ก่อนอื่นต้องขอแสดงความดีใจกับพระราชภาวนาวิสุทธิ์ หรือท่านธัมมชโย
ผู้ก่อตั้งวัดพระธรรมกายให้ยิ่งใหญ่เป็นหนึ่งในโลก
กับการที่ทางอัยการสูงสุดได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญา
"ขอถอนฟ้องพระธัมมชโย"
ซึ่งต้องคดีอาญามาจากปี พ.ศ.2542
และนับจากวันที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เดินทางไปปาฐกถาที่วัดพระธรรมกาย
เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม คือเดือนก่อน ถึงวันนี้
(22 สิงหาคม) ก็แค่ 35 วันเอง เห็นผลทันตายิ่งกว่าต้มมาม่า วันที่ศาลอาญาได้พิจารณาแล้ว
เห็นว่าคำร้องขอมีเหตุผลพอเพียง จึงสั่งจ่ายคดีพระธัมมชโยออกจากสารบบ
ปลดพันธนาการอันทุกข์ทรมานของท่านธัมมชโยซึ่งแทบจะเรียกว่า
"ศึกหนักที่สุดในชีวิต"
นี้ออกไป
ต่อไปวัดพระธรรมกายก็คงจะเดินหน้าไปตามเป้าหมายหรืออุดมการณ์ที่วางไว้
ซึ่งสังคมไทยก็ต้องจับตาต่อไปว่า
การตัดสินใจถอนฟ้องของอัยการสูงสุดครั้งนี้จะเป็นผลดีหรือผลร้ายต่อคณะสงฆ์ไทย
ซึ่งต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์
การที่ศาลอาญาพิจารณาให้
"ถอนฟ้อง" ได้ในครั้งนี้
นับเป็นกรณีที่แปลกประหลาด
เพราะว่าเป็นการขอถอนฟ้องโดยผู้ฟ้องคืออัยการสูงสุด
ซึ่งอัยการสูงสุดได้บอกเหตุผลแก่ศาลว่า เหตุที่ต้องขอถอนฟ้องพระธัมมชโยนั้น
เพราะ
1. พระธัมมชโยได้คืนเงินให้แก่ทางวัดพระธรรมกายครบถ้วนทุกบาททุกสตังค์แล้ว
ถือว่าได้ปฏิบัติตามพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
จึงไม่มีเหตุผลที่จะฟ้องร้องเอาผิดอีกต่อไป
2. เรื่องพระธรรมคำสอน
ได้รับความคิดเห็นสนับสนุนจากผู้รู้และมียศตำแหน่งในทางพระพุทธศาสนาสำคัญ 3
ท่าน คือ 1.อธิบดีกรมการศาสนา 2.ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
3.เจ้าคณะภาค 1 ซึ่งทั้งสามท่านยืนยันว่า พระธัมมชโยมิได้สอนสั่งนอกพระไตรปิฎกแต่อย่างใด
ทั้งจำเลยยังได้ช่วยเหลือกิจการคณะสงฆ์ไทยเป็นอันมาก ทั้งในด้านการศึกษา
การเผยแผ่ และสาธารณูปการ รวมทั้งการสาธารณสงเคราะห์ด้วย
ซึ่งผลงานของวัดพระธรรมกายนั้นเป็นที่ประจักษ์ในระดับสากล
มิใช่เฉพาะในเมืองไทยเท่านั้น
3.
ถ้าฟ้องร้องต่อไปให้สิ้นสุดกระบวนการ ก็จะเป็นการสร้างความแตกแยกในศาสนจักรและประชาชนคนไทยในชาติ
นั่นเป็นเหตุเป็นผลที่ทางอัยการสูงสุดได้สืบเสาะหาในการอ้างต่อศาลเพื่อขอถอนฟ้องพระธัมมชโย
ซึ่งก็เป็นการประจานตัวเองของอัยการว่า
"นอกจากจะดำรงตำแหน่งอัยการแล้ว ยังรับจ็อบเป็นทนายช่วยแก้ต่างให้แก่พระธัมมชโยอีกต่างหากด้วย"
และต่อไปนี้เป็น
"มุมมองของพระมหานรินทร์"
ต่อประเด็นที่อัยการขอถอนฟ้อง
ประมวลเหตุผลที่อัยการได้อ้างมานั้น เราท่านจะเห็นว่า เป็นเหตุผลที่น่าฟัง
แต่ก็ยังไม่สนิทใจ
ก่อนอื่นต้องขอพูดคุยในเรื่องอำนาจหน้าที่ของอัยการเสียก่อน
อัยการมีอำนาจหน้าที่ในการ
"ยื่นฟ้อง"
หรือ
"สั่งฟ้อง"
ต่อศาล เมื่อเห็นว่าจำเลยมีความผิดจริงตามหลักฐานพยานที่ปรากฏ
แต่การยื่นหรือสั่งฟ้องต่อศาลของอัยการนั้น
จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องผ่านกระบวนการวิเคราะห์หาเหตุผลว่ามีน้ำหนักเอาผิดจำเลยได้หรือไม่
ซึ่งเมื่อเห็นว่าจำเลยทำผิดจริง มีหลักฐานพยานชัดเจน และเข้าข่ายคดีอาญา
อัยการก็จะทำเรื่อง
"สั่งฟ้อง"
หรือ
"ยื่นฟ้อง"
ต่อศาล เพื่อขอให้พิจารณาตัดสินคดี และเมื่อยื่นฟ้องไปแล้ว
ก็จะเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลอาญาจะพิจารณาไต่สวนประมวลความผิดและตัดสินลงโทษหรือยกโทษให้แก่จำเลยซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่กับการหักล้างกันในชั้นศาลเป็นประการสุดท้ายด้วย
นั่นเป็นนิยามของคำว่า
"สั่งฟ้อง" หรือ
"ยื่นฟ้อง" แต่สำหรับคดีพระธัมมชโยครั้งนี้
อัยการมีคำสั่งฟ้องหรือยื่นฟ้องไปนานแล้ว
กำลังอยู่ในระหว่างสืบพยานในศาลซึ่งทราบว่าเหลือพยานอีกเพียง 2 ปาก
คดีก็จะสิ้นสุดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้แล้ว ทว่า
ก่อนที่คดีจะเดินทางไปจนสิ้นสุดกระบวนการอยู่แล้ว จู่ๆ
อัยการก็ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาว่า
"ขอถอนฟ้อง"
ซึ่งมิใช่การสั่งไม่ฟ้อง
ตรงนี้ดูให้ดีนาท่านผู้อ่าน พระธัมมชโยนั้นถูกฟ้องโดยอัยการสูงสุดไปหลายปีดีดักแล้ว
เพราะตอนนั้นอัยการพิจารณาจากพยานหลักฐานทุกประการแล้ว ก็ประชุมกันลงมติว่า
"สมควรฟ้องศาลเพื่อเอาผิดพระธัมมชโย" แต่ต่อมา
เมื่อดำเนินคดีไปได้หลายปีจวนจะจบแล้ว
อัยการเกิดกลับใจกลับไปบอกศาลเสียใหม่ว่า
"ไม่ติดใจเอาความกับพระธัมมชโยแล้ว"
ตามเหตุผลที่ได้ยกมาอ้างข้างต้น
ดังนั้น
การถอนฟ้อง
จึงมิใช่การไม่ฟ้อง
หากแต่เป็นการไม่ฟ้องโดยได้ฟ้องไปแล้ว
การถอนฟ้องพระธัมมชโยในครั้งนี้ มิใช่การตัดสินจากศาลอาญาว่า
"พระธัมมชโยไม่ผิด"
หากแต่เป็นการรอมชอมของอัยการก่อนศาลจะตัดสิน
ซึ่งถ้าหากอ่านตามรูปการที่ว่า
"คดีอาญายอมความไม่ได้"
การถอนฟ้องครั้งนี้ก็ต้องนับว่าเป็นคดีมหัศจรรย์
หรือคดีทรงอิทธิพลแห่งยุคทีเดียว
นั่นเป็นบทบาทและหน้าที่ของอัยการสูงสุด
และทีนี้ก็จะเข้าสู่ข้ออ้างในการขอถอนฟ้องของอัยการ 3 ข้อข้างต้น
ตามข้อแรกนั้น อัยการอ้างต่อศาลว่า
"พระธัมมชโยได้คืนเงินให้แก่ทางวัดพระธรรมกายครบถ้วนทุกบาททุกสตังค์แล้ว
ถือว่าได้ปฏิบัติตามพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
จึงไม่มีเหตุผลที่จะฟ้องร้องเอาผิดอีกต่อไป"
ตรงนี้มีข้อวินิจฉัยใน 2
ประเด็น คือ
1. การที่พระธัมมชโยได้เบียดบังเงินวัดไปจัดซื้อจัดจ้างเป็นการส่วนตัวนั้นผิดกฎหมายหรือไม่
ซึ่งครั้งแรกนั้นอัยการได้วินิจฉัยว่า
"ผิด"
จึงสั่งฟ้อง แต่เมื่อฟ้องไปได้เกือบสิ้นสุดคดีความแล้ว อัยการกลับอ้างว่า
"พระธัมมชโยได้คืนเงินให้แก่วัดแล้วทุกบาททุกสตังค์
จึงไม่น่าจะฟ้องเพื่อเอาผิดอีก" เหตุผลก็คือ เพราะคืนเงินที่โกงมานั้นแล้ว ข้อสงสัยในประเด็นนี้ก็คือว่า
ถ้าอัยการเห็นว่าการโกงเงินวัดนั้นเป็นความผิด เมื่อพระธัมมชโยได้โกงไป
ก็แสดงว่าได้กระทำความผิดไปแล้ว แล้วอัยการก็สั่งฟ้อง แต่ตอนหลังพระธัมมชโยได้ขอไถ่โทษโดยการ
"คืนเงินวัด"
คำถามจึงมีว่า
เมื่อมีการทำผิดนั้นครบถ้วนสมบูรณ์แล้วถือว่าเป็นความผิดหรือไม่ ?
