ปัญหาว่าด้วย (ร่าง) พระราชบัญญัติส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ

 

 

     ไม่ได้เขียนมาตั้งนมนานกาเล จนแฟนๆ เขาหนีคอลัมน์นี้ไปกันหมดแล้ว ก็ขอยอมรับว่า นอกจากจะหาเวลาเป็นกิจจะลักษณะไม่ได้แล้ว ตัวผู้เขียนเองก็ติดๆ ขัดๆ โน่นนิดนี่หน่อย พลอยทำให้ไม่มีสมาธิในการเขียน ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้ว ก็มีประเด็นให้เขียนแทบทุกวัน แต่บางประเด็นนั้นเป็นประเด็นเฉพาะกาล ผ่านไปวันสองวันผู้คนก็ลืมเลือนกัน ทำให้ต้องตัดประเด็นทิ้งไป ไม่จำเป็นต้องเขียนเพราะไม่สลักสำคัญอะไรในแง่ของผลกระทบต่อสังคม อีกประการหนึ่งนั้น เนื่องเพราะคอลัมน์นี้เป็นหน้าที่ "อาสา" มิใช่งานอาชีพที่ต้องเขียนทุกวันเพื่อเอาค่าน้ำหมึกเหมือนคอลัมนิสต์ตามหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ดังนั้น ก็ขอเรียนให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบว่า ที่ผู้เขียนเปิดคอลัมน์นี้ขึ้นมานั้น เพราะต้องการอุทิศสติปัญญาความเห็นของตนเองเพื่อสาธารณะประโยชน์ โดยเฉพาะก็คือ เพื่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อย่างแท้จริง มิได้มีสิ่งอื่นใดแอบแฝง

    วันนี้ก็มีประเด็นสำคัญซึ่งต้องขอย้ำไว้ตรงนี้เลยว่า สำคัญที่สุดเท่าที่เคยเขียนมา ขนาดว่าคำสั่งแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชของรัฐบาลก่อน หรือแม้แต่การรณรงค์ให้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญว่า "พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย" ซึ่งว่ากันว่าสำคัญสุดๆ ก็ยังไม่สำคัญเท่ากับเรื่องใหญ่ในวันนี้ เรื่องที่ว่านี้คือ ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ของศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม เรียกสั้นๆ ว่า ศูนย์คุณธรรม

     ทำไมผู้เขียนจึงเขียนเช่นนี้ ตรงนี้ต้องขอให้ท่านผู้อ่าน "โฟกัส" ให้ดีๆ อย่าให้ผ่านตาโดยเด็ดขาด เพราะนี่คือกระบวนการแหกตาดังภาษิตไทยโบราณว่า "ถี่ลอดตาช้าง ห่างลอดตาเห็น" เป็นการหมกเม็ดขนาดอุกกาบาตยักษ์อย่างแท้จริง แต่จะจริงหรือไม่ ก็ขอได้โปรดติดตามกันต่อไป

     ข่าวมันดังมาเมื่อสัปดาห์ก่อนนี่แหละ เป็นสะเก็ดข่าวเล็กๆ เพียงแค่ว่า "มหาเถรสมาคมคัดค้านร่าง พรบ.คุณธรรมแห่งชาติ" โดยหนังสือพิมพ์หลายฉบับได้นำเสนอแบบฉาบฉวย ไม่ได้ตีข่าวใหญ่โตโก้หรูอะไร สักแต่ว่าลงๆ พอผ่านไปไม่ให้ตกข่าวกับเขาเท่านั้นเอง

    แต่เมื่อผู้เขียนได้ติดตามเนื้อหาสาระของร่าง พรบ.ฉบับนี้ทั้งหมดแล้ว ก็ตกตะลึงพรึงเพริด ว่านี่เกิดการปฏิวัติศาสนาในประเทศไทยกับเขาแล้วหรือ เรื่องใหญ่ระดับ "สึนามิ" เรื่องนี้มิใช่เรื่องเล่นๆ จะปล่อยให้ผ่านกันอย่างง่ายๆ ไม่ได้หรอก ต้องขอออกความเห็นบ้าง

