วันนี้ต้องขอต่อว่าสังคมไทย คนไทย
ไล่ตั้งแต่คนที่อ้างว่าเป็นพุทธศาสนิกชน สื่อสารมวลชน ไปจนคนเล่นเน็ตทั้งหลาย
ว่าท่านทั้งหลายยังไม่รู้จักพระพุทธศาสนาอย่างดีพอ
ด้วยข้อมูลและเหตุผลที่จะนำเสนอต่อไปนี้
ขอเรียนด้วยว่า
คอลัมน์นี้มิใช่มีไว้เพื่ออวดภูมิปัญญาให้อ่านเล่นประดับความคิดอ่านแต่เพียงเท่านั้น
หากท่านใดได้ติดตามข่าวสารในคอลัมน์นี้อย่างใกล้ชิด ก็ย่อมจะเห็นว่า
เราเน้นอรรถสาระที่จับต้องได้ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอหลังปรินิพพานแล้ว
ว่าพระพุทธศาสนาจะไปมีบทบาทให้ความสุขแก่คนในตอนตายแล้ว หามิได้เลย
ทุกก้าวย่างความเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นองคาพยพไหน
ล้วนแต่เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดความพัฒนา (ในที่นี้จะยังไม่เรียกว่าความสุข)
ขอเรียกแต่เพียงความเจริญ และถ้าเป็นศัพท์แสงในทางพระก็ขอเรียกว่า เป็นระดับกัลยาณปุถุชน
คือคนดีที่สังคมต้องการ
ขอยกบทเรียนในประวัติศาสตร์อันแสนขมขื่นของพี่น้องชาวพุทธเรามาให้ได้ทัศนากัน
เป็นข้อเขียนของ อาจารย์กรุณา
กุศลาสัย
ปรมาจารย์ผู้ทรงภูมิความรู้ทางด้านภารตวิทยา
อันเกี่ยวกับประเทศอินเดียในแทบทุกด้าน อาจารย์กรุณาได้แสดงทัศนะไว้ในหนังสือ
"ภารตวิทยา"
หน้า 450 ความว่า
ก่อนจะจบการพรรณนาถึงประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนาในอินเดียนี้
อาจมีผู้สงสัยถามว่า ทั้งพราหมณ์และพุทธศาสนิกชนต่างก็ถูกมุสลิมฆ่าโดยไม่เลือกหน้าทั้งนั้น
เหตุไฉนศาสนาพราหมณ์จึงได้มีชีวิตอยู่มาจนถึงปัจจุบัน
ส่วนศาสนาพุทธนั้นไม่เหลือเลย
คำตอบสำหรับปัญหานี้อยู่ไม่ไกลนัก ในระหว่างพราหมณ์นั้น แม้แต่
"ฆราวาส"
ก็เป็นผู้ปกป้องศาสนา
แต่ในกรณีของพุทธศาสนิกชนนั้น ภาระอันนี้ตกอยู่กับเหล่าภิกษุสงฆ์
อนึ่ง การกินอยู่ตลอดจนการแต่งกายของพราหมณ์
ไม่เป็นเครื่องดึงดูดความสนใจของบุคคลภายนอกเท่ากับพวกภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนา
ผู้อยู่ในผ้าเหลืองอันเด่นชัด และอยู่รวมกันในวัดวาอารามต่างๆ จริงอยู่
ในระหว่างพราหมณ์เองก็มีผู้นับถือลัทธิ "ตนฺตริก" แต่ในขณะเดียวกันนี้
ก็มีพราหมณ์ที่งดงามในศีลธรรมและคุณธรรม เป็นที่เคารพของประชาชนทั่วไป
ซึ่งตรงกันข้ามกับภิกษุสงฆ์ในสมัยนั้น ผู้ไร้ความสามารถ หย่อนในศีลธรรม
และโอนเอนไปในทางลัทธิ "ตันตริก" เสียส่วนใหญ่ ด้วยเหตุนี้
ภายหลังเมื่อภิกษุสงฆ์พยายามจะก่อสร้างโบสถ์วิหารขึ้นอีก ประชาชนและทายกทายิกาทั้งหลายจึงไม่หันเข้าช่วยเลย...