และการคืนเงินให้แก่วัดพระธรรมกายถือว่าเป็นการไถ่ถอนความผิดได้หรือไม่ ?
ยกตัวอย่างเช่นว่า
ถ้ามีการปล้นธนาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งโจรได้เงินไป 10 ล้านบาท
ตอนหลังโจรถูกจับได้ และถูกส่งฟ้องศาลในคดีอาญา ต่อมาโจรนั้นสำนึกผิด
ได้นำเอาเงินมาคืนให้แก่เจ้าทุกข์คือธนาคาร
และอัยการก็เห็นว่าจำเลยได้คืนเงินแล้ว จึงเห็นสมควรถอนฟ้องต่อศาลอาญา
การกระทำเช่นนี้มีเหตุผลสมกันในวิจารณญาณของอัยการสูงสุดหรือไม่ ?
ซึ่งตรงนี้
ถ้าศาลยินยอมให้ถอนคดีออกไปได้ ก็ถือเป็นมาตรฐานได้ว่า
ต่อไปถ้ามีพระรูปไหนโกงเงินวัดไป แล้วถูกดำเนินคดี ก็แก้ตัวง่ายๆ
เพียงหาเงินมาคืนให้ อัยการสั่งไม่ฟ้อง หรือถอนฟ้อง ศาลก็สั่งปล่อยตัว
ก็หมดมลทิน และอาจจะนำไปเทียบเคียงกับคดีโกงอื่นๆ ได้ด้วย
โดยไม่ต้องมีการปรับไหมอะไรทั้งสิ้น
2.
อัยการอ้างอิงพาดพิงถึงพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช
ซึ่งทรงมีพระสังฆราชวินิจฉัยไว้เป็น 2 ประเด็น คือ
2.1 พระธัมมชโยได้สอนสั่งพระธรรมวินัยระบุว่า
พระไตรปิฎกบกพร่อง ก่อให้เกิดความแตกแยกในคณะสงฆ์เป็นสองฝ่าย
ถือเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา เป็นอนันตริยกรรม
2.2 การเบียดบังทรัพย์สินของวัดไปเป็นสมบัติส่วนตัว พระธัมมชโยถ้าหากไม่มีเจตนาจะลักขโมยก็ต้องรีบคืนทรัพย์สินให้แก่วัดพระธรรมกายในทันทีเพื่อแสดงความบริสุทธิ์
มิเช่นนั้นก็เข้าข่ายอาบัติปาราชิกข้อที่ 2 ต้องสิ้นสุดจากความเป็นพระ
ซึ่งตามประเด็นในพระลิขิตทั้งสองข้อนั้นก็แบ่งออกเป็นสองส่วน
คือส่วนที่เกี่ยวกับการทำลายพระธรรมคำสอน เป็นการสร้างความแตกแยกในคณะสงฆ์
ที่เรียกว่าสังฆเภท เป็นโทษขั้นอนันตริยกรรม ระดับเดียวกับข้อหาหนักอื่นๆ
คือ ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ และทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงเสียพระโลหิต
พระธัมมชโยโดนคดีทางพระธรรมวินัยในข้อนี้ ซึ่งนับว่าสาหัสมาก
ซึ่งส่วนที่เกี่ยวกับพระธรรมวินัยในข้อนี้ ต้องชี้ว่า
"มิใช่อำนาจหน้าที่ของอัยการจะยื่นฟ้องต่อศาล"
หากแต่เป็นอำนาจของ
"ศาลสงฆ์" เท่านั้น
ที่จะต้องพิจารณาไต่สวน ซึ่งคณะสงฆ์ได้ตั้งให้พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร)
วัดยานนาวา อดีตเจ้าคณะภาค 1 เป็นประธานในการสอบสวน
ซึ่งได้สั่งปิดคดีไปหนหนึ่ง จนถึงพระพรหมโมลี (วิลาส)
ถูกปลดจากกรรมการมหาเถรสมาคมและเจ้าคณะภาค 1 ส่งผลให้พระธรรมโมลี (สมศักดิ์
อุปสโม) ขึ้นดำรงตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 แทน และรับหน้าที่ประธานศาลสงฆ์สืบมา
แม้กระทั่งวันนี้ศาลสงฆ์ก็ยังไม่สามารถลงมติได้ว่า
"พระธัมมชโยผิดหรือถูก"
ดังนั้น การอ้างเอาผู้รู้ทางพระพุทธศาสนา เช่น อธิบดีกรมการศาสนา
ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หรือแม้แต่เจ้าคณะภาค 1
ซึ่งเป็นประธานศาลสงฆ์ มารับรองความบริสุทธิ์ของพระธัมมชโยในประเด็นเกี่ยวกับพระธรรมวินัย
