เป็นห่วงหลวงพ่อคูณ
 


 

31 พ.ค. 47 หลังจากฉันเพลที่ทำเนียบรัฐบาลแล้ว
หลวงพ่อคูณได้รับอาราธนาให้ไปเจิมเครื่องออกสลากกินแบ่งรัฐบาลเครื่องใหม่
ที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลหรือหวยแห่งชาติ เป็นปัญหาคาใจพุทธศาสนิกชน
เกี่ยวกับบทบาทของหลวงพ่อคูณและหน้าที่ของรัฐบาลไทยในการใช้พระสงฆ์


    คงไม่มีใครไม่รู้จักหลวงพ่อคูณ พระภิกษุไทยชาวโคราชบ้านเอ็ง ด้วยอิริยาบทอันประหลาด คือนั่งยองๆ เป็นเอกลักษณ์ ใช้ภาษาจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง คือ "มึง-กู" แถมยังมีเพลงอีกเพลงหนึ่ง ขับร้องโดยวงดนตรีคาราบาว ชื่อว่า หลวงพ่อคูณ

     ว่าโดยพื้นเพแล้ว หลวงพ่อคูณเป็นพระบ้านนอก (Country monk) ถือกำเนิดที่อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ.2466 เล่าเรียนศึกษาตามยถากรรม จึงไม่ได้นักธรรมเลยซักชั้น สมัยนั้นพระไทยยังไม่มีค่านิยมเป็นด๊อกเตอร์ด้วย มีอยู่ช่องทางเดียวที่ครูบาอาจารย์เห็นดีเห็นงามให้ทำขณะอยู่ในผ้าเหลือง นั่นคือการเรียนกรรมฐานและปฏิบัติธรรมออกเดินธุดงค์

     จากเด็กบ้านนอกมาเป็นพระบ้านนอก ระเหเร่ร่อนไปในวงการผ้าเหลือง เข้าป่า ขึ้นเหนือ ล่องใต้ และเข้ากรุง กรุงเทพนี่แหละที่หลวงพ่อคูณเคยมาพักพาอาศัย สถานที่นั้นชื่อวัดใหม่พิเรนทร์ นอกจากนั้นทั้งเชียงใหม่ ชลบุรี ลพบุรี แทบจะทั่วไทย หลวงพ่อคูณไปมาแล้ว ทำให้รู้บ้านเห็นเมืองเป็นประสพการณ์ที่ซื้อขายไม่ได้ แล้วสุดท้ายหลวงพ่อก็กลับมาตุภูมิ ในปี พ.ศ.2528 หลังจากใช้ชีวิตพเนจรนานถึง 16 ปี

     ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อคูณนั้นเริ่มมาจาก การลงอักขระเลขยันต์คาถาอาคมเหมือนหลวงพ่อเปิ่น โดยเฉพาะการฝังตะกรุดไว้ใต้ซอกแขน ซึ่งนอกจากจะลงคาถากำกับให้ขมังแล้ว ท่านยังบอกเคล็ดของความขลังไว้อีกว่า "ห้ามด่าพ่อต่อว่าแม่ และห้ามเล่นชู้กับเมียคนอื่น รับรองว่าไม่ตายโหง"

     หลวงพ่อคูณถูกบันทึกว่า เป็นพระที่ออกวัตถุมงคลมากที่สุดในบรรดาพระเกจิอาจารย์ในประเทศไทย สมัยก่อนแทบจะเรียกว่าออกรายชั่วโมงกันเลยทีเดียว คือออกวันละเป็นสิบรุ่น จนคนจำกันไม่ทันว่ามีรุ่นอะไรบ้าง มีชื่อที่เก๋ๆ ติดปากคนอยู่หลายรุ่น เช่น รุ่นกูให้มึง รุ่นทิ้งทวน เป็นต้น รุ่นหลังนี้ทีแรกก็ประกาศว่าหลวงพ่อจะสร้าง "ทิ้งทวน" เป็นรุ่นสุดท้าย แต่กลับกลายเป็นว่า พอรุ่นสุดท้ายออกจำหน่ายไปยังไม่ทันหมด ก็ดันมีรุ่นรองสุดท้าย และรุ่นหลังรุ่นสุดท้ายออกมาอีกหลายร้อยรุ่น อาจจะเป็นรุ่นน้อง รุ่นลูก รุ่นหลาน รุ่นเหลน ของรุ่นสุดท้ายก็ไม่ทราบได้ มีคนสนใจเอาคำไปถามหลวงพ่อว่า "ไหนว่าจะออกรุ่นทิ้งทวนเป็นรุ่นสุดท้ายแล้วไง ทำไมยังออกมาอีกหลายรุ่น" ก็มีคนตอบแทนหลวงพ่อว่า "ก็กูมีทวนอยู่หลายเล่ม จะทิ้งไปเรื่อยๆ อย่างงี้แหละ" คนที่ตุนรุ่นทิ้งทวนไว้ก็เลยกระเป๋าแหกกันเป็นแถบๆ เพราะเก็งกำไรผิด