นั่นคือทัศนะโดยรวมของนักปราชญ์ทางศาสนาและประวัติศาสตร์อินเดียท่านหนึ่ง
ซึ่งได้รับการยอมรับโดยทั่วไป
และผู้เขียนขอยกข้อเขียนของท่านมาเป็นบทนำในวันนี้
ที่ผู้เขียนขมวดหัวข้อไว้ว่า
"คนไทย (ส่วนใหญ่) ไม่รู้จักพระพุทธศาสนา"
ดังนี้นั้น
ขอได้โปรดฟังทางนี้ก่อน อย่าด่วนใจร้อนหุนหันพลันแล่นว่า
ผู้เขียนเอียงเข้าข้างพวกเดียวกัน
แล้วหันมาโทษทางโยม มากกว่าจะสำรวจความเสียหายในกลุ่มหรือพรรคพวกของตัว
ก่อนเสด็จปรินิพพานนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระบรมศาสดาของพระพุทธศาสนา ทรงตรัสเป็นพระพุทธพินัยกรรม เอาไว้ว่า
ตราบใดที่ บริษัททั้ง 4 คือ ภิกษุ
ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา ยังตั้งใจศึกษา
และปฏิบัติธรรมตามสมควรแก่ธรรมอยู่ ตราบนั้น พระพุทธศาสนาจะไม่หายไปจากโลก..
สรุปชัดเจนก็คือ พระพุทธเจ้าทรงมอบพระศาสนาให้แก่บริษัททั้ง 4 หมายความได้ดังนี้
1. ภิกษุบริษัท ได้แก่ นักบวชชายผู้บรรลุนิติภาวะในทางพระพุทธศาสนา เรียกว่า
พระ หรือพระภิกษุ อายุ 20 ปีขึ้นไป (สามเณรนับรวมอยู่ในบริษัทนี้ด้วย)
2. ภิกษุณีบริษัท ได้แก่ นักบวชหญิง ผู้บรรลุนิติภาวะในทางพระพุทธศาสนา
เรียกว่า พระภิกุณี หรือหลวงแม่ อายุ 20 ปีขึ้นไป
(สามเณรีนับรวมอยู่ในบริษัทนี้ด้วย)
3. อุบาสกบริษัท ได้แก่ ผู้ชายที่นับถือพระพุทธศาสนา ไม่จำกัดอายุ
4. อุบาสิกาบริษัท ได้แก่ ผู้หญิงที่นับถือพระพุทธศาสนา ไม่จำกัดอายุ
เมื่อรวม 4 กลุ่มเหล่านี้เข้าด้วยกัน และแยกประเภทแล้ว ก็จะได้อีก 2 ประเภท
คือ นักบวช และฆราวาส
บริษัทที่ 1 และ 2 จัดเข้าในประเภทนักบวช
แม้ว่าปัจจุบันในประเทศไทยจะไม่มีภิกษุณี คงมีแต่พระภิกษุและสามเณร
(อาจจะรวมทั้งแม่ชีด้วย) ก็จัดอยู่ในประเภทที่ 1 นี้เท่าที่มี
บริษัทที่ 3 และ 4 จัดเข้าในประเภทของฆราวาส คือคนครองเรือน
นี่คือบุคคลที่พระพุทธองค์ทรงมอบหมายพระพุทธศาสนาไว้เป็นพินัยกรรม
ถ้าถือว่าตัวเองเป็นชาวพุทธแล้ว
ก็ย่อมต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อพระพุทธศาสนาด้วยกัน
ด้วยสิทธิและเสรีภาพอันเท่าเทียมกัน ไม่มีใครจะต้องแบกภาระธุระพระศาสนาไปมากกว่าใคร
เพราะพระพุทธเจ้ามิได้ระบุว่า
"พระภิกษุหรือสามเณรเท่านั้นมีสิทธิในพระพุทธศาสนามาก กว่าฆราวาสญาติโยม"
หรือว่า
"พระสงฆ์เป็นเจ้าของพระพุทธศาสนา เหล่าอื่นไม่ใช่"
ดังนี้เลย ไปค้นพระไตรปิฎกดูได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ ปัญญาชนคนไทย (นับรวมทั้งพวกที่โพสด่าพระในเนตกันเป็นแถวๆ
และคอลัมนิสต์ที่ชอบตีข่าวหากินด้วย) มิคิดหรือไรว่า พวกท่านก็กำลังด่าตัวเอง
(เว้นเสียแต่ว่าพวกคุณจะมิใช่ชาวพุทธเท่านั้น)
"ติเพื่อก่อ ต่อสติ"
นักปราชญ์ท่านว่าไว้เช่นนี้ แต่เห็นมีถ้อยคำหยาบคายอยู่ เช่น
ไอ้โล้นพวกนี้ ไอ้อัปรีย์
ฯลฯ เป็นต้น
นับเป็นความน่าสมเพชของสังคมไทยที่ไม่มีวุฒิภาวะทางสติปัญญาและมารยาทเอาเสียเลย
มันก่อและต่อสติตรงไหน กับถ้อยคำหยาบคายเหล่านี้ ?
