลาม ไปร่วมงานที่วัดบ้านไร่ นับหมื่นนับแสนคน จนที่จอดรถไม่พอ ต้องปิดถนนเข้าวัด มีการจัดแข่งขันมวยชิงแชมป์โลก หลวงพ่อยังคงให้ทานอย่างสม่ำเสมอ ทั้งถวายสังฆทานแก่พระสงฆ์พันกว่ารูป แจกทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนผู้ยากจน พร้อมทั้งแจกเหรียญรุ่น "ฝากไว้ในแผ่นดิน" ซึ่งเป็นรุ่นประวัติศาสตร์ของวัดบ้านไร่

    ที่เป็นมงคลสูงสุดก็คือ องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงทราบพระเนตรพระกรรณเกี่ยวกับวันอภิมหามงคลของหลวงพ่อคูณในวันนี้ จึงทรงพระราชทานน้ำสรง พร้อมทั้งผ้าไตร ไปถวายถึงวัดบ้านไร่

   นับว่าเมตตาบารมีของ "หลวงพ่อคูณ" นั้นยิ่งใหญ่สุดพรรณนา สมฉายา "ปริสุทโธ" อันแปลว่า "ผู้บริสุทธิ์" จริงๆ

   ผู้เขียนได้นำเสนอเกร็ดประวัติของหลวงพ่อคูณ ด้วยเรื่องที่ได้สัมผัสเองบ้าง ได้ยินได้ฟังมาบ้าง เป็นแค่หนึ่งในร้อย ด้วยความภาคภูมิใจ ที่ประเทศไทยและพระพุทธศาสนา ได้มีพระเถระผู้ประเสริฐนามว่า "หลวงพ่อคูณ" มาบังเกิด ค้ำจุนพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาประจำชาติไทย เป็นประทีปส่องสว่างทางใจให้แก่พุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทยและต่างประเทศในยุคที่เทคโนโลยีกำลังย่ำยีพระพุทธศาสนาอย่างน่าใจหาย

     เกล้าฯกระผม ไม่มีโอกาสได้ไปร่วมถวายสักการะแด่หลวงพ่อ จึงขอ...

 

ขอกราบถวายมุทิตาสักการะ แด่..หลวงพ่อคูณ มา ณ โอกาสนี้

ขอหลวงพ่อมีสุขภาพพลานามัยแข็งแรง
อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของศิษยานุศิษย์ไปตราบนานเท่านาน

ด้วยความเคารพอย่างสูง

   

    


พระมหานรินทร์ นรินฺโท
วัดไทย ลาสเวกัส รัฐเนวาด้า สหรัฐอเมริกา
4
ตุลาคม 2550
11:00 P.M. Pacific Time.

 

 

 
E-Mail ถึง บก.
peesang2003@hotmail.com

All Right Reserved @ 2003
This Website Sponsored by

 

alittlebuddha.com  วัดไทย ลาสเวกัส 2920 McLeod Dr. Las Vegas Nevada 89121 USA (702) 384-2264