
อ่านรายงานพิเศษจากมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1243 วันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ.2547
ซึ่งลงหน้าปกเป็นรูปพระภิกษุรูปหนึ่ง ชื่อว่า
พระครูวิจิตรสุธาการ
ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดธรรมิการาม อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี
เป็นบทความเกี่ยวกับการทำนายทายทักหรือโหราศาสตร์
ท่านพระครูรูปนี้มติชนระบุว่า มีความพิเศษตรงที่เป็นบุคคลที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
และครอบครัว ให้ความเคารพนับถือมาก ที่นับถือนั้นเพราะว่าท่านมีวิชาดี
เป็นวิชาตาวิเศษ สามารถทำนายทายทักเหตุการณ์ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
ได้อย่างแม่นยำ ถูกต้องแล้ว ท่านเป็นพระดูดวง หรือที่เรียกกันเกร่อว่า พระหมอดู
ในหนังสือเล่มนั้น นำเอาคำสัมภาษณ์ของท่านพระครูมาเปิดเผย โดยแบ่งออกเป็น 2
เรื่องใหญ่ ได้แก่ เรื่องส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
เกี่ยวกับอำนาจวาสนาในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีการพาดพิงถึงบุคคลอื่นๆ เล็กน้อย เช่น
นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี นายบรรญัติ บรรทัดฐาน เป็นต้น
อีกเรื่องเป็นเรื่องของการเมือง ซึ่งท่านพระครูได้ให้คำทำนายเกี่ยวกับดวงเมืองไทย
สภาวะทางเศรษฐกิจ และผลของการเลือกตั้งในครั้งต่อไป
ในเรื่องเกี่ยวกับตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเคยประกาศว่า
"ไม่เคยเชื่อหมอดู"
นั้น ท่านพระครูระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เกิดวันอังคาร ซึ่งเป็นวัน
"แข็ง"
แถมเป็นวันธงชัยอีกต่างหาก ถ้าเป็นทหารก็ต้องระดับอัศวิน
เข้าสนามรบที่ไหนไม่มีคำว่าปราชัย จะพบก็แต่มีชัย
ท่านพระครูยังดูโหงวเฮ้งเป็น อ่านใบหน้าของ พ.ต.ท.ทักษิณ แล้วสวมบทซินแสจีนทำนายว่า
ท่านนายกทักษิณนั้นมีหน้าผากเหมือนเสือ จมูกเหมือนสิงห์ จึงเป็นทั้งสิงห์ทั้งเสือ
และที่เหลือเชื่อก็คือ ท่านเกิดที่เชียงใหม่ จึงเป็นคนเหนือโดยกำเนิด
แต่พ่อแม่ตั้งชื่อว่าทักษิณ แปลว่า ใต้ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงเป็นคนสองภาค
คือทั้งเหนือและใต้ หรือเป็นทั้งสิงห์เหนือและเสือใต้ในคนเดียวกัน
"ตามดวงเมือง ปี 2548
รัฐบาลชุดต่อไปต้องมีนายกรัฐมนตรีที่มาจากเหนือและใต้ ซึ่งท่านทักษิณเป็นคนเหนือที่มีชื่อใต้
ดวงเมืองเป็นอย่างนี้" ท่านพระครูระบุ
ก็ไม่รู้ว่าการดูหมอในครั้งมีมีการล็อคสเป็คนายกรัฐมนตรีคนต่อไปไว้ในดวงด้วยหรือไม่
?
