ร.5 ห้ามพระสึก
 


 

 

      ห่างหายไปหลายเพลา เพื่อนฝูงในคอลัมน์พบหน้าก็ถามหา "เมื่อไหร่มหานรินทร์จะเขียนอีก" ได้ยินได้ฟังก็ถึงกับยกมือไหว้ ดีอกดีใจที่มีคนสนใจงานของเรา เหมือนแม่ค้าทำอาหารขาย มีลูกค้ามาอุดหนุนมีหรือจะไม่ดีใจ แต่ต้องขอแสดงความเสียใจกับมิตรรักแฟนเพลงทุกท่านที่เข้ามาแล้วเจอแต่ข้อเขียนเก่าๆ หลายท่านอาจจะเบื่อถึงกับเมินหนีไปหาเว๊บอื่น ซึ่งเรื่องนี้ต้องขออภัยอย่างแรง

     ว่ากันตามจริง ผู้เขียนเป็นคนขยันน้อย ความรู้ก็น้อย จะคิดจะเขียนอะไรก็ต้องสาละวนหาที่ไปที่มาให้ชัดเจน กว่าจะได้ข้อมูลครบสุนทรียารมณ์ในการเขียนก็ละลายหายไปแทบหมดแล้ว หลายเรื่องหลายราวหลายข่าวหลายคราวที่เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนในโลกไซเบอร์สเปซนี้ก็เช่นเดียวกัน บางข่าวนั้นแรกๆ ผู้เขียนคันไม้คันมือจะละเลงกีร์ต้าว่าให้แล้วเชียว แต่ลองนึกตรึกตรองถึงโลกธรรม "ที่ไหนๆ มันก็มีอย่างนี้ เช่นข่าวพระใบ้หวย แล้วเราจะเขียนไปทำไม คนไทยมิใช่คนโง่ เพียงแต่บางทีแกล้งโง่บ้างเท่านั้น" และนั่นจึงทำให้ไม่มีข้อเขียนใหม่ๆ ด้วยเหตุปัจจัยตามที่อ้างมาฉะนี้

     แต่วันนี้ต้องฮึดเขียน เพราะถ้าไม่เขียนก็เห็นจะต้องปิดคอลัมน์หนี มีอย่างที่ไหน สร้างคอลัมน์ขึ้นมาเหมือนมืออาชีพหากิน แต่เขียนผลุบๆ โผล่ๆ อย่างนี้ถ้าไปทำบิสสิเนสลูกค้าอำลาอาลัยไปแบบอมตะนิรันดร์กาลแน่นอน ดังนั้น วันนี้จึงต้องเขียน

      เรื่องที่จะนำเสนอในวันนี้ เป็นชีวประวัติของพระภิกษุรูปหนึ่งซึ่งสำคัญมาก เพราะท่านเป็นถึงระดับ "สมเด็จพระสังฆราชเจ้า" องค์หนึ่งของประเทศไทยในยุครัตนโกสินทร์ และเกร็ดประวัติตอนนี้ผู้เขียนไปเช็คดูในประวัติสมเด็จพระสังฆราชในกรุงรัตนโกสินทร์ทั้ง 19 ท่านแล้ว ปรากฏว่า "ตกหล่นหายไป" ต้องไปหาในข้อเขียนของ มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งเคยบวชพระอยู่กับพระองค์ท่าน จึงได้รู้ที่ไปที่มา และนำเสนอต่อมิตรรักแฟนคอลัมน์ ณ บัดนี้

