เขมรแบนพระพุทธรูปไทยเกิดอะไรขึ้น ?
 


    เป็นข่าวโครมครามข้ามประเทศครึกโครมมาอีกข่าวหนึ่ง คือเรื่องที่รัฐบาลประเทศกัมพูชาหรือที่เราคุ้นเคยกันดีว่า "เขมร" ได้สั่งการให้เก็บ "พระพุทธรูปศิลปะไทยทุกสมัย" ในจังหวัดบันเตียเมียนเจย ออกจากปูชนียสถานให้หมด นับพระพุทธรูปในจังหวัดเดียวที่ถูกล้างบางมีจำนวนถึง 410 องค์ !

     หลังจากทราบข่าวนี้แล้ว ทั้งวงน้ำชาและกาแฟต่างก็ซดกันด้วยเสียงสนั่น เกิดวิวาทะหลายมุมมอง สรุปแล้วมีสองมุม คือมองแบบไทยและมองแบบเขมร แต่วันนี้จะขอมองแบบมุมใหม่ในมุมอินเตอร์ คือไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ทั้ง ๆ ที่เป็นไทย แต่ขอได้โปรดเข้าใจว่ายังรักไทย ไม่ได้มีใจเป็นเขมรแต่อย่างใด

     ประวัติศาสตร์กัมพูชานั้นมีมานานนับพันปี เรียกว่านานกว่าประวัติศาสตร์ไทย คนไทยเรานั้นแต่เดิมเป็นทาสหรือเป็นขี้ข้าเขมร จนกระทั่งพ่อขุนบางกลางท่าวเจ้าเมืองบางยางและพ่อขุนผาเมืองเจ้าเมืองราด สองพระสหายนำพลพรรคพระร่วงร่วมด้วยช่วยกันปฏิวัติยึดเมืองสุโขทัยจากเขมรแล้วตั้งราชอาณาจักรสุโขทัยขึ้นมาเป็นแห่งแรก เมื่อประมาณ พ.ศ.1792 ซึ่งก็คือ 755 ปีที่ผ่านมา จนมาถึงสมัยอยุธยา รัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 หรือขุนหลวงพะงั่ว ทรงยกทัพไปตีเมืองพระนครหรือนครธมของเขมรแตก กวาดต้อนเอากษัตริย์ขัตติยวงศ์ สมณพราหมณาจารย์ และไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน มาไว้ในกรุงศรีอยุธยา รวมทั้งรูปสัมฤทธิ์ปางต่าง ๆ ซึ่งเป็นรูปเคารพในศาสนาพราหมณ์ก็ถูกลำเลียงมาไว้ในครั้งนั้นด้วย ภาษาพงศาวดารเรียกงานเช่นนี้ว่า "เทครัว" และเป็นที่มาของสำนวน "พระยาเทครัว" คือกวาดต้อนหรือกินรวบหมด ไม่เหลือไว้ให้ใครเลย ท่านประมาณว่า ครัวเขมรที่ถูกเทเข้ามาคราวนั้นมากมายถึง 100,000 คน

     วัตถุประสงค์หลักของการเทครัวเขมรเข้ามาไว้ในกรุงศรีอยุธยาครั้งนั้นก็คงเหมือนกับพระเจ้ามังระตีกรุงศรีอยุธยาแตก ในวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2310 แล้วกวาดต้อนเอาชาวอยุธยาไปไว้ในพม่า (ไม่ใช่ชาวไทย เพราะตอนนั้นยังไม่มีประเทศไทย เราเรียกคนสมัยนั้นแยกกันเป็นเมือง ๆ ไป เช่น ชาวสุโขทัย ชาวหริภุญไชย (ลำพูน) ชาวเชียงใหม่ ชาวอยุธยา หรือชาวล้านนา ล้านช้าง เป็นต้น) ซึ่งก็คือ ต้องการกำจัดต้นตอไม่ให้เป็นที่ซ่องสุมกำลังพลเป็นอันตรายต่อความมั่นคงอีกต่อไป (ชาวอยุธยาถูกต้อนไปหลายแสนคน) ตั้งแต่นั้นมาเขมรหรือกัมพูชาก็แทบจะหมดสภาพความเป็นราชอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ กำลังจะโตก็ถูกไทยมาตีแล้วกวาดต้อนเอาไปทุกที จนมาถึงสงครามกลางเมืองระหว่างเขมร 3 ฝ่าย ชาวกัมพูชาก็ฆ่าไปกันอีกหลายล้าน ประชากรซึ่งน้อยอยู่แล้วก็ยิ่งเบาบางลงไปอีก