คำถามแรก
พระสงฆ์สามเณรในประเทศไทยมาจากไหน ?
ลองตอบดูสิ ก็มาจากโคตรเหง้าศักราชชนชาติไทย มีพ่อแม่เป็นคนไทย
แล้วเอาลูกมาบวช หวังจะขัดเกลาให้เป็นคนดี แต่คนบวชมันมีเยอะ ก็ต้องเลอะเทอะมั่งเป็นธรรมดา
ขอถามหน่อยว่าสังคมไหนไม่มีคนเลวอยู่เลย ?
ตอบมาสิ มีไหม สังคมที่ว่าในอุดมคติ หรือยูโทเปีย ? ขนาดอเมริกานี่
ที่ว่าเจริญที่สุดในโลก ก็แทบว่าคนจะล้นคุก
!!!
นี่แหละที่ผู้เขียนว่า ชาวพุทธคนใดด่าพระสงฆ์สามเณร
ก็เสมือนด่าตัวเองรวมถึงบรรพบุรุษของตัวเองด้วย
!!
ในสภาวะที่กระแสตะวันตกกำลังไหลบ่าท่วมท้นกระแสตะวันออกอย่างรุนแรงเช่นในปัจจุบันนั้น
น่าที่เราจะได้เห็นพุทธศาสนิกชนรวมสติปัญญากำลังความคิด กำลังกายกำลังใจ
ช่วยกันพยุงรักษาไว้ซึ่งพระพุทธศาสนา แต่ปรากฏว่า คนไทยส่วนใหญ่ กลับเอาหูไปนา
เอาตาไปไร่ ไม่สนใจวัดวาอาราม ไม่สนับสนุนพระเณรทางด้านอาหารการกินและการศึกษา
แต่ก็แปลกอยู่ว่า
"คนไทยอยากได้พระดีๆ"
ของถูก-ของดี
ของฟรี มีที่ไหนหรือ ?
ถามว่า ถ้าคนไทยไม่สนับสนุนพระสงฆ์สามเณรในทางที่ถูกที่ควร
ด้วยการให้การศึกษาและปฏิบัติอย่างถูกกรรมวิธีแล้ว จะหาพระที่ดีๆ ได้จากไหน
เพราะพระสงฆ์ไทยก็คือคนไทยธรรมดาๆ
นี่เองที่มาบวช มิใช่เทวดาอวตารมาจากสวรรค์ชั้นไหน
!
ยกตัวอย่าง ถ้าท่านเป็นพ่อคนแม่คน มีลูก, ท่านก็ต้องอยากให้ลูกเป็นคนดี
มีการศึกษา เรียนจบอย่างน้อยก็ระดับปริญญาตรี จะได้มีศิลปวิทยาการติดตัว
ไม่ลำบากลำบน และไม่ไปปล้นฆ่าใคร ไม่ต้องตกเป็นอาชญากร
สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้อย่างไม่อัตคัตขัดสน และไม่เป็นคนที่สังคมรังเกียจ
ใช่ไหม ? แล้วจะทำอย่างไร...
พ่อแม่ที่ฉลาด ก็ย่อมจะเริ่มอบรมสั่งสอนลูกด้วยคำพูดคำจา กริยามารยาท ตั้งแต่กิน ดื่ม
ทำ พูด คิด แนะนำในสิ่งที่ดีที่ควร รู้จักสัมมาคารวะ รู้จักรับผิดชอบ
และเมื่อลูกโตขึ้น ก็ต้องพยายามส่งเสียให้ได้รับการศึกษา
หาครูบาอาจารย์หรือโรงเรียนที่ดีๆ ให้ลูกได้เรียน จะได้ไม่โง่
ทำอย่างนี้จึงจะได้ลูกที่ดี
แต่ถ้าหากว่า ท่านคลอดลูกออกมาแล้ว ก็ปัดความรับผิดชอบ
ตั้งแต่หาทางเอาไปทิ้งกองขยะ หรือไม่ก็เอาไปสอนในสลัม
ให้ตื่นเช้ามาได้ยินแต่ภาษาดอกไม้ ด่าพ่อล่อแม่
พูดแต่ละคำก็ออกมาจากร่มผ้าเบื้องต่ำหรือปลายเท้า ศัพท์แสงที่ใช้ก็รุ่นพ่อขุน
ครั้นได้ซัก 7-8 ขวบก็ปล่อยให้คบเพื่อน
หนีออกบ้านไปไม่รู้หนแห่ง ปากจัด แก่แดด ลองของสารพัด ตั้งแต่ เหล้า บุหรี่
ดมกาว ยาบ้า ยาอี สารเสพติด และเริ่มหาเงินด้วยวิธีการปล้น จี้ ชิงทรัพย์
หรือการโกง ข่มขืน หรือไม่ก็หากินในบ่อน หลับนอนในซ่อง ฯลฯ
ถามว่า
ลูกของท่านจะเป็นคนดีไหม ?
