ยังค้างคาใจอีกเรื่องหนึ่ง
ซึ่งถ้าไม่เขียนก็เหมือนจะทำให้พุทธศาสนิกชนหลงงมงายกันไปทั้งโลก
นี่ขอใช้คำว่า "โลก"
กับเขามั่ง ก็คือเรื่องที่มีการใช้คำว่า
The Meditation Center
กันเกร่อ เมื่อมีการสร้างวัดหรือสำนักสงฆ์ขึ้นมา ทั้งในเมืองไทยและไปเมืองนอก
ไปดูเถิด เกือบร้อยทั้งร้อยจะมีสร้อยสังวาลลานปิ่นเพิ่มเติมท้ายชื่อของวัดไทย
ที่พระธรรมทูตไทยสู้อุตส่าห์ไปตั้งไว้เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติว่า
The Meditation Center
แปลว่า จุดศูนย์กลางหรือสถานที่อันเป็นหลักในการทำสมาธิหรือวิปัสสนา
ถามว่า การตั้งชื่อวัดหรือมีคำเช่นนี้เป็นนามท้ายของวัดไทยในที่ต่าง ๆ
นั้นถูกต้องตามความเป็นจริงหรือไม่ ? อันนี้ก็เห็นที่จะต้องขยายกันยาวอีก
การทำสมาธิภาวนาคือสมถะและวิปัสสนานั้น ต้องอาศัยสัปปายะทั้ง 4
จึงจะมีความสำเร็จ ได้แก่
1. เสนาสนะสัปปายะ
สถานที่อันเหมาะสม (ไม่ใช่สะดวกสบาย เหมือนพระกรรมฐานบางวัดที่มีทั้งทีวี
ตู้เย็น วีดิโอ โมโตโรล่า รถฟอร์ต รถเบ๊นซ์ และเซ็นลูล่าในกระเป๋า
หรือแม้จะไม่จับไม่ถือเงิน แต่ก็ถือเครดิตคาร์ด วงเงินเป็นแสน ๆ เหรียญ
เอาไว้ชาร์ตเวลาทัวร์ดงรอบโลก)
2.
ปุคคลสัปปายะ
ได้กัลยาณมิตรผู้มีจิตใจและอัธยาศัยเข้ากันได้กับตน
หรือที่สามารถช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้ ทั้งนี้ท่านชี้ไปที่
สีลสามัญญตา
มีศีลหรือความประพฤติปฏิบัติทัดเทียมกัน และทิฏฐิสามัญญาตา
มีความเห็นหรือทัศนคติไปในทางเดียวกัน ส่งเสริมกันและกัน ไม่ขัดแย้งกัน
3. อุตุสัปปายะ
ฤดูกาลหรืออากาศอันเป็นที่สะดวกสบาย หมายถึงว่า เวลาจะปฏิบัติธรรมกรรมฐานนั้น
ต้องมีสภาพดินฟ้าอากาศอำนวย ไม่ใช่ร้อนเกินไปแบบหนึ่งร้อยองศาฟาเรนไฮน์ก็ออกไปนั่งเหมือนฤษีชีไพร
หรือหนาวเกินไปจนสโนว์ตกก็อุตริออกไปนั่งแอ๊คชั่นอยู่กลางหิมะอย่างพระด๊อกเตอร์โง่
ๆ บางรูปเคยทำ อย่างนั้นก็ตายกับตาย
น่าที่จะได้มรรคผลนิพพานก็จะได้มรณกรรมแทน
4. อาหารสัปปายะ
อาหารการกินก็สำคัญ กินไม่ได้นอนไม่หลับ จะทำกรรมฐานยังไงก็ไม่เจริญ แต่อาหารสัปปายะในที่นี้ท่านชี้ทั้งสองด้าน
คือด้านที่เจริญจิตใจ กินได้พอประมาณ ช่วยสนับสนุนการเจริญจิตภาวนา เรียกว่า
ไม่อัตคัตและไม่ฟุ่มเฟือย
ในคนอีกจำพวกหนึ่งเป็นคนชอบรสชาติหรือแม้แต่รูปแบบของอาหารอันคลาสสิก
พวกนี้ก็ต้องใช้เคล็ดแก้เคล็ด
คือรู้ว่าชอบอะไรต้องทำให้ไม่เป็นที่เจริญตาเจริญใจ