จึงน่าจะไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของอัยการ
อาจจะอ้างได้ก็เพียงเหตุผลเทียบเคียงเพื่อเพิ่มน้ำหนักหรือความชอบธรรมให้แก่จำเลยเท่านั้น
เพราะอัยการไม่มีอำนาจสั่งฟ้องศาลในกรณีที่เกี่ยวกับพระธรรมวินัย
และเพราะคณะสงฆ์ไทยก็มีศาลสงฆ์ไว้พิจารณาคดีนี้อยู่แล้ว
จึงต้องแยกประเด็นให้ขัดเจนว่าอัยการฟ้องได้หรือไม่ได้ในประเด็นไหน
ในข้ออ้างของอัยการเกี่ยวกับพยานบุคคลลำดับที่ 3 คือ เจ้าคณะภาค 1
ว่าได้รับรองว่าพระธัมมชโยมิได้สอนนอกกรอบพระธรรมวินัยแต่อย่างใด
หากแต่ได้สอนถูกต้องตามกระบวนการในพระไตรปิฎกทั้งสิ้น
ตรงนี้มีประเด็นให้วินิจฉัยอีกข้อหนึ่ง คือว่า
เจ้าคณะภาค 1 นั้น ตามกฎนิคคหกรรมซึ่งเป็นกฏหมายสำหรับชำระคดีความทางสงฆ์
กำหนดให้เจ้าคณะภาค 1 เป็นประธานศาลสงฆ์ในคดีพระธัมมชโยโดยตำแหน่ง
ซึ่งน่าแปลกใจว่า ประธานศาลสงฆ์ซึ่งมีหน้าที่พิจารณาคดีความของพระธัมมชโย
กลับไปแสดงตัวเป็นพยานให้พระธัมมชโยในคดีอาญา ถามว่ามันเป็นไปได้อย่างไร ?
คือตัวเองเป็นผู้พิพากษาในคดีที่เกี่ยวกับพระธรรมวินัยนี้
แต่กลับไปเป็นพยานยืนยันช่วยเหลือพระธัมมชโยในอีกศาลหนึ่ง
เกี่ยวกับเรื่องเดียวกันคือพระธรรมวินัย
ในขณะที่ศาลสงฆ์ของตัวเองนั้นทำเป็นเก้ๆ กังๆ สืบสวนเนินนาบเนิ่นช้า
จนป่านนี้ก็ยังไม่มีคำวินิจฉัยออกมาจากศาลสงฆ์ว่าพระธัมมชโยผิดหรือไม่ผิด
นับเป็นความวิปริตในกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยสมัยปัจจุบัน
ตามที่อัยการอ้างว่า
"จำเลยที่
1 กับพวกได้มอบทรัพย์สินทั้งหมด ซึ่งมีทั้งที่ดินและเงินจำนวน 959,300,000
บาท คืนให้แก่วัดพระธรรมกาย การกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ 1
กับพวก จึงเป็นการปฏิบัติตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ครบถ้วนทุกประการแล้ว"
จึงขอถอนฟ้อง
ตรงนี้ต้องขอวิจารณ์ว่า คำอ้างของอัยการสมเหตุสมผลหรือไม่ ?
1.
ที่อัยการสั่งฟ้องพระธัมมชโยไปนั้น
เพราะมีพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชออกมากระนั้นหรือ คือหมายความว่า
แต่เดิมนั้นพระธัมมชโยกระด้างกระเดื่องต่อสมเด็จพระสังฆราช
อัยการจึงสั่งฟ้อง หากแต่บัดนี้พระธัมมชโยกลับใจประพฤติตัวเสียใหม่แล้ว มิกระด้างกระเดื่องอีกต่อไป
อัยการจึงเห็นสมควรถอนฟ้อง
แต่ผู้เขียนกลับเห็นว่า ตรงนี้มิใช่อำนาจหน้าที่วินิจฉัยของอัยการเลย
เพราะอัยการมีอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวพันเฉพาะคดีอาญาเท่านั้น
มิได้เกี่ยวพันกับพระธรรมวินัยหรือพระวินิจฉัยของสมเด็จพระสังฆราช
เพราะไม่มีกฎหมายข้อไหนที่ระบุว่า
"ถ้าพระภิกษุสามเณรรูปใดฝ่าฝืนต่อพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช
พระภิกษุสามเณรรูปนั้นมีความผิดเป็นคดีอาญา" ดังนั้นการอ้างว่า พระธัมมชโยปฏิบัติตามพระลิขิตทุกประการจึงขอถอนฟ้องจึงฟังไม่ขึ้น
หรือแม้แต่จะอ้างพระลิขิตเพื่อฟ้องก็ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
2.
ในพระลิขิตระบุไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า
พระธรรมชโยได้เผยแพร่คำสอนนอกพระไตรปิฎก
เป็นการทำลายพระธรรมวินัยของคณะสงฆ์ไทย
ทั้งยังเป็นการสร้างความแตกแยกให้แก่คณะสงฆ์ไทย เป็นถึงระดับอนันตริยกรรม
ตามข้อนี้แสดงว่า พระธัมมชโยเป็นตัวก่อการสร้างความแตกแยกให้แก่ประชาชนในชาติ
และทำลายสถาบันศาสนา อัยการเห็นเช่นนั้นตามพระลิขิตจึงสั่งฟ้อง แต่บัดนี้
อัยการเองนั่นแหละกลับพลิกสำนวนเสียใหม่ว่า การดำเนินคดีกับพระธัมมชโยเสียอีกที่เป็นการสร้างความแตกแยกในชาติและศาสนา
จึงมีคำถามต่อมาว่า ถ้าหากอัยการพิจารณาเห็นว่า การดำเนินคดีต่อพระธัมมชโยเป็นการสร้างความแตกแยกจริง
เหตุไฉนจึงได้ดำเนินการฟ้องร้องพระธัมมชโยต่อศาล
หรือว่าตอนนั้นมันมิได้พิจารณากันในจุดนี้ ซึ่งอัยการอาจจะมองไม่เห็น
หรือพิจารณาไม่รอบคอบ จึงสั่งฟ้องไป บัดนี้เห็นภัยใหม่เกิดขึ้นจึงขอถอนฟ้อง
เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ฟ้องไปถึงภูมิปัญญาในการทำงานเพื่อบ้านเมืองของอัยการสูงสุดเองว่าสมบูรณ์หรือบกพร่องเช่นใด
สรุปประเด็นนี้ชัดๆ ก็คือว่า อัยการอ้างเหตุผลขัดกันเอง
คือแรกนั้นสั่งฟ้องเพราะเห็นว่าพระธัมมชโยเป็นตัวการทำลายชาติและศาสนา
แต่ต่อมากลับเปลี่ยนใจใหม่ว่า การดำเนินคดีกับพระธัมมชโยเป็นการทำลายชาติและศาสนา
ดังนั้น การยุติคดีต่อพระธัมมชโยจึงเป็นการรักษาไว้ซึ่งความสามัคคีในชาติ
เอ่อ ยังงี้ก็มีด้วย
ก็ดังที่ผู้เขียนได้สาธยายมาตามลำดับ คือว่า
อัยการอ้างเอาพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชมาเป็นตัวหลักในการช่วยพระธัมมชโยให้พ้นจากการดำเนินคดี
ทั้งๆ ที่อัยการไม่มีอำนาจหน้าที่พิจารณาในพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชเลย
อำนาจหน้าที่ของอัยการก็คือ พิจารณาดูว่า
พฤติกรรมการเบียดบังทรัพย์สินของวัดพระธรรมกายไปนั้นเป็นคดีอาญาหรือไม่
แล้วก็สั่งฟ้อง ก็แค่นั้น
ส่วนพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชนั้นจะจริงหรือไม่จริง
ก็มิใช่ประเด็นหลักที่จะนำมาอ้าง และเมื่อจะอ้างก็อ้างขัดกันอีก
เพราะทีแรกก็อ้างว่าพระธัมมชโยผิดตามพระลิขิต จึงสั่งฟ้อง
แต่ต่อมาก็อ้างว่า พระธัมมชโยได้ปฏิบัติตามพระลิขิตแล้ว
จึงไม่ควรฟ้อง เพราะถ้าฟ้องก็จะเป็นการสร้างความแตกแยกในชาติ ทั้งๆ
ที่น่าจะเป็นการสร้างสมานฉันท์ในชาติมากกว่า
เพราะการสั่งลงโทษคนผิดนั้นถือเป็นกระบวนการยุติธรรมที่ต้องตัดสินโดยไม่มีการลูบหน้าปะจมูก
และในกฎหมายอาญาก็ไม่มีข้อความใดที่ระบุว่า
"ถ้าพระหรือบุคคลใดมีอิทธิพลทางการเมืองหรือการศาสนามาก
ก็ให้ใช้หลักรัฐศาสตร์ในการตัดสินคดี"
ดังนี้เลย ยกเว้นก็แต่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์
