สมณะ พระหรือฆราวาส ?
 


 

    วันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ.2532 มีคำสั่งมหาเถรสมาคม ลงพระนามโดยสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เรื่อง ให้พระรักษ์ โพธิรกฺขิโต นามสกุล รักพงษ์ ให้สละสมณะเพศ สาเหตุคือ ประพฤติปฏิบัติผิดพระธรรมวินัย และขัดพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 อดีตพระโพธิรักษ์แห่งสำนักสันติอโศก จึงได้นำพาสาวกทั้งปวงเปลี่ยนสีจีวรจากสีกรักเป็นสีดำ แต่ยังทำวัตรปฏิบัติเหมือนพระภิกษุสามเณรไทยทุกอย่าง ตั้งแต่การออกบิณฑบาต การเทศนา รวมไปถึงกริยาคำพูดคำจาก็ยังคงใช้ "อาตมา" ทุกคำ เพียงแต่เปลี่ยนชื่อหรือเรียกตัวเองว่า "สมณะ" เท่านั้น

      เคยถูกกรมการศาสนา ซึ่งเป็นเลขาธิการมหาเถรสมาคม ฟ้องร้องว่าด้วยการแต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ไทย เรื่องขึ้นสู่ศาลอาญา โพธิรักษ์เถียงว่า ตนเองบวชอย่างถูกต้อง และลาออกจากมหาเถรสมาคมแล้ว จึงเป็นเอกเทศไม่ขึ้นตรงต่อมหาเถรสมาคมอีกต่อไป เรียกตามพระธรรมวินัยว่า "นานาสังวาส" ตนเองและคณะจึงมีสิทธิ์ที่จะปฏิบัติศาสนกิจตามความเชื่อตามที่กฎหมายรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ ว่าด้วยสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนา มหาเถรสมาคมจึงไม่มีสิทธิ์สั่งหรือปกครองชาวอโศก ซึ่งเท่ากับว่า โพธิรักษ์ประกาศตัวเป็นสังฆราชแห่งลัทธิใหม่ไปกลายๆ ทนายฝ่ายโพธิรักษ์คือ นายทองใบ ทองเปาด์ ซึ่งเคยได้รับรางวัลแม๊กไซไซด้วย  ผลออกมาปรากฏว่า ศาลอาญาตัดสินให้โพธิรักษ์และบริวารเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ สั่งให้จำคุก 6 เดือน แต่ให้รอลงอาญาไว้ นับตั้งแต่นั้นมาโพธิรักษ์จึงนำสาวกกลับเข้าสู่ที่ตั้ง คือสำนักสันติอโศกและสาขา แม้ว่าจะทำวัตรปฏิบัติทุกอย่างเหมือนพระภิกษุสงฆ์ แค่ก็คงจำกัดวงอยู่แต่ภายในสำนักเท่านั้น เป็นเช่นนี้มานานถึง 17 ปี

     ครั้นวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2549 สมณะโพธิรักษ์ แห่งสำนักสันติอโศก ได้ประกาศนำเอาสาวกและญาติธรรมไปร่วมชุมนุมขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ท้องสนามหลวง โดยมีการจัดขบวนอย่างอลังการ เป็นการประท้วงแบบมาราธอน คือว่าถ้านายกรัฐมนตรียังไม่ลาออกก็จะไม่เลิกชุมนุม

     กิจกรรมที่โพธิรักษ์ปฏิบัติในที่ชุมนุม ณ ท้องสนามหลวงนั้น คือการขึ้นปาฐกถาเหมือนแสดงพระธรรมเทศนา นำมวลชนทำวัตรสวดมนต์ และที่สำคัญก็คือ รุ่งเช้าเดินนำหน้าพาบริวารเดินรับอาหารบิณฑบาตไปรอบๆ สนามหลวง

      วันที่ 8 มีนาม พ.ศ.2549 นายเสถียร วิพรมหา ได้เข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีชนะสงคราม ตั้งข้อหา "แต่งกายเลียนแบบพระภิกษุสงฆ์" ให้แก่สมณะโพธิรักษ์ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งความไว้แล้ว