      สมเด็จพระสังฆราชนั้นเป็นตำแหน่งพระราชาของคณะสงฆ์ไทย ประชาชนคนไทยทั่วไปมีพระเจ้าอยู่หัวเป็นองค์พระประมุขสูงสุด ฉันใด พระสงฆ์ไทยก็มีสมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นองค์พระประมุขสูงสุด ฉันนั้น ต่างกันนิดหน่อยเพียงแต่ว่า คณะสงฆ์ไทยแยกออกเป็น 2 นิกายใหญ่ๆ คือ มหานิกายและธรรมยุติกนิกายเท่านั้น โดยสมเด็จพระสังฆราชนั้นก็มาจากพระในทั้งสองนิกาย ผลัดเปลี่ยนกันตามบุญวาสนาขึ้นมาดำรงตำแหน่งสังฆบิดร ซึ่งองค์ที่จะนำเสนอในวันนี้พระองค์ท่านมีพระนามว่า สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (มรว.ชื่น สุจิตฺโต) วัดบวรนิเวศวิหาร พระองค์ท่านเป็นสมเด็จพระสังฆราชรูปที่ 13 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้เป็นสมเด็จพระสังฆราชเมื่อปี พ.ศ.2488 ถึงปี พ.ศ.2501 จึงสิ้นพระชนม์ ส่วนพระประวัติอื่นใดนั้น ท่านที่สนใจก็กรุณาไปค้นคว้าหาเอาเองเถิด เพราะผู้เขียนมิได้ตั้งใจจะนำเสนอพระประวัติตามที่คนอื่นๆ เขาเขียน จึงขอแสดงความเสียใจที่ไม่สามารถไขข้อข้องใจให้ถูกใจทุกคนได้

      สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ครั้งยังทรงเป็นเพียง "พระมหาชื่น สุจิตฺโต ประโยค 7" อยู่ในวัดบวรนิเวศวิหารนั้น สมัยนั้นวัดบวรนิเวศวิหารมีเจ้าอาวาสชื่อ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ซึ่งว่ากันว่ามีพระอุปนิสัย "เฮี๊ยบ" สุดๆ พระมหาชื่นทั้งถูกดุด่าว่ากล่าวประหนึ่งกระท้อนโดนทุบจึงทั้งเหนื่อยทั้งท้อแท้ หนักเข้าก็ถึงกับคิดสึก คิดไม่คิดเปล่า พระมหาชื่นสั่งญาติให้หาเสื้อผ้ากางเกงอันเป็นเครื่องทรงของคฤหัสถ์ไว้พรักพร้อมแล้ว ก็เข้าไปกราบเรียนสมเด็จฯเจ้าอาวาสว่าจะหาฤกษ์สึกในอีกสองวันข้างหน้า สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรสก็มิได้ตรัสตอบว่าประการใด ปล่อยให้พระมหาชื่นเดินหน้าไปหาหมอดูเพื่อขอฤกษ์สึก

     ก่อนวันที่พระมหาชื่นจะได้ฤกษ์สึกวันหนึ่ง เป็นเวลาเย็น สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง คือพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จมาที่วัดบวรนิเวศวิหาร เพื่อทรงนมัสการสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส

     ครั้นเสร็จพระราชธุระในตำหนักสมเด็จพระสังฆราชเจ้าแล้ว ตามปกติก็จะเสด็จกลับ แต่ปรากฏว่าเย็นวันนั้น สมเด็จพระปิยมหาราชหลังจากเสด็จลงจากตำหนักสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ก็เสด็จตรงไปยังกุฏิของพระมหาชื่นทันที พระมหาชื่นกำลังชื่นชมอยู่กับเสื้อราชประแตนและกางเกงขาก๊วย เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จตรงมายังกุฏิของตนเองเช่นนั้นก็ใจสั่นทำอะไรไม่ถูก ยิ่ง ร.5 เสด็จประทับยืนอยู่ที่หน้ากุฏิ พระมหาชื่นยิ่งกระวนกระวาย ไม่กล้าทูลเชิญเสด็จเข้าในกุฏิ ได้แต่คว้าผ้าจีวรและสังฆาฏิมาครองให้เป็นปริมณฑลและนั่งพับเพียบอยู่ภายในกุฏิ

     ครั้นแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงยืนตรัสกับพระมหาชื่นว่า ทราบข่าวว่าคุณจะสึกวันพรุ่งนี้หรือ ?