 

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ประธานเปิดศูนย์คุณธรรม

 

     ก่อนอื่นนั้นต้องขอรายงานท่านผู้อ่านเกี่ยวกับที่ไปที่มาของ "ศูนย์คุณธรรม" ซึ่งเป็นเจ้ากี้เจ้าการเกี่ยวกับพระราชบัญญัติคุณธรรมที่กำลังถูกคณะสงฆ์ไทยแอนตี้อยู่ในขณะนี้

     เจ้าศูนย์ที่ว่านี้ แต่เดิมนั้นมันก็ไม่มี มาเริ่มมีในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งก่อนหน้านั้นไม่เคยมีศูนย์ลักษณะนี้มาก่อนเลยในประเทศไทย จะมีก็แต่กรมการศาสนาทำหน้าที่เกี่ยวกับการสนองงานคณะสงฆ์และงานศาสนาอื่นๆ ก่อนที่กรมการศาสนาจะถูกแบ่งออกเป็น "สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ" ในเวลาต่อมา

    เรื่องของเรื่องก็คือว่า ตอนหาเสียงเลือกตั้งนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้รับการสนับสนุนจากสำนักสันติอโศก ของนายรักษ์ รักษ์พงษ์ ซึ่งมี พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นกำลังหลักในตำแหน่ง "ประธานกองทัพธรรมมูลนิธิ" ทั้ง พล.ต.จำลอง ยังได้สร้างโรงเรียนผู้นำขึ้นมาที่ตำบลพุประดู่ อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี มีเป้าหมายเพื่ออบรมคนสำหรับเป็นผู้นำโดยเฉพาะ โรงเรียนผู้นำแห่งนี้นี่เอง ที่พอได้เป็นนายกรัฐมนตรีใหม่เอี่ยมอ่อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เดินทางไปร่วมกิจกรรม ถึงขนาดว่า กินแล้วต้องล้างจานด้วยตนเอง เป็นการฝึกฝนตนเองอย่างยิ่งยวด เป็นการแสดงว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้เกียรติแก่ "พี่ลอง" มากเพียงใด และต่อจากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ได้เซ็นคำสั่งแต่งตั้ง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ให้ดำรงตำแหน่ง "ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีแผนกทรัพยากรมนุษย์"

     ต่อมาในวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ.2547 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามประกาศจัดตั้ง "ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาแผ่นดินเชิงคุณธรรม" เป็นหน่วยงานอิสระ โดยมี พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการคนแรก (พล.ต.จำลอง เกษียนอายุจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2548)

     แม้ว่าปัจจุบัน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง จะเกษียนอายุไปแล้ว แต่ก็ยังคงดำรงตำแหน่งประธานที่ปรึกษาของรักษาการประธานกรรมการคนปัจจุบัน ซึ่งก็คือ พล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ เตมียาเวส รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่ง พล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์นั้น นับได้ว่าเป็นสมาชิกผู้ใหญ่ในโรงเรียนผู้นำของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ด้วยผู้หนึ่ง

     ง่ายๆ ก็คือว่า จาก..ศิษย์เอกของพ่อท่านโพธิรักษ์ (สันติอโศก) พี่ที่รักของทักษิณ เป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนผู้นำ ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี (ทักษิณ ชินวัตร) และสุดท้ายก็คือ ประธานศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาแผ่นดินเชิงคุณธรรม เป็นการเวียนว่ายตายเกิดในหลายชีวิต หลายบทบาทในชาติเดียวของบุคคลๆ เดียว

