..นี่เราก็เคยพูดไว้แล้ว
เราพูดเอง มหาเถรสมาคมทุกวันนี้คือมหาโจร !!
เป็นข้อหาฉกรรจ์ที่ออกจากปากของพระธรรมวิสุทธิมงคล
(บัว ญาณสมฺปนฺโน ป.ธ.3) พระราชาคณะสายวิปัสสนา ชั้นธรรม
ซึ่งถือว่าเป็นชั้นสูงมาก จะปากจะพูดอะไร
คนที่เป็นผู้ใหญ่ต้องสังวรระวังให้ดี คือต้องคิดแล้วคิดอีก ตรองแล้วตรองอีก
ไม่ใช่พูดแบบไมค์พาไป เหมือนศิษย์คนโตที่เอาลิ้นพันคอไปทั่วบ้านทั่วเมือง
ไอ้แบบนี้ท่านเรียกว่า "แม้ตัวจะโต
หรืออายุจะมาก หากแต่ก็ยังไม่บรรลุนิติภาวะทางอารมณ์"
กรณีที่พระธรรมวิสุทธิมงคล หรือหลวงตาบัว ออกมาโจมตี (และถึงกับด่า)
มหาเถรสมาคม ซึ่งเป็นองค์คณะปกครองพระสงฆ์ทั้งประเทศไทย
ตามอำนาจในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ก็มาจาก
"คำสั่งแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช"
ของรัฐบาลไทย ลงนามครั้งแรกโดย
นายวิษณุ เครืองาม ส่วนวัน เดือน
ปี ที่เท่าไรนั้นก็ขี้เกียจจะพิมพ์เพิ่ม เพราะว่าพูดมาหลายรอบแล้ว
ท่านที่สนใจก็กดๆ หาเอาเองนะ แถวๆ ในเว๊บนี่แหละ คงเจอ
และประเด็นข้างเคียงอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นในทางพระธรรมวินัย หรือทางกฎหมาย
ผู้เขียนก็จะไม่เขียนอีก เพราะเขียนมาหลายครั้งแล้ว วันนี้จะขอพูดแต่ประเด็น
"มหาเถรเป็นมหาโจร"
ของหลวงตาบัวเพียงประเด็นเดียว ฟังนะ
ก็ตามข้อหาที่หลวงตาบัวประเคนมหาเถรสมาคมนั้น ท่านระบุสาเหตุว่า
"เพราะว่ามหาเถรสมาคม
ยินยอมพร้อมใจรับตำแหน่งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
ซึ่งแต่งตั้งโดยนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่ถูกต้อง ไม่ถูกธรรม
เมื่อมหาเถรสมาคมยินดีรับตำแหน่งเหล่านั้น
จึงถือว่ามหาเถรสมาคมเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกันปล้นชิงสิทธิของสมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช ไปเป็นของตน มหาเถรสมาคมจึงเป็นมหาโจร"
นี่คือเหตุผลหลักของหลวงตาบัว ซึ่งท่านได้แสดงเทศนาสอนประชาชน ณ
วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2548 ในหัวข้อ
"เราไม่ติดใจนายกรัฐมนตรี"
ผู้เขียนเคยตั้งข้อสังเกตว่า
"ดูท่าว่าหลวงตาบัวและคณะศิษย์ จะใช้กลยุทธ์ แบ่งแยกแล้วปกครอง"
มาเล่นกับรัฐบาลและมหาเถรสมาคม
ในกรณีคำสั่งแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
เพราะการกล่าวหานายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี แต่เพียงคนเดียว
ว่าเป็นคนจัดการเรื่องนี้ทั้งหมด และกีดกันนายกรัฐมนตรีออกไปเสียจากกรณีนี้
ยุทธวิธีเช่นนี้ เราควรตั้งคำถามกันอย่างตรงไปตรงมาว่า
"เป็นไปได้หรือที่นายวิษณุ เครืองาม
จะอาจหาญทำเรื่องใหญ่ในประวัติศาสตร์เพียงลำพัง โดยที่ไม่รายงานนายกรัฐมนตรี
หรือนายกรัฐมนตรีไม่รับรู้ด้วย"
ถ้าว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว เริ่มแรกทีเดียว หลังการเลือกตั้ง
เมื่อมีพระบรมราชโองการตั้งประธานสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ๆ
ก็จะนำรายชื่อบุคคลผู้ได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)
ขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย โปรดเกล้าฯ
ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากนั้น นายกรัฐมนตรี
ก็จะสรรหาหรือคัดเลือกบุคคลผู้เห็นสมควรจะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีขึ้นทูลเกล้าฯ
เพื่อโปรดเกล้าฯ บุคคลเหล่านั้นเป็นรัฐมนตรี
เพื่อช่วยงานนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศ กระจายไปตามกระทรวง ทบวง ต่างๆ
นับรวมถึงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีด้วย นายวิษณุ เครืองาม
ได้รับการคัดเลือกและเชื้อเชิญจากนายกรัฐมนตรี
ให้เข้ามาดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ในคณะรัฐบาล
และต่อมาได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
ซึ่งเป็นองค์กรอิสระ ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี
ตามที่มีพระภิกษุสามเณรรวมตัวกันเรียกร้องขอแยกออกจากกรมการศาสนาและกระทรวงวัฒนธรรม
สรุปตรงนี้ ชี้ได้ชัดเจนว่า
"นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี
ทำงานในฐานะผู้กำกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตามบัญชาการของ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี"
แน่นอน !