     ทีนี้จะเข้าเรื่องราวเกี่ยวกับพระกับเจ้า เพราะประวัติศาสตร์นั้นถ้าจะเล่าก็ยาวเหลือเกิน เอาล่ะนะ คือว่า การที่ชาวกรุงศรีอยุธาไปตีได้เมืองนครธมของเขมรแล้วกวาดต้อนเอาชาวเขมรมาไว้ในกรุงศรีอยุธยานั้น กลับปรากฏว่า คนไทยไม่ได้ดูหมิ่นเขมรว่าต่ำต้อยด้อยค่ากว่าไทย แต่คนไทยอยุธยาเสียอีกที่ให้ความเคารพยกย่องเขมรว่าดีกว่าเลิศกว่าด้วยอารยธรรม คำว่าอารยธรรมในที่นี้ก็หมายถึง ศิลปวัฒนธรรมแบบเขมร เอาที่เห็นเด่นชัดก็คือ ภาษาและขนบธรรมเนียมของเขมร ถูกเจ้านายไทยใช้เป็นแบบแผนในงานพระราชพิธี แม้กระทั่งทุกวันนี้ ภาษาบาลีที่เขียนเป็นยันต์จะต้องเขียนเป็นภาษาเขมรถึงจะขลัง คำราชาศัพท์ไปนับดูเถิด ร้อยทั้งร้อยเป็นภาษาเขมรทั้งสิ้น การที่ไทยได้เขมรจึงเหมือนพระเจ้าอโนรธามังช่อของพม่าตีได้เมืองพะโคะของมอญ แล้วก็ขนเอาทั้งศิลปะวัฒนธรรม พระพุทธศาสนา และภาษาของมอญไปเป็นของพม่า ก็อปปี้กันมาเป็นรุ่น ๆ

     เสียทีแต่ว่า ภายหลังมา ทั้งพม่าและไทยต่างก็เป็นใหญ่เป็นโตกว่ามอญและเขมร เหมือนศิษย์เก่งกว่าครู นานเข้าครูเลยกลายเป็นลูกศิษย์ เลยถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม ทั้ง ๆ ที่วิชาการต่าง ๆ อันเป็นบทเรียนเริ่มต้นนั้นก็ของครูทั้งสิ้น ไม่ต่างจากชาวอเมริกันคิดเมื่อชนะสงครามประกาศอิสรภาพจากอังกฤษ

      เขมรพยายามฮึดสู้ไทยหลายครั้ง กษัตริย์เขมรที่โด่งดังในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาก็คือ พระยาละแวก เจ้าเมืองละแวก เมืองนี้ถูกตั้งขึ้นเป็นเมืองหลวงแทนเมืองพระนครที่ถูกขุนหลวงพะงั่วทำลายยับเยินลงไป พระยาละแวกนั้นเกิดร่วมรุ่นเดียวกับสมเด็จพระมหาธรรมราชาพระราชบิดาของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ช่วงที่ไทยถูกพม่ายึดครอง พระยาละแวกก็ยกทัพมากวาดต้อนเอาคนตามหัวเมืองในภาคตะวันออกลงมาจนถึงเมืองเพชรบุรีหนีกลับไปบ่อย ๆ จนสมเด็จพระนเรศวรมหราชทรงสบถเอาไว้ว่า จะเอาเลือดในพระศอของพระยาละแวกมาทำปฐมกรรมให้หายแค้น และภายหลังท่านว่าก็ได้ทำจริง ๆ แต่เราก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าปฐมกรรมที่สมเด็จพระนเรศวรทรงทำนั้นเป็นการเอาเลือดในคอมาล้างพระบาท เหมือนกับพระเจ้าวิฑูฑภะทำกับพระญาติศากยวงศ์ของพระพุทธเจ้าหรือเปล่า เล่าหลายเปลาะนะ