     กล่าวโดยสรุป ว่าตามกฎหมายอาญาบ้านเมืองและมติของคณะสงฆ์ไทยแล้ว โพธิรักษ์มีสถานะเป็นเพียง "นายรักษ์ รักพงษ์" แม้จะใช้ชื่อตัวเองว่า "สมณะ" ก็ตาม ก็หามีผลต่อทะเบียนราษฎร์หรือบัตรประจำตัวประชาชนไม่

    แต่ในทางความเลื่อมใสศรัทธาของบริวาร เช่น นายเปลว สีเงิน บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ คอลัมนิสต์ประจำหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เป็นต้น คนเหล่านี้ดูจากวัตรปฏิบัติและเพศภาวะที่โพธิรักษ์ดำรงอยู่ เขาเชื่อสนิทใจว่า "โพธิรักษ์เป็นพระ" ถึงไม่ได้เป็นพระไทยก็ยังสามารถเป็นพระในพระพุทธศาสนาได้ เผลอๆ อาจจะเป็นได้ดีกว่าพระไทยที่มีหนังสือสุทธิแสดงตัวอย่างถูกต้องตามกฎหมายหลายรูปด้วยซ้ำไป

      น่าแปลกนะ โพธิรักษ์ คนๆ เดียวกันนี้

     มองในมุมของพระสงฆ์ไทย เขามีสถานะเป็น "นายรักษ์"

    แต่มองในมุมของชาวไทยหลายคน เขามีสถานะเป็น "พระรักษ์"

    แม้แต่คำว่า "สมณะ" ซึ่งโพธิรักษ์นำมาใช้นำหน้าคำว่า "พระ" หรือ "นาย" ของตนเอง เพื่อเลี่ยงความผิดจากศาลอาญานั้น แปลให้ตรงตัวก็แปลว่า "พระ" ดีๆ นี่เอง เพราะเป็นคำบาลีที่ใช้เรียกชื่อนักบวช แถมยังเป็นนักบวชระดับเอ้ด้วยสิ เช่นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ในพระไตรปิฎกมีคนเรียกพระพุทธองค์ว่า สมโณ โคตโม แปลว่า พระสมณะโคดม ส่วนพระสงฆ์สาวกของพระองค์นั้น พระองค์ตรัสเรียกชื่อว่า ภิกษุ หรือพุทธบุตร พุทธสาวก มิได้ใช้คำว่า "สมณะ" เลยแม้แต่ครั้งเดียว นี้ว่ากันโดยชื่อนะ แต่คำว่า "สมณะ" ได้รับการใช้ในความหมายว่า "นักบวช" คือ สมณะเพศ หรือเพศนักบวช อันได้แก่พระภิกษุในบวรพระพุทธศาสนาเท่านั้น

     อย่างไรก็ตาม แม้ว่าโพธิรักษ์จะมีสถานะเป็น "นายรักษ์" ในทัศนะของพระสงฆ์ไทย (ผู้เขียนเป็นพระในสังกัดของมหาเถรสมาคม ก็จำต้องเรียกหรือใช้ไปตามที่คณะสงฆ์เห็นชอบด้วย แบบว่าเป็นพลเมืองดี) แต่ก็ดังที่กล่าว คือในมุมมองของคนไทยชาวอโศกแล้ว เขา (โพธิรักษ์) เป็นพระ มิใช่ฆราวาส

     แต่นั้นยังเป็นเพียงประเด็นเบื้องต้นที่ผู้เขียนนำมาเป็นประเด็นในการเขียนบทความวันนี้ สำนวนใหม่เขาใช้คำว่า "มองข้ามช็อต" คือคาดการณ์ต่อไปในอนาคตว่าจะมีผลดีหรือเสียอย่างไรในบทบาทของสมณะโพธิรักษ์กับการกรีฑาพลพรรคสันติอโศกเข้าร่วมชุมนุมขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกจากตำแหน่งในคราวนี้