     เชื่อไหม หลวงพ่อเคยออกเหรียญรุ่น วันประชาธิปไตย เพื่อให้คนไทยห้อย จะได้รู้เรื่องประชาธิปไตย เคยเสกทะเบียนสมรสให้แก่นายทะเบียนอำเภอด่านขุนทด เนื่องในวันวาเลนไทน์ ให้เอาไปแจกแก่คู่สมรส หวังว่าคาถาที่หลวงพ่อกำกับให้นั้นจะทำให้การครองรักครองเรือนยั่งยืนยาวนาน เป็นไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร ก็ไม่รู้ว่าสุขสมหวังกันไปกี่คู่ และที่อย่าร้างกันเพราะใบประกาศจากหลวงพ่อคูณนั้นมีกี่คู่

     เชื่อไหม สมัยเฟื่องฟูจริงๆ นั้น วันหนึ่งๆ วัดบ้านไร่มีประชาชนเดินทางมาหาหลวงพ่อเป็นหมื่นๆ เหมือนมีปอยหลวงประจำวันงั้นแหละ แต่ละคนที่มาหานั้นก็มุ่งจะมาเช่าพระ ให้หลวงพ่อเคาะหัวให้ ได้รับน้ำมนต์ บางคนถึงกับเอาโฉนดที่ดินมาให้หลวงพ่อเหยียบ ด้วยเข้าใจว่าจะทำให้ขายได้

     เรื่องเคาะหัว มันก็แปลกอีก คือคงจะมีคนขอพรหลวงพ่อเป็นกรณีพิเศษ พอดีหลวงพ่อมีมัดหญ้าคาอยู่ในมือกำลังพรมน้ำมนต์อยู่ ก็เลยตีลงตรงกลางกระหม่อมเป็นการห้ามปรามว่า "อย่าโลภมาก" แต่คนข้างเคียงเห็นคนนั้นถูกเคาะกระหม่อม ก็เลยนึกว่าเป็นการดี ก็เลยขอให้หลวงพ่อช่วยเคาะให้ที จะเป็นการสะเดาะเคราะห์ แล้วก็เลยขอให้หลวงพ่อเคาะก็ยกใหญ่ สุดท้ายหลวงพ่อก็เคาะไม่ไหว ต้องให้ลูกศิษย์ช่วยเคาะให้แทน

     น้ำมนต์นั้น เมื่อคนไม่เยอะและหลวงพ่อก็ยังอายุไม่มาก ก็มีกำลังประพรมให้ แต่พอคนมามากๆ จะพรมยังไงก็ไม่ไหว ท่านก็เลยใช้วิธีทันสมัย คือเอารถดับเพลิงของเทศบาลมาจอดที่ลานวัด ให้หลวงพ่อคูณขึ้นไปนั่งเสกบนนั้น หรือบางทีถ้าเห็นหลวงพ่อเหนื่อยมาก ก็นิมนต์ท่านทำหัวเชื้อน้ำมนต์จากในกุฏิ เอาไปเทผสมลงในถังน้ำ แล้วก็ฉีดให้คนที่แน่นลานวัดได้รับอย่างทั่วถึง นับเป็นการประยุกต์ศาสนพิธีเข้ากับเทคโนโลยีได้อย่างแยบยล    