     แต่นั้นมาคนไทยทุกสมัยจึงจำใส่ใจว่า "พระยาละแวกเป็นคนทรยศเหมือนงูที่มักแว้งกัด" คนไทยมองคนเขมรเป็นเช่นนั้น ถามว่าจริงหรือไม่ ?

     แหมถ้าตอบแล้วก็อาจจะแสลงใจใครบางคน แต่ก็ขอตอบแบบนิ่ม ๆ ว่า จะว่าจริงก็จริง จะว่าไม่จริงก็น่าจะไม่จริง ทั้งนี้ความจริงกับความไม่จริงมันอิงเหตุอิงผล จะว่าไปโดด ๆ คนก็จะหาว่าใส่ร้ายหรือเข้าข้างกันไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่ง

     คือความจริงแล้ว ประเทศเขมรนั้นถูกกระหนาบด้วยสองอภิมหาอำนาจคืออยุธยากับเวียตนาม บางครั้งก็ถูกอยุธยายึดครอง บางคราวก็ต้องส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทองไปให้แก่รัฐบาลเวียตนาม ตามแต่ใครจะมีอิทธิพลมากกว่าใครในแต่ละยุค สภาพที่ต้องตกเป็นเบี้ยล่างทั้งซ้าย-ขวาของเขมรมาเป็นเวลายาวนานนั้น ทำให้ทำใจและวางตัวลำบาก เดี๋ยวไทยมาบังคับให้พูด เดี๋ยวแกวมาบังคับให้สารภาพ จะพูดตรงทั้งหมดก็จะเข้าตัว จึงต้องพูดมั่ว ๆ หน่อย นานไปก็เลยกลายเป็นว่า "เป็นผู้มีวาจาเชื่อถือไม่ได้" ก็คือโกหกเก่งว่างั้น อันนี้เขาว่านะ ผู้เขียนก็เอามาบอกเล่าเก้าสิบเท่านั้น ไม่ได้มีความคิดเช่นนี้ในหัวแต่อย่างใดเลย เพราะคนเขมรที่มีสัจวาจาที่เคยคบหาก็มีเยอะ

     เรื่องนี้คนไทยส่วนใหญ่ตราหน้าเขมรว่าเป็นคนสอพลอตอแหล พูดอะไรมาต้องเอาห้าหรือเอาสิบหาร จึงจะได้ความจริง แต่ในความจริงแล้วไทยเราก็ไม่เบาเหมือนกันแหละ กรณีสงครามโลกครั้งที่สองก็ทำนองเดียวกัน คือประกาศสงครามกับสหราชอาณาจักร (อังกฤษ) และสหรัฐอเมริกาแล้ว ภายหลังกลับบอกว่า "เซ็นต์ชื่อไม่ครบ จึงเป็นโมฆะ" ส่วนว่าดินแดนที่ญี่ปุ่นยกให้ไทยนั้นก็รับมาไว้จนเต็มมือ เพิ่งจะมาคืนก็อีตอนแพ้สงครามนี่แหละ ไหมล่ะว่าจะไม่ว่าคนไทยด้วยกันแล้วเชียว ที่ยกมาพูดนี้ก็เพื่อชี้ให้เห็นถึง "เหตุปัจจัย" ที่บังคับให้ทั้งไทยทั้งเขมรจำต้องทำทุกวิถีทางเพื่อ "เอาตัวรอด" มันไม่ใช่โดยสันดาน แต่ถ้าทำนาน ๆ ไปก็อาจจะกลายเป็นสันดอนได้ ดังนั้นก่อนจะว่าอะไรให้ใครก็ควรศึกษาภูมิหลังของเขาเสียก่อน จะเข้าใจเขามากขึ้น

