โบราณว่า
"พระจะสึก ฝนจะตก ฟ้าจะร้อง
คนมีท้องจะเกิดลูก และ อะแฮ่ม..คนปวดขี้ สิ่งเหล่านี้มันห้ามบ่ได้"
เป็นคติที่สะท้อนสัจธรรมของความเป็นจริง แต่น่าประหลาดว่า
เดี๋ยวนี้คนไทยหลายคนชักจะไม่ชอบความจริงเสียแล้ว ได้ยินแว่วๆ ว่า
พุทธศาสนิกชนคนไทยหลายคน (โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา) เกิดอคติ
แอนตี้พระที่บวชแล้วสึก
ถึงกับเห็นว่า คนที่สึกออกมาจากผ้าเหลืองนั้น
"เป็นคนเห็นแก่ตัว"
ความจริงเรื่องนี้ ผู้เขียนไม่อยากเขียนเท่าใดนักหรอก
เพราะเดี๋ยวจะถูกหาว่าเขียนแก้ตัว แต่พวกกองเชียร์สวนลุมพินีเขายกขันอาราธนามาหลายครั้ง
ทนรำคาญไม่ได้ จำใจต้องรับอาราธนา เพราะว่าผู้เขียนเป็นพระธรรมทูต
(ขอย้ำว่า เป็นพระธรรมทูต)
มีภาระหน้าที่สำคัญคือ การเผยแพร่พระพุทธศาสนา
ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติศาสนกิจในรูปแบบใด ถ้าไม่เสียหาย
และเป็นประโยชน์ต่อพระศาสนาแล้ว ก็จำต้องทำและยินดีทำ
ผู้เขียนเคยเขียนไว้ในเรื่อง
"คนไทยส่วนใหญ่ไม่รู้จักพระพุทธศาสนา"
ปรารภถึงบริบทของสังคมไทยนับตั้งแต่สมัยเริ่มรับเอาพระพุทธศาสนาเข้ามาเป็นศาสนาประจำชาติ
จากนั้นเราก็มีวิวัฒนาการทางสังคม และพระพุทธศาสนาก็ถูกนำมารับใช้สังคม
ไม่ว่าจะโดยจารีตประเพณีหรือเป็นนิติศาสตร์ปกครองบ้านเมือง
หลายเรื่องหลายราวพระพุทธศาสนาถูกบิดเบือนหรือปรุงแต่งให้เข้ากับสังคมไทยอย่างพิกลพิการ
แต่เราก็ทำได้และทำมาแล้ว
บทสรุปเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของพระพุทธศาสนาและสังคมไทยก็คือว่า
เป็นพระพุทธศาสนาแบบไทยๆ
แบบว่า คนไทยเอาพระพุทธศาสนามาดัดแปลงใช้ไปตามใจฉัน
หาได้เหมือนกับพระพุทธศาสนาอันแท้จริงดั้งเดิมไม่
คำว่า "บริบท"
ก็คือ ภาพรวมของสังคมไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัยมาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์
ซึ่งที่มีหลักฐานยืนยันหนักแน่นมากก็คือ ในช่วงกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี
ซึ่งช่วงนี้มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อการสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นมา
ภายหลังกรุงศรีอยุธยาถูกพม่าเผาเมื่อ พ.ศ.2310
"สร้างวัดให้ลูกหลานเล่น"
เป็นคำนิยามสังคมไทยมาแต่สมัยโบราณ เพราะคนไทยสมัยก่อนนั้นนิยม
"บวชก่อนเบียด"
คือว่า ถ้าบรรลุนิติภาวะที่อายุ 20 ปีแล้ว ชายไทยทุกคนต้องบวช
ใครไม่บวชถือว่าเป็นคนดิบ ยังไม่ได้อบรมศึกษากริยามารยาท
ยังไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ ที่สำคัญก็คือ ยังไม่ได้ทดแทนคุณค่าน้ำนมของพ่อแม่
พ่อแม่คนไหนไม่มีลูกชาย ก็ว่าเป็นทุกข์ เพราะว่าลูกผู้หญิงสืบสกุลไม่ได้
(ข้อนี้เล่าให้ฟังเท่านั้น ว่าเป็นบริบทของสังคมไทยที่มีมานาน
มิใช่สมัยนี้ที่ภรรยาสามารถใช้นามสกุลของตัวเองได้ตามรัฐธรรมนูญบัญญัติ)
สมัยเก่านั้นผู้หญิงแต่งงานแล้วต้องใช้นามสกุลของผัว
ลูกที่เกิดก็ต้องใช้นามสกุลของพ่อ ส่วนแม่นั้นไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไร เพราะ
"ผู้หญิงเป็นเพียงช้างเท้าหลัง"
เท้าหน้าว่ายังไง เท้าหลังมีหน้าที่แต่เพียง
"เดินตาม"
ขืนเถียงก็โดนซ้อม
แต่พ่อแม่ที่มีลูกชายนั้นก็ยังไม่สามารถวางใจแบบนอนตายตาหลับได้
ถ้าหากไม่ได้เห็นชายผ้าเหลืองของลูก
ลูกผู้ชายตั้งแต่เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินลงไปจนถึงทาสและกรรมกร
ครั้นอายุครบบวชแล้วต้องไปขอบวชอย่างน้อย 1 พรรษา
รับกฐินเสร็จแล้วจึงขอลาสิกขา กราบลาพระอุปัชฌาย์อาจารย์
จากนั้นจึงเข้ารับราชการ หรือทำงานอื่นๆ ตามถนัด เชื่อไหม ว่าสมัยโบราณนั้น
ผู้ชายไทยที่ไม่ได้บวชจะหางานราชการทำยากมาก
ผู้ชายไทยแทบทุกคนจึงผ่านการบวชเรียนมาแล้วทั้งสิ้น
สมัยนั้นไม่ว่าใครก็เป็นทิด แม้กระทั่งพระเจ้าแผ่นดินก็ทรงเป็นทิด
ลองไปค้นประวัติศาสตร์ดูเถิด ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 9
เว้นรัชกาลที่ 8 เพียงพระองค์เดียว ถ้าไม่ทรงสิ้นพระชนม์ไปเสียก่อน
ก็เชื่อว่าพระองค์จะทรงผนวช และก็จะทรงลาสิกขาบทเช่นกัน
การบวช-กับการสึก
จึงเป็นสิ่งที่อยู่คู่สังคมไทยมาเนิ่นนาน
เพิ่งจะมาผันแปรเอาก็หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตยใน
พ.ศ.2475 เพราะจากนั้น คนไทยก็นิยมไปเรียนนอก ไปเป็นลูกศิษย์คริสเตียน
แล้วภาษาต่างประเทศ เช่น ฝรั่งเศส อังกฤษ เป็นต้น
ก็เข้ามามีอิทธิพลต่อสังคมไทย แทนภาษาที่นิยมมาแต่โบราณ คือภาษาบาลีและจีน
นี่ก็คืออีกบริบทหนึ่งของสังคมไทย
เมื่อชายไทยรุ่นใหม่เป็นนักเรียนนอกจบจากยุโรปและอเมริกา
ไม่เคยผ่านวัดวาอาราม จึงไม่รู้ว่าวัดวาอารามและพระสงฆ์องค์เณรนั้นคืออะไร ?
เขาแทบจะมองเห็นพระภิกษุสามเณรเป็นคนถ่วงความเจริญของสังคมเหมือนพวกคอมมิวนิสต์มอง
มองแค่นั้นยังไม่พอ เขาไม่สนับสนุน ไม่ให้ความร่วมมือ หรือที่ให้ๆ
นั้นก็เพราะต้องการคะแนนเสียง
หาใช่ให้เพราะความเลื่อมใสศรัทธาปรารถนาจะให้พระศาสนาเจริญไม่
เชื่อไหม
ตั้งแต่สมัยไหนมาแล้ว กรมการศาสนาซึ่งเป็นหน่วยงานสนองงานคณะสงฆ์นั้น