     สะเก็ดข่าวระแคะระคายว่า ในการเลือกตั้งครั้งใหญ่ พ.ศ.2544 และ พ.ศ.2548 ชาวอโศกนำโดย สมณะโพธิรักษ์ และ พล.ต.จำลองศรีเมือง ศิษย์เอก ซึ่งเคยก่อตั้งพรรคพลังธรรมมาด้วยกัน ได้นำเอาชาวอโศกเป็นกองหนุนหาเสียงช่วยพรรคไทยรักไทย ส่งผลให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เป็นนายกรัฐมนตรีถึง 2 สมัยซ้อน

      ความเอื้ออาทรที่ชาวอโศกได้รับจากการสนับสนุนพรรคไทยรักไทยในครั้งนั้น ปรากฏต่อสาธารณชนอย่างชัดเจนหลายกรรมหลายวาระ เช่น

      พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ได้รับการแต่งตั้งจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ เมื่อได้เป็นนายกรัฐมนตรีใหม่หมาดๆ นั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หอมปากหอมคอกับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เหมือนข้าวใหม่ปลามัน ถึงกับนายกรัฐมนตรีลงทุนไปเยี่ยมโรงเรียนผู้นำของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่เมืองกาญจน์ จำได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทำตัวเป็นศิษย์ที่ดีของโรงเรียนแห่งนี้ ถึงกับว่ากินข้าวแล้วต้องล้างจานเอง เป็นข่าวฮือฮามาก

      ในการทัวร์นกขมิ้นสายอีสาน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เลือกสถานที่พักแรม ได้แก่ สำนักศีรษะอโศก จังหวัดศรีสะเกษ ครั้งนั้นมหาเถรสมาคมจ้องตาเขม็งว่าทักษิณจะเอายังไงแน่ จะเป็นนายกฯของพระสงฆ์ทั้งประเทศหรือของชนกลุ่มน้อย

     ต่อมา เมื่อมีการประกาศจัดงานวันวิสาขบูชาโลกของรัฐบาลไทย ในวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2548 พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ในตำแหน่งประธานศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรมเพื่อพลังแผ่นดิน ได้รับการแต่งตั้งจากนายกรัฐมนตรีให้เป็นผู้ประสานจัดงานดังกล่าว พล.ต.จำลอง ก็ได้ทำในสิ่งที่คาดไม่ผิด คือนำตัวแทนจากสำนักอโศกเข้ามาเป็นกรรมการร่วมด้วย บุคคลผู้นั้นมีนามว่า "ท่านจันทร์" ซึ่งเป็นศิษย์เอกในเพศสมณะของโพธิรักษ์

      วันที่ 11 เมษายน พ.ศ.2548 มหาเถรสมาคม ซึ่งเป็นรัฐบาลของคณะสงฆ์ไทย ได้ออกมติ "แบนงานวันวิสาขบูชาโลกของรัฐบาล" สาเหตุเพราะ "รังเกียจสันติอโศก" ที่เคยถูกมหาเถรสมาคมประกาศปกาสนียกรรม อเปหิหรือขับไล่ออกจากคณะสงฆ์ไทยเมื่อ วันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ.2532

      ท่าทีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต่อมติมหาเถรสมาคมดังกล่าว กล่าวได้ว่าเป็น "เนกาทีฟ" คือตรงกันข้าม นายกรัฐมนตรีได้กล่าวสนับสนุน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง อย่างแข็งขัน ยกรัฐธรรมนูญไทย พ.ศ.2540 มาตรา 38 ว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพในการนับถือศาสนาของบุคคลขึ้นมาเป็นคัมภีร์บังหน้า แต่ว่ามหาเถรสมาคมไม่สน แม้ว่าสุดท้าย พล.ต.จำลอง จะยอมถอนชื่อกรรมการจากสันติอโศกออกไป แต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว งานวันวิสาขบูชาโลกปีกลายเลยกลายเป็นโจ๊ก ถูกแยกออกเป็นสามส่วน ต่างคนต่างจัดกระจัดกระจาย มหาเถรสมาคมยอมไม่ไปร่วมงานของรัฐบาล นายกรัฐมนตรีก็ไม่ไปร่วมงานของมหาเถรสมาคมที่พุทธมณฑล คนที่เป็นปลื้มก็น่าจะเป็น พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ผู้ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีการันตีอย่างออกนอกหน้านั่นเอง

