ไทยสร้างกระแส "มาฆบูชาวันแห่งความรัก"
ต่างอะไรกับเขมรเก็บพระพุทธรูปไทยออกจากศาสนสถาน
 


 

     "มาฆบูชาวันแห่งความรักที่แท้จริง !!!" เป็นสปอร์ตโฆษณาที่ประชาชนคนไทยได้ยินอย่างหนาหูในช่วงนี้ ช่วงที่วันมาฆบูชาเวียนมาบรรจบครบอีกรอบหนึ่ง ซึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานั้นมีวันสำคัญของชาวคริสต์ติดพันกันเข้ามาอย่างเอิกเกริกด้วย นั่นคือวันวาเลนไทน์

     ใครกันหนอช่างคิดสโลแกนได้เท่ห์แท้ ที่เอาวันมาฆบูชาไปเป็นวันแห่งความรัก หรืออาจจะแปลได้ว่า วันมาฆบูชาคือวันแห่งความรักแบบไทย ๆ ต่อไปก็ไม่แน่ใจว่าจะมีเรื่องเซ็กซ์เข้ามาเกี่ยวพันด้วยหรือเปล่า เพราะตามโพลล์ที่สำรวจออกมาปรากฏว่า เด็กๆ สาวๆ นิยมเสียตัวกันในวันวาเลนไทน์หรือวันแห่งความรักกันมาก เฮ้อ ไม่อยากเชื่อเลยว่ามาฆบูชาวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาจะกลายพันธุ์เป็นวันวาเลนไทน์ไปได้

     ที่เอื้อนสำเนียงมาทั้งนี้ ขออย่าได้เข้าใจว่าผู้เขียนเป็นคนแอนตี้บ้านเมือง แบบว่ามือไม่พายก็เอาเท้ารา เพียงแต่อยากจะตั้งขอสังเกตให้คนไทยหรือแม้แต่ชาวพุทธทั่วไปได้สติกันเท่านั้น นอกนั้นใครจะคิดอย่างไรก็ตามสบาย

     อย่างที่เคยบอกว่า วันมาฆบูชานั้นสำคัญเพราะเป็นวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระโอวาทปาติโมกข์ (บางแห่งเขียน -ปาฏิโมกข์) มีเนื้อหาสาระคือ ไม่ทำบาป ทำความดี และทำใจให้บริสุทธิ์ บวกกับวิธีการไม่ทำบาป ทำความดี และทำใจให้บริสุทธิ์นั้นอีกเล็กน้อย คือ ไม่กล่าวร้าย ไม่ทำร้าย สำรวมในศีลปาติโมกข์ กินอยู่อย่างพอเพียง และหมั่นเจริญจิตภาวนา ก็หมดเนื้อหาของพระโอวาทปาติโมกข์นี้แล้ว

     ถามว่า ทำไมจึงสั้นนัก ? ไหนว่าวันนี้สำคัญมากไง ทำไมพระโอวาทปาติโมกข์ที่ยกย่องกันว่าเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนากลับมีเนื้อหาสาระนิดเดียว สู้พระธรรมจักร หรืออนัตตลักขณสูตรยังไม่ได้เลย ข้อนี้ขอชี้แจงว่า เป็นธรรมดาที่ว่า ถ้าจะให้หลักการหรือกฎเกณฑ์อะไรแก่คนส่วนใหญ่ เขามักจะไม่ให้เยอะ เพราะเกรงจะฟั่นเฝือ เดี๋ยวเอาไปตีความกันยุ่งอีก ดังนั้น พระโอวาทปาติโมกข์จึงสั้นๆ ง่ายๆ จำได้ทุกคน ไปไหนใครถามก็ตอบได้ว่า หัวใจของพระพุทธศาสนาคือพระโอวาทปาฏิโมกข์ที่มีหลักการ 3 ข้อ ได้แก่