      หลวงพ่อคูณมีลักษณะที่โดดเด่นกว่าพระรูปอื่นๆ คือความเสียสละ เหมือนพระครูบาศรีวิไชยนักบุญแห่งลานนาไทย คือบำเพ็ญตนเป็นประโยชน์แก่สาธารณชนโดยไม่หวังผลตอบแทน ไม่นั่งรอนอนรอว่า ถ้าบริจาคไปเป็นจำนวนกี่แสนกี่ล้านแล้วคณะสงฆ์จะให้เป็นพระครูหรือเจ้าคุณชั้นนั้นชั้นนี้บ้าง ถ้าได้ก็จึงจะเพิ่มงบประมาณ หากชวดก็งอนจนไม่เป็นอันทำการทำงาน เหมือนสมเด็จในกรุงเทพฯบางรูปเคยกระทำ ทำให้กิตติศัพท์อันดีของหลวงพ่อคูณเกริกไกรไปทั่วทิศ ถึงพระเนตรพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถึงกับเสด็จเยี่ยมหลวงพ่อคูณถึงวัดบ้านไร่ด้วยพระองค์เอง

     ผลงานทางสาธารณสงเคราะห์ ตั้งแต่ สร้างโรงเรียน โรงพยาบาล ช่วยเหลือวัดวาอารามต่างๆ หลวงพ่อคูณไปกิจนิมนต์ที่ไหนไม่เคยเอาเงินกลับ แถมยังเอาไปให้อีก นับเป็นบารมีที่น่าชื่นชม จนถึงปี พ.ศ.2535 ท่านก็ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระญาณวิทยาคมเถร หรือเป็นเจ้าคุณหลวงพ่อคูณ ก่อนจะขึ้นชั้นเป็นพระราชญาณวิทยาคมในอีกไม่กี่ปีถัดมา กระนั้นท่านก็ยังคงเอกลักษณ์เดิม ๆ โดยการนั่งยองๆ สูบบุหรี่ขี้โย และทักทายคนทั่วได้ด้วยสรรพนามว่า "มึง"

     อย่างไรก็ตาม ถึงปี พ.ศ.2547 นี้ หลวงพ่อคูณมีอายุพรรษามากถึง 81 ปี หากเป็นชาวบ้านสามัญเขาก็เรียกปู่ อยู่เฝ้าหลานก็คงไล่จับเด็กไม่ทันแล้ว เพราะหูตาคงฝ้าฟางและร่างกายก็ร่วงโรย แต่สังคมไทยเรานี่กลับแปลก คือพระยิ่งแก่คนก็ยิ่งเลื่อมใส ไม่เหมือนพระหนุ่มเณรน้อย ซึ่งไม่น่าไว้วางใจว่าจะไปก่อร้อก่อติกกับสีกาในวันไหน พระหลวงตาในวัยกว่า 80 ปีเช่นหลวงพ่อคูณจึงยิ่งแก่ก็ยิ่งต้องทำงานหนัก ต้อนรับประชาชนพลเมืองทุกระดับที่มุ่งหน้าไปหาของดีจากหลวงพ่อ ไม่เว้นแม้แต่หัวหน้าพรรคการเมืองและนายกรัฐมนตรี ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อเพิ่มขึ้นถึงขีดสุดเมื่อมีข่าวว่า ญาติโยมใกล้ชิดแย่งกันกินฉี่ของหลวงพ่อ เพราะเชื่อว่าเป็นของดี ทั้งๆ ที่เป็นของเสีย ขนาดร่างกายไม่ต้องการจึงขับออกมา แต่ศรัทธาของคนเขามีอย่างนั้น นั่นเป็นภาพลักษณ์อันเป็นปัจเจก หรือที่สำนวนสมัยใหม่ใช้ว่า อัตตลักษณ์ ของหลวงพ่อคูณ ผู้ได้รับสมญานามหลายชื่อ เช่น เทพเจ้าแห่งด่านขุนทด เทพเจ้าแห่งที่ราบสูง เป็นต้น

     ต้นปี 2547 นี้ มีข่าวหลวงพ่อคูณอาพาธ ต้องเข้าโรงพยาบาลถึงสองครั้งใหญ่ๆ แม้ท่านจะให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า "กูยังไม่ตายดอก ลูกหลายเอ๊ย" ก็ตาม แต่สังขารมันมิได้ตอบเหมือนหลวงพ่อแข็งใจพูด เพราะพอออกจากโรงพยาบาลได้ไม่กี่วัน ลูกศิษย์ก็ต้องหามหลวงพ่อกลับเข้าไปให้หมอฉีดยาอีก สัพเพ สังขารา อนิจจา นั่นเป็นปัญหาด้านสุขภาพร่างกายของหลวงพ่อ