      สาเหตุผกผันที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และ พล.ต.จำลอง มองหน้ากันไม่ติดนั้น ว่ากันว่ามาจากเรื่องเหล้าเรื่องเบียร์ ที่ชื่อเบียร์ช้าง ของเจ้าสัวใหญ่ "เจริญ สิริวัฒนภักดี" ที่ต้องการนำบริษัทไทยเบฟเวอเร็จ จำกัด เข้าตลาดหลักทรัพย์เป็นบริษัทมหาชน จะได้ระดมทุนทำการค้าแข่งกับต่างประเทศ เรื่องนี้ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ในฐานะประธานศูนย์คุณธรรมของรัฐบาลออกมาก่อม็อบเคลื่อนไหวไม่ให้เบียร์ช้างเข้าตลาดหุ้น เรื่องค้างคามานานหลายเดือน จนมีข่าวว่า เจ้าสัวเจริญตัดสินใจนำบริษัทไปเข้าตลาดหุ้นที่สิงคโปรแทน

     มองในแง่ของศีลธรรมคุณธรรมแล้ว การกระจายเครื่องดองของเมาเป็นสิ่งที่ขัดกับหลักการของพระพุทธศาสนา แต่ทว่าถ้ามองในแง่ของโลกาภิวัตน์ที่รู้จักกันดีในระบอบทุนนิยม เรื่องเหล้าเบียร์ที่ไหนๆ เขาก็ขาย เมืองไทยก็ใช่ว่าไม่มี แต่เรายังมีคู่แข่งคือบริษัทต่างชาติซึ่งมีทุนหนากว่า จะใช้ช่องว่างของกฎหมายว่าด้วยตลาดเสรีนำเอาสุรายาเมาเหล่านั้นมาบุกรุกประเทศไทย เพราะคนไทยนิยมของนอก ดังนั้น รัฐบาลจึงสนับสนุนให้บริษัทของไทยนำเอาเหล้าเบียร์ไทยไปรุกประเทศอื่นมั่ง เหล้าแลกเงิน เงินแลกเหล้า เข้าตลาดหุ้น ทุนสู้ทุน สมัยนี้อะไรที่พอจะต่อทุนทำให้เป็นกำไรได้ทักษิณเขาเอาทั้งนั้น ดูอย่างหวยใต้ดินนั่นประไร พลิกลิ้นเสียนิดเดียวก็เปลี่ยนสถานภาพเป็นหวยบนดิน ผลิดอกออกผลเป็นทุนการศึกษา ถึงขนาดว่าเป็นเงินอุดหนุนวัดวาอารามทั่วประเทศ จะถือว่าเป็นกรรมวิธีฟอกเงินดำให้ขาวของรัฐบาลก็คงว่าได้  สรุปก็คือ การแอนตี้เบียร์ช้างของ พล.ต.จำลอง กลายเป็นการแอนตี้ หรือถ่วงความเจริญทางด้านนโยบายของรัฐบาลไทยและประเทศไทยโดยตรง ตามมุมมองของนักทุนนิยมที่ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร

     งานนี้ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ตัดสินใจแตกหักกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร น้องรัก ด้วยการประกาศนำกองทัพธรรมของสันติอโศกเข้าขับไล่ทักษิณออกจากตำแหน่ง ด้วยข้อหา "บกพร่องจริยธรรม" อันเนื่องด้วยการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ป คอปอเรชั่น ให้แก่กลุ่มทุน "เทมาเส็ก" ของรัฐบาลประเทศสิงคโปร์