ประเด็นสุดท้ายที่อัยการนำมาอ้างขอถอนคดีจากศาลอาญาก็คือ
"ขณะนี้
บ้านเมืองต้องร่วมกันสร้างความสามัคคีของคนในชาติทุกหมู่เหล่า
เห็นว่าหากดำเนินคดีกับจำเลยทั้งสองต่อไป
อาจก่อให้เกิดความแตกแยกในศาสนจักร โดยเฉพาะพระภิกษุ สามเณร
และประชาชนทั้งในและต่างประเทศที่นับถือศาสนาพุทธ
และไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณะ อัยการสูงสุดจึงมีคำสั่งให้ถอนฟ้องคดีนี้"
ซึ่งประเด็นนี้ต้องวินิจฉัยกันยืดยาว
คืออัยการเห็นว่า
เวลานี้บ้านเมืองต้องการความสามัคคี การดำเนินคดีกับพระธัมมชโยจึงเป็นการขัดต่อความสามัคคีของคนในชาติ
ทั้งยังเป็นการสร้างความแตกแยกในศาสนจักร ไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ
จึงขอถอนฟ้อง ตรงนี้ถือว่าเป็นเรื่องรัฐศาสตร์ มิใช่นิติศาสตร์
คำถามต่ออัยการก็คือว่า
คดีความเช่นใดที่อัยการเห็นว่าถ้าฟ้องแล้วจะเป็นการสร้างความแตกแยกให้แก่คนในชาติ
ทั้งยังเป็นการเสียหายต่อศาสนจักร ถ้าเอาคดีพระธัมมชโยเป็นตัวอย่าง
ก็ขอถามว่า
คดีหลวงพี่เล็กใบ้หวยถือเป็นคดีที่สร้างความแตกแยกให้แก่ประเทศชาติและประชาชนไปจนถึงพระภิกษุสามเณรไหม
คดีสันติอโศกด้วยใช่หรือไม่ แล้วทำไมสันติอโศกจึงถูกลงโทษ
ขณะที่คดีธรรมกายกลับรอด นี่เป็นดับเบิ้ลแสตนดาร์ดหรือเปล่า ?
เอาอะไรมาเป็นบรรทัดฐานในการพิจารณาสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องล่ะ
การสอนสั่งนอกพระไตรปิฎกในประเด็นที่ว่า
"พระนิพพานเป็นอัตตา"
ของพระธัมมชโยและสาวกธรรมกายนั้น พระธัมมชโยยอมรับหรือยังว่าตัวเองสอนผิด
และขอสอนใหม่ ซึ่งต้องมีกระบวนการละทิ้งมิจฉาทิฐิในทางสงฆ์ แต่ถามว่า
ที่อัยการอ้างมานั้นพระธัมมชโยได้ผ่านกระบวนการรับรองจากทางศาลสงฆ์แล้วหรือไม่
หรือแม้แต่การที่อัยการอ้างเอาเจ้าคณะภาคหนึ่งซึ่งเป็นหัวหน้าศาลสงฆ์มาเป็นพยานช่วยในจุดนี้นั้นมันฟังขึ้นหรือไม่
?
บทบาทของอัยการที่ออกมาจึงกลายเป็นว่า
"อัยการมีใจเอนเอียงเข้าข้างพระธัมมชโย
ฝักใฝ่ช่วยเหลือให้พระธัมมชโยหลุดคดี"
จึงสู้อุตส่าห์เสาะหาเหตุผลเพื่อช่วยเหลือพระธัมมชโยให้รอดคดีอาญา
ตามพฤติกรรมของอัยการที่ปรากฏชัดแล้ว
นี่เป็นข้อสงสัยของผู้เขียนต่อกระบวนการทางยุติธรรมของประเทศไทยในวันนี้
อย่างไรก็ตาม
คดีธรรมกายนั้นนับว่าเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่พระสงฆ์ไทยต้องศึกษา
จะได้รู้ว่า นอกจากเรื่องพระธรรมวินัย พระไตรปิฎก และนิติศาสตร์แล้ว
ยังมีรัฐศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างสำคัญ
การวินิจฉัยคดีความของอัยการและศาลไทยในวันนี้
มิได้ใช้แต่ประมวลกฎหมายอาญาแต่เพียงอย่างเดียวแล้ว ดูอย่างอัยการสิ
อ้างมั่วตั้วไปหมด
ขนาดประธานศาลสงฆ์ก็ยังถูกอ้างเป็นพยานช่วยเหลือจำเลยให้พ้นโทษ !