     กล่าวให้ชัด ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาแผ่นดินเชิงคุณธรรมในวันนี้ ก็มีที่มาจาก "โรงเรียนผู้นำ" ของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่เมืองกาญจน์นั่นแหละ เพียงแต่เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนสถานะเสียใหม่ จากโรงเรียนเอกชนก็ยกระดับเป็นอยู่ในกำกับของรัฐ เพื่อหวังพึ่งทั้งอำนาจรัฐและงบประมาณ เพื่อวัตถุประสงค์อันยิ่งใหญ่ ถ้าทำได้ก็จะถือว่าเป็นผลงานอมตะมหานิรันดรกาลยิ่งกว่าดาวเทียมไทยคมเสียอีก มันมิใช่แค่หมื่นล้านแสนล้าน แต่จะเป็นมูลค่ามหาศาลนับล้านๆๆ กินเท่าไหร่ก็ไม่หมด ! ออกจตุคามนับหมื่นรุ่นก็ยังสู้ออกกฎหมายฉบับนี้ไม่ได้

 

ความหลังเมื่อไม่นานมานี้ ถ้ายังจำได้...

 

     พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ขณะดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาแผ่นดินเชิงคุณธรรมอยู่นั้น ได้นำเอาองค์กรแห่งนี้ไปชนกับมหาเถรสมาคมก่อให้เกิดปัญหาร้าวฉานจนมองหน้ากันไม่ติด

    เรื่องก็คือ เดือนพฤษภาคม 2548 รัฐบาลไทยในขณะนั้น (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) ได้มอบหมายให้ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาแผ่นดินเชิงคุณธรรม เป็นโต้โผจัดงานวันวิสาขบูชาแห่งโลก งานนี้เป็นงานอินเตอร์ ทาง พล.ต.จำลอง เมื่อได้รับมอบหมายก็ได้เดินแผน "ดึง" แนวร่วมมากมายมาร่วมกันจัด ที่สะดุดตามากที่สุดก็คือ สำนักสันติอโศก ซึ่งถูกคณะสงฆ์ไทย "อเปหิ-ขับไล่" ให้พ้นจากวงการไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน

     เมื่อทางมหาเถรสมาคมทราบเรื่อง จึงได้แจ้งให้แก่ทางรัฐบาลทราบว่า "ไม่สามารถจะจัดงานร่วมกับสำนักสันติอโศกได้" ทั้งยังได้ออกมติให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นผู้ดำเนินการจัดงานวันวิสาขบูชาโลกที่พุทธมณฑลเพียงแห่งเดียว ส่วนใครจะจัดอะไรแบบไหนที่ใด มหาเถรสมาคมไม่เกี่ยว ไม่เอาด้วย เรียกว่าเป็นการตบหน้ารัฐบาลและศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาแผ่นดินเชิงคุณธรรมไปพร้อมๆ กัน

    ครั้งนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า "คนไทยทุกคนย่อมมีสิทธิที่จะจัดงานวันวิสาขบูชาโลกในนามของประเทศไทย ไม่งั้นก็ขัดรัฐธรรมนูญ" แปลให้ชัดก็คือว่า ดร.ทักษิณ อ้างเอารัฐธรรมนูญมาครอบงำให้มหาเถรสมาคมยอมรับสถานภาพของสำนักสันติอโศก เถียงกันถึงขั้นว่า มหาเถรสมาคมไม่ใช่คนสร้างพุทธมณฑล จะมาห้ามคนไทยไม่ให้ไปจัดงานหรือร่วมงานด้วยนั้นไม่มีอำนาจ ว่างั้น

   สุดท้าย ทั้งสองฝ่าย คือรัฐบาล (ร่วมกับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง) กับฝ่ายมหาเถรสมาคม ได้กระจัดกระจายแยกย้ายกันจัดงาน ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ไปร่วมงานของอีกฝ่ายหนึ่ง แล้วเรื่องก็เงียบหายไป จนกระทั่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดนทหารปฏิวัติพ้นจากอำนาจไป และโผล่มาอีกทีก็ในรูปแบบของ "ร่างพระราชบัญญัติคุณธรรม" ในวันนี้

 

