แม่พระ
 


 

   คำว่า "แม่พระ" ณ ที่นี้ ผู้เขียนแปลมาจากภาษาบาลีที่ว่า มหาอุบาสิกา ซึ่งเป็นคุณนามเฉพาะของคุณแม่วิสาขา อุบาสิกาผู้มีชีวิตร่วมสมัยกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ประวัติของมหาอุบาสิกาวิสาขานั้นนับว่าอัศจรรย์นัก เพราะเป็นหญิงเบญจกัลยาณี มีความพร้อมด้วยความงาม 5 ประการ คือ งามผม งามเนื้อ งามฟัน งามผิว และงามวัย ซึ่งท่านมีคำจำกัดความงาม 5 ประการนั้นไว้ ดังนี้

     1. งามผม ผมงาม ดำวาววับจับตา เส้นละเอียดเหมือนไหม ไม่แตกปลาย ไม่ต้องใช้ซันซิลหรือครีมนวดอื่นใดก็สวยงามเป็นธรรมชาติ เวลาสยายปล่อยลงอย่างสบายๆ ครั้นกระทบกับชายผ้านุ่งก็จะสะท้อนกลับ นับเป็นความงามที่หาได้ยากประการแรก

    2. งามเนื้อ เนื้อที่ว่านี้ท่านชี้ไปที่เนื้อริมฝีปาก ริมฝีปากสวยๆ นั้นต้องมีสีแดงงามเหมือนผลมะพลับ ทั้งปากนั้นต้องได้ทรวดทรงสวยงาม ไม่แหว่งหรือมีตำหนิอยู่เลย

     3. งามฟัน เป็นความงามที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในช่องปาก ต้องยิ้มหรือพูดจึงจะมองเห็น ฟันที่สวยงามก็ต้องขาวและได้ระเบียบ ไม่ห่าง ไม่เขว ไม่เป็นรูเป็นรอย

     4. งามผิว ผิวของผู้หญิงอินเดียที่ท่านว่าสวยๆ นั้น ท่านแบ่งออกเป็น 2 สี ถ้าสีขาวก็ต้องขาวเหมือนสีดอกมะลิ เช่นพระนางมัลลิกานั้นว่ากันว่ามีผิวเหมือนสีดอกมะลิ จึงได้ชื่อว่ามัลลิกา แปลว่านางสาวมะลิ พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงทั้งรักทั้งหลง ส่วนอีกโทนหนึ่งนั้นเป็นสีดำ เรียกว่าดำมหาเสน่ห์ เจ้าของสีผิวสีนี้ที่ดังที่สุดก็คือ นางสาวอุบลวรรณา แปลว่ามีผิวเหมือนดอกบัว ซึ่งมีพระราชามหากษัตริย์และอภิมหาเศรษฐีทั่วอินเดียส่งเถ้าแก่มาเจรจาสู่ขอกับพ่อแม่ แต่นางไม่มีกะใจจะแต่งงาน จึงขอบวชเป็นพระภิกษุณี ผิวสีงามๆ แบบไทยๆ ท่านว่าต้อง "ผิวพม่า นัยน์ตาแขก" คือผิวดำขำหรือดำแดง จะดำก็ไม่ใช่ จะแดงก็ไม่เชิง เป็นสีผสมกลมกลืน จนคนทางเหนือเรียกว่า "ผิวตุ๊หลวงร้องไห้" คือเจ้าอาวาสเห็นแล้วถึงกับร้องไห้ใคร่สึกนั่นแหละ นี่เรื่องจริงนา ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าไว้ ก็เอามาเล่าต่อกันอีกที อย่าหาว่าผู้เขียนแก่แดดเลย ไม่เชื่อไปถามดูสิ

    5. งามวัยนั้นท่านว่าก็คืองามสมกับวัย สมัยยังวัยรุ่นก็หุ่นงาม ออกบ้านออกเรือนแล้วก็งามเป็นสาวใหญ่ ครั้นเจริญวัยเป็นคุณแม่ก็เหมือนเพลงที่ตั้งชื่อว่า "คุณแม่ยังสาว" นั่นแหละ จะเป็นเช่นใดท่านผู้อ่านก็คงเข้าใจนะ

    ความงามอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งมีในสตรีคนไหนท่านก็ว่าโชคดียิ่งกว่าถูกหวย เพราะเทพเจ้าทรงประทานพรสวรรค์มาเช่นนั้น เพราะบุรุษนั้นจะรวยก็เพราะมีสติปัญญา ถ้าเป็นสตรีถึงจะหัวดี แต่ถ้าไม่สวย รับรองว่าขายไม่ออก นี่บอกกันตรงๆ แต่สำหรับนางวิสาขาแล้ว หล่อนมีครบทั้ง 5 ประการ ก็เรียกว่ายิ่งกว่าถูกซุปเปอร์ล็อตโต้ซะอีก แถมครอบครัวของนางนะเป็นอภิมหาเศรษฐีทีเดียว เงินทองของใช้กินสักสิบชาติก็ยังไม่มีวันหมด

      เมื่อเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาปวารณาตัวลงเป็นอุบาสิกาต่อหน้าพระพุทธเจ้าแล้ว นางวิสาขาก็สั่งสมคุณสมบัติของมหาอุบาสิกาที่เรียกว่าเป็นต้นแบบแม่พระ

      ตอนเช้านั้น นางตื่นขึ้นมาก็สั่งข้าทาสบริวารให้ตระเตรียมข้าวต้มและภัตตาหารไว้ตักบาตร หลังจากตักบาตรเสร็จก็ตระเตรียมข้าวปลาอาหารและธูปเทียนดอกไม้ไปวัดเพื่อฟังธรรม ฟังธรรมเสร็จออกจากธรรมศาลาแล้ว นางยังชวนเพื่อนๆ เดินเลียบเลาะไปตามสุมทุมพุ่มไม้และกุฏิต่างๆ ภายในวัด สำรวจตรวจตราดูว่า จะมีพระสงฆ์สามเณรรูปไหนป่วยไข้ หรือเดินทางไกล มีความจำเป็นต้องใช้คิลานปัจจัยเภสัชบริขารอันเป็นกัปปิยะ คือว่าเหมาะสมสำหรับสมณะสารูปเช่นใดบ้าง จะได้จัดถวาย ครั้นสำรวจถ้วนถี่แล้วนางจึงเดินทางกลับ

     วัดบุพพารามที่นางวิสาขาสร้างถวายนั้น ก่อสร้างใหญ่โตที่สุดในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา คือว่าสร้างเป็นตึกสูงหลายสิบชั้น มีห้องพักตั้ง 1,000 ห้อง (อ่านว่าหนึ่งพันห้อง) มีตุ่มน้ำหรือน้ำประปาอยู่บนหลังคา เปิดให้น้ำไหลเลี้ยงทั่วตัวตึกได้อย่างสะดวกสบาย พื้นห้องนั้นปูด้วยพรมเปอร์เซีย อาคารแห่งนั้นท่านเรียกว่า โลหปราสาท ส่วนค่าก่อสร้างนั้นก็คงไม่ต่ำกว่าพันล้าน

     นั่นเป็นกิจวัตรในการไปวัดธรรมดาๆ ของนางวิสาขา แต่ที่จะนำเสนอในวันนี้นั้น เป็นทั้งอัจฉริยภาพและคุณธรรมน้ำใจของคนที่เป็น "แม่พระ"

     เรื่องมีอยู่ว่า กลางพรรษาหน้าหนึ่ง นางวิสาขาได้ทูลอาราธนาพระศาสดาพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ไปฉันภัตตาหารเพลที่บ้าน ครั้นวันรุ่งขึ้น นางสาละวนอยู่กับการเตรียมงาน จึงสั่งสาวใช้นางหนึ่งให้ไปทูลอาราธนาพระพุทธองค์ว่า ภัตตาหารพร้อมแล้ว

    ในตอนเช้าวันนั้นบังเอิญว่าเกิดฝนตกหนัก พระพุทธองค์จึงทรงปรารภกับพระภิกษุสงฆ์ว่า "ท่านใดไม่ได้สรงน้ำมาหลายวัน ก็ขอให้สรงเสียเดี๋ยวนี้" พระสงฆ์ทั้งหมดจึงพร้อมกันสรงคืออาบน้ำ ซึ่งการอาบสมัยนั้นก็ง่ายๆ แค่เปลื้องสบงอันเป็นผ้านุ่งออกก็ออกไปอาบกลางลานวัดได้แล้ว เพราะพระสมัยนั้นต้องใช้ผ้านุ่งเพียงผืนเดียว ถ้านุ่งผ้าอาบน้ำแล้วจะเอาผ้าที่ไหนผลัดเปลี่ยน