     ต่อภาพที่ปรากฏทางสื่ออีกภาพหนึ่ง เป็นภาพที่เกี่ยวกับกิจกรรมการเมือง หลวงพ่อคูณนั้นเป็นพระภิกษุ มีชาวบ้านเลื่อมใส พูดไปแล้วมีคนเชื่อมากกว่าน้ำยาพวกนักการเมือง นักการเมืองจึงหวังจะอาศัยปากของหลวงพ่อขอคะแนนให้แก่ตน คนแรกที่หลวงพ่อคูณออกมาพูดสนับสนุนอย่างหนักแน่นก็เห็นจะเป็น พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตหัวหน้าพรรคชาติพัฒนา และอดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีตำแหน่งเป็น ส.ส.โคราช

     น้าชาติไปกราบหลวงพ่อๆ ก็อือออห่อหมก ยกเมืองโคราชให้เป็นของพรรคชาติพัฒนา จนมาถึงหัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน คือนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ก็ยังคงอาศัยเส้นใยสายเดิมของน้าชาติ เข้าไปกราบหลวงพ่อคูณ ๆ ก็ให้พรเหมือนเดิม คือขอให้ชาวโคราชเลือกไอ้สุวัจน์มันเป็น ส.ส. และต้องเลือกพรรคชาติพัฒนาเป็นพรรคของชาวโคราช ปรากฏว่าผู้สมัคร ส.ส. ในนามพรรคชาติพัฒนาชนะถล่มทลาย

     ต่อมาเมื่อพรรคชาติพัฒนาตกที่นั่งฝ่ายค้าน ลำบากลำบน อดอยากปากแห้ง เหมือนทุ่งกุลาหน้าแล้ง ส.ส.ของพรรคเตรียมตัวลาออกไปสังกัดพรรคการเมืองใหม่ที่มีข้าวปลาให้กินอิ่มท้องเต็ม ตามอุดมการณ์จะพัฒนาชาติไทยให้อยู่ดีกินดี แม้กระทั่งอดีตหัวหน้าพรรค คือ นายกร ทัพพรังษี หลานชายของพลเอกชาติชายผู้ร่วมก่อตั้งพรรคมากับมือ ก็ยังทิ้งพรรคไป ทำให้นายสุวัจน์ต้องหันหน้าไปหาหลวงพ่อคูณอีกครั้ง วันนั้นเป็นวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ.2546 หลวงพ่อคูณให้พรแก่นายสุวัจน์ว่า "ขอให้มึงสานต่อพรรคชาติพัฒนาต่อไป" พร้อมกับบอกญาติโยมว่า "พวกมึงต้องเลือกพรรคชาติพัฒนา เพราะว่าเป็นพรรคของชาวโคราช จะเลือกใครก็ไม่ว่า แต่ต้องอย่าลืมชาติพัฒนา" ทำให้นายสุวัจน์ฮึดฮัดสู้อยู่กับพรรคชาติพัฒนาต่อไป เหมือนได้ดีปลีจากหลวงพ่อคูณมาเป็นปิ๊ป

     ถึงวันที่ 24 เมษายน 2547 เป็นวันที่นายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เดินทางไปนมัสการหลวงพ่อคูณถึงวัดบ้านไร่ มีนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ หัวหน้าพรรคชาติพัฒนา (ฝ่ายค้าน) เดินทางไปด้วย หลวงพ่อคูณก็กล่าวให้พรทั้งสองคนเป็นสำนวนใหม่ว่า "ไอ้ทักษิณมันอยู่ที่นี่ ให้ทุกคนมาอยู่กับมึงนี่แหละ" และว่า "ก็สั่ง อย่าไปแตกอย่าไปแยก เพื่อช่วยกันพัฒนาบ้านเมืองเรา ถ้าไปแตกแยกเป็นพวกมึง พวกกู บ้านเมืองก็ไปไม่รอด มันต้องผนึกกำลังสามัคคีกัน ไทยรักไทย จะไปแตกแยกไปอยู่ที่อื่นกันทำไม ขอให้อยู่พรรคเดียวกัน ไอ้ทักษิณ อย่าแตกแยกกันเลย ไปแตกแยกกันมันไม่ดี ให้ไอ้ทักษิณเป็นประธานใหญ่" หลังจากนั้น นายสุวัจน์ก็นำเอาคำปกาศิตของหลวงพ่อมาประกาศต่อชาวโคราชว่า "จำต้องยุบพรรคชาติพัฒนาไปรวมกับพรรคไทยรักไทย เพราะหลวงพ่อคูณสั่ง" ปรากฏว่า ไม่มีชาวโคราชคนไหนเลยจะกล่าวหานายสุวัจน์ว่าตระบัดสัตย์ หรือทอดทิ้งอุดมการณ์ นั่นเป็นผลงานคาถามหานิยมของหลวงพ่อคูณ

     ถึงเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2547 ที่ผ่านมา หลวงพ่อได้รับอาราธนาจากนายกรัฐมนตรี ให้ไปฉันเพลที่ทำเนียบรัฐบาล ร่วมกับพระมหาเถระอีก 8 รูป จากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่นิมนต์ให้หลวงพ่อเดินทางไปยังกองสลากกินแบ่งของรัฐบาลเพื่อทำพิธี พิธีที่ว่านี้คือ ให้หลวงพ่อเจิมเครื่องออกสลากกินแบ่งรุ่นใหม่ ที่จะนำมาใช้แทนเครื่องเดิม ! 

     สังคมไทยในยุคยังไม่พัฒนาการทางด้านสติปัญญาเท่าที่ควร การศึกษาพระพุทธศาสนาจึงมีเรื่องไสยศาสตร์อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์นำหน้า สร้างศรัทธาด้วยความงมงายก่อนจะเข้าสู่สารธรรมคำสอน แต่คนส่วนใหญ่ดูเหมือนจะพอใจที่จะแคะแกะกินที่เปลือกคือเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ฤทธิ์เดช พระพุทธศาสนา พระเจ้าพระสงฆ์ ถูกมองเป็นเพียงเครื่องมือ "ทำอย่างไรให้หายซวย ทำมาค้าขึ้น และร่ำรวย" นั่นเป็นจุดขายที่ประชาชนคนไทยเขาสนใจ มากกว่าจะหันหน้ามาศึกษาพระพุทธศาสนาเพื่อพระนิพพานคือการดับทุกข์ที่ต้นเหตุของทุกข์ หากแต่ชาวพุทธไทยกลับนิยมแก้ทุกข์ที่ปลายเหตุด้วยการ "สะเดาะเคราะห์" น่าที่จะสมาทานเบญจศีลซึ่งครอบคลุมสีลาจารวัตร ปกป้องวิถีชีวิตให้มั่นคงและปลอดภัย ชาวพุทธไทยกลับมุ่งหน้าไปหาหลวงพ่อหลวงปู่ซึ่งท่องคาถาที่ตนเองไม่เข้าใจแต่เชื่อว่ามันขลังเพื่อขอของดี นั่นเป็นบ่อเกิด-จุดกำเนิดของพระเกจิอาจารย์ทั่วไป ทั้งสมัยโบราณจนถึงยุคสารสนเทศในไทยแลนด์บ้านเรา

     กรณีหลวงพ่อคูณนี้ก็เช่นเดียวกัน ถามว่า เรามีลิมิตของการ "ใช้พระ" กันเพียงไหน โดยเฉพาะรัฐบาลไทยของท่านนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร

     "พระสงฆ์ไม่ยุ่งการเมือง" แต่ว่าพระอริยะเช่นหลวงพ่อคูณประกาศปาวๆ ว่า "เชิญพ่อแม่พี่น้องเลือกพรรคชาติพัฒนา" และ "ขอให้ยุบพรรคชาติพัฒนาไปรวมกับพรรคไทยรักไทย" ไม่มีใครว่า ไม่มีใครตำหนิ เพราะคิดว่าท่านเป็นปาปวิมุติ คือหลุดพ้นจากข้อครหานินทาทั้งปวงแล้ว ยกให้เป็นกรณีพิเศษ แม้แต่ศาลรัฐธรรมนูญก็คงไม่กล้าตีความ