ทีนี้ว่า เมื่อเกิดกรณีคำสั่งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เมื่อต้นปี
2547 นั้น ไม่ว่านายวิษณุ เครืองาม จะรายงานนายกรัฐมนตรีหรือไม่
ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า
"นายกรัฐมนตรีไม่เกี่ยวข้องกับกรณีนี้"
เพราะนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะรัฐมนตรี เป็นผู้นำในรัฐบาล
ไม่ว่าจะโดยอำนาจหน้าที่หรือโดยสปิริต พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
เมื่อเป็นผู้คัดเลือกรัฐมนตรีมาช่วยตนทำงาน
ก็ต้องรับทั้งผิดและชอบต่อการทำงานของรัฐมนตรีทุกคน
เพียงแต่มีปัญหาว่า "หลวงตาบัว
และคณะศิษย์ มีนายทองก้อน วงศ์สมุทร เป็นต้น
ซึ่งประกาศตนเองเป็นพระปฏิบัติขจัดกิเลส
และประดาลูกศิษย์ลูกหานั้นก็มีหลายคนที่จบด๊อกเตอร์
หรือแม้แต่นายทองก้อนเองก็เคยประกาศว่า เรียนกฎหมายมาช่ำชอง
ถึงกับกล้าท้าเผาตำราสู้ทฤษฎีของนายวิษณุมาแล้ว"
ถามว่า หลวงตาบัวและนายทองก้อนเป็นต้น ไม่รู้หรือว่าคิดไม่ออกดอกหรือ ?
จึงทำเป็นทู่ซื้ด่าแต่รองนายกรัฐมตรี
โดยกีดกันนายกรัฐมนตรีออกไปเสียจากกรณีนี้ เหมือนๆ กับว่าจงใจจะเลือกปฏิบัติ
ตรงนี้แหละที่มันส่อเจตนา
"พระอรหันต์จอมปลอม" อย่างบะเริ่มเทิ่ม
! หรือแม้แต่คณะศิษย์มีนายทองก้อน เป็นต้นนั้น
ก็ส่อพฤติกรรม "ไม่สุจริต"
เหมือนมีวาระซ่อนเร้นจะเล่นงานนายวิษณุ เครืองาม เพียงคนเดียว
เพราะคนเขาทำงานด้วยกัน (ผิดไม่ผิดยังไม่รู้)
แต่หลวงตาบัวกับศิษย์กลับกล่าวหาเฉพาะรองนายกฯ ไม่กล้ากล่าวหานายกฯ เออ
พูดแบบคุณเต๋อ เรวัติ พุทธินัน ก็ต้องว่า
"มันแปลกดีนะ"
นี่แหละ คือประเด็นที่จะฉายภาพรวมบทบาทของหลวงตาบัวและคณะศิษย์ว่า
ชอบธรรมหรือไม่ !
แต่เอาละ ในเมื่อใครต่อใครหลายคน ยังพึงพอใจในบทบาทของหลวงตาบัว
โดยอาจจะนับตั้งแต่การออกบิณฑบาตช่วยชาติบ้านเมืองเมื่อคราวประสบวิกฤตเศรษฐกิจติดหนี้ไอเอ็มเอฟเป็นต้นมา
แล้วเหมาว่า "ท่านเป็นผู้เสียสละ"
เราก็จะไม่ว่ากัน ถือเสียว่าเป็นเรื่องศรัทธาของตัวบุคคลไป
แต่ทีนี้จะเข้าประเด็นหลัก คือคำระบุโทษของหลวงตาบัวที่ว่า
.นี่เราก็เคยพูดไว้แล้ว
เราพูดเอง มหาเถรสมาคมทุกวันนี้คือมหาโจร !!
กระบวนการกล่าวหามหาเถรสมาคมว่าเป็นมหาโจรนั้นก็ดังที่บอก คือหลวงตาบัวบอกว่า
เพราะมหาเถรสมาคมไปยินยอมพร้อมใจรับตำแหน่งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
ซึ่งปล้นมาโดยจอมโจรตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ นายวิษณุ เครืองาม
จึงถือว่า มหาเถรสมาคมสมรู้ร่วมคิด
และร่วมกันปล้นชิงสิทธิในตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ของสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุขวฑฺฒโน ป.ธ.9) วัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งเป็นเพื่อนของหลวงตาบัว
แต่ในอีกทางหนึ่ง หลวงตาบัวกลับประกาศว่า
"ไม่ติดใจนายกรัฐมนตรี"
ซึ่งเป็นผู้คัดเลือกและเสนอรายชื่อนายวิษณุ เครืองาม
เข้าดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี มาตั้งแต่รัฐบาลทักษิณชุดแรก และแม้แต่ว่า
หลวงตาบัวจะประกาศร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ ขอให้นายกรัฐมนตรีไม่เสนอชื่อนายวิษณุ
เครืองาม ดำรงตำแหน่งใดๆ ในทางการเมือง
ถึงกับถวายฎีกาแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ตาม ก็หาได้ผลไม่ นายวิษณุ
เครืองาม ก็ยังคงเป็น
"รองนายกรัฐมนตรี" มาจนบัดนี้
นี่มิใช่คำตอบดอกหรือ ว่า
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
รับรู้รับทราบกรณีคำสั่งแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
อย่างเต็มหัวใจ !
