ตะลึงกันไปทั่วหล้า
เมื่อทราบว่า
รัฐบาลไทย
โดยผู้นำที่ชื่อ พันตำรวจโท
ทักษิณ ชินวัตร ได้ออกกฎหมายปฏิรูปที่ดินฉบับใหม่ล่าสุด
และใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีในประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองของประเทศไทย
นับตั้งแต่สมัยอภิวัฒน์การปกครอง พ.ศ.2475 เป็นต้นมา ในจำนวน
88
มาตราของกฎหมายฉบับนี้ มีหลายมาตราที่กล่าวได้ว่า
"เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนาถึงระดับรากเหง้า"
ไม่ต่างไปจากกรณีธรรมกายสายหลวงพ่อสดที่สอนว่า
พระนิพพานเป็นอัตตา
จะต่างกันก็เพียง
กรณีธรรมกายนั้นขุดรากถอนโคนพระธรรมคำสอน
ส่วนกฎหมายจัญไรฉบับนี้ขุดรากวัดรากกำแพงรื้อกุฏิวิหารและพระอุโบสถทิ้งได้ตามใจชอบ
ไม่ต่างไปจากเมืองจีนในยุคปฏิวัติวัฒนธรรม
วันนี้ขอเล่าที่ไปที่มาของกฎหมายขายศาสนาฉบับนี้ให้พ่อแม่พี่น้องชาวไทยได้รับฟังว่า
รัฐบาลกำลังทำอะไรจัญไรยิ่งใหญ่ให้เราได้เห็นเป็นบุญตา คือว่า
พระราชบัญญัติ
(ชื่อของกฎหมายที่ต้องผ่านการลงพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงจะถือว่าใช้ได้ตามกฎหมาย
ทั้ง ๆ ที่พระเจ้าอยู่หัวไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย
พวกนี้จับให้พระองค์เซ็นต์แล้วก็อ้างว่า
เป็นพระบรมราชโองการหรือเป็นพระราชบัญญัติ น่าสงสารพระเจ้าอยู่หัวเหมือนกัน)
ฉบับนี้มีการเคลื่อนไหวต่อเนื่องมาจากสนธิสัญญาที่ว่าไว้ต่อประชาชนในคราวหาเสียงเลือกตั้งเมื่อปี
พ.ศ.
2542 ซึ่ง พ.ต.ท.
ทักษิณ ชินวัตร
หัวหน้าพรรคไทยรักไทย ได้ประกาศโครงการประชานิยมหลายโปรเจ็ค เช่น
โครงการประกันสุขภาพทั่วหน้า หรือว่า
30 บาทรักษาทุกโรค
โครงการพักหนี้เกษตรกร โครงการกองทุนหมู่บ้านละล้าน
เป็นต้น จนต่อมาก็ออกโปรเจ็ครายวันรายเดือนและรายปี จนมีฉายาว่า
"รัฐบาลเอื้ออาทร"
บ่อนเอย หวยเถื่อนเอย โสเภณีเอย เรื่อยไปจนถึงที่ดินของวัดของพระศาสนา
จึงถูกรัฐบาลนำมาหาทาง
"ทำให้เป็นรายได้"
เพื่อนำเงินมาใช้ให้เพียงพอกับความมือเติบในโครงการประชานิยม ขอเพียงเวลาอีก
5 ปีเท่านั้น คนจนก็จะหมดเมืองไทย เพิ่งจะมารู้ว่า
รัฐบาลไทยจะช่วยประชาชนให้หายจนโดยการเอาที่ดินวัดไปขายแล้วเอาเงินไปแจกกันในวันหาเสียงเลือกตั้ง
! ฮื่อ
จัญไรไหมล่ะท่านผู้ชม