เมื่อถูกแก้ด้วยอาหารการกินซึ่งตรงข้ามกับจริตนิสัย จะทำให้ใจไม่เห่อเหิม
การปฏิบัติก็จะสำเร็จ
การสร้างวัดจึงอาจจะหมายถึง สร้างเสนาสนะให้สัปปายะสำหรับผู้ต้องการจะปฏิบัติธรรม
แต่วัดในความหมายที่จะใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมจริง ๆ
นั้นพระพุทธองค์มิได้กำหนดว่าจะต้องเป็นสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง เช่น วัดป่า
หรือพระอารามหลวง หากแต่ทรงชี้ว่า
"พระภิกษุผู้มีจิตมุ่งมั่นจะเจริญวิปัสสนากรรมฐาน มีศีลสมบูรณ์
มีกัลยาณมิตรคอยช่วยเหลือ มีอาหารการกินอย่างเพียงพอ ก็แสวงหาสถานที่อันสงัด
เช่น โคนไม้ หรือเรือนว่าง นั่นเป็นสถานที่เหมาะสมสำหรับการทำความเพียร"
คำว่า
รุกฺขมูลคโต วา สุญฺญาคารคโต วา
ที่แปลว่า
อยู่โคนต้นไม้หรือในเรือนว่าง
นั้น เป็นคำจำกัดความของสถานที่บำเพ็ญภาวนาว่า
"ไม่ใช่วัด"
หรือ
"ไม่มีศูนย์กลางทางใดทั้งสิ้น"
หากแต่เป็นสถานที่ตามธรรมชาติ
แต่กลับปรากฏว่า พระสงฆ์ไทยกลับคิดสร้าง
"ศูนย์กลางการปฏิบัติธรรม"
เช่น วัดพระธรรมกาย
หรืออีกหลาย ๆ แห่ง ที่ใช้คำว่า
เมดดิเทชั่น เซ็นเตอร์มาเป็นจุดขายหารายได้เข้าวัด
และข่าวเมื่อวานนี้ ที่ประเทศสวีเดนก็เห็นมีโปรเจ็คยักษ์
จะสร้างวัดไทยให้ใหญ่ที่สุดในยุโรป
ถามว่ามันเอื้ออาทรต่อการปฏิบัติธรรมตรงไหน? ถ้างั้นทำไมพระพุทธเจ้าไม่ทรงสร้างวัดให้ใหญ่ที่สุดในโลกเพื่อเป็นศูนย์กลางมาก่อนพวกเราเล่า
การพูดหรือเขียนว่า
"Meditation
Center"
นั้น เท่ากับประกาศว่า
"ตรงนี้เท่านั้นเป็นสถานที่ภาวนา
ที่อื่นไม่ใช่ ดังนั้นใครไม่มาที่วัดของอาตมา ก็จะภาวนาไม่สำเร็จ"
หรือ
"ที่นี่เป็นจุดศูนย์กลางเข้าสู่พระนิพพาน ที่อื่นไม่ใช่"
สาธุชนคนมีปัญญามาได้เห็นได้ยินได้ฟังก็สมเพชในความโง่เขลาของผู้ที่อ้างว่า
"ข้า-คือพระธรรมทูตไทย"
แต่ความจริงแล้วก็คือ "พระขี้ทูต"
การใช้คำว่า
"Meditation
Center"
เป็นชื่อวัดไทยของพระธรรมทูตไทย (หลายรูป-หลายวัด) นั้น
จึงเป็นการแสดงออกซึ่งขี้เท่อของตัวเอง ประจานภูมิปัญญาว่า
บวชมาแล้วมีความรู้เรื่องพระพุทธศาสนามากน้อยเพียงใด
นี่ยังไม่นับวัดป่าบางวัดที่ขมักเขม้นบอกบุญญาติโยมสร้างโบสถ์สวยที่สุดในสหรัฐอเมริกา
และต่อมาเจ้าอาวาสก็ได้เป็นเจ้าคุณ
ฮ่า ๆ น่าหัวเราะให้ฟันหลุด อุตริตั้งชื่อวัดเสียโก้เก๋ว่า
"วัดป่า"
แต่กลับหาเงินสร้างโบสถ์สร้างศาลาใหญ่กว่าวัดบ้าน