และแบบไหนคือพ่อแม่ที่ดี
โบราณว่า ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น
ข้อนี้ดูแล้วเป็นเรื่องจริง สังคมพุทธบริษัทไทยวันนี้ นอกจากจะไร้คุณธรรมแล้ว
ยังไร้สติปัญญาและไร้เมตตา มองปัญหาสังคมไม่เป็น เป็นอยู่แต่เรื่องเดียวคือ
"ด่า"
เกิดอะไรๆ ขึ้นมาก็ด่าเข้าไว้ก่อน ไม่เคยมีใครคิดแก้ปัญหาอย่างจริงจัง
มีหรือไม่กับความเอื้อเฟื้อเจือจานในระบบที่ว่า "นี่เธอ
ฉันได้อ่านข่าววันนี้แล้ว เห็นมีพระเณรทะเลาะเบาะแว้งกัน ฉันว่ามันไม่เหมาะ
แต่ท่านคงจะมีปัญหาลึกๆ อยู่ เราไม่รู้ ฉันว่าเราน่าจะเข้าไปศึกษาข้อมูลกับทางวัดดู
เผื่อจะได้ช่วยเหลือให้พระเณรเป็นที่น่าเคารพศรัทธาบ้าง
อย่างน้อยท่านก็เป็นลูกหลานเรา วัดก็วัดบ้านเรา.."
ผู้ดีมีสกุล ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองก็เช่นกัน เคยคิดกันบ้างไหมล่ะว่า
"อืม..พระเณรไทยเดี๋ยวนี้คุณภาพหย่อนยานลงเหลือเกิน
ไม่มีพระเณรที่เก่งกาจสามารถเหมือนพระมหาโมคคัลลาน์และพระสารีบุตรเลย เอาละ
เราเป็นอภิมหาเศรษฐีแสนล้าน เป็นนายกรัฐมนตรี มีพร้อมมูลแล้ว
ลูกของเราเพิ่งจะจบปริญญาเอกมาจากอเมริกา เห็นท่ามันจะไปได้ดี
เราจะเอาลูกเราไปบวชเพื่ออุทิศพระศาสนา
เราจะดำเนินตามรอยบาทของพระเจ้าอโศกมหาราช ที่ทรงโปรดให้พระโอรสและพระธิดาบวช
จะได้เป็นศรีแก่พระพุทธศาสนา"
โดยเฉพาะกับพวกที่ชอบโพสด่าพระทางอินเตอร์เน็ตนั้น เคยมีซักนิดไหม
กับความคิดที่ว่า "พระเณรเดี๋ยวนี้แย่มาก ๆ แต่ช่างเถิด
ท่านคงจะไปบวชด้วยความไม่พร้อม เราสิมีความพร้อมกว่า เราจะเสียสละตัวเอง
เราจะเข้าไปกอบกู้พระพุทธศาสนา จะบวชวันนี้แหละ
ถึงพ่อแม่ลูกเมียร้องไห้น้ำตาเป็นเลือดเราก็จะบวช
เพราะเราจะกอบกู้พระพุทธศาสนา เราจะไม่รอใครแล้ว
เพราะถ้าเราซึ่งเป็นคนดีที่สุดในสังคมไทยไม่บวชแล้ว ใครจะบวช คนอื่นๆ
ไปบวชก็คงไม่เก่ง ไม่เคร่ง และไม่ดีเท่าเรา เอาละ
เราจะเสียสละชีวิตเพื่ออุทิศพระศาสนา ให้ปรากฏในประวัติศาสตร์สืบไป
เออ..เดี๋ยวจะไปชวนไอ้เปี๊ยก ไอ้หนุ่ย ไอ้ดอน มันด้วย พวกนี้ก็เก่ง เห็นมันบ่นๆ
เรื่องวัดเรื่องวาอยู่เหมือนกัน.."