ความจริงตั้งแต่เป็นรัฐบาลมานานนั้น
พระสงฆ์องค์เณรทั่วไปก็ชื่นชมยินดีที่ประเทศไทยมีรัฐบาลที่เอาใจใส่ปวงชนชาวไทยอย่างที่เรียกว่า
"รากหญ้า"
กันจริง ๆ เพราะแต่ก่อนร่อนชะไรมานั้น
เขาจะพูดถึงประชาชนในสมัยหาเสียงเลือกตั้งเท่านั้น
ยิ่งผู้เขียนในฐานะเป็นคนเชียงใหม่
โคตรเหง้าศักราชก็อยู่ที่อำเภอสันกำแพงใกล้ๆ
กับบ้านเกิดของท่านนายกทักษิณด้วย แล้วจะไม่ให้เชียร์ยังไงไหว
ในความเห็นส่วนตัว
แม้จะไม่เห็นด้วยกับโครงการเอื้ออาทรซึ่งจะทำให้ประเทศไทยเป็นคอมมูนิสต์สายพันธุ์ใหม่ในโลก
จะทำให้ประชาชนคนไทยไม่มีหัวคิด วันๆ ต้องรอให้นายกรัฐมนตรีซึ่งจบด๊อกเตอร์จากอเมริกามาคิดแทน
แม้แต่เรื่องผัวๆ เมียๆ ก็มีข่าวว่า
"รัฐบาลจะหาคู่ให้ เป็นการสมรสเอื้ออาทร"
ได้ฟังแล้วผู้เขียนถึงจะเป็นพระก็เอือมระอากับภูมิภาวะทางสติปัญญาของด๊อกเตอร์บางคนแบบเหลือเกิน
แต่ในหลายๆ อย่าง ก็ยอมรับว่า
"รัฐบาลทำได้ดี"
เช่น การปราบปรามยาเสพติดที่คิดกันเป็นถึงระดับ
"สงคราม"
เลยทีเดียว
ส่วนนอกนั้นก็แทบไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงขึ้นมากมายในเมืองไทย
นอกจากความรุ่มรวย สุรุ่ยสุร่าย ที่กำลังกลับมารอบใหม่
มหาเศรษฐีไทยซื้อรถต่างชาติใช้คันละร้อยกว่าล้าน นับยอดจองรถแล้ว
เพียงอาทิตย์เดียวคนไทยใช้เงินซื้อของนอกไปเป็นหมื่น ๆ ล้าน
แล้วเราจะต้องสร้างงานกันอีกกี่หมื่นตำแหน่ง
จะต้องให้หุ้นขึ้นอีกกี่ล้านจุดจึงจะถึงจุดที่ว่า
"ประเทศไทยรวย"
โดยไม่ต้องอนาทรร้อนใจว่าทองของหลวงตาบัวจะหมดคลัง
ใครอยากให้เมืองไทยเป็นอย่างนั้นบ้าง ?
การสร้างค่านิยมต่างหากที่จะเป็นการกอบกู้เศรษฐกิจไทยให้พิพัฒนาถาวรอย่างแท้จริง
ไม่ใช่การมุ่งมั่นสร้างตัวเลขหรือดัชนีทางเศรษฐกิจที่เรียกว่า จีดีพง-จีดีพี
ที่ว่านั่นหรอก ไม่งั้นบรรดา ส.ส.ในพรรคไทยรักไทย ซึ่งเป็นถึงผู้แทนราษฎร
ประกาศว่า
"ตัวเองอิ่มแล้ว รวยแล้ว พอแล้ว
จึงไม่โกงแม้แต่จะคิด
มีความรู้ความสามารถถึงระดับมากกว่าช่วยตัวเอง
จำต้องนำเอาความรู้ความสามารถนั้นมาช่วยชาติบ้านเมือง
จะได้เจริญทันสมัยกับเขา"
แต่ปรากฏว่าทำเอาสภาล่มเป็นประจำ ทำงานก็ไม่เป็น วัน ๆ
ก็รอนายกรัฐมนตรีสั่งการ
จะกลับไปเล่นน้ำสงกรานต์ก็แบมือขอเงินจากพรรคไปคนละสามแสน
นี่นะหรือคือการช่วยเหลือประชาชนคนไทย เงินเอามาจากไหน ?