     "พระสงฆ์มีหน้าที่สอนสั่งแต่ในทางที่ถูกต้อง และไม่ส่งเสริมอบายมุข" แต่ว่ารัฐบาลไทยกลับจูงแขนหลวงพ่อคูณให้ไป "เจิม" เครื่องออกสลากกินแบ่งหรือหวยเครื่องใหม่ อะไรหรือคือความเหมาะความสม ? และเหมาะสมหรือไม่ที่จะใช้เป็นบรรทัดฐานของพระสงฆ์องค์เณร ที่รัฐบาลไทยและมหาเถรสมาคมกำลังเข้มงวดกวดขันในเรื่องของศีลธรรมจริยธรรม นำพาประเทศชาติไปสู่สังคมแห่งความอยู่ดีกินดีและมีความสุขทั้งทางกายและทางใจ เพราะการสอนนั้นมีอยู่ 2 ทาง คือใช้วาจาหรือคำพูด-พูดสอน และการสอนอีกวิธีหนึ่ง คือการทำให้ดูเหมือนการสาธิต เป็นการสอนด้วยภาพ ซึ่งการสอนด้วยวิธีนี้ท่านว่า ถ้าคนที่สอนนั้นมีความสามารถก็จะได้ผลกว่าการสอนด้วยคำพูด จึงเป็นที่น่าห่วงใยหลวงพ่อคูณในหลายด้าน

     ด้านกายภาพนั้น หลวงพ่อคูณท่านแก่หง่อมแล้ว สังขารร่วงโรยไปตามยถา ไม่เกินห้าปีสิบปีจากปีนี้ท่านก็คงหนีมัจจุราชไปไม่พ้น นับว่าน่าห่วงใยมากยิ่งแล้ว

     ทว่า เมื่อรัฐบาลไทย โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อาศัยปากของหลวงพ่อดึงพรรคชาติพัฒนามาร่วมชายคากับพรรคไทยรักไทย และนิมนต์ท่านมาฉันเพลที่ทำเนียบรัฐบาล โดยมีงานพิเศษให้ท่านทำ คือการเจิมเครื่องออกหวยใหม่ ในประการหลังนี้ยิ่งน่าห่วงใยกว่าเรื่องแรกอีก เพราะหลวงพ่อคูณนั้นโด่งดังด้วยคุณงามความดีที่บำเพ็ญต่อสาธารณชนมาโดยตลอด จนมาเป็นหลวงพ่อคูณเช่นทุกวันนี้ หากแต่ถ้าเราไม่มีการดูแลหลวงพ่อที่ดีพอ ปล่อยให้ใครต่อใครยื้อยุดฉุดกระชากท่านไปตามแรงใครแรงมัน มันก็อาจจะทำให้ท่าน "เสียคน" ตอนแก่นี้ได้ ตัวอย่างเคยมีมามากแล้ว สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ก็เป็นประเด็นร้อนที่รัฐบาลไทยพึงพิจารณา

      หากว่า รัฐบาลไทย มุ่งมั่นและจริงใจในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ส่งเสริมพระภิกษุสามเณรให้เป็นผู้รู้ดี-ปฏิบัติชอบ ต้องตามครรลองคลองธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามหลักการในพระไตรปิฎกอย่างจริงจังและมั่นคง ไม่เป็นดับเบิลแสตนดาร์ดแล้วไซร้ ก็ควรจะใช้พระสงฆ์สามเณรไปในสิ่งที่เหมาะสมแก่สมณสารูป สิ่งไหนไม่เหมาะไม่สมและสุ่มเสี่ยงต่อความเสื่อมเสีย รวมทั้งจะเป็นทิฏฐานุคติ คือเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีต่อสาธารณชนและอนุชนรุ่นหลังแล้ว ก็ควรงดเว้นที่จะกระทำเช่นนั้นเสีย ไม่ควรมักง่ายถ่ายเท คิดเอาแต่ประโยชน์ฉาบฉวยไปวันๆ นั่นจึงจะเป็นการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างถูกต้องและถาวรแบบที่เรียกว่าบูรณาการ แต่การนำเอาพระที่ชาวบ้านเคารพบูชาเช่นหลวงพ่อคูณไปทำศาสนพิธีพิเรน คือเจิมเครื่องออกสลากกินแบ่งรัฐบาลครั้งนี้ รัฐบาลจะมีคำนิยมให้แก่ประชาชนคนไทยว่าอย่างไร จะขอให้เล่นหวยกันมากๆ จะได้กลายเป็นคนรวยกันหมดทั้งประเทศ ตามนโยบายที่รัฐบาลประกาศไว้ว่า "จะทำให้คนจนหมดจากประเทศไทยภายใน 6 ปี" เช่นนี้นะหรือ ฮื่อ Unbelievable ! ช่างน่าเหลือเชื่อเหลือเกินว่ารัฐบาลไทยจะทำได้