     กัมพูชาประสพปัญหาการเมืองภายในอย่างหนักเพราะแตกเป็นสาม ก๊กเรียกว่าเขมรสามฝ่าย แม้จะผ่านพ้นสงครามไปนานแล้ว แต่หลายสิบปีมาจนวันนี้ก็ยังไม่มีความสมัครสมานกลมเกลียวกันเท่าที่ควร สหประชาชาติเข้าไปช่วยเหลือให้มีการเลือกตั้ง ก็ยังทำรัฐประหารกันอีก จนเหลือผู้มีอำนาจหนึ่งเดียวคือ สมเด็จฮุนเซน

      ทีนี้เมื่อเริ่มจะตั้งตัวได้ คนกัมพูชาในระดับแนวหน้า เช่น ทหาร นักการเมือง เป็นต้น ก็พบว่า เขมรแทบไม่เหลือความเป็นเขมรหรือเอกลักษณ์อะไรแล้ว ภาษาก็แย่ ศิลปวัฒนธรรมก็เหลือแต่ซากนครวัดนครธมให้คนมาชมในฐานะสิ่งมหัศจรรย์ของโลก หากแต่ด้านการศึกษา ศิลปะ วัฒนธรรม กลับถูกประเทศข้างเคียงคือไทยแลนด์แทรกซึม ทั้งทีวี วิทยุ ข่าวสาร แม้แต่อาหารการกิน ตั้งแต่ร้านค้าปลีกไปจนซุปเปอร์สโตร์ไปดูเถิดอะไรก็ไทยแลนด์ ๆๆๆๆ ขนาดปลาแห้งในทะเลสาปยังถูกเทคโอเวอร์ด้วยแบรนด์ไทยเลย คนเขมรก็เลยน้อยใจ แต่ทำไงได้ ในเมื่อมันจนก็จำต้องเจียม รอให้รวยเสียก่อนค่อยเผยอผยอง

     แต่นั้นเป็นเพียงความคิดของคนทั่วไป ยังไม่ใช่ระดับรัฐมนตรีซึ่งมีดีกรีของความรักชาติรุนแรงกว่า โดยเฉพาะก็คือสมเด็จฮุนเซน

     จนถึงวันที่ 18 มกราคม 2546 หนังสือพิมพ์ รัศมี อังกอร์ (Rasmei Angkor) ของกัมพูชา ได้เปิดประเด็นการเมืองเรื่องวัฒนธรรม ออกข่าวว่า คุณสุวนันท์ คงยิ่ง ดาราทีวีไทยได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ "สัญญามหาชน ช่อง 7" ในวันที่ 17 มกราคม เขียนเป็นสำนวนเขมรว่า หนูกบไม่มีทางที่จะเดินทางไปที่กัมพูชาอย่างเด็ดขาด เนื่องจากเจ็บแค้นที่เขมรแย่งนครวัดซึ่งเป็นของคนไทยไป นอกจากนั้นยังระบุด้วยว่า "กบ-สุวนันท์พูดว่า ฉันเกลียดคนเขมร เพราะพวกเขาขโมยนครวัดของเราไป แล้วถ้าฉันเกิดใหม่ได้ในชาติหน้า ฉันจะขอให้ตัวเองเกิดเป็นหมา ดีกว่าจะเกิดเป็นคนเขมร"

     และวันต่อมา สมเด็จฮุนเซนนายกรัฐมนตรีของเขมรก็ให้สัมภาษณ์นักข่าวด้วยอารมณ์รุนแรง แสดงความพอใจต่อข่าวสารที่ทราบมาอย่างยิ่ง ถึงกับออกชื่อออกนามนางสาวสุวนันท์กันเลยทีเดียว แถมยังประกาศจะไม่ดูละครทีวีไทย (ซึ่งไม่อยากให้คนเขมรดูมาตั้งนานแต่หาโอกาสไม่พบ) อีกด้วย