ก็ขอลองถามใจท่านที่ชอบด่าพระด่าเจ้า ดูถูกวัดวาอารามศาสนาดูสิ
ว่าเคยมีความคิดเช่นนี้ไหม ถ้าในอดีตยังไม่เคย, แต่วันนี้
ได้อ่านคอลัมน์นี้แล้ว เกิดความคิดได้ว่า
"เออ จริงสินะ
เรานี่แหละจะสละชีวิตของตนเองเข้าไปพยุงรักษาพระพุทธศาสนาให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง
เราจะบวช"
ถ้าหากว่ามี
ก็ขอได้โปรดติดต่อมาที่วัดไทย ลาสเวกัส รัฐเนวาด้า
จะช่วยประชาสัมพันธ์ข่าวสารการกุศล จะยกย่องไว้ในฐานะมหาบุรุษ
และถ้าหากว่าขาดอัฐบริขาร เช่น บาตร จีวร ผ้าสังฆาฏิ เป็นต้น วัดไทย ลาสเวกัส
พร้อมจะเป็นเจ้าภาพให้ฟรี และขอประกาศรับคนบวชไม่จำกัดจำนวน จะกี่ล้านคนก็ได้
!!
ลองเอาน้ำดีมาไล่น้ำเสียบ้างสิ พระศาสนาจะได้ดีขึ้นบ้าง
แต่สังคมไทยกลับไม่คิด ไม่เห็น ไม่เป็นเช่นที่ว่านี้ มีแต่ตัดพ้อต่อว่า
ซ้ำเติม แบบว่า "มือไม่พาย
แต่เอาเท้าโล้"
แล้วอย่างนี้พระศาสนาจะไปรอดได้อย่างไร ? หัดคิดสรรสร้างกันบ้างสิ
แบบสร้างสรรค์บุ๊คน่ะ
เอาแค่ง่ายๆ เดือนหนึ่งคุณไปวัดกี่ครั้ง ใส่บาตรกี่หน ไหว้พระเป็นหรือเปล่า
ศีล 5 ข้อ คือ
1. ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
2. ไม่ลักขโมยของๆ ใคร
เขาให้ยังไม่เอา
3.
ไม่เล่นชู้สู่ลูกผัวหรือเมียใคร (แม้แต่เมียน้อยก็ไม่มี โสเภณีก็ไม่เคยเที่ยว
รักเดียวใจเดียวตั้งแต่ตอนก่อนแต่ง)
4. ไม่โกหกพกลม
ไม่ด่าด้วยอารมณ์โกรธ ไม่เคยโพสต์ด่าใครในอินเตอร์เนต
5. ไม่ดื่มเหล้า เบียร์
ไวน์ ไม่สูบบุหรี่ ไม่เข้าคลับเข้าบาร์ และไม่เล่นการพนันทุกชนิด
แม้แต่หวยบนดินของรัฐบาล
ไม่เล่นหุ้นเพื่อเก็งกำไรโดยไม่สนใจเรื่องการลงทุนที่เอารัดเอาเปรียบ
พวกพุทธศาสนิกชนคนไทยที่ยังไม่ทันได้บวชน่ะ สำรวจดูตัวเองสิ
ว่าเป็นพุทธศาสนิกชนคนดีตามแบบอย่างพุทธที่ว่านี้แล้วหรือไม่ ?
และถ้าจะให้ดียิ่งขึ้น ก็ขอตรวจสอบย้อนประวัติของคุณไปในอดีตด้วย
ตั้งแต่เกิดจนโตมาถึงวันนี้น่ะ ถ้าเห็นตัวเองบริสุทธิ์ผุดผ่องเป็นยองใยแล้ว
ก็ขอเชิญมาอยู่ด้วยกันในวัด จะได้ช่วยรักษาพระศาสนาให้เจริญ
แต่ถ้าหากว่า ท่านยังคงประพฤติผิดศีล 5 ข้อเหล่านี้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย
วัดก็ไม่เข้า พระเจ้าก็ไม่เคยไหว้ เรื่องใส่บาตรทำบุญยิ่งอย่างถามถึง
สวดมนต์ยิ่งไม่เคยทำ พระธรรมคำสอนไม่เคยสนใจ ก็แสดงว่า
ท่านก็มิใช่พุทธศาสนิกชนที่ดี และวันนี้ ถ้าท่านมาขอบวชอยู่ในวัด ก็แสดงว่า
วัดมีพระเลวๆ
เพิ่มขึ้นอีกองค์หนึ่งแล้ว
!!