จะได้รับมอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ดูแล
ส่วนรัฐมนตรีว่าการนั้นท่านไม่อยากยุ่ง รัฐมนตรีช่วยก็รับแบบเสียไม่ได้
ทั้งนี้เพราะเรื่องพระเรื่องเจ้ามันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
จึงปล่อยให้พวกอธิบดีกรมการศาสนาและลูกน้องสนองงานไปตามระบบ
แม้ปัจจุบันวันนี้
เราก็ยังมีปัญหาว่าด้วยสถานะทางกฎหมายที่แท้จริงของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติว่าเป็นหน่วยงานอะไรกันแน่
เพราะกรมการศาสนานั้นก็ยังไม่ยุบทิ้ง การแบ่งงานจึงลักลั่นกัน
เดี๋ยวของฉันเดี๋ยวของกู ดูยุ่งไปหมด
เมื่อโรงเรียนคริสเตียนล้ำหน้า โรงเรียนพุทธก็เสื่อมถอยด้อยพัฒนาการ
พระสงฆ์ไทยก็หันไปเล่นเครื่องรางของขลังแทน
นอกนั้นก็รอให้โยมตายค่อยทำพิธีสวดศพ คนไทยจึงทั้งเดินทั้งขับรถผ่านวัด
ไม่รู้ว่าวัดที่เห็นๆ อยู่แทบทุกซอยนั้น หมายถึงอะไร และน่าทึ่งใจว่า
คนไทยส่วนใหญ่เกือบจะลืมไปแล้วว่า
คนที่นุ่งเหลืองห่มเหลืองที่เราเรียกว่า พระภิกษุ-สามเณร นั้น เป็นใคร
ทั้งๆ ที่ก็เป็นลูกเต้าเหล่าหลานของเรานั่นเองที่เข้าไปบวชอยู่ในวัด
ความข้อนี้มีที่ไปที่มา ก็คือว่า เมื่อคนไทยส่วนใหญ่ไม่นิยมบวชเรียน
เพราะในวัดเขาห้ามสอนภาษาอังกฤษอันเป็นภาษาของเดียรถีย์ในทางพระพุทธศาสนา
มหาเถรสมาคมสมัยเก่าจึงออกกฎห้ามพระเณรเรียนภาษาอังกฤษ แต่ในทางบ้านเมืองแล้ว
ประเทศอังกฤษและสหรัฐอเมริกาเป็นสองอภิมหาอำนาจที่มีอิทธิพลทั้งทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจในโลก
เมื่อผู้นำของประเทศต้องการให้ประเทศไทยยกระดับขึ้นเป็นประเทศที่พัฒนา
มีความศิวิไลซ์ จึงปรับนโยบายให้สอดคล้องกับแนวคิดทางตะวันตก
และต่อมาก็กลายเป็นค่านิยมว่า
คนไทยที่จะมีการศึกษาดีนั้นต้องจบจากยุโรปและอเมริกา
ถ้าใครไปจบจากอินเดียหรือจีนมาก็จะถูกตีค่าเป็นคนล้าหลัง
เมื่อประชาชนคนไทยเดินไปทางหนึ่ง พระสงฆ์ไทยก็เดินสวนทางไปอีกทางหนึ่ง
สวนกันแรกๆ ก็ไม่ไกลเท่าใด ยังพอทักทายให้รู้จักชื่อเรียงเสียงนามได้
แต่เนิ่นนานไปหลายสิบปี จากห่างเล็กๆ น้อยๆ ก็กลายเป็นห่างมาก
และห่างเหินจนมองเห็นคนไทยด้วยกันเป็นคนละเผ่าพันธุ์
พระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาประจำชาติถูกลดค่าลงเรื่อยๆ
พระสงฆ์เคยเป็นเนื้อนาบุญถูกตราหน้าว่าเป็นส่วนเกินของสังคม
มีชีวิตอยู่อย่างเอารัดเอาเปรียบประชาชน บ้านไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อ
ภาษีไม่ต้องเสีย ทหารไม่ต้องเกณฑ์ แถมขึ้นรถเมล์ฟรีอีก