แล้วจะทำประเทศไทยให้ปราศจากคนจนได้อย่างไร
ก็ขนาด ส.ส.ยังยากจนน่ะ ?
เราอ่านตามเนื้อผ้าพวกนี้ก่อน
ก่อนจะเข้าเรื่องราวเกี่ยวกับการขายที่ดินวัดที่ดินศาสนาของรัฐบาลนี้
จะได้รู้ว่า
"ที่คิดว่าตัวเองเป็นฮีโร่ หรือเป็นซีอีโอประจำประเทศไทย
จะสั่งหันซ้ายหันขวาอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเหมือนเผด็จการ"
นั้นมันเป็นความฝัน
เพราะในความเป็นจริง คุณก็ไม่มีกึ๋นอะไรมากไปกว่าการขายของเก่ากิน
ไม่ว่าจะเป็นรัฐวิสาหกิจ
และลามมาจนถึงจะทุบกำแพงวัดเอาที่ดินของพระพุทธเจ้าไปช่วยพรรคไทยรักไทยให้ได้เป็นรัฐบาลอีกสมัยหนึ่ง
เห็นรัฐบาลนายกทักษิณทำอะไรวิปริตผิดประเพณีที่เคยมีมาหลายอย่างแล้ว
ถึงแม้ผู้เขียนจะอายุไม่เท่ากับนายกรัฐมนตรี และไม่เคยมีเงินเป็นแสนๆ
ล้านมาก่อนก็ตาม
แต่ก็ขอยืนยันว่า ตามที่เคยได้ศึกษาหาความรู้มาบ้าง
อย่างน้อยก็พออ่านออกเขียนได้ ทำให้รู้ว่า รัฐบาลนี้ทำอะไรไม่มีมาตรฐาน
เหมือนกับเด็กเล่นขายของ นึกชอบอกขอบใจแบบไหนก็ทำไปตามใจชอบ กฎ ระเบียบ
ขนบธรรมเนียม ประเพณีอันดีงามที่เคยมีมาอย่างไร ท่านนายกทักษิณไม่เคยสนใจให้ค่า
เดี๋ยวจะว่าเป็นรายการ
ไม่ต้องกลัวว่าผู้เขียนจะเขียนด่ารัฐบาลเป็นรายการประจำวันเหมือนคอลัมนิสต์หรอก
แต่จะรวมมาเป็นแกงโฮะกระทะโตเลยทีเดียว ฟังนะ
เรื่องแรก คือ
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ......
ที่เขาทำเป็น จุดๆๆ ไว้น่ะ ก็เพราะว่า เป็นเพียง
"ร่าง"
คือการเขียนตัวปลอมที่เรียกว่าตุ๊กตาขึ้นมาก่อน เรียกง่ายๆ ว่า
"ยกร่าง"
เจ้าตัว "ร่าง"
นี้แหละ จะผ่านการพิจารณาตั้งแต่ คณะกรรมการยกร่าง ประชาพิจารณ์
การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และคณะกรรมการกฤษฏีกา
จะเป็นผู้ตรวจสำนวนในขั้นสุดท้าย เมื่อผ่านกระบวนการทำงานจนครบจบกระบวนแล้ว
นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาลก็จะนำเอา
"ร่างพระราชบัญญัติ"
อันนั้น ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อเซ็นต์หรือลงพระปรมาภิไธย
แล้วนำไปประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อบังคับใช้เป็นกฎหมายอย่างสมบูรณ์ต่อไป
ดังนั้น เมื่อเริ่มยกร่างกฎหมายแต่ละฉบับนั้น ท่านจึงยังไม่ใส่ วัน เดือน ปี
ของกฎหมายนั้นๆ ไว้ เพราะไม่แน่ใจว่าจะไปรอดหรือไม่ หรือว่าจะเสร็จเมื่อไหร่
ถ้าสมมติว่า เสร็จในปี พ.ศ.2549 เขาก็จะเรียกว่า พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2549 นี่เป็นที่ไปที่มาของคำว่า
"ร่าง"
ร่างพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ที่มหาเถรสมาคมตั้งคณะกรรมการยกร่าง แล้วพิจารณาให้
"ผ่าน"
เพื่อนำเสนอต่อรัฐบาล ในฐานะเป็นผู้คุมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร
ให้โหวตผ่าน ทั้งสองสภา