      กรณีที่มีคนนิมนต์หลวงพ่อคูณไปเจิมเครื่องออกสลากกินแบ่งของรัฐบาล เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2547 ที่ผ่านมา นับว่าเป็นกรณีที่น่าศึกษาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเมื่อได้เห็นภาพของหลวงพ่อคูณตอนเจิมเครื่องเล่นหวยแล้ว ผู้เขียนซึ่งเป็นพระรุ่นหลานก็รู้สึกสงสารและเป็นห่วงหลวงพ่อเหลือเกิน เพราะว่าผู้ที่นิมนต์หลวงพ่อไปในวันนั้น เขาคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คนที่ 23 ของประเทศไทย และเป็นหัวหน้าพุทธศาสนิกชนชาวไทยทั้งชาติในวันนี้

     รูปํ ชีรติ มจฺจานํ นามโคตฺตํ น ชีรติ พระบาลีมีอยู่เช่นนี้ แปลว่า คนเราตายไปก็แต่ร่างกายเท่านั้น ส่วนชื่อเสียง (ทั้งดีและไม่ดี) หาตายไปด้วยไม่ เช่นเดียวกัน หลวงพ่อคูณนั้นต้องตายแน่ เพราะสังขารมันไม่เที่ยง แต่ถ้าหากเรารักและอยากให้หลวงพ่อคูณอยู่กับเราไปนานๆ ก็ควรรักหลวงพ่อให้ถูกทาง โดยการรักษาภาพลักษณ์ของท่านให้ดำรงคงมั่นอยู่แต่ในทางที่ดีงาม ไม่มักง่าย ไม่ใช้หลวงพ่อไปในทางที่เสื่อมเสียเช่นการเจิมเครื่องเล่นหวยนี้เป็นต้น เมื่อนั้น ถึงแม้หลวงพ่อจะเสียไปแล้ว แต่ก็จะยังคงดำรงอยู่ด้วยคุณงามความดี เป็นแบบอย่างอันดีงามให้ลูกหลานชาวโคราชได้กราบไหว้ และคนไทยทั่วไปผู้เคารพเลื่อมใสในตัวหลวงพ่อด้วย

     จึงขอร้องและขอเตือนสติมายังรัฐบาลไทย โดยเฉพาะท่านนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ด้วยความรักและความหวังดี อย่าให้มีเลยกับข้อครหาว่ารัฐบาลไม่ประสีประสาทางการพระศาสนา เจตนานั้นอาจจะดี แต่วิธีการอันไม่เหมาะสมก็ควรพิจารณาให้รอบคอบและยาวไกล อย่าคิดสั้นๆ ง่ายๆ อย่างที่ทำอยู่ เพราะถ้าเราไม่เชิดชูพระสงฆ์สามเณรไปในทางที่ถูกที่ควร ก็แสดงว่ารัฐบาลไทยเป็นตัวอย่างอันไม่เหมาะสมเสียเอง ทำให้มีผลกระทบกว้างไกลไปจนรุ่นลูกรุ่นหลาน ก็ไม่อยากจะว่ากล่าวกันให้หนักใจไปมากกว่านี้ นะ ถ้ารักหลวงพ่อคูณและพระพุทธศาสนาจริง ก็ขอได้โปรดงดเว้นเรื่องเช่นนี้เสีย ก็จะอนุโมทนาสรรเสริญ เป็นกุศลผลบุญยิ่งกว่าเสียเวลานิมนต์พระมาเลี้ยงในทำเนียบมากมายนัก 

 

พระมหานรินทร์ นรินฺโท
วัดไทย ลาสเวกัส รัฐเนวาด้า สหรัฐอเมริกา
2 มิถุนายน 2547

 

 

 
E-Mail ถึง บก.
peesang2003@hotmail.com

All Right Reserved @ 2003
This Website Sponsored by

 

www.alittlebuddha.com เจ้าของ : วัดไทย ลาสเวกัส 2920 McLeod Dr. Las Vegas Nevada 89121 USA (702) 384-2264