     นี่แหละคือที่มาของศูนย์คุณธรรม อันเป็นผู้ชง "ร่าง พรบ.ส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ" ขึ้นมาในขณะนี้ ทีนี้ก็จะเข้าเรื่องร่างพระราชบัญญัติที่ว่านี้เลย

     ร่างพระราชบัญญัติที่ว่านี้มีด้วยกันทั้งหมด 46 มาตรา รวมกับบทเฉพาะกาลอีก 3 มาตรา ก็เป็นทั้งสิ้น 49 มาตรา เนื้อหาสาระหลักนั้นผู้เขียนขอยกมาโดยย่อดังนี้

1. ให้มีการจัดตั้งสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติขึ้น โดยกำหนดให้มีการประชุมสมัชชา อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

2. ให้มี "ธรรมนูญว่าด้วยคุณธรรมแห่งชาติ" ให้อำนาจหน้าที่แก่สมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ ครอบคลุมตั้งแต่เรื่องปรัชญา คุณธรรม จริยธรรม ของสังคมไทย สามารถกำหนดบทบาทให้แก่หน่วยงานรัฐ รวมทั้งสถาบันทางศาสนา ธรรมนูญว่าด้วยคุณธรรมแห่งชาติ รวมทั้งนโยบายและแผนแม่บท ที่กำหนดไว้ในกฎหมายฉบับนี้ ที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว ให้ผูกพันหน่วยงานของรัฐและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ????

3. ตั้งคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติขึ้นมาคณะหนึ่ง โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการโดยตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นรองประธานคนที่ 1 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นรองประธานคนที่ 2 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นรองประธานคนที่ 3 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ปลัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เลขาธิการ ก.พ. เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และผู้อำนวยการสำนักงานงบประมาณ เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง แถมยังให้มีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งอีกไม่เกิน 14 คน

    

4. ให้จัดตั้ง "สำนักงานส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ" ขึ้นมา โดยให้เป็นสำนักงานอิสระ (นิติบุคคล) ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี สำนักงานแห่งนี้ก็คือฐานบัญชาการของคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาตินั่นเอง และให้สำนักงานแห่งนี้มีหน้าที่จัดทำ "แผนปฏิบัติการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ" ขึ้นมา เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติใช้โดยการประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา เท่ากับว่าเป็นกฎหมายพิเศษ

5. งบประมาณบริหารสำนักงานแห่งนี้ จะได้จากงบประมาณแผ่นดิน การบริจาค ค่าธรรมเนียม ค่าตอบแทน และเงินอุดหนุนจากต่างประเทศ ?

 

     นั่นล่ะคือสาระหลักของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ที่ผู้เขียนย่นย่อพอเป็นกระสายให้ฟังนี้ เพื่อจะชี้เป้าให้กระจ่างว่า มันจะเกิดปัญหาอะไรถ้าพระราชบัญญัติฉบับนี้ผ่านสภา ? สรุปง่ายๆ เลยว่า คณะกรรมการทั้งหมดนี้เป็นอำนาจของ "นายกรัฐมนตรี" แต่เพียงผู้เดียว เพราะไม่ว่ารัฐมนตรี ปลัดกระทรวง หรือกรรมการคุณวุฒิที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง มันก็เป็นลูกน้องของนายกรัฐมนตรีดีๆ นี่เอง หาใช่อื่นไกลไหนไม่

      ถ้าเราได้นายกรัฐมนตรีที่ยอมรับมหาเถรสมาคม ก็ดีไป แต่ถ้าได้นายกรัฐมนตรีประเภทนอกคอกนอกวัด เช่น พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นต้น ตอนนั้นแหละจะเห็นผลงานว่าอมตะนิรันดร์กาลปานไหน แต่..ใครจะไปตรัสรู้อนาคตกาลได้ ทุกอย่างมีสิทธิ์เป็นไปได้ทั้งสิ้น ถ้าประมาทก็พลาดพลั้ง ใครที่เคยคิดว่า "ถ้าได้เป็นสมเด็จพระราชาคณะแล้ว สามารถดำรงตำแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคมโดยตำแหน่งอย่างมั่นคงไปตลอดชาติ" ก็ขอให้คิดใหม่ได้แล้ว เพราะถ้าคิดเช่นนั้น แสดงว่าท่านประมาทแล้ว มีสิทธิ์ตายหยังเขียดแน่ นี่อ้างพระพุทธเจ้านะ มิใช่คำพูดของพระมหานรินทร์