    1. สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง ไม่ทำชั่ว

     2. กุสะลัสสูปะสัมปะทา ทำบุญให้มาก

     3. สะจิตตะปะริโยทะปะนัง ทำใจให้ผ่องใส

    ไม่ใช่เหมือนเมืองไทยสมัยนี้ที่ยุ่งเหยิงไปด้วยระบบร้อยหลวงพ่อพันหลวงแม่ แถมยังมีพ่อมดหมอผี พ่นน้ำหมากขากน้ำมนต์ ทรงเจ้าเข้าผี ปลุกเสกเครื่องรางของขลัง ตั้งแต่ ผ้าประเจียด ผ้ายันต์ ตะกรุด ลูกสะกด ลูกอม ออกเหรียญ ออกรูปหล่อ เสกปลัดปัดอีเป๋อ แม้แต่ชูชกก็ถูกยกขึ้นเป็นวัตถุมงคลของพระสงฆ์ไทย ยังไม่นับจรเข้เอย ลิงเอย หมูเอย วอกเอย ค่างเอย พวกนี้ถูกเดียรถีย์ในรูปแบบของพระสงฆ์นำมามอมเมาเยาวชนคนไทยไปจนถึงคนเฒ่าคนแก่ให้หลงโง่งมงาย

    ยังไม่พอ พระสงฆ์ไทยยังบอกบุญนอกคอกนอกตำรา ตั้งแต่มหาเถรสมาคมลงมา มีการออกข้อกำหนดกฎเกณฑ์ในการขอพระราชทานสมณศักดิ์จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นเม็ดเงินจำนวนเท่านั้นเท่านี้จึงจะได้ชั้นนั้นชั้นนี้ พระสงฆ์องค์เณรเลยไม่ทำอะไร นอกจากสร้างโบสถ์ สร้างศาลา วิหารการเปรียญ บอกบุญแก่ญาติโยมไปในทางผิดๆ เช่นว่า สร้างโบสถ์ได้บุญมากที่สุดในโลก รองลงมาถ้าให้ดีก็ทอดกฐินสิ จะได้ขึ้นสวรรค์ ของพวกนี้หนึ่งปีมีหนเดียว ระยะเวลาทอดก็จำกัดเพียงปีละครั้งภายในหนึ่งเดือน ถ้าเลื่อนไปก็ไม่เป็นกฐิน ฯลฯ

     กลับไปเรื่อง วันมาฆบูชากับความรัก ถามว่ามันเกี่ยวอะไรกัน ? ตอบว่า ความจริงมันไม่ได้เกี่ยวข้องกัน (ใครไม่เชื่อก็ไปอ่านเรื่องวันวาเลนไทน์กับวันมาฆบูชาดูจะรู้ว่าคนละฝาคนละตัวเลย) แต่เพราะว่า คนไทยโดยเฉพาะตัวผู้นำนั้นมีปมด้อยในสติปัญญา ไม่สามารถจะหานโยบายอื่นใดในการประกาศพระพุทธศาสนา จึงหาเหตุเอาวันวาเลนไทน์ของฝรั่งมาดัดแปลงเป็นวันแห่งความรักแบบไทยๆ แล้วก็จับวันมาฆบูชายัดเข้าไปเป็น "มาฆบูชาวันแห่งความรักที่แท้จริง"

     ก็นั่นแหละคือภาพผีของพระวาเลนไทน์นักบวชคริสเตียน ที่หลอกหลอนปัญญาชนคนไทยที่เป็นผู้นำในองค์กรทางศาสนาพุทธอยู่ในเวลานี้ กลัวอิทธิพลวันวาเลนไทน์หนักถึงขนาดเปลี่ยนวันมาฆบูชาเป็นวันวาเลนไทน์ ให้วันมาฆบูชาไปเป็นวันแห่งความรัก และกลัวว่าจะน้อยหน้าวันวาเลนไทน์ จึงเพิ่มสร้อยร้อยสังวาลเข้าไปว่า "ที่แท้จริง" อะโห โง่บรมอะไรจะขนาดนั้น

     จะคิดสร้างค่านิยมอะไรทั้งที ทำไมต้องไปเอาเรื่องรักๆ ใคร่ๆ บ้าบอคอแตกนี่มาเกี่ยวข้องด้วย จะโฆษณาว่า "วันมาฆบูชาคือวันสำคัญที่ชาวพุทธควรให้ความสนใจเพราะเหตุอย่างนี้อย่างนี้แบบอิติปิโส" ก็ว่ากันไปสิ ทำไมต้องไปเกี่ยวข้องกับไอ้ความรกความรักนี่ด้วย ประสาทหรือเปล่า ?