และศาลอาญาก็เชื่อเช่นนั้นด้วย นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับที่ 8
ของโลกโดยแท้
ยุทธวิธีในการบริหารคดีของหลวงพี่ธัมมชโยตั้งแต่เริ่มแรกในศาลสงฆ์และศาลอาญานั้นนับว่าคลาสสิกยิ่งนัก
เป็นอะไรที่เรียกว่า
"เคสสตั๊ดดี้"
หรือเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจยิ่งกว่าคดีสันติอโศก
คือสันติอโศกนั้นดึงดันจะให้ศาลตัดสินให้สิ้นสุด
แพ้หรือชนะไปว่ากันที่ศาลอาญา เรียกว่าเป็นการดับเครื่องชน ได้เป็นได้
เสียเป็นเสีย พังเป็นพัง ดับเป็นดับ แลกกันหนัก ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
ใครดีใครอยู่ ซึ่งรู้ผลไปแล้ว แต่กับกรณีธรรมกายนี้ใช้วิธี
"หนอนบ่อนไส้"
ใช้คนเข้าประกบคณะผู้พิจารณาคดี ถ่วงคดีไว้ให้เนิ่นช้า ให้หมดอายุความ
หรือถึงที่สุดก็ขอให้ศาลสงฆ์วินิจฉัยสั่ง
"ไม่ฟ้อง"
หรือวินิจฉัยว่า
"ผิดเพียงเล็กน้อย"
โดยอธิบายว่า
"วัดพระธรรมกายยังไม่มีความรู้ในด้านพระอภิธรรมปิฎกอย่างเพียงพอ
จึงต้องให้วัดพระธรรมกายตั้งสำนักเรียนพระอภิธรรมขึ้นมา
จะได้ไม่สอนสั่งผิดแบบแผนคณะสงฆ์ไทยในพระไตรปิฎกอีกต่อไป"
ซึ่งอ่านยังไงมันก็เป็นการช่วยเหลือกันดีๆ นี่เอง เพราะมีอย่างหรือ
คนที่ประกาศตัวเองเป็นเจ้าลัทธิ
อุตริตำหนิพระไตรปิฎกของคณะสงฆ์ไทยซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
และพระราชวงศ์จักรีทุกพระองค์ทรงขวนขวายสร้างไว้คู่ชาติไทย
แต่เมื่อถูกนำตัวขึ้นศาลสงฆ์แล้ว กลับถูกตำหนิเพียงแค่ว่า
"ศึกษาพระอภิธรรมไม่กระจ่าง
ต้องเรียนใหม่" เอ่อ
แล้วนี่ถ้ามีพระสงฆ์ไทยรูปอื่นๆ อุตริสอนนอกพระธรรมวินัยเหมือนธัมมชโยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
คงมิต้องเปิดโรงเรียนพระอภิธรรมเพื่อไถ่โทษทุกคดีหรือ
เมื่อพระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร) อดีตเจ้าคณะภาค 1
ซึ่งเป็นประธานศาลสงฆ์สอบสวนพระธัมมชโยเป็นศาลแรกนั้น ท่านมีมติให้ตำหนิพระธัมมชโยในเรื่องความอ่อนด้อยในวิชาพระอภิธรรม
จึงสั่งให้พระธัมมชโยไปเรียนพระอภิธรรมให้ลึกซึ้ง
จะได้เข้าถึงหัวใจของพระไตรปิฎกว่างั้น ทั้งๆ
ที่พระเณรไทยทั่วประเทศก็แทบไม่มีใครเรียนพระอภิธรรมจนจบหลักสูตรเลย
เพราะในหลักสูตรภาคบังคับของคณะสงฆ์ไทย คือนักธรรมชั้นตรี โท และเอก นั้น
ไม่มีวิชาพระอภิธรรมสอน ซึ่งตรงนี้ถ้าจะว่าพระธัมมชโยบกพร่องเพราะไม่ได้เรียนพระอภิธรรม
ก็ต้องตำหนิคณะสงฆ์ไทยหรือมหาเถรสมาคมเสียเองแหละว่า ไม่สั่งไม่สอน
แล้วจะให้เขาตรัสรู้ได้อย่างไร จึงต้องถามด้วยว่า ถ้าใช้พระอภิธรรมเป็นหลักในการวินิจฉัยพระธรรมวินัย
ในเมื่อพระสงฆ์ไทยส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เรียนอภิธรรม
ทำไมมหาเถรสมาคมจึงไม่บังคับให้พระสงฆ์ไทยทุกรูปต้องเรียนพระอภิธรรม
จะได้ไม่สั่งผิดสอนผิดเหมือนพระธัมมชโย
ตรงนี้กลับกลายเป็นความบกพร่องของระบบการศึกษาและการปกครองของคณะสงฆ์ไทยเสียเอง
ต้องชอกช้ำระกำใจเมื่อทำอะไรเขาไม่ได้ จำใจต้องปล่อยเสือเข้าป่า