แล้วนำไปให้คณะกรรมการกฤษฎีกาขัดเกลาสำนวนกฎหมายให้กระทัดรัด
ก็จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ
เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยใช้เป็นกฎหมายฉบับใหม่แทนกฎหมายคณะสงฆ์ฉบับเก่า คือ
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2535
ตะทีนี้ว่า เมื่อร่างพระราชบัญญัติฉบับมหาเถรสมาคมนั้น
"ผ่าน"
การพิจารณาของมหาเถรสมาคมไปแล้ว สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว) วัดสระเกศ
ในฐานะประธานการประชุมมหาเถรสมาคม นำไปให้นายกทักษิณเองกับมือ
และนายกรัฐมนตรีทีแรกก็แสดงท่าที่ว่าสนับสนุนรัฐบาลคณะสงฆ์คือมหาเถรสมาคม
โดยให้ผ่านมติคณะรัฐมนตรีรับรองอย่างทันใจ
แต่ครั้นเมื่อถูกพระธรรมวิสุทธิมงคลหรือหลวงตาบัวออกมาเล่นการเมือง
ประท้วงพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว นายกทักษิณฯ ก็พลิ้วตัวหลบ
โยนเรื่องกลับไปให้คณะกรรมการกฤษฎีกา
"แก้ไขใหม่"
โดยใช้เวลาสองปีกว่ามาแล้ว แปลเป็นภาษาชาวบ้านก็ว่า
"ดองเรื่องเอาไว้"
การกระทำเช่นนี้ ดูไปก็รู้ว่าเป็นการแก้ปัญหาทางด้านการเมืองเรื่องหลวงตาบัว
ซึ่งมีอิทธิพลต่อคะแนนเสียงในภาคอีสานอย่างมากเพียงอย่างเดียว
หากแต่ในด้านการยอมรับองค์กรมหาเถรสมาคม ซึ่งตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ระบุว่า
"คณะสงฆ์ไทยต้องอยู่ภายใต้การปกครองของมหาเถรสมาคม"
ก็แสดงว่า
รัฐบาลไทยไม่เห็นว่ามหาเถรสมาคมจะมีค่าอะไรมากมายไปกว่าชมรมหลวงตาแก่ๆ เพียง
8-9 องค์ ทิ้งไว้นานหน่อยก็คงจะลืมไปเอง
ซึ่งผู้เขียนเห็นว่า
"นั่นแหละคือการทำลายรัฐบาลคณะสงฆ์ไทยลงไปอย่างย่อยยับ"
ซึ่งคนทั่วไปจะมองไม่เห็นกัน พูดอย่างง่ายๆ ก็คือว่า
นับตั้งแต่รัฐบาลไทยภายใต้การนำของ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ไม่นำร่างพระราชบัญญัติของมหาเถรสมาคมเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร
โดยนำไปดองปลาร้าอยู่ที่สำนักงานกฤษฎีกาเมื่อสองปีที่ผ่านมานั้น ก็หมายถึงว่า
"ไม่มีรัฐบาลคณะสงฆ์หรือมหาเถรสมาคมในประเทศไทยอีกต่อไป
เพราะว่าองค์กรแห่งนี้ได้ถูกปฏิเสธการใช้อำนาจโดยรัฐบาลไทยที่มาจากการเลือกตั้งของปวงชนชาวไทยแล้ว"
กรรมการมหาเถรสมาคมนับตั้งแต่สมเด็จพระราชาคณะลงมานั้นจะมีค่าอะไรมากไปกว่า
คนแก่หูตาฝ้าฟางกลุ่มหนึ่งที่ยังหลงคิดติดใจว่า
"รัฐบาลไทยยังเคารพเทิดทูนในฐานะปูชนียบุคคล"
ต่อมา เมื่อเกิดปัญหากรณี
"พระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช"
ถูกตีความว่า
"จริงหรือปลอม"
รัฐบาลนายกทักษิณก็ทำการอุกอาจถึงขั้น
"สั่งพักงานสมเด็จพระสังฆราชเป็นเวลา
6 เดือน"
แม้จะมีเสียงทักท้วงทั้งบ้านทั้งเมือง แต่อีโก้ของท่านด๊อกเตอร์นั้น
"สูงส่ง"
เกินกว่าจะฟังคำแนะนำด้วยความหวังดีเสียแล้ว ก็ฉันจะเอาแบบนี้ ใครจะทำไม
?