     นางทาสีถือร่มเดินฝ่าสายฝนมุ่งหน้าไปวัดพระเชตวัน ครั้นจะเดินเลี้ยวเข้าประตูวัดก็ต้องต๊กกะใจ เมื่อเห็นผู้ชายเปลือยกายอาบน้ำอยู่เต็มไปหมด ด้วยความอายจึงไม่กล้าเข้าวัด รีบเดินกลับมารายงานให้นางวิสาขาทราบว่า "ในวัดมีแต่ชีเปลือย"

      นางวิสาขาได้ฟังก็เข้าใจว่าพระสงฆ์คงจะสรงน้ำ "เด็กนี่ชั่งโง่จริง" หล่อนคิด และคิดว่า "เวลานี้พระสงฆ์คงสรงน้ำเสร็จแล้ว" จึงสั่งสาวใช้ให้เดินไปวัดอีกหน ครั้นสาวใช้ไปถึงหน้าวัดก็พบพระพุทธองค์ทรงนำพระสงฆ์เสด็จออกมาแล้ว

       วันนั้น หลังจากถวายภัตตาหารเพลแล้ว นางวิสาขาได้ทูลขอพรต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า "ขอจงทรงมีพระเมตตาผ่อนผันให้พระสงฆ์รับผ้าอาบน้ำฝนไว้ใช้ได้" เพราะจะเป็นการช่วยปกปิดสิ่งที่ควรละอาย ซึ่งสาวใช้ของนางได้พบในเช้าวันนี้

     พระพุทธองค์จึงทรงสรรเสริญสติปัญญาของนางวิสาขา และทรงเมตตาอนุญาตให้พระสงฆ์มีผ้าอติเรกจีวรคือผ้าอาบน้ำฝนไว้ใช้ได้คนละผืน นับเป็นผ้าผืนที่ 4 ซึ่งแต่เดิมทรงกำหนดให้มีเพียง 3 ผืน คือผ้าสบงสำหรับนุ่ง ผ้าจีวรสำหรับห่ม และผ้าสังฆาฏิ เป็นผ้าหนาสองชั้น สำหรับคลุมเป็นเสื้อโค๊ตกันหนาว เท่านั้น

      นั่นแหละคือคุณธรรมน้ำจิตของบุคคลที่ควรยกย่องเชิดชูว่าเป็น "แม่พระ" คือว่า ถ้าเกิดปัญหาครหานินทาว่ากล่าวเป็นที่เสื่อมเสียต่อพระเจ้าพระสงฆ์และพระพุทธศาสนา อุบาสกอุบาสิกาที่ดีนั้นย่อมจะพิจารณาด้วยหัวอกของพ่อและแม่ คือมองพระให้เหมือนลูกในไส้ของตนเอง สิ่งใดไม่ดีไม่งามก็ปกปิดไว้แล้วค่อยๆ แก้ไขให้ถูกแบบแผน ไม่โฉ่งฉ่างประจานออกไปภายนอกให้เป็นที่เสียหายร้ายแรงซ้ำเติมเข้าไปอีก

     ระยะนี้ท่านผู้อ่านคงจะได้ข่าวหลายๆ ข่าว เกี่ยวกับพระสงฆ์ในทางเสื่อมเสีย ตั้งแต่พระใบ้หวย พระเล่นบอล ไปจนถึงพระมีสัมพันธ์กับสีกา

     ข่าวเหล่านี้ถูกตีไปทางสื่อต่างๆ เหมือนกับว่าเป็นข่าวสามัญ ทั้งๆ ที่มิใช่ข่าวสามัญ หากแต่เป็นข่าวที่คนผู้อ้างตัวเองว่าเป็นพุทธศาสนิกชนช่วยกันประโคมความเสื่อมเสีย ไม่ต่างไปจากการประจานลูกหลานและญาติพี่น้องของเราเอง

     จริงอยู่ ในด้านการตลาดและความสนใจของผู้คนนั้น ถ้าเกิดความเสื่อมเสียกับพระกับเจ้า ผู้คนก็ย่อมสนใจมากกว่าบุคคลธรรมดาทั่วไป เพราะพระภิกษุสามเณรนั้นเป็นบุคคลพิเศษ มีสถานะเป็นนักบวชและเป็นที่เคารพนับถือของพุทธศาสนิกชน ถ้าทำผิดก็ย่อมเป็นที่สนใจเป็นธรรมดา ดังนั้น ถ้ามองในแง่ของการตลาดแล้ว การเล่นข่าวพระสงฆ์ในทางเสียๆ หายๆ มันย่อมขายหนังสือพิมพ์ได้ดีกว่าข่าวอื่นๆ หนังสือพิมพ์บางฉบับและโทรทัศน์บางช่อง ถึงกับมีทีมงานเฉพาะกิจไว้คอยเจาะหรือสืบข่าวพระสงฆ์ในทางเสียๆ หายๆ โดยหวังจะ "ขายข่าวเอาเงินมาเลี้ยงไส้เลี้ยงท้องอย่างเดียว" ส่วนพระศาสนาจะเสียหายเช่นใดนั้น คนเหล่านี้มิเคยสนใจไยดี เพราะคิดว่าตัวเองไม่มีหน้าที่ในการรักษาพระศาสนา หน้าที่นี้เขายกให้แก่พระสงฆ์สามเณรตั้งแต่เริ่มมีพระบวชเป็นรูปแรกในเมืองไทยเราแล้ว !