ความสูญเสียทางสังคมที่สังคมไทยได้รับจากการเหินห่างพระพุทธศาสนาคือ
ปัญหาสังคมรุมล้อมสารพัด ทั้งความไม่อ่อนน้อมถ่อมตน
ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมไปตามกระแสตะวันตกนิยม
การไม่รู้จักการใช้ชีวิตด้วยความพอดีที่เรียกว่าพอเพียง ยาเสพติด โรคเอดส์
การมีเซ็กก่อนวัยอันควรคือก่อนแต่ง ซึ่งโบราณมานั้นถือกันนักว่า อย่าว่าแต่จะแต๊ะอั๋งกอดจูบลูบไล้ต่อหน้าธารกำนันเช่นในสวนสาธารณะเลย
"แม้แต่ขาอ่อนก็ไม่ได้เห็น"
เดี๋ยวนี้เด็กหญิงไทยคนไหนจำได้มั่ง
นั่นแหละคือหายนะอันเกิดจากการห่างเหินพระศาสนา ทั้งๆ ที่วัดก็ยังอยู่
พระสงฆ์ไทยก็ยังมี แต่ประชาชนคนไทยเองต่างหากที่ไม่เอาพระเอาเจ้า
พอเกิดปัญหาขึ้นมาก็ตะโกนถามว่า
"พระไทยทำอะไรอยู่ ทำไมไม่ช่วย"
ทำยังกะว่าพระไทยเป็นพระเจ้า ที่เอาง่ายๆ หน่อยก็เข้าวัดไป บนบานสานกล่าว
ขอหวยขอเบอร์ ขอเครื่องรางของขลัง คือตัวอย่างของบริบทสังคมไทยที่ว่านี้
เมื่อผู้ชายไทยที่ฐานะดีมีสกุลไม่นิยมบวชเรียน พระสงฆ์ก็คิดคับแคบ
ไม่ยอมเปิดหูเปิดตาตัวเองให้ทันโลก ถึงขนาดว่า
สมัยหนึ่งสมเด็จพระสังฆราชไทยนั้นรังเกียจพระสงฆ์ไทยที่ไปเรียนเมืองนอกยิ่งนัก
ถึงกับตะคอกเอากับพระพิมลธรรม
วัดมหาธาตุฯ
ที่พาพระนิสิตไปกราบลาเพื่อไปศึกษาเมืองนอกว่า
"ท่านพิมลธรรมเอ๋ย ท่านจะเอาดีไปถึงไหน
การศึกษาของพระสงฆ์ไทยนั้นดีที่สุดในโลกอยู่แล้ว"
แล้ววันนี้เป็นไง ผลพวงของการได้สมเด็จพระสังฆราชผู้มีวิสัยทัศน์เช่นนี้
เมื่อไม่มีคนเก่งคนมีฐานะออกบวช พระสงฆ์ไทยจึงหันไปใช้บริการจากชาวบ้าน แรกๆ
ก็หาเด็กที่พ่อแม่ยากจน ไม่มีปัญญาส่งเสียลูกเรียนสูงๆ
เอาเข้ามาบวชเพื่อสืบทอดพระศาสนา ให้การศึกษาแบบสงเคราะห์
ซึ่งแทบว่าจะหาคนเก่งแบบคัดเกรดได้ยากแล้ว
เป็นอย่างนี้มาเนิ่นนาน โชคยังดีที่ว่าช่วงประมาณ 20-30
ปีก่อนนี้เรายังมีเด็กเยอะ จึงงมเจอเพชรหลายเม็ดหน่อย แต่ซักสิบปีมานี้ เมื่อรัฐบาลออกกฎหมายให้เด็กไทยต้องเรียนจนจบเกรด 12 คือจบ ม.6
นับอายุก็จะเป็น 18 ปีโดยประมาณ นั่นมันแตกพานเป็นหนุ่มเป็นสาวไปหลายปีแล้ว
แล้วที่ไหนมันจะบวชอีก พระสงฆ์ไทยจึงต้องหาทางออกโดยการนำเข้าเด็กจากพม่าบ้าง
ลาวบ้าง เขมรบ้าง มาบวชเรียน เพื่อสืบทอดอายุพระพุทธศาสนา ก็ถูกตั้งข้อหา
"ขายชาติ-ให้ที่พักพิงแก่คนต่างชาติ"
จากเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ถามว่า บริบทเหล่านี้ ปัญหาที่ว่ามาทั้งหมดนี้ เป็นปัญหาของใคร ?
ของพระสงฆ์สามเณรเพียงฝ่ายเดียวหรือ รัฐบาล ประชาชนคนไทย
ไม่เกี่ยวข้องเลยหรือ ?