     กระแส "แอนตี้ไทย" ในครั้งนั้นถูกจุดเป็นไฟไปบนน้ำมันเบนซินที่อยู่ในหัวใจของชาวเขมรทั้งประเทศมานานแล้ว ปากต่อปาก คำต่อคำ นำมาซึ่งขบวนการล้างผลาญไทย ไม่ว่าอะไรที่เป็นของคนไทย มีสัญลักษณ์ไทย แม้กระทั่งธงชาติไทย และพระบรมฉายาลักษณ์ของพระมหากษัตริย์ไทย ถูกชาวเขมรรุมปล้น ทุบทำลายและเผาทิ้ง กรุงพนมเปญเมืองหลวงของเขมรเป็นจลาจลต่อต้านไทยในวันที่ 29 มีนาคม 2546 เหตุการณ์บานปลายถึงขั้นบุกเผาสถานเอกอัครราชทูตไทยในกรุงพนมเปญ

     หัวค่ำวันนั้น พันตำราจโททักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย ต่อสายตรงถึงสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีเขมร เตือนให้ควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ ไม่งั้นอีกไม่เกินหนึ่งชั่วโมง ไทยจะส่งคอมมานโดเข้าไปปกป้องคนไทยและทรัพย์สินของไทย !

     เป็นสำนวนทางการทูตที่เรียกว่า "หิน" ที่สุดที่สมเด็จฮุนเซนเคยเจอมาตั้งแต่มีเขมรสามฝ่าย เพราะไทยในตอนนี้เป็นผู้มีอิทธิพลทั้งด้านเศรษฐกิจและการทหาร ไม่ใช่เขมรรบกันเอง การขู่ว่าจะส่งคอมมานโดไทยไปลุยเมืองพนมเปญจึงเป็นการละเมิดอธิปไตยข้ามชาติไม่ต่างไปจากสหรัฐอเมริกาส่งทหารยึดครองประเทศอิรัก ซึ่งต้องเป็นประเทศอภิมหาอำนาจเท่านั้นที่บังอาจทำเช่นนั้น นอกนั้นไม่มีใครเขาทำ การแสดงออกของนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทยจึงเป็นการประกาศความเป็นอภิมหาอำนาจของไทยในอินโดจีน สะท้านข้ามไปถึงฮานอยโน่นทีเดียว แล้วก็ลงล็อก เมื่อสมเด็จฮุนเซนอ่านไพ่ในมือแล้ว ขืนไม่ยับยั้งจลาจลเอง ปล่อยให้ทหารไทยไปคุมพนมเปญได้ก็เท่ากับว่าสูญเสียเอกราช ! ยิ่งถ้าไทยเกิดประกาศว่า จะขออยู่ดูสถานการณ์อีกซักสองสามวันมันจะยิ่งยุ่ง เกมที่สมเด็จฮุนเซนเปิดขึ้นมาเล่นด้วยไพ่ใบแรกคือกบ-สุวนันท์ ถูกพันตำรวจโททักษิณเกทับด้วยคอมมานโด จึงเหมือนกับเอาไพ่ใบดำมาทับใบแดง แต้มของสมเด็จฮุนเซนจึงออกมาเป็นซีโร่ แม้ว่าจะเป็นฮีโร่ในใจชาวกัมพูชาก็ตาม แต่ก็เป็นขวัญใจที่มีแต่เพียงใจให้กันเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นรัฐบาลไทยประกาศปิดแดน ตัดความสัมพันธ์ทางการทูต ขู่ว่าต้องขอขมาอย่างเป็นทางการ และต้องชดใช้ค่าเสียหายทุกบาททุกสตังค์ ไม่งั้นไม่เล่นด้วย