ก็ดังที่เคยเขียนไว้ในที่ผ่านๆ มาว่า
"ผู้เขียนทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย"
กับพฤติกรรมของรัฐบาลไทยที่ทำไปเช่นนั้น
คือยอมรับว่าการออกพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชมาในช่วงหลังๆ
นี้มีความผิดปรกติจริง หากแต่ว่ารัฐบาลไทยไม่น่าจะกระทำถึงขึ้น
"สั่งปลดพระองค์"
โดยที่พระองค์ไม่ทรงรับรู้อะไรเลย
แม้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ไม่ทรงทราบ เรื่องนี้มิใช่เรื่องของความ
"สะใจ"
ที่ว่า ถ้าเป็นพระมหานิกายแล้ว เห็นพระในฝ่ายธรรมยุตเพลี่ยงพล้ำในทางการเมือง
เราก็รีบซ้ำเติมด้วยความยินดี แต่ต้องตระหนักให้หนักแน่นถึง
"โบราณประเพณี"
ที่เคยมีมา มิใช่ว่าทำอย่างนี้แล้วดีก็ทำๆ ไป
ส่วนอนาคตจะเป็นอย่างไรนั้นฉันไม่สน
ผลของความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนั้นขอถามว่า
"ใครจะรับผิดชอบ"
เพราะตอนนั้นท่านนายกทักษิณก็หมดอำนาจไปแล้ว ถึงจะเขียนด่าอีกเป็นร้อยๆ ปี
มันจะมีอะไรดีขึ้นมา
ดังนั้น เรื่องนี้จึงมิใช่เรื่องที่จะนำมาขยายผลเป็นสงครามระหว่าง
"นิกาย"
ที่หลายๆ คนกำลังสับสนอยู่ในสังคมไทย
หากแต่เราต้องพิจารณาถึงสถานภาพให้ถ่องแท้ แม้ว่าวันนี้
พระสงฆ์เถระในฝ่ายมหานิกายจะได้เป็นใหญ่เป็นโตก็ตาม
หากแต่ถ้าการเป็นใหญ่เป็นโตแล้วเกิดปัญหานั้น มันจะมีความศักดิ์สิทธิ์อะไร
วันนี้เขาปลดสมเด็จพระสังฆราชลงได้
แต่ไปแน่ใจหรือว่าเขาจะไม่ปลดผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชด้วย
ถ้าหากว่าไม่พอใจอีก ?