    ก็ดังที่เล่ามาแล้วว่า มันเคยมีปัญหาเกี่ยวกับการจัดงานวันวิสาขบูชานานาชาติ แตกร้าวไม่นับญาติกัน ถึงขนาดโพธิรักษ์ออกทีวีอัดมหาเถรสมาคมในตอนกลางคืน แต่ตอนนั้นทาง พล.ต.จำลอง ยังไม่มีอำนาจบังคับให้มหาเถรสมาคมต้องยอมรับสันติอโศก จึงจำใจถอยอย่างบอบช้ำ แต่การล่าถอยของ พล.ต.จำลอง ในครั้งนั้น เป็นการถอยเพื่อหาทางสู้ในรูปแบบอื่นซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่า โดยปัจจุบันวันนี้ คณะของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ซึ่งก่อม็อบขับไล่รัฐบาลทักษิณ-เปิดโอกาสให้ทหารทำการปฏิวัติแล้ว ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งมีอำนาจในการออกกฎหมายปกครองประเทศโดยตรง เราจึงได้เห็นบทบาท "ใหม่" อันไฉไลของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ในรูปแบบของ พ.ร.บ.คุณธรรมแห่งชาติ ดังกล่าว

   ครั้งนี้ มีการเสนอกฎหมายใหม่เขียนไว้อย่างชัดเจนว่า "ธรรมนูญว่าด้วยคุณธรรมแห่งชาติ รวมทั้งนโยบายและแผนแม่บท ที่กำหนดไว้ในกฎหมายฉบับนี้ ที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว ให้ผูกพันหน่วยงานของรัฐและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง" นั่นก็หมายถึงว่า หน่วยงานใหม่ที่ว่านี้มีอำนาจล้นฟ้า ไม่ต่างไปจากศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งถ้ามีคำวินิจฉัยออกมาก็จะถือเป็นอันสิ้นสุด และมีผลผูกพันไปถึงหน่วยงานของรัฐและหน่วยงานอิสระอื่นๆ "จะต้องปฏิบัติตามอย่างไม่มีทางเลี่ยง"

    คำว่า "หน่วยงานของรัฐ" นั้น มันไม่ยากที่จะเข้าใจ แต่คำว่า "หน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง" นี่สิ มันหมายความว่าอะไร ? ถามว่า มหาเถรสมาคม ก็ดี  สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ก็ดี กรมการศาสนา ก็ดี มหาวิทยาลัยสงฆ์หรือวัดต่างๆ ทั่วประเทศก็ดี ซึ่งเป็นนิติบุคคลนั้น เป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือไม่ โดยเฉพาะในเรื่องเกี่ยวกับคุณธรรมจริยธรรม ?

ตรงนี้แหละที่เป็นจุด "อันตรายที่สุด" ของกฎหมายฉบับนี้

     ขมวดปมให้กระชับอีกนิดนะ ขอท่านผู้อ่านพิจารณาให้ดี พระราชบัญญัติฉบับที่ว่านี้ ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีเบ็ดเสร็จ ในการจัดการเกี่ยวกับคุณธรรมจริยธรรม ซึ่งสามารถกำหนดบทบาทอำนาจหน้าที่ของสถาบันทางศาสนาได้ด้วย โดยเมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติออกมาแล้ว "ให้ผูกพัน" หมายถึงว่า บังคับตายตัวว่า "ต้องปฏิบัติตาม " อย่างไม่มีทางเลี่ยง ไม่ต่างไปจากคำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญ !

     ดังนั้น องค์กรที่จัดตั้งขึ้นมาใหม่ตามร่างพระราชบัญญัตินี้ ก็เท่ากับว่าเป็นสำนักนายกรัฐมนตรีแห่งที่สอง เพียงแต่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับคุณธรรมจริยธรรมเท่านั้น ถ้าเราเปรียบเทียบง่ายๆ ว่า รัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านประชาพิจารณ์ไป คือกฎหมายแม่บทในการปกครองประเทศไทย อันเป็นส่วนร่างกาย ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติฉบับนี้ ก็คือรัฐธรรมนูญอีกฉบับหนึ่งซึ่งใช้ปกครองประเทศไทยในส่วนที่เกี่ยวกับจิตใจ ดีๆ นี่เอง

 

มันคือรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 2 ของประเทศไทย

 

    นี่ไง ที่ผู้เขียนว่า ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ฉบับนี้ คือ การปฏิวัติศาสนาในประเทศไทย กำหนดให้ทุกศาสนาต้องยินยอมปฏิบัติตามมติของคณะกรรมการในหน่วยงานนี้อย่างไม่มีข้อแม้ ใครไม่ยอมทำตามก็ถือว่าฝ่าฝืนกฎหมาย

 

     ซึ่งผู้เขียนเคยวิเคราะห์เอาไว้แล้วว่า การยกขบวนญาติธรรมจากสำนักสันติอโศกเข้าสู่ทุ่งพระสุเมรุเพื่อขับไล่รัฐบาลทักษิณ ของนายรักษ์ รักษ์พงษ์ และ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เมื่อปีกลายนั้น มิใช่เป็นการเดินธุดงค์ดังอ้างจากลิ้นอันเจ้าเล่ห์ดอก หากแต่เป็นการเดินเกมที่มีนัยอันลึกซึ้งอย่างยิ่ง สำคัญถึงขนาดว่า "ให้คอยดูต่อไปว่า เมื่อล้มรัฐบาลทักษิณลงไปแล้ว โพธิรักษ์-จำลอง-สันติอโศก จะเดินเกมเอาอะไรในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยเฉพาะก็คือ การยกระดับสำนักสันติอโศกให้เป็นสถาบันทางศาสนาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ใช่สำนักเถื่อนตามความเห็นของมหาเถรสมาคมในอดีต" และแล้ววันนี้ เราท่านก็ได้เห็นแล้วว่า แม้ว่าสันติอโศกจะไม่สามารถเบียดแทรกเข้าไปในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ แต่ก็ได้ออกรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ใช้ "ปกครอง-จัดระเบียบ ศาสนา" ฉบับใหม่ในประเทศไทย ในนามของ ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ฉบับนี้ไง นี่แหละคือของจริงของสันติอโศกเขาล่ะ !

เป็นการเดินเกมที่ลึก-เงียบ แต่รุนแรง พอๆ กับคลื่นสินามิ

     ใช้หรือฉวยโอกาสที่ตนเองกำลังเป็นต่อในขณะที่ประเทศชาติบ้านเมืองกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครองจากเผด็จการทหารมาสู่ประชาธิปไตยผ่านการเลือกตั้ง เพราะถ้าไม่รีบทำเสียแต่ตอนนี้ ก็คงไม่มีโอกาสอีกแล้ว ..