แถมยังหนุนนายวิษณุอย่างแข็งขันด้วย
การเลือกเล่นโจมตีเพียงนายวิษณุของหลวงตาบัวและคณะศิษย์นั้น
จึงมองได้เป็นสองประเด็นคือ 1.ไม่รู้จริง หรือ 2.รู้แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้
ขอวิเคราะห์ว่า
ข้อ 1 ถ้าไม่รู้จริง
แต่สิ่งอื่นกลับประกาศว่ารู้หมด ถึงขนาดกล้าท้าเผาตำรากฎหมายทิ้ง
อย่างนี้ผู้เขียนว่าตลกแล้ว
ขัอ 2 ถ้ารู้แล้วแกล้งทำเป็นไม่รู้
ก็แสดงว่า เจตนาบิดเบือนประเด็นให้เป็นเรื่องของนายวิษณุ เครืองาม
แต่เพียงคนเดียว ทั้งๆ ที่
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ก็มีเอี่ยวด้วยตั้งแต่ต้น ก็แสดงว่า
พระธรรมวิสุทธิมงคลนั้นเป็นโมฆะบุรุษ เชื่อถือไม่ได้ เล่นกั๊ก เล่นแยก
ไม่เล่นตามพยานหลักฐาน หรือตามกระบวนการที่บริสุทธิ์ยุติธรรม
หากแต่เล่นตามความอยากของตนเอง
ซึ่งพฤติกรรมดังว่ามานี้ก็จะส่อไปถึงผลของการบวชเป็นพระมาจนอายุใกล้ร้อยปีของหลวงตาบัว
ว่ามันได้ผลหรือไม่ ? ซึ่งผู้เขียนก็ไม่อยากวิพากษ์วิจารณ์มาก
เพราะอายุของท่านก็มากกว่าพ่อของผู้เขียน เดี๋ยวคนจะหาว่า
เป็นเด็กเป็นเล็กไม่รู้จักสัมมาคารวะต่อพระเถระ ดังนั้น
ในความคิดของผู้เขียนแล้ว
คิดว่าท่านน่าจะถูกกลุ่มศิษย์ผู้ใกล้ชิดเป่าหูให้เสียพระเสียมากกว่า เข้าตำรา
"บริวารเป็นพิษนั่นแหละ"
ถึงตรงนี้ก็ต้องขอกล่าวว่า
"สงสารหลวงตาบัว จะต้องมาเสียคนเพราะคนใกล้ชิด"
เอ..ดูๆ
ไปก็ชักจะเหมือนเรื่องห้องกระจกไปทุกที
นี่ทางรัฐบาลไม่คิดตัดตอนบริวารหลวงตาบัวบ้างเหรอ ?
ทีนี้ผู้เขียนมีทฤษฎีสัมพัทธภาพมาเสนอผู้อ่าน
โดยที่หลวงตาบัวท่านพูดย้ำแล้วย้ำอีกว่า
"คุณทักษิณเป็นศิษย์คนโตของท่าน"
ถ้าเป็นเช่นนั้น เมื่อเรามองให้ตลอดสายก็จะพบว่า
ตำแหน่งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชนั้น
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
เป็นผู้มอบหมายให้นายวิษณุ เครืองาม ทำงานแทนในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี
นำไปถวายแด่พระเถรานุเถระในมหาเถรสมาคม ก็แปลว่า
ศิษย์คนโตของหลวงตาบัวเป็นผู้นำไปประเคนมหาเถรสมาคมเอง
ต่อไป เมื่อมหาเถรสมาคมรับประเคนตำแหน่งนั้นจากศิษย์คนโตของหลวงตาบัว
แต่กลับถูกหลวงตาบัวตราหน้าว่า
"เป็นมหาโจร" ด้วยเหตุผลว่า
"รับของโจร"
ก็แสดงว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
เป็นโจร แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ยังมีอีกตำแหน่งหนึ่ง คือ ศิษย์คนโตของพระธรรมวิสุทธิมงคล หรือหลวงตาบัว เอ๊ะ
! ถ้าอย่างนั้นก็ใครหว่า
ที่เป็นครูหรืออาจารย์ของโจร คนที่นำเอาตำแหน่งไปถวายมหาเถรสมาคม จนได้ฉายา
"มหาโจร"
นั้น ถ้าเป็นเช่นนั้น คนๆ นั้นก็ควรได้รับการยกย่องเป็น
"อภิมหาโจร"
ด้วยสิ จริงไหม ?
ใครก็ได้ ช่วยตอบที ?
|