เกียรติคุณของพระภิกษุไทยในรุ่นหลังๆ
คือรุ่นปัจจุบัน ไม่ต้องอ่านหนังสือประเภทอภินิหาร เช่น โลกทิพย์ โลกลี้ลับ
หรือดูรายการมิติพิศวง ก็คงทึ่งอกทึ่งใจไม่ด้อยกว่า
ดูตามหน้าหนังสือพิมพ์ซึ่งว่ากันว่าอิงวิทยาศาสตร์มากที่สุดแล้ว
ก็ยังไม่แคล้วมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เข้ามาปะปนในชีวประวัติพระเกจิอาจารย์อยู่มากมาย
นับประสาอะไร
วันนี้ขอยกตัวอย่างอิทธิฤทธิ์ของพระเกจิอาจารย์และแม่ชีที่ถูกนำมาเล่าผ่านสื่อ
ถือเสมือนว่าเป็นบรรทัดฐานทางคุณธรรมไปจริงๆ ดังต่อไปนี้
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
สกลมหาสังฆปริณายก วัดบวรนิเวศ ซึ่งคุณพายัพ
วนาสุวรรณ นำมาเล่าไว้ในคอลัมน์
"คุณถาม พายัพตอบ"
ทางหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ดังนี้
พล.ท.อมรรัตน์ จินตกานนท์
อดีตนายทหารประสานงานราชสำนัก เคยเล่าให้หมู่คณะฟังถึงเรื่องราวต่อไปนี้...
สมัยหนึ่ง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
มีกระแสพระราชดำรัสให้ท่านไปประสานงานนิมนต์พระสงฆ์ทรงภูมิธรรมในภาคอีสานบางรูป
มารับพระราชทานฉันที่กรุงเทพฯ แต่ไม่สามารถประสานงานนิมนต์ได้
เพราะพระสงฆ์เหล่านั้นได้ออกธุดงค์ไปก่อนแล้ว
และไม่สามารถติดต่อได้ว่าออกธุดงค์อยู่ ณ แห่งหนใด
จึงมีกระแสพระราชดำรัสให้ไปกราบนมัสการสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชฯ
ซึ่งขณะนั้นยังมีสมณศักดิ์ที่ “พระศาสนโสภณ” ให้ช่วยนิมนต์แทน
พล.ท.อมรรัตน์ จินตกานนท์
จึงเดินทางไปที่วัดบวรนิเวศวิหาร และแจ้งพระราชประสงค์ให้ทราบ
สมเด็จพระสังฆราชขอเวลาให้มาฟังผลอีกชั่วยามหนึ่ง ท่านก็นั่งรออยู่ที่กุฏิชั้นล่าง
ไม่ถึงชั่วยามก็ได้รับคำตอบว่า..นิมนต์ให้เรียบร้อยแล้ว...ให้นำรถไปรับที่จุดนัดหมายตามวันเวลาที่กำหนด.....
พล.ท.อมรรัตน์
จินตกานนท์มีความแปลกใจว่า ติดต่อกันโดยทางใด
ในที่สุดก็ได้ทราบว่าสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชฯ
ได้นั่งสมาธิติดต่อทางจิตหรือ “โทรจิต”
ติดต่อกับพระสงฆ์ทรงภูมิธรรมนั้น
นับเป็นเรื่องอัศจรรย์มากเรื่องหนึ่ง
นายมนตรี ตัณฑวิรัตน์
อดีตรองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และเป็นผู้ประสานงานของสมเด็จพระสังฆราช
ได้เคยเล่าให้ญาติธรรมฟังว่า...