     ก่อนการประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2549 มีอีกข่าวหนึ่งที่น่าสนใจ ก็คือว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินเท้าออกจากสถานที่แห่งหนึ่ง แวดล้อมด้วยนักธุรกิจระดับประเทศ เช่น นายธนินทร์ เจียรวนนท์ ประธานบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือซีพี เป็นต้น แถมยังมีคนสำคัญอีกคนหนึ่งร่วมด้วย คือ นายเจริญ สิริวัฒนภักดี มหาบุรุษผู้ร่ำรวยที่สุดในเมืองไทยและเจ้าของบริษัทไทยเบฟเวอเรจที่ พล.ต.จำลอง แอนตี้นั่นเอง

    ชัดเจนว่า "ทักษิณเลือกข้างเจริญ" และเลือกตัดหาง "จำลอง" จำลองจึงจำต้อง "ตัดใยไม่เหลือ" ต่อทักษิณ ชินวัตร ! ซึ่งเป็นเรื่องที่กินใจเหลือเกิน คนเคยรักกันน่ะ

     ตะทีนี้ว่า พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ยังมีฐานะเป็นศิษย์ผู้ใหญ่ของพ่อท่านโพธิรักษ์ด้วยสิ ทุกเรื่องทุกราวก่อนการออกไปเคลื่อนไหวไหนๆ นั้น ว่ากันว่า จำลองต้องขอคำปรึกษาจาก "พ่อท่าน" เสียก่อน ซึ่งโพธิรักษ์นั้นใช้สรรพนามเวลาคุยกับจำลองว่า "ข้า..."

      มันจึงเป็นที่มาของการกรีฑากองทัพธรรมทั้งสมณะและญาติธรรมเข้าสู่ทุ่งพระสุเมรุหรือท้องสนามหลวง เพื่อบีบอดีตหัวหน้าพรรคพลังธรรมทายาททางการเมืองของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ผู้มีนามว่า "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" ให้ตายไปจากการเมือง อย่าได้ผุดได้เกิดอีกต่อไป

     นั่นเป็นที่ไปที่มาโดยคร่าวๆ ของตัวละครใหญ่ๆ ในอภิมหากาพย์ "มหาภารตะ" อันว่าด้วยเรื่องน้องฆ่าพี่-พี่ฆ่าน้อง หรือเพื่อนหักหลังเพื่อน ณ เวทีประเทศไทยในวันนี้

      ทีนี้ก็จะขมวดประเด็นที่ผู้เขียนต้องการสื่อสารในการเขียน ประเด็นที่อยากให้ท่านผู้อ่านได้จับตาดูให้ดีก็คือว่า ในการเข้าร่วมรณรงค์ต่อต้านรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในเวลานี้นั้น ผู้ต่อต้านประกอบด้วยผู้คนหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มก็มีหัวหน้ากลุ่ม เหมือนมุ้งต่างๆ ในพรรคไทยรักไทย เขาจึงจับมือกันใช้ชื่อว่า กลุ่มพันธมิตรกู้ชาติ ที่พอทราบชื่อก็คือ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ตัวแทนกองทัพธรรมสันติอโศก นายสุริยใส กตะศิลา เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย เป็นต้น คนเหล่านี้ เมื่อเข้ารณรงค์ก็หวังผลชนะ แต่การแพ้หรือชนะในทางการเมืองนั้นต้องอาศัยพลังประชาชนเป็นมวลชนขนาดใหญ่ให้นายกรัฐมนตรีเห็นว่า มีผู้ไม่นิยมท่านมากมายเพียงใด ดังนั้นเมื่อเห็นแล้วก็กรุณาอย่าดื้อรั้น ให้รีบลาออกซะดีๆ