     นั่นเป็นบทบาทของรัฐบาลไทยที่ดูเหมือนจะถูกใจคนไทยทั้งชาติ ต่างยกย่องท่านด๊อกเตอร์ทักษินว่าเป็นอัศวินแห่งยุค เป็นผู้นำที่โดดเด่นที่สุดยิ่งกว่าสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เรียกว่าตามกระแสกันลั่นเมือง ทั้ง ๆ ที่เมื่อเกิดกรณีรัฐบาลและหนังสือพิมพ์พม่าโฆษณาด่าประเทศไทยกระทบถึงราชวงศ์ แต่รัฐบาลไทยกลับใช้วิธีทางการทูตพูดแบบนิ่ม ๆ นายกรัฐมนตรีรีบบินไปเจรจาความทางการเมืองด้วยสำนวนน้ำผึ้งเดือนห้า แตกต่างจากนโยบายกับประเทศกัมพูชาอย่างสิ้นเชิง

     นั่นเป็นการซ้ำเติมความต่ำต้อยให้ด้อยค่าลงไปอีกในใจของชาวเขมร เข้าวัดเข้าวาไหว้พระไหว้เจ้าก็ยังต้องมาเจอกับพระพุทธรูปแบบไทยๆ หน้าใสๆ ไม่เคร่งขรึม นิ้วพระหัตถ์เรียวยาวเหมือนช่างฟ้อนซ้อนเล็บ เพราะสยามนั้นเมืองยิ้ม พระพุทธรูปจึงเป็นสัญลักษณ์ของสยาม ต้องงามแบบไทยๆ  เข้าไว้ แล้วในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2547 ก็มีข่าวทางหนังสือพิมพ์คัมพูชาเดลี่ ที่รัฐบาลกัมพูชาสั่งเก็บพระพุทธรูปศิลปะไทยให้หมดประเทศ เริ่มที่เขตบันเจียเมียนเจยดังกล่าว

     คนที่ไม่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองเท่าใดนักก็คงงง ว่านี่เขมรเป็นบ้าอะไรขึ้นมา แม้กระทั่งพระพุทธรูปก็ยังไม่เว้น จะจงเกลียดจงชังคนไทยปานนั้นเชียวหรือ อืม อันนี้ก็เห็นทีจะต้องวิสัชนากันยาวหน่อย

      ความจริงแล้ว ถ้าจะว่าไปมันมีหลายมิติหลายมุมมอง คือเราต้องมองให้เป็นว่า เขมรนั้นนอกจากจะถูกคุกคามทางด้านการสื่อสารโฆษณาด้วยวิทยุโทรทัศน์และหนังสือไทยแล้ว เศรษฐกิจก็ถูกไทยยึดครอง ที่สำคัญก็คือ ศิลปะวัฒนธรรมที่ดำรงมายาวนานคู่กับพระพุทธศาสนาแบบกัมพูชานั้นก็ถูกยึดครองไปหมดแล้วด้วย โดยเฉพาะที่มองเห็นโดดเด่นก็คือพระพุทธรูปแบบไทย ที่สำนักเสาชิงช้าและโรงงานหล่อพระทั่วประเทศไทยหล่อส่งขายเป็นว่าเล่นนั่นแหละ

     พระเขมร-พระไทย เป็นคำจำกัดความที่ดูออกจะแคบ แต่ก็ไม่คับเสียทีเดียวนัก สมัยรัชกาลที่ 3 นั้น เมื่อพระภิกษุวชิรญาณ (สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ทรงผนวช ทรงเลื่อมใสในวัตรปฏิบัติของพระมอญ ถึงกับทรงทำอุปสมบทกรรมซ้ำซ้อนที่เรียกว่าทัฬหีกรรม คือบวชครั้งที่สองกับพระมอญ แล้วตอนหลังก็ทรงเปลี่ยนไปครองผ้าแบบมอญ ตอนนั้นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงกับทรงมีพระลิขิตถึงกรมหมื่นวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราช ตำหนิว่า เป็นการไม่รักษาพระเกียรติยศของชาติบ้านเมือง เนื่องเพราะมอญนั้นเป็นเมืองขึ้นของไทย