ครั้งหนึ่งพระองค์ทรงประชวร
มีพระอาการหนักมาก มีข่าวลือทั่วไปว่าทรงสิ้นพระชนม์แล้ว
เป็นเหตุให้คณะสงฆ์วัดบวรนิเวศวิหารซึ่งกำลังเดินทางไปประชุมที่กัมพูชาต้องรีบเดินทางกลับ
เมื่อถึงกรุงเทพฯแล้วจึงได้รู้ว่ากลุ่มคนชั่วปล่อยข่าวลือ เพราะพระอาการดีขึ้น
และเมื่อทรงฟื้นจากประชวรครั้งนั้น
ก็ทรงเล่าให้ฟังว่าความจริงครั้งนั้นประชวรหนักมาก เตรียมใจที่จะละสังขารอยู่แล้ว
ในขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ
พระบรมราชินีนาถ เพื่อไปทรงเยี่ยม ณ ที่ประทับรักษาพระองค์
คณะแพทย์ได้ถวายรายงานว่าทรงประชวรอาการมากและสิ้นหวังแล้ว
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ
ได้เสด็จพระราชดำเนินเข้าไปถึงเตียงที่บรรทม
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้พระหัตถ์ทั้งสองจับพระพาหา (ต้นแขน)
ของสมเด็จพระองค์ แล้วกราบทูลว่า
พระอาจารย์ พระอาจารย์! พระอาจารย์ หม่อมฉันและสมเด็จพระราชินีมาเยี่ยม
ทรงตรัสอย่างนี้อยู่ 2 - 3 ครั้ง สมเด็จพระสังฆราชก็ทรงฟื้นพระสติ และทรงพยักหน้า
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสว่า คราวนี้ทรงประชวรหนัก
คณะแพทย์บอกว่าเกินกำลังแล้ว หม่อมฉันเองก็ได้ใช้ความพยายามเต็มที่
หมอที่ไหนดีก็หามารักษา ยาอย่างไหนดีก็หามาถวาย แต่พระอาการไม่มีใครจะช่วยได้แล้ว
พระอาจารย์ต้องช่วยพระองค์เองแล้วนะ
พระอาจารย์ต้องช่วยพระองค์เองแล้วนะ
สมเด็จพระสังฆราชทรงพยักหน้ารับคำอาราธนา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ เสด็จกลับ โดยมิได้ตรัสประการใดอีก
สมเด็จพระสังฆราชทรงประทานเล่าว่า
เมื่อได้ยินพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสว่า พระอาจารย์ต้องช่วยพระองค์เองแล้ว
ก็ทรงระลึกถึงคำสอนในพระบรมศาสดาเรื่องอิทธิบาท 4 ได้ว่า
เป็นธรรมโอสถที่เมื่อเจริญแล้วสามารถดำรงพระชนม์ให้ยืนยาวได้ดังปรารถนาถึงกัลป์หรือเกินกว่ากัลป์
เมื่อทรงระลึกได้ดังนี้
จึงทรงเข้าสมาธิดำรงพระจิตอยู่ในวิหารธรรมที่มีชื่อว่าอิทธิบาทตามคำสอนของพระบรมศาสดา
และในไม่ช้าพระอาการก็ทุเลา
แสดงให้เห็นว่า
สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชทรงมีภูมิธรรมขั้นสูง
ที่สามารถเจริญอิทธิบาท 4 กำหนดอายุสังขารได้
เสมอด้วยพระอริยเจ้าในอดีตกาล...
นอกนั้นที่โด่งดังด้วยอิทธิปาฏิหาริย์คับฟ้า
เพราะว่าออกพระเครื่องออกเหรียญมาแจกลูกศิษย์มากมายหลายรุ่น ประมวลชื่อได้เช่น
พระธรรมสิงหบุราจารย์ หรือหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี พระเทพวิทยาคม
หรือหลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ จังหวัดนครราชสีมา หรือแม้แต่แม่ชีทศพร
แห่งวัดพิชยญาติการาม ที่ออกรายการมิติพิศวง ประกาศคุณวิเศษว่า
"สามารถเห็นกรรมของผู้อื่นได้เหมือนดูทีวี" เป็นต้น
เหล่านี้คือคุณวิเศษที่ลูกศิษย์ลูกหามักจะยกขึ้นมาอวดอ้างอยู่สม่ำเสมอ
เมื่อคุยกันถึงหลวงพ่อหลวงปู่หรือหลวงแม่รูปนั้นองค์นั้น ด้วยความภาคภูมิใจ
(ทั้งๆ ที่บางเรื่องตนเองก็แค่ได้ยินได้ฟังมาจากปากของคนอื่น
ซึ่งก็จำคำเขามาเล่าต่ออีกที) พลอยให้มีความ
"เชื่อมั่น"
ในอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของพระเกจิอาจารย์ท่านนั้น
เรื่องเหล่านี้ผู้เขียนเองมิได้ปฏิเสธว่า "มันไม่จริง"
และไม่เคยคิดว่า
"ผู้เล่าเหล่านั้นโกหกพกลม"
เพราะบางสิ่งบางอย่างที่ผู้เขียนเคยประสพมาก็เคยฉงนสนเท่ห์ แต่ก็
"ไม่กล้าเล่า"
เพราะเราคิดว่า
"มันพิสูจน์ได้ยาก"
อีกด้านหนึ่งนั้น
ผู้เขียนพยายามติดตามข่าวสาร
ศึกษาความเป็นไปเป็นมาของครูบาอาจารย์แต่ละท่านแต่ละองค์อย่างพินิจพิเคราะห์
ซึ่งจากการเทียบเคียงเรื่องราวต่างๆ ของพระอาจารย์แต่ละองค์เข้าด้วยกันแล้ว
ก็ได้เห็น "สัจธรรม"
อย่างมหัศจรรย์
สมเด็จพระญาณสังวร
ตามที่ พล.ท.อมรรัตน์ จินตกานนท์
เล่ามานั้น ก็นับว่าพระองค์เป็นพระมหาเถระผู้ทรงคุณธรรมอันสูง
หากแต่สัจธรรมก็กำลังพร่ำเตือนเราอยู่อย่างสม่ำเสมอว่า
"ปัจจุบันวันนี้ สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงอาพาธเพราะโรคชรา เป็นเรื่องของสังขาร
ซึ่งต้องมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา.."
หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน
ท่านนี้ก็มีดีกรีไม่เบา ออกหนังสือในแนวปาฏิหาริย์มากมายหลายเล่ม
ลูกศิษย์ลูกหาก็เป็นแสน ครั้งหนึ่งท่านเคยประสพอุบัติเหตุถึงกับคอหัก
ดีที่รอดชีวิตมาได้ ถึงวันนี้ท่านก็แก่หง่อมไปตามแรงของสังขาร
ปาฏิหาริย์ที่เคยเกิดก็คงต้องเสื่อมไปตามวัยชรา
หลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่
ใครๆ ก็ขอพระของท่านไปห้อยหรือตั้งหน้ารถ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุเภทภัย
ในครั้งหนึ่งท่านก็เคยประสพอุบัติเหตุทางรถยนต์ ยิ่งครั้งหลังมานี้
หลวงพ่อท่านอาพาธหนักถึงกับต้องเข้าโรงพยาบาลนานนับปี
นี่ก็เป็นเรื่องของสังขารมาเตือนอีกเหมือนกัน
เก่งขนาดไหนก็หนีตายไปไม่พ้น
!!!
สัพเพ ธัมมา นาลังภินิเวสายะ
แปลว่า ธรรมทั้งปวง บุคคลไม่ควรยึดมั่นถือมั่น เป็นสัจธรรมเที่ยงแท้
เกิด แก่ เจ็บ ตาย
ไม่มีใครหลีกพ้น แต่ผู้คนก็ยังเชื่อว่า ยังไงเสียมันต้องมีปาฏิหาริย์
ขนาดว่าสังขารของหลวงพ่อที่ออกเหรียญมานั้นมอดไหม้ไปเพราะไฟพระราชทานนานแล้ว
ผู้คนก็ยังคงเชื่อว่า
"ห้อยเหรียญของท่านแล้วจะรอดตาย"
ยิ่งพระตายไปนานเท่าใด ของก็ยิ่งหากยากและยิ่งแพง
สัจธรรมยังพร่ำเตือนเราอยู่ทุกขณะ
ทว่าเรารู้-เห็น หรือไม่ ?
นั่นเป็นคติธรรมที่พุทธศาสนิกชนพึงสนใจ ว่างๆ
ก็ลองอ่านประวัติของหลวงพ่อที่เลื่อมใสศรัทธาอย่างมากมายองค์นั้นอีกสักรอบเป็นไร
จะได้เห็นภาพ "สัจธรรม"
ชัดเจนขึ้น นั่นแหละ เชื่อแน่ว่า
"เราท่านจะเห็นสัจธรรม"
มากกว่า "ศรัทธาธรรม"
ที่ยังเห็นและเป็นอยู่
ทั้งนี้ก็ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
ด้วยสำนึกว่า
"ผู้เขียนเป็นพระ
บวชมาก็อาศัยข้าวจากศรัทธาญาติโยมเลี้ยงชีวิต และรอดตายมาได้ก็ด้วยคุณพระพุทธศาสนา
จึงอยากจะสนองคุณพระศาสนาตามกำลังที่เรามี ดังนี้
จึงสู้อุตส่าห์เขียนเรียนมา นะท่านนะ โยมนะ จะเลื่อมใสศรัทธาน่ะไม่ว่า แต่อย่าให้ถึงกับ
"บ้า"
ก็แล้วกัน
|