ผู้เขียนเคยอบรมญาติโยมหลายท่านที่ไปวัดป่ากลับมา
"คุย"
ให้ฟังหลายครั้งแล้ว พูดไปอมยิ้มไปว่า
"ท่านคะ ท่านครับ อิฉัน กระผม
ได้ไปที่วัดป่านั้น ๆ แหมเขาสร้างเสียสวยงาม โบสถ์วิหารหมดไปเป็นล้าน
นี่กำลังจะระดมเงินไปสร้างศาลาปฏิบัติธรรมประจำตัวอีก"
จึงเทศนากัณฑ์ใหญ่ว่า
"ก็พวกเรามันโง่เง่ากันอย่างนี้นี่เอง
ก็พระนั้นท่านบอกว่าท่านเป็นเป็นพระปฏิบัติ ไม่ใช่พระวัดบ้าน
ท่านจึงไปอยู่ในป่า ชอบธรรมชาติ ไม่เอากับเรื่องแสงสีเสียง
และสิ่งก่อสร้างทั้งหลายแล้ว พวกเรานี่แหละที่ทำให้พระเสียพระ
เพราะพระบอกว่าไม่เอา แต่โยมไปยัดเยียดให้เอา แล้วพระก็เอา
แสดงว่าทั้งพระทั้งโยมมันจัญไร"
ปรากฏว่าไม่โผล่หน้ามาให้เห็นอีกเลย
ก็นี่แหละ หลับหูหลับตาทำบุญ เห็นที่ไหนเป็นป่าเป็นเขาก็เอาเงินเอาทองไปทุ่ม
กะจะไปสวรรค์นิพพานกับพระป่า
แต่หารู้ไม่ว่าอะไรหรือคือสัจจะสาระทางพระพุทธศาสนา
ดังนั้น คำว่า "วัดป่า"
และ "Meditation
Center"
จึงขายดิบขายดี ใครอยากสร้างวัดให้ใหญ่และเสร็จไว ๆ ก็ให้ตั้งชื่อว่า
"วัดป่า"
แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า
"Meditation
Center"
เข้าไว้เถิด รับรองว่าเพย์ออฟไวแน่
กลับไปตั้งจิตคิดใหม่ทำใหม่ได้แล้วครับ ท่านพระธรรมทูตไทยทั้งหลาย
และญาติโยมคนไทยหรือชาวพุทธทั่วไปที่รัก
อย่าหมกมุ่นมัวเมาติดแต่ในรูปแบบของคำว่า "วัด" และ
"พระ"
อย่าศรัทธาด้วยเพียงรูปแบบที่เห็นภายนอก
ยิ่งสังคมอเมริกานั้นเขาไม่แยแสอันใดกับ "สูทร" หรือ
"เปลือกนอก" กันเท่าไหร่
แต่เขาให้ความสำคัญกับ "กึ๋น" หรือ
"ความรู้ความเข้าใจ"
มากกว่าจะมายกย่องพระไทยและพระพุทธศาสนาว่าด้วยการก่อสร้างแข่งกับเขา
หรือไม่ก็ใช้รูปแบบเล่นตลกตบตาเขาไปวัน ๆ ลับหลังนั้น พระป่าก็พระป่าเถอะ
เล่นโทรศัพท์มือถือ มีทีวี วีดิโอ กล้องดิจิตอล ต่อสายคอมพิวเตอร์ ทำเวปไซด์
ไม่มีอะไรแปลกกัน "ก็คนมันโง่เองน่ะท่าน
มันอยากศรัทธาพระใส่เสื้อขี้ม้า และตั้งชื่อว่าวัดป่า
และถ้าเป็นฝรั่งก็ต้องตั้งชื่อว่า
Meditation Center
เราก็จำต้องตั้ง ไม่งั้นก็อดตาย นี่เห็นไหม
แลปท็อปเครื่องนี้แม่ชีเพิ่งถวายมา
ผมบอกว่าจะเอาไปทำกรรมฐาน มี
DVD Burner
ด้วยนะ เดี๋ยวรอ
Digital Sony
รุ่นใหม่ออกมาก่อนเถิด
มีคนรอถวายตอนงานปฏิบัติธรรมเดือนหน้าอีกหลายคน"
สหายท่านหนึ่งเล่าความในให้ฟัง
ผู้เขียนได้ฟังแล้วรู้สึกคลื่นเหียนอาเจียนอย่างบอกไม่ถูก
เหม็นติดปากติดคอและติดใจมาจนทุกวันนี้
|