ต่อไปก็เรื่องพระราชบัญญัติฉบับปล้นที่ดินศาสนา
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ปัจจุบันนี้
งบประมาณการบริหารกิจการคณะสงฆ์รัฐบาลก็ไม่มีให้
ปล่อยให้พระสงฆ์ออกบิณฑบาตกันเอาเอง อย่างมหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ที่จะไปสร้างศูนย์ใหญ่อยู่ที่วังน้อย อยุธยานั้น ก็บ่จี้หนัก
ถึงต้องสร้างพระกริ่ง สร้างเหรียญพระพุทธโสธร เพื่อเป็นทุนก่อสร้าง ทั้ง ๆ
ที่เงินก็ไม่กี่ร้อยล้าน แต่รัฐบาลก็
"ช่วยไม่ได้"
เพราะว่ามันไม่ได้คะแนนเสียงเท่าไหร่
ถวายสมเด็จพระสังฆราชทรงใช้เป็นการส่วนพระองค์แค่ปีละ
20 กว่าล้าน
รัฐบาลก็โวยวายว่า
"มีนอกมีใน"
ตะทีรัฐบาลสั่งจ่ายค่าสัญญาค่าโง่อะไรเป็นพันเป็นหมื่นล้าน
แม้กระทั่งกรณีไอทีวีซึ่งเป็นบริษัทของนายกรัฐมนตรีเอง ทำไมไม่เห็นโวยวาย
ไหนล่ะว่า
"เพื่อรักษาพระเกียรติยศของสมเด็จพระสังฆราช"
แล้วตอนนี้ก็มาออกกฎหมายยึดที่ดินของวัดไปปฏิรูป อะไรหรือคือปฏิรูปที่ว่านั้น
? ตีความตามกฎหมายฉบับนั้นก็ได้ความว่า
"คือการจัดระเบียบที่ดินใหม่หมดทั้งประเทศ
โดยไม่ยกเว้นว่าที่นั้นจะเป็นที่ดินของวัดวาอาราม
ซึ่งพุทธศาสนิกชนตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวลงมาทรงมอบถวายไว้เป็นสมบัติของพระพุทธศาสนาหรือไม่"
และกฎหมายใหม่ฉบับนี้มีอำนาจเหนือพระราชบัญญัติคณะสงฆ์
ที่ดินของวัดหรือของพระศาสนานั้น ปัจจุบันมีอยู่
4 ประเภท คือ
1. ที่วัด
ก็คือบริเวณที่วัดตั้งอยู่ มีกำแพงหรือรั้วรอบขอบชิด หรือจะไม่มีก็แล้วแต่
แต่ว่าเป็นเขตที่พระสงฆ์อาศัยอยู่และพุทธศาสนิกชนใช้เป็นที่ชุมนุมปฏิบัติศาสนพิธี
จะมีกุฏิ วิหาร อุโบสถ ศาลาการเปรียญ
หรือโรงเรียนพระปริยัติธรรมอื่นใดอยู่ในบริเวณนั้นด้วย
ก็นับว่าเป็นที่ดินประเภทที่
1 นี้
2.
ที่ธรณีสงฆ์
เป็นที่ดินที่ไม่อยู่ในบริเวณวัด อาจจะอยู่ห่าง ๆ จนถึงไกลออกไป เช่น
ที่ดินของคุณยายเนื่อม ซึ่งอยู่ในเขตจังหวัดนครนายก
แต่ยกถวายให้แก่วัดธรรมิการาม จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ห่างกันหลายร้อยกิโล
แต่ก็เป็นที่ดินของวัดธรรมิการามประเภทที่
2 นี้
3.
ที่กัลปนา
ประเภทนี้เจ้าของที่มิได้ถวายที่ดิน หากแต่ถวายเพียง
"ผลประโยชน์ที่เกิดจากที่ดินนั้นให้แก่วัดหรือแก่พระศาสนา"
อันนี้จะอยู่ใกล้หรือไกลก็ไม่บังคับไว้อีก เช่นว่า ถ้าคุณยายเนื่อมเขียนเป็นพินัยกรรมว่า
"ขอยกผลประโยชน์จากที่ดินผืนนี้ให้แก่วัดธรรมิการาม เป็นเวลา
30 ปี"
ที่นั้นนับว่าเป็นกัลปนาในประเภทที่
3 นี้
4. ที่ศาสนาสมบัติกลาง
ความจริงแล้ว ที่วัดทุกแห่งในประเทศไทยถือว่าเป็นศาสนสมบัติทั้งหมด หากแต่ว่า
วัดแต่ละวัดนั้นเป็นนิติบุคคล มีเจ้าอาวาสเป็นผู้บริหารสูงสุด
จะไปยึดอะไรมาไว้เป็นส่วนกลางยังไม่ได้