     และเมื่อดูในทางฝ่ายวัดแล้ว พระภิกษุสามเณรในสังกัดของมหาเถรสมาคมล้วนแต่เก็บตัวเงียบในกำแพงวัด ปล่อยให้สมณะโพธิรักษ์นำสาวกและญาติธรรมออกเดินหน้าต่อสู้กับรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ซึ่งบอกแล้วไงว่า พันธมิตรกู้ชาติในบัดนี้นั้น ไม่ว่าใครถ้าเป็นใจเข้าร่วมรณรงค์ต่อต้านร่วมกับพวกเขา ก็จะได้รับการยกย่องเชิดชู แต่ถ้าไปเข้ากับรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แล้วละก็ เตรียมตัวตายในทางสังคมไว้ให้ดี นี่คือจุดอันตราย มหาเถรสมาคมจึงประกาศ "ให้พระสงฆ์ไทยเป็นกลาง" อ้างเอาความสมานสามัคคีไม่อยากให้มีเรื่องระหว่างคนในชาติ ถึงขนาดเมื่อวานนี้มีข่าวว่า พระกิตติศักดิ์ กิตฺติโสภโณ ประธานกลุ่มเสขิยธรรม ได้ไปเสวนาด่าทักษิณร่วมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในเรื่อง "จริยธรรมของนักการเมืองในมุมมองของสามศาสนา" นายปรีชา กันธิยะ อธิบดีกรมการศาสนา ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า "ละเมิดมติมหาเถรสมาคม โทษหนักถึงขั้นจับสึก"

     การเลือกข้างระหว่างใครก็ตาม ในทางศีลธรรมแล้วอาจจะมีข้อยุติว่าด้วย "ผิด ชอบ ชั่ว ดี" เรื่องนี้ใครๆ ก็วินิจฉัยเป็น แต่ในทางการเมืองเรื่องอำนาจแล้วเขามิได้มองกันอย่างนั้น เขามองว่า "เคลื่อนไหวแล้วได้อะไร" ต่างหาก เราตามไปดูกันสิ ว่าแต่ละฝ่ายถ้าเคลื่อนไหวแล้วจะได้อะไร

    สันติอโศก ยังเป็นองค์กรเถื่อน ที่ถูกศาลพิพากษาว่าผิด ไม่ได้รับการรับรองสถานภาพจากรัฐบาลและคณะสงฆ์ไทย เป็นได้ก็แต่พฤตินัย ซึ่งก็ยังสุ่มเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องอีกไม่สิ้นสุด ภาระสำคัญสูงสุดของผู้นำสันติอโศกคือ โพธิรักษ์ และ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ก็คือ นำเอาสำนักสันติอโศกขึ้นทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมาย ให้กลายเป็นนิกายสงฆ์ไทยนิกายใหม่ให้ได้ ไม่งั้นก็จะกลายเป็นนิกายเถื่อน เพราะการเมืองสามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกอย่าง ไม่เว้นแม้แต่เรื่องผิดเรื่องถูก ดูแต่ทักษิณสิ ซุกหุ้นผิดกฎหมายเห็นๆ ลอบบี้หลายรอบหน่อยยังผ่านฉลุยเลย ยิ่งอายุอานามของทั้งสองคนเป็นไม้ใกล้ฝั่งเข้าไปทุกที แต่ภารกิจยังหาบรรลุผลไม่ ถ้าเกิดเป็นอะไรปุ๊บปั๊บขึ้นมาเสียก่อน ก็คงนอนตายตาไม่หลับ สันติอโศกแพแตกแน่ ดังนั้น เมื่ออาศัยเรือลำใหญ่ที่ชื่อ "ทักษิณ ชินวัตร" ข้ามฝั่งไปไม่ได้ ก็จำต้องหาทางสร้างเรือลำใหม่ขึ้นมา แต่ยังไม่รู้เลยว่าเรือลำใหม่นั้นจะมีใครเป็นกัปตัน นั่นเป็นประเด็นหลัก