เกี่ยวกับเศรษฐกิจและการเมือง ท่านพระครูทำนายว่า
จะไม่มีการยุบสภาแม้แต่วันเดียว
รัฐบาลทักษิณจะเป็นรัฐบาลแรกที่บริหารประเทศในระบอบประชาธิปไตยครบเทอม 100
เปอร์เซ็นต์เต็ม แถมยังจะครบอีก 1 เทอมในสมัยหน้าด้วย
เป็นประวัติศาสตร์ที่ต้องจารึกว่างั้น
ท่านแนะนำพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ หรือบิ๊กจิ๋ว ให้ล้างมือในอ่างทองคำ
ก่อนจะลงแบบไม่สวย ถ้าเชื่อก็น่าจะทำตามนะ
การเลือกตั้งครั้งต่อไป จะเหลือพรรคการเมืองเพียง 3 พรรค คือ ไทยรักไทย ชาติไทย
และประชาธิปัตย์ เท่านั้น (นี่ไม่รู้ว่าดูดวงด้วยหนังสือพิมพ์หรือเปล่า)
เรื่องพรรคทางเลือกที่สาม
ซึ่งจะเกิดขึ้นเพราะคนเบื่อทั้งไทยรักไทยและประชาธิปัตย์นั้น
ท่านพระครูทุบกระดานทำนายว่า โนเวย์และอิมพอสสิเบิล เป็นไปไม่ได้
ถ้าเป็นไปจริงท่านก็จะทิ้งวิชาที่ร่ำเรียนมาทั้งชีวิตแบบว่าเป็นเดิมพันเลย
เรื่องเศรษฐกิจ
ท่านทำนายว่า
ปีนี้ 2547 เศรษฐกิจดีถึง 70
%
ปีหน้า 2548 เศรษฐกิจจะดีถึง 80
%
ปีต่อไป 2549 เศรษฐกิจจะดีถึง 90
%
และปีสุดท้าย 2550 เศรษฐกิจประเทศไทยจะดีขึ้นถึง
100
% เต็ม
แน่นอนว่า พอศอ 2550 จะเป็นปีประวัติศาสตร์ เพราะว่าประเทศไทยจะหมดสิ้นคนจน
ตามนโยบายของท่านนายกรัฐมนตรีที่จะพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่านานาอารยประเทศ
และเป้าหมายสำคัญก็คือ จะทำให้ประเทศไทยไม่มีคนจนเลยภายใน 6 ปี นับจากปี พ.ศ. 2546
ก็เข้าล็อคตามที่ท่านพระครูบอกแบบตรงเด๊ะเลย
สำหรับภาคใต้นั้น ท่านบอกให้ระวังให้ดี จะมีการรบครั้งใหญ่อีก 1 ครั้ง
แล้วหลังจากนั้นทุกอย่างจะสงบ พรรคไทยรักไทยจะกุมคะแนนเสียงในพื้นที่อย่างถล่มทลาย
ท่านขีดเส้นตายบนกระดานชนวนว่า "ภายในสามเดือนหรือสิ้นปีนี้
จะหมดสิ้นปัญหาสารพันกันเสียที" หมายความว่า ประเทศไทยจะเข้าสู่ยุคสันติสุข
มีแต่ความสะดวกสบาย ใครใคร่ค้าม้าค้า ใครใคร่ค้าช้างค้า ใครใคร่ค้าวัวค้าควายค้า
เหมือนข้อความในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง
นั่นเป็นคำสัมภาษณ์ที่นำเสนอโดยหนังสือ มติชนสุดสัปดาห์ ที่อ้างอิงถึงแล้ว
เปิดพระราชพงศาวดารไทยสมัยอยุธยา หมุนเวลากลับไป ในรัชสมัยสมเด็จเพทราชา รัชกาลที่
29 (พ.ศ.2231-2246) มีเหตุการณ์บันทึกไว้ว่า
"ในปีมะเส็งก่อนนั้น สมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน
ทรงพระราชดำริถึงคุณพระอาจารย์เจ้าอธิการวัดพระยาแมน ซึ่งได้ถวายพยากรณ์ไว้ว่า
จะได้เสวยราชสมบัติ แต่ยังทรงผนวชเป็นภิกษุภาวะอยู่ในวัดพระยาแมนนั้น
และพระผู้เป็นเจ้าทำนายแม่นนัก" ครั้งนั้น
ท่านระบุว่า พระเพทราชาทรงโปรดให้สร้างวัดพระยาแมนเสียใหญ่โต
จัดงานฉลองสามวันสามคืน
ทรงตั้งพระอาจารย์เจ้าอธิการวัดพระยาแมนเป็นพระราชาคณะที่พระศรีสัจญาณมุนี
ย้อนบันทึกกลับไปอีกหลายปี
ในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิยังทรงครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 16 ตรงกับ พ.ศ. 2091-2096
มีเรื่องราวอีกเรื่องบันทึกไว้ว่า "ศักราช 906 ปีมะโรง ฉศก
ฝ่ายพระศรีศิลป์ผู้น้องพระยอดฟ้า พระองค์เอามาเลี้ยงไว้ จนอายุได้ 23 ปี
จึงให้ไปบวชเป็นสามเณรอยู่ ณ วัดราชประดิษฐาน พระศรีศิลป์มิได้ตั้งอยู่ในกตัญญู
ซ่องสุมพวกพลคิดการกบฏ...ฝ่ายพระศรีศิลป์ให้ไปขอฤกษ์พระพนรัตน์ ณ วัดป่าแก้วๆ
ก็ให้ฤกษ์ว่า ณ วันเสาร์ เดือน 8 ขึ้นค่ำหนึ่ง ฤกษ์ดี ให้ยกเข้ามา (ตีวัง) เถิด..
(ตรงนี้ปรากฏว่าพระศรีศิลป์เป็นฝ่ายพ่ายแพ้แก่สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ)
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิเสด็จเข้าวังหลวงได้ ครั้นรู้ว่าพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว
ให้ฤกษ์แก่พระศรีศิลป์เป็นแท้ ก็ให้เอาพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว และพระยาเดโช
พระยาท้ายน้ำ พระยาพิชัยรณฤทธิ์ หมื่นภักดีสวรรค์ หมื่นไพนรินทร์
(ซึ่งเป็นฝ่ายพระศรีศิลป์) มาฆ่าเสีย เอาไปเสียบไว้ ณ ตะแลงแกงกับศพพระศรีศิลป์..."
พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาบันทึกผลลัพธ์ของการดูหมอของพระไทยไว้ต่างกรรมต่างวาระกันดังนี้
จึงขอนำมาถวายท่านพระครูวิจิตรสุธาการได้อ่านเล่น
เพื่อประดับสติปัญญาว่า
การสิ่งไหนควรหรือไม่ควร ในการทำนายทายทักทางการบ้านการเมือง
อันมีผลเกี่ยวเนื่องไปถึงความมีชัยและพ่ายแพ้ของผู้มีอำนาจทั้งสองฝ่าย
ในสมัยพุทธกาลนั้นมีกฎหมายคณะสงฆ์หรือพระวินัยห้ามไว้อย่างกวดขันกันทีเดียว
ว่าด้วยเรื่องบ้านเมือง แม้แต่พระเดินทางไปในกองทัพก็ไม่ได้
ทั้งนี้เพราะทรงป้องกันพระสงฆ์ในบวรพระพุทธศาสนามิให้ตกเป็นฝักฝ่ายหรือเป็นเครื่องมือในทางการเมือง
การเล่นการเมืองนั้นก็เหมือนกับการเล่นไฮโล
เราไม่รู้แน่ชัดว่าอะไรจะเกิดหรือไม่เกิด มันมีพลิกมีผันกันอยู่ตลอดเวลา
จะใช้ตำราหมอดูเพียงฉบับเดียวก็อาจจะหน้าแตกได้ หรือไม่ก็
ถ้าทายถูกก็จะถูกมองว่าพระทำตัวเป็นฝักใฝ่หรือสนับสนุนพรรคการเมืองตรงกันข้าม
ต่อไปภายหน้า ถ้าพรรคที่เพลี่ยงพล้ำนั้นชนะเลือกตั้งบ้าง
ก็อาจจะคิดบัญชีเอากับพระคุณเจ้าก็ได้ พูดได้ว่า เป็นดาบสองคม อาจจะให้คุณได้อนันต์
แต่โทษที่เกิดนั้นก็มหันต์ไปไม่ด้อยกว่ากัน
บทบาทหน้าที่ของพระภิกษุสงฆ์ที่แท้จริงจึงมิใช่อยู่ที่จะนั่งคำนวนดูว่าใครจะได้เป็นใหญ่เป็นโต
ใครจะมาเป็นนายกรัฐมนตรี เศรษฐกิจจะดีหรือเลว พรรคไหนจะยุบ ส.ส.คนไหนจะย้ายพรรค
เป็นต้น หากแต่อยู่ที่การต้องดูตัวเองให้รู้แจ้งเห็นจริงว่า
สิ่งที่เป็นปฏิกูลคือกิเลสอาสวะในกมลสันดานนั้นระงับดับสิ้นไปแล้วฤา
เรายังเป็นปุถุชนคนหนากิเลสหรือว่าเบาบางลงไปแล้ว
และทำไฉนจึงจะทำให้มันหมดสิ้นไปโดยเร็ว ถ้าหากว่ารู้แจ้งแล้ว หมดภาระแล้ว
ก็จะอาศัยเวลาที่เหลือนั้นหันมาบำเพ็ญประโยชน์ส่วนรวม โดยมุ่งสอนสั่งให้รู้จักทุกข์
สมุทัย นิโรธ และมรรค
ไม่ใช่ออกมาชี้นำทางด้านการเมืองหรือแม้แต่บิณฑบาตเอาเงินทองช่วยชาติ
ไอ้อย่างนั้นมันพระอรหันต์จอมปลอม
แต่ท่านพระครูวิจิตรจะคิดได้หรือไม่ก็ไม่รู้สินะ
บางทีอำนาจวาสนาเงินตรามันอาจจะปิดบังรูหูทั้งสองข้างไว้ให้ได้ยินแต่เสียงสรรเสริญเยินยอก็อาจจะเป็นได้
แต่ทั้งนี้ก็ด้วยความหวังและความปรารถนาดีต่อท่าน
ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นถึงรองเจ้าคณะอำเภอบ้านหมี่ เป็นพระสังฆาธิการผู้มีอำนาจในการบริหารงานพระศาสนา
ปกครองวัดวาอารามทั้งอำเภอ
จะเสนอแนะสิ่งใดต่อสาธารณชนก็พึงสังวรระวังเอาไว้ให้จงหนัก
เพราะประวัติศาสตร์นั้น มันลบไม่ได้
สุดท้ายนี้ก็ขอลงด้วยภาษิตบทว่า
"คนโง่เอาใจไว้ที่ปาก คนฉลาดเอาปากไว้ที่ใจ" |