เว้นไว้แต่ถูกทอดทิ้งจนรกร้างว่างเปล่าไม่มีใครดูแล ก็จะถูกขึ้นบัญชีเป็น
"ศาสนาสมบัติกลาง"
โดยปัจจุบันเขาให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติดูแลเก็บเกี่ยวผลประโยชน์แทนพระ
เวลาจะใช้พระถึงจะบอกให้ทราบอีกทีหนึ่ง ดังนั้น ที่ดินประเภทที่
4 นี้
จึงมีเจ้าของคือ
"พระพุทธศาสนา"
ไม่ใช่วัดใดวัดหนึ่ง ผลประโยชน์ในที่ดินประเภทนี้
จะนำไปใช้เป็นการส่วนตัวของวัดใดวัดหนึ่งนั้นไม่ได้ ถ้าจะใช้ก็ต้องใช้เป็นการ
"ส่วนรวม"
คือแต่เดิมนั้น เกี่ยวกับที่ดินวัดและพระพุทธศาสนา
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์บัญญัติไว้ว่า
มาตรา
34
การโอนกรรมสิทธิ์ที่วัด ที่ธรณีสงฆ์ หรือที่ศาสนสมบัติกลาง ให้กระทำได้ก็แต่โดยพระราชบัญญัติ
การโอนกรรมสิทธิ์ที่วัด ที่ธรณีสงฆ์ หรือที่ศาสนสมบัติกลาง ให้แก่ส่วนราชการ
รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ เมื่อมหาเถรสมาคมไม่ขัดข้อง
และได้รับค่าผาติกรรมจากส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานนั้นแล้ว
ให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา
ห้ามมิให้บุคคลใด
ยกอายุความขึ้นต่อสู้กับวัดหรือกรมการศาสนาแล้วแต่กรณี
ในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นที่วัด ที่ธรณีสงฆ์ หรือที่ศาสนสมบัติกลาง
มาตรา
35
ที่วัด ที่ธรณีสงฆ์ และที่ศาสนสมบัติกลาง
เป็นทรัพย์สินซึ่งไม่อยู่ในความรับผิดชอบแห่งการบังคับคดี
นี่แหละคือกฎหมายเกี่ยวกับที่ดินวัดและพระพุทธศาสนาอันมีมาแต่เดิม จะเห็นว่า
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกในพระราชวงศ์จักรีทุกพระองค์
รวมถึงรัฐบาลไทยในอดีต ต่างมองเห็นการณ์ไกล ว่าต่อไปภายหน้า
จะมีบุคคลผู้ฉ้อฉลเอาที่ดินของวัดและพระพุทธศาสนาไปหากิน
จึงทรงมีพระราชบัญญัติป้องกันไว้ก่อน
หากแต่รัฐบาลของนายกทักษิณชุดปัจจุบันนี้
กลับออกกฎหมายใหม่ให้ยกเลิกมาตราเกี่ยวกับที่ดินของวัดและของพระพุทธศาสนาในพระราชบัญญัติเหล่านั้น
เพราะท่านระบุว่า
"คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินมีอำนาจที่จะออกระเบียบเกี่ยวกับการนำที่ดินของวัด
ที่ธรณีสงฆ์ ที่ศาสนสมบัติกลางมาใช้ โดยการเวนคืน"
ก็หมายถึงว่า กฎหมายใหม่นี้บังคับให้ยกเว้นพระราชบัญญัติคณะสงฆ์เสีย
แล้วให้ไปใช้กฎหมายปฏิรูปที่ดินแทน
กฎหมายปฏิรูปที่ดินใหม่นี้จึงมีอำนาจมากกว่าพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ๆ
ถูกยกเลิกโดยกฎหมายปฏิรูปที่ดินนี้ไปแล้ว
นอกจากจะมีอำนาจในการจัดการที่ดินของวัดของพระศาสนาได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแถมยังไม่มีพระสงฆ์หรือกรรมการวัดเข้าร่วมเป็นกรรมการปฏิรูปที่ดินแม้แต่รูป/คนเดียวแล้ว
ท้ายกฎหมายฉบับใหม่นี้ยังกำหนดบทลงโทษผู้ฝ่าฝืน-ขัดขืน และไม่ยินยอม