     แต่เมื่อมองดูประเด็นรอบข้างแล้ว การออกมาเคลื่อนไหวของสันติอโศกในทางการเมืองกลางบ้านกลางเมืองในครั้งนี้ ถือว่าเป็นทีเด็ดที่น่าดูยิ่งกว่าสุริโยไท เพราะอาศัยกระแส "ไล่ทักษิณ" เคลื่อนกำลังออกจากสำนัก หลังจากพักพลตระเตรียมความพร้อมมานานถึง 17 ปี การออกจากสันติอโศกเข้าสู่ทุ่งพระสุเมรุของโพธิรักษ์จึงมิใช่การทำไปโดยมีเป้าหมายเพียง "ไล่ทักษิณ" เท่านั้น หากแต่แท้จริงแล้วก็คือ การรุกในทางการเมือง ให้คนเมืองหลวงยอมรับนับถือสมณะนิกายนี้ และถ้าเป็นไปได้ ถ้าทักษิณตกม้าตายไปจากการเมืองไทยจริงๆ สันติอโศกย่อมจะมีอำนาจต่อรองกับรัฐบาลใหม่ ในฐานะวีรชนเพื่อประชาธิปไตย โดยเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเราต้องจับตาดูให้ดีว่า ถ้ามีขึ้นจริง สันติอโศกได้โควต้ากรรมการร่างและต่อรองอะไรบางอย่างหรือไม่ ? เพราะนั่นคือเป้าหมายสุดท้ายที่หมายตาในการทำศึกครั้งนี้ เพราะถ้ารัฐธรรมนูญเปิดกว้างให้ก่อตั้งนิกายใหม่ได้ คำสั่งศาล หรือมติมหาเถรสมาคม ก็ทำอะไรสันติอโศกไม่ได้ โพธิรักษ์ก็จะกลายเป็นสังฆราชนิกายใหม่ในทันที ส่วนนิกายธรรมกายอะไรนั้น ถ้าจะถือโอกาสเบียดแทรกเข้าไปในช่วงนี้ด้วยก็แล้วแต่ เวลานี้โพธิรักษ์ไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องของคนอื่นเท่าใด นอกจากนำพานาวาที่ชื่อ "สันติอโศก" ให้เข้าเส้นชัยก่อนวายปราณเท่านั้น

     การสงวนท่าทีของมหาเถรสมาคม ต่อปัญหาส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร บนตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ แม้จะอ้างเอาความสมานสามัคคีของคนในชาติมาบังหน้าก็ตาม ก็หาหลุดพ้นจากข้อครหาไปได้ไม่ ว่าทำไมเมื่อตอนจัดงานวันวิสาขบูชาโลกนั้น ท่านทำไมไม่อ้างเอาความสมัครสมานสามัคคีมาก่อนเล่า ?

     การไม่เข้ากับกลุ่มพันธมิตร ย่อมถูกพันธมิตรมองว่า "เป็นฝ่ายรัฐบาล" การไม่เข้ากับรัฐบาลก็ย่อมถูกมองว่า "เป็นฝ่ายพันธมิตร" เพราะเมืองไทยในเวลานี้ไม่มีฝ่าย "ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด" แม้แต่เอาข่าวในเว๊บผู้จัดการมาโพสต์ในเว๊บนี้ ก็ยังมีคนมองว่า "เป็นฝ่ายต่อต้านทักษิณ" 

      กล่าวทาง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อเข้าสายพระป่าของหลวงตาบัวก็ไม่ได้ สันติอโศกก็ไม่ยินดีต้อนรับ เหลืออยู่ก็แต่ทางเดียวให้เลือก คือคณะสงฆ์ไทยที่มีมหาเถรสมาคมเป็นองค์กรปกครองสูงสุดตามตัวบทกฎหมายนั่นเอง ซึ่งก็คงจะสบายใจได้ว่า "ต่อไปนี้ไม่จำเป็นต้องไปนอนแรมแกมมื้อที่ศีรษะอโศกและวัดป่าบ้านตาดอีกแล้ว แม้แต่โรงเรียนผู้นำก็ไม่จำเป็นต้องไป เข้าวัดบ้านไร่ของหลวงพ่อคูณนั่นแหละ ชัวร์กว่า"  ข่าวต่อมาจึงปรากฏว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี หลังจากเข้ากราบนมัสการหลวงพ่อคูณ ที่วัดบ้านไร่ นครราชสีมาแล้ว กลับถึงกรุงเทพฯ ก็วางตารางออกเดินสายไปสำรวจวัดบวรนิเวศวิหารเพื่อหาทางบูรณะ อัดงบประมาณกว่าพันล้านบาท แม้จะออกเป็นมติมานานแล้ว แต่ผลเพิ่งผลิออกมาเมื่อวานนี้ วันที่กลุ่มพันธมิตรปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลอยู่เร่าๆ ด้วยสิ