ตอบสั้นๆ ง่ายๆ ก็คือว่า ถ้าว่ากันตามเป็นจริง
ก็เป็นปัญหาของทุกฝ่ายนั่นแหละที่ต้องช่วยกัน
เพราะสังคมไทยยังต้องอาศัยพระพุทธศาสนา ต้องนำพาในทางศีลธรรมจริยธรรม ไม่งั้นก็จะเกิดปัญหาสังคมไม่สิ้นสุด
ซึ่งลูกหลานของเราที่เสียคนไปเพราะสุรายาเสพติดและความใจแตกก่อนวัยนั้น
ใครเป็นพ่อแม่ก็รู้ว่า "เจ็บจนตาย"
และมันมีผลกระทบไปถึงรัฐบาลที่ต้องหาทางป้องปรามอาชญากรรม
และการปลูกฝังเยาวชนให้เป็นพลเมืองดีของประเทศ จะได้เป็นกำลังของชาติ
พระศาสนามีความสำคัญยิ่งในจุดนี้ จุดที่ชาวบ้านร้านตลาดอาจมองไม่เห็น
แต่นักรัฐศาสตร์ระดับรัฐบุรุษต้องรู้และต้องมองให้ออก
ไม่ใช่ไปลอกชื่อรัฐบุรุษมาท่องแล้วเลียนแบบงูๆ ปลาๆ
โดยหวังว่าจะได้เป็นรัฐบุรุษในประวัติศาสตร์กับเขาคนหนึ่ง
แต่ถ้าประชาชนคนไทยยังมองปัญหาพระศาสนาแค่ลวกๆ
แบบว่าไม่พอใจพระก็จะไม่เข้าวัด แถมยังด่าเช้าด่าเย็น ทั้งๆ
ที่บุญกุศลตนเองก็ไม่เคยทำ อย่างนี้ก็แสดงว่าเราปัดความรับผิดชอบ จะเอาแต่ดี
ทีเสียแล้วไม่รับ เรียกร้องสารพัด แต่ลองเราเขียนใบฎีกาบอกบุญไปสิว่า
"ขอเป็นเจ้าภาพที่ละ 100"
ก็โวยวายทันทีว่า
"ทำบุญทำไมต้องกำหนด ของอย่างงี้มันแล้วแต่ศรัทธา"
ตะทีปรารถนาจากพระละก็จะเอาทั้งสวรรค์วิมานไปจนพระนิพพาน
มันโลภมากเสียอย่างนี้แหละคนไทย
ทางแก้ด้านอื่นนอกจากจะช่วยกันคนละไม้ละมือ ถ้าไม่สำเร็จ
คือไม่มีใครรับผิดชอบ ผู้เขียนว่า ก็เอางี้
ให้รัฐบาลออกกฎหมายให้ประชาชนคนไทยต้องรับผิดชอบต่อพระพุทธศาสนา โดยกำหนดไว้ว่า
"ผู้ชายไทยทุกคนที่อายุ 20 ปี แล้ว
ต้องบวชพระอย่างน้อย 1 พรรษา หรือ 1 ปี"
เหมือนอิสลามที่เด็กทุกคนต้องเข้าสุหนัด และผู้หญิงต้องสวมฮิญาบ และ
"คนไทยทุกคนต้องเสียภาษีบำรุงพระพุทธศาสนาร้อยละ 10 ของรายได้"
เพื่อนำไปใช้บำรุงพระพุทธศาสนา ดังนี้
1.ค่าทำนุบำรุงศาสนาสถาน
เช่นวัด โบสถ์
2.จ่ายเป็นค่าสวัสดิการของพระภิกษุสามเณร
3.เพื่อกิจกรรมทางศาสนาอื่นๆ
ถ้าทำได้ตามนี้ เราก็สามารถจะจัดระเบียบได้ว่า
"พระภิกษุ-สามเณร ห้ามมิให้เรี่ยไร
เพราะว่ามีเงินเดือนกินแล้ว"
แต่ถ้าเราทำไม่ได้ คนที่บวชก็ไม่ค่อยมีคุณภาพ
คนที่มีคุณภาพก็ไม่ยอมบวช อีกด้าน พระภิกษุสามเณรยังต้องบอกบุญหาเงินสร้างวัด ขอจากรัฐบาลๆ
ก็ไม่มีให้ ก็จำต้องไปบอกกับญาติโยมผู้ศรัทธา
ซึ่งบางองค์อาจจะเก่งมีลูกศิษย์มาก ก็หาได้มาก
ที่ไม่เก่งก็ได้น้อยลดหลั่นกันไป เรียกว่าตามวาสนาและบารมี ทีนี้
เมื่อไม่มีการอุปถัมภ์อย่างเป็นระบบ ปล่อยสะเปะสะปะหากินกันเอง
เหมือนพระไทยสร้างวัดในสหรัฐอเมริกา
เจอบางองค์ที่ยังไม่สิ้นกิเลส แต่มีเสน่ห์ ก็อาจจะเกิดปัญหา เหมือนพระดังๆ
ในอดีต แล้วเราจะโทษใคร
ทางออกนั้นมี แต่จะมีคนออกหรือเปล่าเล่าเอ่ย ?