    นี่แหละที่ผู้เขียนว่า ปัญญาชนคนไทยนั้นถูกวัฒนธรรมฝรั่งครอบหัว จะทำอะไรก็หนีไม่พ้นที่จะต้องเอาฝรั่งมาเป็นแม่แบบ ขนาดของเรามีของดีและมีมาก่อนตั้งนมนาน กลับไม่รู้จักปัดฝุ่นเอาของดีออกมาใช้ ต้องไปเอาวันวาเลนไทน์มาเป็นจุดขายจุดตี แล้วอย่างนี้จะไปสอนให้คนไทยเขาเชื่อได้อย่างไรว่า "ไม่กล่าวร้าย ไม่ทำร้าย" เพราะความร้ายมิร้ายนั้นมันมีเจตนาคือความจงใจเป็นพื้นฐาน

     งานวันมาฆบูชาซึ่งน่าจะเป็นงานแบบพุทธบริสุทธิ์ กลับถูกกลบหรือครอบงำด้วยกลิ่นอายวันวาเลนไทน์ ทั้งนี้เพราะเรากลัวกระแสมากเกินไป หรือไม่ก็หลงกระแสเลยแปรวันพุทธเป็นวันคริสต์

     สรุปก็คือว่า งานวันมาฆบูชาวันแห่งความรักที่แท้จริงนั้น หน่วยงานพระพุทธศาสนาในประเทศไทยขุนขึ้นมาเพื่อต่อต้านหรือต่อสู้กับกระแสวันวาเลนไทน์ที่พาเด็กไปเสียตัวเสียหัวใจ แต่ทำไปทำมาก็หลงหาทางออกไม่เจอ ต้องอธิบายอ้อมเขาอ้อมเมืองให้คนเชื่อว่า "มาฆบูชาเป็นวันแห่งความรัก" ซึ่งคนละเรื่องเลย

     ทีนี้จะเปรียบเทียบกับการที่รัฐบาลประเทศกัมพูชามีคำสั่งให้ "เก็บ" พระพุทธรูปศิลปะไทย ๆ ออกจากศาสนสถาน เช่น วัด เป็นต้น ให้หมดสิ้น เพราะกลัวจะถูกวัฒนธรรมพุทธแบบไทยทำลายวัฒนธรรมพุทธแบบเขมร

     พุทธไทย&พุทธเขมรนั้น แม้จะเป็นพุทธเหมือนกันแต่ก็ต่างสไตล์กัน ไทยก็มีศิลปะวัฒนธรรมแบบไทยๆ ไม่นิยมยอมรับนับถือหรือให้ค่าพระพุทธศาสนาในประเทศอื่นๆ เช่น พม่า เขมร ลาว เวียตนาม เป็นต้น เพราะต่างคนก็ต่างมีศิลปะวัฒนธรรมต่างสไตล์กันไป ไทยมีภาษาไทย ศาสนพิธีแบบไทย และมีศิลปะสร้างพระพุทธรูปเป็นไทย พม่าก็มีของพม่า เขมรก็มีของเขมร แม้แต่ศรีลังกาซึ่งเป็นแม่แบบของพระพุทธศาสนาในปัจจุบันนี้ แต่ก่อนก็ได้รับการยอมรับด้วยดี ภายหลังก็มีการลดความนับถือลงเรื่อย ๆ พระสงฆ์ไทยยังคิดว่า พระพุทธศาสนาในลังกาปัจจุบันถือกำเนิดจากไทย เพราะไทยส่งพระอุบาลีไปช่วยฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในลังกาในรัชกาลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศแห่งกรุงศรีอยุธยา