ปล่อยจระเข้ลงหนอง ไปตามเวรตามกรรม
เหตุการณ์ต่อมาก็คือว่า ทางวัดพระธรรมกายเล่นหัวหมอ
เมื่อศาลสงฆ์ของหลวงพ่อวิลาศ วัดยานนาวา พิพากษาออกมาเช่นนี้
ก็ถือว่าผิดเพียงเล็กน้อย ธัมมชโยรอดตัวร้อยเปอร์เซ็นต์
แต่ยังมีผู้คนไม่พอใจได้ขอฟ้องต่อ ทีนี้วัดพระธรรมกายก็หัวหมอ ประกาศว่า
"คดีที่สิ้นสุดไปแล้วนั้นจะฟื้นขึ้นมาใหม่ไม่ได้ เพราะผิดพระวินัย
ใครรื้ออธิกรณ์ก็ต้องอาบัติ" ยันกันไปยันกันมา จนท้ายที่สุด พระพรหมโมลี
(วิลาศ ญาณวโร) ถูกปลดจากตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1
ส่งผลให้ตำแหน่งประธานผู้พิพากษาคดีนี้สิ้นสุดไปด้วย พระธรรมโมลี (สมศักดิ์
อุปสโม) วัดพิชยญาติการาม ได้เข้ามาดำรงตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1
และประธานศาลสงฆ์สืบต่อจากนั้น โดยมีมติมหาเถรสมาคมออกมาว่า
"คฤหัสถ์สามารถฟ้องร้องพระสงฆ์ในทางพระธรรมวินัยได้" เทคนิกของทีมงานกฏหมายและพระธรรมวินัยขอวัดพระธรรมกายในการช่วยเหลือพระธัมมชโยก็คือ
"ตัดตอนคดีไม่ให้สิ้นสุด"
หรือถ้าจะสิ้นสุดก็ให้
"ผิดเบาและรื้อฟื้นไม่ได้"
มาจนถึงข่าววันนี้ที่อัยการขอถอนฟ้อง ทั้งๆ ที่ข่าวก็ระบุว่า
เหลือพยานอีกเพียง 2 ปาก ศาลอาญาก็จะพิพากษาแล้ว แต่ธัมมชโยยังขยันวิ่งล็อบบี้อัยการสูงสุด
ขอให้ถอนฟ้องก่อนคำพิพากษาจะออกมาในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า
นับว่าเป็นกลยุทธ์สุดยอดทีเดียว
แต่..แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่พระธัมมชโยและคณะวัดพระธรรมกายแสดงออกมานี้
ส่อแสดงให้เห็นว่า พระธัมมชโยและคณะวัดพระธรรมกายนั้น
กลัวการซักฟอก กลัวคำพิพากษา
ไม่กล้าฟังว่าตัวเองผิดยังไง จึงจำเป็นต้องหาทางตัดตอนคดีเสียแต่ตอนนี้
ซึ่งน่าเสียดายจริงว่า ถ้าท่านแน่ใจว่าท่านเป็นอัจฉริยะบุคคลแห่งยุค
ระดับศาสตราจารย์เจ้าลัทธิ
ผู้วางแผนสร้างวัดพระธรรมกายให้ยิ่งใหญ่ระดับโลกจริงแล้วไซร้
เหตุใดจึงไม่กล้าท้าพิสูจน์ในลัทธิธรรมกายของท่านว่ามันเป็นของจริงหรือของปลอม
เหตุใดเล่า ในเมื่อจะค้าจะขายเป็นบุญเป็นพระประจำตัวหรือแม้แต่พระปลดหนี้
พวกท่านกลับประโคมโน้มน้าวว่าดีวิเศษอย่างโน้นอย่างนี้
วิชาธรรมกายเป็นสิ่งใหม่ในโลก หลวงพ่อสดตรัสรู้ด้วยตนเอง
และต้องผ่องถ่ายเป็นวิชาลึกลับภายในสำนักวัดปากน้ำผ่านยายชีจันทร์สู่ธัมมชโยเท่านั้น
แต่ในเมื่อต้องการท้าพิสูจน์ผ่านศาลว่า
สิ่งที่ท่านอุตริสอนนั้น
ถูกหรือผิด
ตามหลักการในพระไตรปิฎก
ท่านเสียเองที่รีบกลับคำว่า
"ผมสอนผิด
จะขอสอนใหม่ตามพระไตรปิฎกของคณะสงฆ์ไทย"
ซึ่งเป็นการยอมรับอย่างเลี่ยงไม่ได้ว่า
ทฤษฎีธรรมกายที่เคยอวดอ้างสรรพคุณมาทั้งหมดนั้นเหลวไหลไร้สาระ
คือโกหกหลอกลวง
เพราะท่านเองยอมรับว่าสอนผิด และขอสอนใหม่
แต่ถ้ามิเป็นจริงก็เป็นสิ่งที่ยินยอมกระทำไปด้วยใจคดโกง
หลอกอัยการให้หลงเชื่อเพื่อให้ตนเองพ้นบ่วงคดีอาญาเป็นลิงหลอกเจ้าเท่านั้นเอง
ซึ่งในสายตาของผู้รู้เมื่อรู้เห็นเช่นชาติเช่นนี้แล้ว
เขาก็เห็นเป็นเพียง
"คนกระจอก"
กับ
"คดีกระจอก"
เท่านั้นเอง
|