     พระมหาชื่นก็ถวายพระพรตอบว่า เป็นความจริง ขอถวายพระพร

     สมเด็จพระปิยมหาราชตรัสต่อไปอีกว่า "อันเรื่องสึกเรื่องหานั้นมันเป็นเรื่องธรรมดา พระจะสึก คนจะคลอด ใครจะไปห้ามกระไรได้ แต่ฉันอยากจะบอกให้รู้ว่า คนอย่างคุณนั้นบวชเป็นพระแล้วหายาก แต่ถ้าสึกออกมาเป็นฆราวาสก็จะหาง่าย"

     ตรัสเพียงเท่านี้ก็ทรงยกพระหัตถ์นมัสการลากลับ

    ปรากฏว่าไม่ว่าฤกษ์จะงามยามจะดีอย่างไรในวันพรุ่งนี้ รวมทั้งเสื้อราชประแตนอันแสนจะน่าเสน่หานั้น ถูกยกเลิกหมด พระมหาชื่นรูปนั้น ภายหลังได้รับการสถาปนาขึ้นดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก รูปที่ 13 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

    ภายหลัง เมื่อมีคนไปทูลถามพระองค์ว่า "เหตุใดจึงตัดพระทัยไม่ยอมสึก" สมเด็จพระสังฆราชชื่นก็ตรัสตอบว่า "เพราะข้าอยากเป็นคนหายากว่ะ"

     พระสงฆ์กับการเมืองนั้นเกี่ยวเนื่องกันมาทุกสมัย ใครเลยจะคิดว่าพระสงฆ์ไทยสมัยนั้นจะเล่นกันรุนแรงพอๆ กับสมัยนี้ สมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถูกพระต่อว่าต่อขานจนไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ พุทธบริษัทนั้นท่านถือคติธรรมที่ว่า "พระด่าคือพระให้พร" แม้จะงอนให้พระอย่างไร นายกฯทักษิณก็ยังต้องทำใจประพฤติตนให้เป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีต่อไป เช่นบัญชีเงินเดือนพระที่ท่านอุตส่าห์ผ่าน ครม.ให้นั้น พระสงฆ์ลดสำนวนด่ารัฐบาลไปหลายดีกรี

     สมัยสมเด็จชื่นเป็นสังฆราชนั้นก็มีปัญหาเหมือนทุกวันนี้แหละ คือว่ามีพระรูปหนึ่งทำหนังสือ "แช่งชักหักกระดูก" ส่งไปถึงเจ้านายพระองค์หนึ่งซึ่งดำรงตำแหน่งในรัฐบาล เจ้านายพระองค์นั้นก็ไม่รู้จะต่อว่าต่อขานให้พระรูปนั้นอย่างไร คิดได้ก็เพียงแต่ว่า "ต้องให้ผู้ปกครองสงฆ์จัดการปัญหาพระนอกรีต" คิดแล้วก็ทรงนำเอาหนังสือฉบับนั้นประกบกับหนังสือร้องทุกข์ของพระองค์ส่งไปถวายสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ วัดบวรนิเวศวิหาร

    สมเด็จพระสังฆราช กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เมื่อทรงได้รับคำร้องทุกข์แล้ว จึงทรงมีพระสังฆราชบัญชา เชิญให้เจ้านายพระองค์นั้นเสด็จมายังวัดบวรนิเวศวิหาร เพื่อถามถึงวัตถุประสงค์ที่ทรงร้องเรียนมา โดยทรงถามว่า "ที่ท่านทรงขอมา จะให้จัดการกับพระที่มีหนังสือไปแช่งท่านนั้น ท่านมีประสงค์จะให้อาตมาทำอย่างไร"

    เจ้านายพระองค์นั้นก็ทูลสมเด็จพระสังฆราชว่า "มิได้มีประสงค์จะให้สมเด็จพระสังฆราชลงโทษพระรูปนั้น แต่อยากจะให้พระองค์ทรงตักเตือนมิให้กระทำเยี่ยงนี้อีก"

    สมเด็จพระสังฆราชก็ตรัสตอบว่า "อืม ..การที่ผู้อยู่ในสมณเพศกล่าวคำแช่งชักท่านให้ประสบภัยพิบัติและอัปมงคลต่างๆ นั้น ท่านเชื่อหรือไม่ว่าจะเกิดผลตามที่แช่ง"

    เจ้านายพระองค์นั้นก็ทูลว่า  "ไม่เชื่อ"