      เราเคยท่องจำกันมาตั้งแต่เริ่มจำความได้ ว่าไตรรงค์ธงชาติไทยนั้นมี 3 สี มีความหมายถึง ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ แต่ในรัฐธรรมนูญนั้นมีการปกป้องไว้แต่เพียง 2 สถานบันหลักเท่านั้น คือ ชาติ และพระมหากษัตริย์ ส่วนศาสนานั้นกลับไม่มีบทบัญญัติไว้ในฐานะสถาบันหลักของชาติ ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะบัญญัติว่า "พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ" ทั้งนี้เพราะความขลาดกลัวของผู้ปกครองบ้านเมืองนั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ เมื่อมีเหตุการณ์ในด้านลบเกิดขึ้นภายในพระศาสนา ก็เท่ากับว่ารัฐบาลและประชาชนคนไทยปล่อยลอยแพให้พระสงฆ์สามเณรแก้ไขเอาเองตามแต่สถานภาพของใครของมัน

     ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น ข้าราชการทหาร ซึ่งสังกัดกระทรวงกลาโหม เมื่อทหารนายใดกระทำผิดกฎหมายบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นคดีอาญาหรือแพ่ง เขามีสนธิสัญญาไว้กับกระทรวงมหาดไทยว่า "เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถจะจับกุมทหารในเครื่องแบบได้ ยกเว้นแต่เป็นการทำผิดเฉพาะหน้า" ซึ่งถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ เจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องขออนุมัติไปทางต้นสังกัดเพื่อทำการควบคุมตัวทหารนายนั้น ถ้าหากยังไม่ได้รับอนุมัติ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ "ไม่มีอำนาจควบคุม" ทั้งๆ ที่อาจจะมีหลักฐานพยานชัดเจนว่า ทหารนายนั้นได้กระทำผิดกฎหมายชัดเจน แม้ในเวลาสอบสวนทหารนายนั้น ก็ต้องให้สารวัตรทหารร่วมฟังเป็นพยานอยู่ด้วย นั่นเป็นการปกป้องคนในสังกัดอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี

      ทีนี้ เมื่อหันมาดูพระเณรเราบ้าง ทั้งๆ ที่เป็นสถาบันหลักของชาติ ถูกยกย่องสูงส่งกว่าทหารด้วยซ้ำ แต่น่าแปลกว่า "เราไม่มีสนธิสัญญาเหมือนทหารกับตำรวจ" คือว่า มิได้มีอะไรพิทักษ์ปกป้องบุคลาการทางพระพุทธศาสนาในเวลาทำผิด เราจึงได้เห็นว่าทุกครั้งที่มีพระสงฆ์สามเณรกระทำผิด แม้จะเป็นเพียงความผิดเล็กน้อยในทางโลก เช่น การกินเหล้า หรือเข้าไปในสถานอโคจร เป็นต้น ก็จะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมและสอบสวน โดยมิได้ผ่านกระบวนการรับรองของคณะสงฆ์ก่อน คือก่อนที่คณะสงฆ์ผู้ปกครองจะทราบ ก็ปรากฏว่า พระภิกษุ-สามเณร รูปนั้น ได้ผ่านการจับกุมและสอบสวนโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจไปก่อนแล้ว แล้วถามว่า คนไทยให้เกียรติต่อสถาบันหลักคือพระพุทธศาสนากันตรงไหน พูดง่ายๆ ก็หมายถึงว่า ทหารยังมีเกียรติมีศักดิ์ศรีดีกว่าพระภิกษุสามเณรเสียอีก สภาพความเป็นจริงของสังคมและกฎหมายบ้านเมืองไทยตั้งแต่สมัยเก่ามาจนปัจจุบันมันเป็นเช่นนี้ แต่น่าเศร้าใจว่า ไม่มีใครคิดจะกอบกู้สถานภาพของพระพุทธศาสนาให้ดีขึ้น นอกจากด่า ด่า และด่า ถ้าไม่ชอบใจในบทบาทของพระสงฆ์องค์เณร