ขอเรียนไปยังท่านพุทธศาสนิกชนคนไทยทุกท่านได้โปรดทราบไว้ด้วยว่า
ปัจจุบันวันนี้ พระพุทธศาสนาถึงภาวะวิกฤตแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือศาสนทายาท
ไม่มีคนสนใจบวชเป็นพระภิกษุสามเณรกันแล้ว วัดกำลังจะร้าง
เชิญไปสำรวจดูตามต่างจังหวัดโดยเฉพาะชายแดน จะพบว่า
มากมายหลายร้อยหรืออาจจะถึงพันๆ วัด มีแต่พระภิกษุสามเณรจาก พม่า ลาว เขมร
เข้ามาอาศัยอยู่เต็มไปหมด คนในท้องถิ่นแม้ไม่ค่อยเต็มใจ แต่ก็ทำไงได้ มีลูกๆ
ก็ไม่บวช แถมรัฐบาลยังบังคับให้เรียนจนจบ ม.6 อีก ตอนนั้นมันก็อายุ 18
ปีเป็นอย่างต่ำ มีเมียมีลูกไปแล้ว ไหนมันจะคิดถึงวัดวาผ้าเหลือง
บวชก่อนเบียดได้ซัก 7 วัน ก็นับว่าบุญโขแล้ว
ถ้าอยู่เป็นพระแล้วสะดวกสบาย บ้านไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อ
ตามที่คนไทยส่วนใหญ่คิด แต่แปลกนะ ทำไมไม่เห็นมีคนอยากบวชเลย มีแต่วัดร้างๆ
น่าจะมีพระล้นวัดมิใช่หรือ ???
ตอบคำถามให้ชัดนะไอ้หนูทั้งหลายที่ชอบด่าพระน่ะ อยากสะดวกสบายเหมือนพระไหมล่ะ
?? ไม่เคยคิดก็คิดใหม่ได้ ไม่สายหรอก พระศาสนานั้นยังยินดีต้อนรับท่านเสมอ
นี่ยังไม่นับว่า วันหนึ่งๆ จะมีซักกี่ครอบครัว จากจำนวน 60 ล้านคนทั่วประเทศ
ที่ลุกขึ้นมาหุงข้าวใส่บาตรทำบุญ วัดเสาร์-อาทิตย์ หยุดงานก็ชวนกันไปวัด
วันพระก็ไปฟังเทศน์ หรือหาหนังสือธรรมะมาอ่าน
ขอเชิญสวนดุสิตโพลลองสำรวจความนิยมดูหน่อยสิ
มันอาจจะมีบ้าง
! แต่ถามว่า
เพียงพอไหมต่อการทำสังคมไทยให้น่าอยู่ ?
และทำวัดวาอารามรวมถึงพระพุทธศาสนาส่วนรวมให้สวยงาม
เห็นมีก็แต่ พระองค์ไหนดัง
ใบ้หวยแม่น นั่งทางในเก่ง ดูหมอเป็น ออกไอ้ขิกอีเป๋อให้คนเช่า
เครื่องรางของขลัง ฯลฯ
พวกนอกรีตเหล่านี้แหละ ประชาชนคนไทยจะให้ความนิยมยกย่องยิ่งกว่าพระอริยเจ้า
ช่วยกันสนับสนุนให้สร้างศาสนสถานเสียใหญ่โตมโหฬาร
สร้างรูปพระเกจิอาจารย์โตที่สุดในโลก โตกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เสียอีก
อย่างนี้ละก็ชอบทำบุญกันนัก
แต่ในด้านการศึกษา กลับไม่เคยมีใครใส่ใจให้การอุปถัมภ์ค้ำชู
ปีนี้รัฐบาลอัดงบประมาณ "40 ล้าน
ทำวิสาขบูชาโลก"
เพื่อให้ประเทศไทยได้หน้า แต่งบประมาณทางการศึกษากลับให้แบบกระเม็ดกระแหม่
มีงบประมาณให้มุสลิมไปทำฮัจญ์ปีนี้ ทีละ
300 ล้านบาท
และยังมีทุนช่วยการศึกษาอีก
"ไม่อั้น" ไปอ่านข่าวดูสิ
ว่าจริงหรือไม่ ?
แล้วดูที่งบประมาณทางการศึกษาของสงฆ์สิ เช่น
ค่าถวายพระสงฆ์เข้าไปสอนวิชาศีลธรรมในโรงเรียนตำบลละ
1 รูป รวม
4,000 ตำแหน่ง
กระทรวงวัฒนธรรมของบประมาณไป 172
ล้าน
แต่รัฐบาลอนุมัติงบประมาณมาให้เพียง
40 ล้าน
เฉลี่ยพระที่ไปสอนนั้นได้เงินเดือนองค์ละ
2,000 บาท
มันเพียงพอหรือไม่ ? ซื้ออะไรได้บ้างล่ะ แถวๆ ตลาดเซเว่นอีเลฟเว่นน่ะ
นี่ขนาดใช้แรงพระนะ อย่าคิดไปถึงว่าจะมีพิเศษพิโสอะไรให้เป็นสินน้ำใจเลย
เชิญท่านโทรไปถามอธิการบดีมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่งดูสิ แต่ละปีมีแต่ข่าว
"รัฐบาลให้งบประมาณการศึกษาน้อยกว่าจำเป็นมาก"
ไม่เคยมีข่าวเลยว่า
"รัฐบาลไทยใจป้ำ ประกาศสนับสนุนการศึกษาของคณะสงฆ์ไม่อั้น
จะให้ทุนไปเรียนเต็มที่ .."