ใครที่คิดว่า จำลองทำเพื่อคุณธรรมเพียงอย่างเดียว ก็ขอให้คิดใหม่

ใครที่คิดว่า จำลองสู้กับรัฐบาลทักษิณแล้วไม่เอาอะไร ก็ขอให้คิดใหม่

และใครที่คิดว่า จำลองเก่งแต่การก่อม็อบไล่รัฐบาล ก็ขอให้คิดใหม่

      เพราะ "จำลอง ศรีเมือง" มีกึ๋นมากกว่านั้น ดังที่ปรากฏเป็นร่างกฎหมายฉบับปฏิวัติศาสนาในประเทศไทยอยู่ในขณะนี้ คนๆ นี้มิใช่ขี้ไก่หรอกจะบอกให้ เขาเป็นถึงอดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรม เป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนผู้นำ ฯลฯ มีสมรรถภาพสามารถขับไล่อดีตผู้ยิ่งใหญ่ในประเทศไทยให้จนแต้มมาแล้วถึง 2 คนด้วยกัน คือ สุจินดา คราประยูร และทักษิณ ชินวัตร และขณะนี้เขากำลังเดินเกมกดดันมหาเถรสมาคม ซึ่งเคยบดขยี้ผู้ที่เขาเคารพนับถือมาก่อน เป็นภารกิจสุดท้ายในชีวิต เพราะถ้าทำอย่างอื่นสำเร็จหมด แต่ยกระดับสถานะสันติอโศกให้เป็นสถาบันทางศาสนาที่ถูกต้องไม่ได้ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นอนตายตาไม่หลับแน่ !

     ที่ผู้เขียนต้องเขียนโยงใยเรื่องไปเช่นนี้ เพราะต้องการให้ท่านผู้อ่านได้รู้ว่า การอ่านหนังสือหรือกฎหมายนั้น จะอ่านเพียงตัวหนังสือนั้นมันไม่สมบูรณ์หรอก ต้องดูถึงคนเขียนด้วย ว่าเขาคือใคร ทำไมจึงเขียนเช่นนั้น ที่สำคัญก็คือ มีวัตถุประสงค์อย่างไร และที่ต้องอ่านกันต่อไปก็คือว่า

1. ใครจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย ซึ่งจะได้ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชโดยตำแหน่งตามกฎหมายคุณธรรมฉบับนี้

2. ธรรมนูญว่าด้วยคุณธรรมแห่งชาติ รวมทั้งนโยบายและแผนแม่บท ที่จะเขียนเป็นกฎหมายลูกของ ธรรมนูญฉบับ "ปฏิวัติศาสนา" นี้นั้น หน้าตามันจะเป็นอย่างไร

     ตามข้อแรกนั้น ถ้าเราได้นายกรัฐมนตรีที่เป็นคนดี มีศีลธรรม ไม่ซื้อเสียงเข้ามา ทั้งยังเชื่อมั่นอยู่ในพระพุทธศาสนาเถรวาท อันปกครองโดยมหาเถรสมาคมเป็นองค์กรสูงสุดเช่นในปัจจุบัน อย่างนี้มันคงไม่มีปัญหา แต่ถ้าหากว่า นายกรัฐมนตรีมีสายสัมพันธ์กับสำนักอื่นๆ ที่เป็นปฏิปักษ์กับคณะสงฆ์ไทย เช่น สันติอโศก (และ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง) เป็นต้น ก็อาจจะใช้อำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ ช่วยเหลือเอื้ออาทรให้แก่สำนักเหล่านั้น ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม โดยตรงก็คือการช่วยเหลือตรงๆ เช่น เชิญมาร่วมงาน ยกย่องออกหน้าออกตา เช่น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เคยทำมาแล้ว หรือบางทีอาจจะถึงกับยกย่องไว้ในสถานะสถาบันพิเศษก็เป็นได้ โดยอ้อมก็เช่น ให้เงินอุดหนุน ส่งเสริม หรือช่วยเหลือเกื้อกูล ทั้งนี้เพราะหน่วยงานนี้เป็นอิสระ แต่มีนายกรัฐมนตรีซึ่งมีอำนาจล้นฟ้าเป็นผู้กุมบังเหียนอยู่ งานนี้ศิษย์สำนักไหนได้เป็นนายกรัฐมนตรี เจ้าสำนักก็มีสิทธิ์ดังระดับสมเด็จพระสังฆราชนั่นเทียว