ไว้อีกว่า
หมวดที่
8 บทกำหนดโทษ
มาตรา
83
ผู้ใด (ไม่ว่าพระหรือกรรมการวัด)
ขัดขวางการปฏิบัติงานของคณะกรรมการส่วนจังหวัด หรือผู้ตรวจการสมาคม ตามมาตรา
26 หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่มอบหมาย
หรือผู้ซึ่งปฏิบัติงานร่วมกับบุคคลดังกล่าว ตามมาตรา
41 วรรคสอง
หรือผู้ดำเนินโครงการจัดรูปที่ดินหรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้ดำเนินโครงการจัดรูปที่ดิน
ตามมาตรา
57 (1) (2) หรือ (3) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน
6 เดือน
หรือปรับไม่เกิน
10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
เห็นไหมว่ามันยิ่งใหญ่ขนาดไหน สมัยก่อนเราเคยได้ยินข่าว
"เขาห้ามมิให้พระธุดงค์เข้าป่า"
พระที่อยู่ในป่าก็โดนไล่ออกป่า เพราะว่าเป็นป่าสงวน
พระถูกจับเพราะว่าบุกรุกที่ป่าสงวน
มีปัญหาระหว่างพระกับประชาชนที่บุกรุกที่ดินวัด
พระเจ้าอาวาสถูกฆ่าตายเพราะไปขัดขวางผลประโยชน์ของผู้บุกรุกที่ดินวัด เช่น
เจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทสระบุรี และที่เชียงใหม่ก็มีหลายวัด ต่อมาก็ข่าว
ที่ดินของนางเนื่อมที่ยกถวายแก่วัดธรรมิการาม
แต่ถูกห้ามมิให้รับที่ดินอันเป็นมรดกนั้นไว้โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ทำให้ที่ดินของวัดกลายเป็นสนามกล์อฟอัลไพน์ไปอย่างไม่มีวี่แววว่าจะได้กลับคืนมา
ปัญหาเหล่านี้กำลังรุมเร้าสถานภาพของพระพุทธศาสนาในประเทศไทยขึ้นมาเรื่อย ๆ
ต่อไปพระสงฆ์ไทยอาจจะต้องเช่าบ้านอยู่ เพราะไม่มีที่วัดอยู่อาศัย และเชื่อไหม
ถ้าพระราชบัญญัตินี้มีผลบังคับใช้ รับรองว่าพระสงฆ์ไทยหลายรูปติดคุกแน่
เพราะท่านเหล่านั้นจะออกมาต่อต้านไม่ให้รัฐบาลยึดที่ดินวัด
ซึ่งท่านเหล่านั้นจะกลายเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายปฏิรูปที่ดินฉบับใหม่นี้ทันที
และมีผลให้ท่านต้องติดคดีตามบทบัญญัติที่ว่า
มาตรา
83 ผู้ใด
(ไม่ว่าพระหรือกรรมการวัด) ขัดขวางการปฏิบัติงานของคณะกรรมการส่วนจังหวัด
หรือผู้ตรวจการสมาคม ตามมาตรา
26
หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่มอบหมาย
หรือผู้ซึ่งปฏิบัติงานร่วมกับบุคคลดังกล่าว ตามมาตรา
41 วรรคสอง
หรือผู้ดำเนินโครงการจัดรูปที่ดินหรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้ดำเนินโครงการจัดรูปที่ดิน
ตามมาตรา
57 (1) (2) หรือ (3) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน
6 เดือน
หรือปรับไม่เกิน
10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
อยากทราบว่าจะเป็นจริงหรือไม่
ก็ลองช่วยกันสนับสนุนให้กฎหมายฉบับนี้ผ่านสภาดูสักทีสิท่าน อ้อ
เตรียมกางเกงไว้ให้เยอะๆ ด้วยนะ
เพราะว่าพระพุทธศาสนากำลังจะสูญสิ้นจากแผ่นดินไทยแล้วล่ะ |