และนี่แหละคือสัจธรรมของสังคมไทย
ไม่มีใครช่วยพระเลย
!
มีแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์เดียว
ทรงมองเห็นความสำคัญของการศึกษาพระสงฆ์สามเณร
พระราชทานเงินทุนสำหรับเป็นทุนการศึกษา นับว่าทรงมีพระปัญญาธิคุณและพระมหากรุณาธิคุณสูงส่งยิ่งนัก
ทรงทำให้คนไทยดูเป็นตัวอย่าง แต่พระองค์ไม่พูด
เพราะการทำดีไม่จำเป็นต้องโฆษณาเหมือนนักการเมือง
!!
นอกนั้น หลวงพ่อ หลวงปู่ ตามวัดวาอารามต่างๆ
ต้องขวนขวายหาเงินทองข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงพระเณร รวมถึงบำรุงทางการศึกษา
ไม่เคยมีพุทธศาสนิกชนคนไทยประกาศจะช่วยสอนพระเณรฟรีๆ มีแต่จะเอาเงินเดือนมากๆ
เมื่อเรามีระบบการศึกษาสงเคราะห์ทั้งอนาถา แล้วจะหาคุณภาพได้จากไหน
ได้แค่นี้มันมิมหัศจรรย์ยิ่งกว่า
แฮรี่พอร์ตเตอร์ หรือ
ลอร์ด ออฟ เดอะ ริงส์ แล้วหรือโยม ?
เพราะ..รัฐบาลก็ไม่ช่วย
พุทธศาสนิกชนคนไทย ก็ไม่ค่อยช่วย
หรือช่วย ก็นิดๆ หน่อยๆ
แต่สำหรับคุณภาพนั้น
คัดแล้วคัดอีก
ยิ่งกว่านางงามจักรวาล รอบสุดท้าย
!!!
จะเอาแต่ พระเก่ง พระดี
พระอริยะ ยิ่งกว่าล็อกสเปคเสียอีก
ก็ห่อข้าวออกเดินทางหารอบโลกสิ
ก่อนตายคงเจอมั๊ง
!!
แปลกที่สุดในโลกก็ตรงนี้แหละ
ไม่เคยเห็นพระสงฆ์ไทยด่าโยม ด้วยข้อหาผิดศีลผิดธรรม
มีแต่เมตตา ให้อภัย
ให้โอกาส กลับเนื้อกลับตัว ไม่เคยดูถูกเหยียบย่ำซ้ำเติม
ขนาดเลวระยำ พ่อแม่เอาไม่ไหวแล้ว จะขอนำมาบวชเพื่อดัดสันดาน
พระก็ยินดีต้อนรับ
จนถูกเขม่นจากทางการด้วยซ้ำไป ว่าใจดีไม่มีลิมิต
แต่พอพระทำผิดมั่ง
มีแต่คำก่นด่าสารพัด
ทั้งๆ
ที่ไม่ว่าพระหรือโยมก็มีส่วนรับผิดชอบต่อศีลธรรมเท่ากัน
!
หรือว่าพระจะเลวผิดพลาดไม่ได้
แต่ถ้าเป็นโยมแล้ว
เลวได้
!
ถ้าหากประชาชนคนไทยไม่เอาลูกหลานเลวๆ มาบวช พระ-เณรมันจะเลวได้อย่างไร ?
ต้องถามใจพวกท่านกันอย่างนี้ !!
แต่เพราะพ่อแม่มันก็ไม่ดี ลูกจึงไม่ดีไปด้วย
เท่านั้นยังไม่พอ
พอเอาลูกเลวๆ มาปล่อยในวัด แล้วมันเสีย
กลับด่าวัดเตลิดเปิดเปิง
โดยลืมดูว่า ที่นุ่งเหลืองห่มเหลืองน่ะ มันลูกใคร ?
ลูกใครหว่า ?????