     การที่นายเสถียร วิพรมหา ฟ้องโพธิรักษ์ในข้อหาแต่งกายเลียนแบบคณะสงฆ์ไทย ก็ดี การที่กรมการศาสนาประกาศเอาผิดพระกิตติศักดิ์ กิตฺตโสภโณ ที่ไปร่วมสัมมนากับ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ของกลุ่มพันธมิตร ก็ดี ล้วนแต่มีความเชื่อมโยงมายังมหาเถรสมาคม แรกนั้นคือ คำสั่งมหาเถรสมาคมที่ให้พระโพธิรักษ์สลาะสมณะเพศ เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2532 สองนั้นคือ มติมหาเถรสมาคม วันที่ 12 มีนาคม 2549 ที่ประกาศให้พระภิกษุสามเณรวางตัวเป็นกลางในทางการเมือง ทั้งสองเรื่องนี้ถูกนำไปเป็นข้อหาฟ้องร้องสันติอโศกและพระกิตติศักดิ์

      มติมหาเถรสมาคมแม้จะออกมาต่างกรรมต่างวาระกัน และครั้งหลังนี้แม้มิได้จำเพาะเจาะจงเช่นครั้งแรก แต่เมื่อมีการนำมาอ้างเป็นข้อหาจัดการกับอีกฝ่ายหนึ่ง จึงเลี่ยงไม่พ้นที่ผู้คนจะมองว่า "มหาเถรสมาคมเลือกข้างรัฐบาล" หรืออย่างน้อยก็ "เอื้ออาทรให้แก่รัฐบาล" ทั้งๆ ที่มิใช่เรื่องจริง แต่ความจริงกับทัศนะคติของคนมองนั้นต่างกันลิบลับ ธรรมะนั้นเป็นธรรมชาติก็จริง แต่ธรรมทัศน์นั้นท่านว่ายังมีสิ่งปิดบังไว้ไม่ให้เห็นอีกหลายประเด็นนัก

     บทความนี้ เขียนขึ้นในท่ามกลางศึกชิงเมือง ทั้งเรื่องชิงอำนาจเป็นรัฐบาล และชิงอำนาจในทางศาสนา คาบเกี่ยวกันไปมาอย่างแยกไม่ออก จึงไม่สามารถเดาเหตุการณ์ได้ว่า "วันพรุ่งนี้จะเป็นเช่นใด" หวังใจก็แต่ว่า การตัดสินใจออกมติมหาเถรสมาคมในครั้งนี้จะ "ไม่ผิดพลาด"  ถ้าจะเปรียบเทียบเกมสนุกเกอร์แล้ว แม้ว่าการออกมติของมหาเถรสมาคมนี้ครั้งนี้จะเป็นเหมือน "กึ่งยิงกึ่งป้องกันตัว" ซึ่งต้องตรองแล้วตรองอีกว่าจะเป็นการเพลย์ที่ "เซฟที่สุด" ก็ตาม ก็ยังถือว่าเสี่ยงสุดๆ ทั้งเสี่ยงได้และเสี่ยงเสีย เพราะถ้ายิงดำลงหลุมก็ต้องเรียกว่ากึ่งฝีมือกึ่งฟลุค แต่ถ้ายิงดำก็ไม่ลง แถมยังกันไม่สำเร็จอีก งานนี้ก็คงเสร็จเขาทั้งกระดาน...น่าหวาดเสียวทีเดียวขอรับ

 

พระมหานรินทร์ นรินฺโท
วัดไทย ลาสเวกัส รัฐเนวาด้า สหรัฐอเมริกา
20 มีนาคม 2549
19:00 p.m. แปซิฟิกไทม์

 

 

 
E-Mail ถึง บก.
peesang2003@hotmail.com

All Right Reserved @ 2003
This Website Sponsored by

 

www.alittlebuddha.com เจ้าของ : วัดไทย ลาสเวกัส 2920 McLeod Dr. Las Vegas Nevada 89121 USA (702) 384-2264