     สมเด็จพระสังฆราชชื่นก็ตรัสว่า "ถ้าไม่ทรงเชื่อแล้ว ก็ไม่น่าจะทรงต้องเดือดร้อนอะไร เรื่องก็น่าจะจบเพียงแค่นี้ อย่าให้อาตมาต้องไปว่ากล่าวพระภิกษุรูปนั้นท่านเลย เพราะถ้าอาตมาไปว่ากล่าวท่าน ดีไม่ดีท่านมาแช่งอาตมาเข้าอีก ถ้าเป็นเช่นนั้นอาตมาก็จะลำบาก เพราะว่าผู้มีศีลแช่งนั้นอาตมาเชื่อว่าจะเป็นจริง จึงขอบิณฑบาตว่า อย่าให้อาตมาต้องไปว่ากล่าวตักเตือนท่านเลย นะ เจริญพร"

    ปรากฏว่าเรื่องราวดังกล่าวหายลับเข้ากลีบเมฆไปจนบัดนี้

     สมเด็จพระสังฆราชพระองค์นี้ทรงเป็นพระราชอุปัธยาจารย์ (พระอุปัชฌาย์) ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ขณะทรงผนวช ในวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ.2499 มีเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ที่อยากบันทึกไว้ให้ท่านผู้อ่านได้ทราบ คือว่า

    ครั้งหนึ่ง เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช เสด็จกลับจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ หลังจากเสด็จไปศึกษาต่อที่นั่น ครั้งนั้น สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ทรงได้รับอาราธนาเข้าไปรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม

    เหตุการณ์ด้านนอกพระบรมมหาราชวังนั้น ประชาชนล้มหลาม ชวนกันมาชื่นชมพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่ปรากฏว่าถูกทหารตำรวจกีดกันไว้ไม่ให้เข้าเฝ้า ทั้งนี้เพราะเกรงจะเกิดเหตุอันไม่พึงปรารถนาเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นกับในหลวง ร.8 มาแล้ว

   เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จเข้าสู่บริเวณพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และทรงมีพระราชปฏิสันฐานกับพระสงฆ์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ทรงมีพระสังฆราชปฏิสันถารต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า

     "...ราษฎรเขามาคอยเฝ้ากันตามถนนหนทางมากมาย เจ้าหน้าที่ทหารตำรวจไปคอยกันเขาไม่ให้เข้าใกล้ได้แลเห็นพระองค์ เขาเสียใจ เขาเสียใจกันมาก ในเมืองไทยเรานี้ พระเจ้าแผ่นดินกับราษฎรไม่เป็นภัยต่อกันเลย ขอให้ทรงจำไว้ ราษฎรไม่เป็นภัยต่อพระองค์เลย..."

    เผอิญว่า ไมโครโฟนที่อยู่ด้านหน้าของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์นั้น เปิดไว้ก่อนแล้ว เสียงของสมเด็จพระสังฆราชจึงดังไปทั่วบริเวณ ทั้งขณะนั้นยังมีการถ่ายทอดสดออกวิทยุด้วย กว่าเจ้าพนักงานจะเข้าไปปิดไมโครโฟนตัวนั้นลง พระสังฆราชดำรัสก็ถูกบันทึกไว้เรียบร้อยอย่างสมบูรณ์แล้ว

    นับจากวันนั้น พระเจ้าแผ่นดินกับราษฎรจึงกลับมาใกล้ชิดกันประหนึ่งพ่อกับลูก ดังภาพที่นำเสนอข้างต้นนี้แล้ว

   การเสด็จไปยังกุฏิพระมหาชื่นของในหลวง ร.5 ครั้งนั้น นับเป็นพระอัจฉริยภาพที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก

 

พระมหานรินทร์ นรินฺโท
วัดไทย ลาสเวกัส รัฐเนวาด้า สหรัฐอเมริกา
23 มิถุนายน 2549
10
:00 P.M. Pacific Time.

 

 

 
E-Mail ถึง บก.
peesang2003@hotmail.com

All Right Reserved @ 2003
This Website Sponsored by

 

www.alittlebuddha.com เจ้าของ : วัดไทย ลาสเวกัส 2920 McLeod Dr. Las Vegas Nevada 89121 USA (702) 384-2264