ปัญหาพระสึก-พระไม่สึก
หรือได้กรีนคาร์ดแล้วสึก
นี่ก็เช่นกัน ถ้าเรากลัวว่าพระจะสึก ก็เห็นจะต้องห้ามมิให้คนไทยบวช
เพราะถ้าไม่มีการบวชก็ไม่มีการสึก การสึกกับการบวชมันเป็นของคู่กันเหมือนวันและคืน
เพราะว่า..ถ้าเราจะเอาแต่ชนะโดยไม่เสียทหารซักคนเลยนั้น ก็มีทางเดียว
คืออย่าส่งทหารเข้าสนามรบ ให้มันนอนกกเมียอยู่ที่บ้านนั่นแหละ
แต่ว่าจะเอาชนะได้หรือ ..หรืออีกอย่าง ถ้ากลัวถ้วยชามจะสกปรก
จะด้วยความขี้เกียจล้างหรืออะไรก็ตามแต่
ก็มีแต่ทางเดียว คือ อย่ากิน
อย่าใช้
รัดปากรัดท้องไว้ให้มันอดตายไป รับรองว่าข้าวของยังสดใสใหม่เสมอแน่นอน
ทำได้หรือเปล่าล่ะ
!
หรือถึงที่สุดแล้ว ถ้าคนไทยคนไหนยังดึงดันหัวชนฝาว่า
"พระไทยบวชแล้วต้องไม่สึก ถ้าสึกอย่าบวช"
ผู้เขียนว่า ผู้พูดนั่นแหละ
จงมาบวชเสียเอง แต่ถามว่า
กล้าหรือเปล่า ? เท่านั้นเอง
เราจึงอยากได้เหลือเกินกับคนที่คิดเป็น เอาจริง ในการแก้ปัญหาพระพุทธศาสนา
ไม่ว่าในประเทศไทยเราและในสหรัฐอเมริกา
แต่ไม่ใช่ว่าไม่รู้จริงแล้วอยากพูด
โดยเฉพาะก็คือ ติเพื่อก่อ ไม่ใช่เพื่อทำลาย และต้องคิดให้เป็นระบบ
หาทางออกได้อย่างชัดเจน เป็นมรรคเป็นผล
และเป็นองค์รวมที่เรียกว่าบูรณาการ
ไม่ใช่จับจดเหมือนตาบอดคลำช้าง ทั้งต้องมองให้กว้างและไกล
ไม่ใช่มองเห็นแค่วงแว่นตาแล้วบอกว่าเป็นวิสัยทัศน์
พอถอดแว่นออกก็เบลอเสียแล้ว อย่างนี้แหละที่ไปไม่รอด ที่สำคัญก็คือ
งานสังคมเป็นงานที่ต้องอาศัยกลไกหลายอย่างเข้าช่วย
คนที่จะดำเนินการด้านนี้ได้ นอกจากจะต้องมีบารมีอย่างมากแล้ว
ต้องเป็นนักประสานไมตรี ไม่ใช่ประสานงา
ต้องทุ่มเทเสียสละ ไม่หวังอามิสสินจ้าง รู้จักการชูจุดเด่นเพื่อกลบจุดด้อย ทั้งรู้จักประวิงเวลาในการคาดหวังผล
เพราะนี่มิใช่ระบบทหารที่สั่งแล้วต้องได้ตามเวลาเป๊ะ
เพราะถ้าทำได้เช่นนั้นมันก็คงเสร็จไปนานแล้ว
คงไม่เป็นดินพอกหางหมูรอให้พวกเรามานั่งบ้าน้ำลายวิพากษ์วิจารณ์กันอีก
แต่เราจะหาคนประเภทที่ว่านี้ได้ที่ไหนในโลกใบนี้
ขนาดพระที่ว่าบวชมาเพื่อตัดกิเลส
ก็ยังวิ่งเต้นหายศถาบรรดาศักดิ์กันหัวหกก้นขวิด
จึงขอให้เชื่อเถิดว่า
ถ้าเรามองโลกเป็น เห็นปัญหาอย่างเป็นระบบเช่นที่ว่านี้ คำถามที่ว่า
"พระไทยมาอเมริกาเพื่อหากรีนคาร์ด พอได้กรีนคาร์ดแล้วก็รีบสึก
เป็นการอาศัยผ้าเหลืองเป็นใบเบิกทางสู่ความเป็นฆราวาส"
จะไม่มีให้ได้ยินอีกแน่นอน
|