ดังนั้นก็ ..อย่าให้พูดเลย
จะเจ็บกระดองใจกันเปล่า ๆ
เพราะเราก็คนไทยด้วยกัน
ดูนโยบายของรัฐบาลสิ
มอมเมาประชาชสารพัด
ตั้งแต่ บ่อน หวย
เหล้า ฯลฯ
ไม่เคยมีรัฐบาลไหนเลยเอาธรรมะของพระพุทธเจ้านำหน้าการเมือง
มีแต่ขี้คุยว่า
"ใช้ธรรมะของพุทธทาส"
ผู้เขียนก็อ่านหนังสือพุทธทาสมามากเหมือนกัน
แต่ไม่ถึงกับทุกเล่มเหมือนนายกรัฐมนตรี ก็ไม่เคยเห็นพุทธทาสสนับสนุนอบายมุข
หรือใครเคยเห็นบ้าง ท่านนายกรัฐมนตรีเคยเห็นเล่มไหนมีข้อความดังว่า ?
ขอเรียนว่า
ถ้าคนไทย สังคมไทย ยังไม่ดี
ยังขี้โกง ยังขี้เกียจ ยังขาดความรับผิดชอบ ยังชอบโยนกลอง ยังโกหกพกลม
ดีแต่พูดทับถมกัน ไม่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันด้วยกัลยาณจิตมิตรใจไม่ว่า
ยังซ้ำเติมกันอีก เช่นนี้
ก็อย่าหวังเลยว่าพระพุทธศาสนาในประเทศไทยจะเจริญ
เราจะต้องเป็นขี้ข้าเขาไปอีกร้อยๆ ชาติแน่นอน
ขอท้า
!!
และอย่าไปหวังเลยว่าด๊อกเตอร์แสนล้านคนเก่งเขาจะมาช่วยอะไรเราได้
ถ้าเราไม่คิดยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง ด้วยการช่วยกันคนละไม้ละมือ
เพราะถ้าคนไทยไม่เอาธุระ หวังลมๆ แล้งๆ จะมีพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วย
ต่อให้ได้อีกแสนด๊อกเตอร์ทักษิณ ก็ไม่มีทางไปรอด
จะพิสูจน์สัจธรรมกันไหมล่ะ
!!
และเรื่องพระพุทธศาสนาก็เช่นกัน
ทุกท่านนั่นแหละที่ต้องช่วยกัน
มันไม่ใช่ศาสนาของมหานรินทร์คนเดียว
! หรือของใครๆ
แต่เป็นชาวพุทธทุกคน เข้าใจไหม ?
เชื่อไหม ?
พระไทยวันนี้
ทำดีก็เสมอตัว
ทำชั่วก็ถูกประณามว่า
เลวระยำยิ่งกว่าเดนคุก
!
และไม่อยากพูดเลยว่า
สังคมไทยวันนี้เห็นแก่ตัว ไม่ช่วย
แต่จะเอา เขาได้-เอาด้วย
เขาเสีย-ซ้ำเติม อย่างงี้ก็มีด้วย
!
แต่..จำเป็นที่ผู้เขียนต้องพูด ในฐานะชาวพุทธคนหนึ่ง
เพื่อปลุกสำนักของคนไทยพุทธทุกคน ให้สนใจ
ให้เข้าใจในภาระหน้าที่ของตนเองที่มี ไม่ใช่แต่จะเอาๆๆๆๆ
ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า
ท่านนั่นแหละที่ขี้โกง
โกงแม้กระทั่งพระศาสนา
!!!
สุดท้ายนี้ต้องขอโทษที่ต่อว่าพุทธศาสนิกชนอย่างรุนแรง
โดยเฉพาะท่านที่เคยช่วยและกำลังช่วยวัดอยู่
มิได้เขียนพาดพิงถึงท่านเลย
มิได้ตั้งใจให้ท่านเสียกำลังใจ
ยังชื่นชมอยู่ด้วยซ้ำ
แต่..ขอเขียนสื่อไปถึงชาวพุทธที่ไร้ความรับผิดชอบ
ชอบเอารัดเอาเปรียบสังคมอยู่
เพราะผู้เขียนรู้สึกสะเทือนใจไม่น้อยกว่ากัน
ไม่มีใครอยากให้ศาสนาเสื่อม
ไม่มีใครอยากให้ศาสนาเสีย
แต่จะทำอย่างไรให้มันดี
มีใครคิดบ้าง ?
ถ้าเสกได้ด้วยคาถา
อาตมาทำไปแล้ว ไม่ขอรอใคร
แต่...เมื่องานมันใหญ่
ทำคนเดียวไม่ไหว
ทำไมเราไม่มาร่วมมือกัน
รีรออะไร
ทำไมจึงเอาแต่ด่ากับด่า
ถ้าท่านยังทำดีดังว่านี้ไม่ได้
ก็ขอรัองนะ..อย่าต่อว่าพระเลย
เพราะว่า... พระก็มีหัวใจ
----
ด้วยความเคารพอย่างสูง
|