      เรื่องนี้สำคัญ มิใช่เรื่องเล่นๆ ขอย้ำว่า ถ้าไม่สำคัญผู้เขียนจะไม่เสียเวลามาบรรยาย

      จึงน่าเศร้าใจว่า เมืองไทยไม่มีแม่พระพ่อพระแล้วหรือ ? เราขาดคนที่รู้และเข้าใจในพระศาสนา ขาดคนที่มีศรัทธาอย่างจริงจัง ขาดคนที่แก้ไขปัญหาพระศาสนาเป็น ขาดคนที่มีสติ ขาดคนที่มีวิจารณญาณ ต่องานพระศาสนาอันเป็นงานละเอียดอ่อน เพราะต้องประคับประคองศรัทธาของสาธุชนให้อยู่ในระดับที่ดี ตรงนี้สิสำคัญ

      พระรูปหนึ่งนอนฟังเพื่อนเชียร์บอลก็ร้อนรนจนทนไม่ไหว รีบหมุนโทรศัพท์ไปหาสมณะคนหนึ่งในอีกสังกัดหนึ่ง แล้วสมณะคนนั้นก็รีบเขียนประจานพระสงฆ์ไทยว่า "ประพฤติไม่เหมาะสม" เรียกว่าช่วยกันประโคมข่าวเสียหายให้เต็มที่ เพราะถ้าคณะสงฆ์ไทยเสียหายจนพังไปเร็วเท่าไหร่ คณะของตนซึ่งรอจังหวะอยู่แล้วจะได้แจ้งเกิดเสียที นี่แหละจัญไรทั้งคู่

      ในพระวินัยมีสิกขาบทบัญญัติ "ห้ามมิให้พระภิกษุบอกอาบัติชั่วหยาบ คือตั้งแต่สังฆาทิเสสขึ้นไปให้แก่คฤหัสถ์ทราบ" เพราะเรื่องภายในวัดก็ต้องคุยกันในวัด ห้ามมิให้นำไปเผยแผ่แก่คนภายนอก แต่ก็ยังมีอีกสิกขาบทหนึ่งซึ่ง "ห้ามมิให้พระภิกษุปกปิดอาบัติชั่วหยาบของพระภิกษุด้วยกัน" ข้อนี้ถ้าพบเห็นพระรูปใดทำผิดก็ต้องแจ้งให้แก่พระสงฆ์ทราบเพื่อจะได้พิจารณาความผิดนั้น นั่นเป็นอริยวินัย มิใช่โทรไปแจ้งตำรวจหรือนักข่าวเพื่อกำจัดพระที่ตนเองเกลียดขี้หน้า โดยหารู้ไม่ว่า "นั่นแหละก็คือการทำลายตัวเองและพระพุทธศาสนาไปในตัว"

     บางคนนั้นมีปัญญา แต่ขาดสติ มีความรู้ แต่ไม่มีมารยาท อยากทำอยากจะแสดงออก แต่ก็แสดงออกแบบผิดๆ ถูกๆ ยิ่งทำไปก็ยิ่งเสื่อมเสีย สู้ไม่ทำเสียเลยจะดีกว่า

     จึงขอฝากมายังมิตรรักแฟนคอลัมน์ว่า พร้อมหรือยังสำหรับการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างพร้อมทั้ง สติ ปัญญา ความรู้ และมารยาท ถ้าทำเป็นท่านก็สามารถเป็นเช่นคุณแม่วิสาขาได้ และย่อมได้รับการยกย่องเป็นมหาอุบาสก มหาอุบาสิกา กับเขาด้วย ซึ่งคำทั้งสองนั้นท่านแปลว่า พ่อพระ แม่พระ สาระมันอยู่ตรงนี้เท่านั้น สวัสดี

 

พระมหานรินทร์ นรินฺโท
วัดไทย ลาสเวกัส รัฐเนวาด้า สหรัฐอเมริกา
28 มิถุนายน 2549
11
:00 P.M. Pacific Time.

 

 

 
E-Mail ถึง บก.
peesang2003@hotmail.com

All Right Reserved @ 2003
This Website Sponsored by

 

www.alittlebuddha.com เจ้าของ : วัดไทย ลาสเวกัส 2920 McLeod Dr. Las Vegas Nevada 89121 USA (702) 384-2264