     ดังนั้น การที่เขมรสั่งให้เก็บพระพุทธรูปไทยออกไปด้วยข้อหา "ถูกวัฒนธรรมไทยครอบงำ" นั้น จึงไม่ต่างไปจากรัฐบาลและคณะสงฆ์ไทยกำลังโหมโรงเรื่องวันมาฆบูชาเป็นวันแห่งความรักที่แท้จริง กัมพูชานั้นถูกวัฒนธรรมไทย เช่น หนัง ละคร เพลง เป็นต้น รวมถึงพระพุทธศาสนาแบบไทยๆ ครอบงำจนเสียหลักเสียเอกลักษณ์ ไทยก็เช่นกัน กำลังถูกวัฒนธรรมคริสต์ เช่น วันคริสตมาส วันวาเลนไทน์ เป็นต้น ครอบงำจนคนไทยลืมวันวิสาขบูชา วันมาฆบูชา

    ถ้าจะว่าการที่เขมรเก็บพระพุทธรูปไทยออกไปจากศาสนสถานเป็นการใจแคบและเป็นการกลัวที่เกินกว่าเหตุแล้ว การที่เราระดมกันทำให้วันมาฆบูชาเป็นวันแห่งความรักที่แท้จริงก็น่าจะมีเหตุผลเบื้องลึกไม่ต่างกัน สุดแต่ว่าใครจะหาข้ออ้างได้ดีกว่ากันเท่านั้น เขมรนั้นอ้างอย่างชัดเจนเลยว่า "กลัววัฒนธรรมจะสูญหายเพราะวัฒนธรรมไทย" กรณีไทยเรามีคนกล่าวกันบ้าง แต่ก็ไม่เป็นทางการ วัฒนธรรม "ไม่ค่อยยอมรับ" ของคนไทยเราจึงดูจะเป็นการกลัวสองชั้น คือแรกนั้นกลัววัฒนธรรมฝรั่ง สองนั้นกลัวว่าเขาจะรู้ว่าเรากลัวเขา เรียกว่ากลัวใจตัวเองเป็นซ้ำสอง

     กลับไปคิดใหม่ทำใหม่เสียเถิด ท่านผู้มีอำนาจในเมืองไทยทั้งหลาย อย่าหลง อย่างง แล้วเราจะเดินไปอย่างสง่าผ่าเผย เพราะถ้าเคยครั้งหนึ่งแล้ว ต่อไปจะหลงไปเรื่อยๆ จนชิน เมื่อนั้นมันจะต่างอะไรกันกับความเป็นทาสทางวัฒนธรรม เพราะทำไปก็ไม่พ้นกระแสของเขาอยู่ดี

     ปัญหานี้มีทางออกอยู่ก็คือว่า จะสร้างกระแสสู้นั้นต้องสร้างกระแสใหม่ขึ้นมา ไม่ใช่ไปเอากระแสของเขามาแปรเป็นของตน เหมือนที่คริสต์เขาก็อปปี้ศาสนพิธีของเราไป อย่างนั้นมันก็เป็นการเผยแผ่พระศาสนาในระบบลอกเลียนหรือไดอาล็อก ไม่ใช่เอกลักษณ์ ไม่ใช่ศิลปะ และไม่ใช่วัฒนธรรม เพราะวัฒนธรรมนั้นใครปล้นใครไปไม่ได้ แต่ที่ไทยกำลังจะเป็นฝรั่งนั้นเพราะใจของเราไปเอาของเขามาเอง แล้วจะโทษใคร ?

 

พระมหานรินทร์ นรินฺโท
วัดไทย ลาสเวกัส รัฐเนวาด้า สหรัฐอเมริกา
5
มีีนาคม 2547

 

 

 
E-Mail ถึง บก.
peesang2003@hotmail.com

All Right Reserved @ 2003
This Website Sponsored by

 

www.alittlebuddha.com เจ้าของ : วัดไทย ลาสเวกัส 2920 McLeod Dr. Las Vegas Nevada 89121 USA (702) 384-2264