    ตามข้อที่สอง ที่กฎหมายฉบับนี้ระบุว่า "ธรรมนูญว่าด้วยคุณธรรมแห่งชาติ รวมทั้งนโยบายและแผนแม่บท ที่กำหนดไว้ในกฎหมายฉบับนี้ ที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว ให้ผูกพันหน่วยงานของรัฐและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง" นั้น มันเป็นการเซ็นเช็คใบใหญ่ระดับโลกให้แก่นายกรัฐมนตรีทีเดียว เพราะถ้ากฎหมายฉบับนี้ผ่านสภา เรายังไม่รู้ว่าคณะกรรมการเขาจะเขียนกฎหมายลูก คือนโยบายและแผนแม่บทออกมาในรูปแบบไหน และจะออกมากี่ฉบับกี่เวอร์ชั่น แต่ละฉบับแต่ละเวอร์ชั่นนั้นมีเนื้อหาสาระอย่างไร ใครได้ใครเสีย สิ่งเหล่านี้เราไม่รู้ Nobody Knows ? รู้เพียงอย่างเดียวก็คือว่า "ถ้าเขาออกกฎหมายลูกมาแล้ว เราต้องปฏิบัติตามโดยไม่มีเงื่อนไข" นี่ไง คือการข่มขืน บังคับ ขู่เข็น อันเป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับ "ปฏิวัติศาสนา" ในประเทศไทยครั้งประวัติศาสตร์

 

ถ้ามหาเถรสมาคมปล่อยให้กฎหมายฉบับนี้ผ่านไป
ก็แสดงว่า
"เสียรู้เขาหมด" จริงๆ

 

     ผู้เขียนจึงต้องกราบเรียนต่อท่านผู้อ่านที่รักและเคารพว่า "เรายอมไม่ได้หรอก" ใครคิดจะเข็นกฎหมายหมกเม็ดฉบับนี้ให้ผ่านสภาอันมาจากการปฏิวัติชุดนี้ก็ลองดูสิ จอดีแน่ !

      จึงกราบเรียนมายังเหล่าพระธรรมทูต พระสังฆาธิการ พระสงฆ์สามเณร ทุกรูปทุกองค์ และเหล่าพุทธศาสนิกชนทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกว่า

ตื่นได้แล้วครับ ได้เวลาลุกขึ้นสู้ของพวกเราแล้ว !

      อย่าปล่อยให้ผ่านสภามาใช้เป็นกฎหมายโดยเด็ดขาด เพราะมันเป็นกฎหมายคอมมิวนิสต์ ล้มล้างสถาบันพระพุทธศาสนาในประเทศไทยอย่างถอนรากถอนโคน เพียงแต่พวกมันตั้งชื่อให้สวยหรูเท่านั้นเองแหละว่า "พระราชบัญญัติส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ" แปลง่ายๆ ก็คือว่า พวกมันจะเอาคำว่า "คุณธรรมแห่งชาติ" มาใช้แทน พระพุทธศาสนา

     พวก สสร. ไม่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญว่า "พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย" นั้น ไม่เป็นไร เพราะเรายังอยู่กันต่อไปได้

แต่ถ้าปล่อยให้กฎหมายไร้คุณธรรมฉบับนี้ผ่านไป ราตายแน่ !

     

ดังนั้น ก็ขอกราบเรียนว่า อย่ารักศาสนาสักแต่ว่าปาก

ลองทำให้ดูเป็นตัวอย่างพุทธศาสนิกชนที่ดี ซักทีเป็นไร !

   

    


พระมหานรินทร์ นรินฺโท
วัดไทย ลาสเวกัส รัฐเนวาด้า สหรัฐอเมริกา
1
กันยายน 2550
10:00 P.M. Pacific Time.

 

 

 
E-Mail ถึง บก.
peesang2003@hotmail.com

All Right Reserved @ 2003
This Website Sponsored by

 

www.alittlebuddha.com วัดไทย ลาสเวกัส 2920 McLeod Dr. Las Vegas Nevada 89121 USA (702) 384-2264