     นั่นเป็นกรณีที่พระมหากษัตริย์ไทยไม่เห็นด้วยกับพระราชวงศ์ ที่หลงอุดมการณ์โดยไม่มองบ้านมองเมือง การตั้งคณะธรรมยุติขั้นมาจึงอีหลักอีเหลื่อ จะโตก็ไม่ใช่ จะตายก็ไม่เชิง เพราะมีคนต่อต้าเยอะว่าเป็นพระนิกายมอญ สมเด็จพระจอมเกล้าจึงทรงเปลี่ยนมาเป็น "ธรรมยุติ" เพื่อเลี่ยงบาลีมิให้คนไทยรังเกียจ แล้วก็ประสบความสำเร็จเมื่อคนไทยลืมมอญเสียสนิท แทบจะไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่า คณะธรรมยุตินั้นก็คือคณะพระมอญนี่เอง เปลี่ยนก็แต่ยี่ห้อเท่านั้น

      ครั้นมาถึงกรณีเขมรแอนตี้พระพุทธรูปไทยใน พ.ศ. นี้ เราก็ควรเข้าใจหัวอกหัวใจของเขา ประเทศของใคร ๆ ก็รัก วัฒนธรรมของใคร ๆ ก็หวง เราล่วงละเมิดเขาจะโดยความตั้งใจหรือไม่ก็ตามแต่ แต่ว่ามันเกิดปฏิกิริยาจากเขาออกมาแล้ว ในฐานะที่เป็น "เพื่อนบ้าน" ไม่ใช่บริวารของใคร ถ้าเราจริงใจไม่จิงโจ้แล้วจะโมโหโกรธาไปทำไม ถามง่าย ๆ ถ้าทำอย่างนี้เป็นการเหมาะสม ก็ลองแลกเปลี่ยนเอาพระศิลปะเขมรมาตั้งแทนพระพุทธรูปแบบไทยในอัตราเดียวกันสิ คนไทยจะยอมไหม ไหนว่าพระพุทธศาสนาต้องใจกว้างไง อย่าว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเสียเองสิ

     เรื่องนี้ยังมีความเกี่ยวเนื่องกับอีกเรื่องหนึ่ง คือผลประโยชน์ที่ถูกดูดกลืนโดยนักธุรกิจไทย เรื่องนี้สำคัญมาก ในประเทศไทยเองเมื่อบริษัทข้ามชาติจากอังกฤษ อเมริกา มาตั้งสาขาในบ้านเราแล้วขนเงินกลับประเทศเขา เราก็หาว่าเขาเอาเปรียบเรา แต่กับประเทศเขมรและลาว เรากลับมีพฤติกรรมเอารัดเอาเปรียบเขาทุกวิถีทาง ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและศาสนา จะหาว่าเขาไม่มีเหตุผลได้อย่างไร ?

      ในอเมริกานี่ก็เกิดปัญหาเรื่อง ลาว-ไทย-เขมร ในหลายเมือง มีการฟ้องร้องกันนัวเนียว่า สมัชชาสงฆ์ไทยและพระธรรมทูตไทยไปแย่งวัดเขา ในขณะเดียวกันพระไทยก็ทวงบุญคุณว่า ไปช่วยสร้างจนเสร็จแล้วก็ไล่อาตมาออก ซึ่งเป็นทั้งข้อกล่าวหาและคำแก้ตัวที่คลุมเคลือเป็นอย่างยิ่ง

     ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าเราเอาจริยาพระธรรมทูตมาวัดเป็นบรรทัดฐาน ตามพระบรมพุทโธวาทที่ว่า "จงไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชาวโลก" ก็แสดงว่าจงไปเพื่อให้ ไม่ใช่เพื่อเอา แต่ว่าพระไทยกลับไปต่อสู้แย่งชิงถึงกับฟ้องโรงฟ้องศาลจะเอาวัดมาเป็นของสมัชชาสงฆ์ไทย ทั้ง ๆ ที่ในเมืองนั้น ๆ มีแต่คนลาวคนเขมร ไม่มีคนไทยอยู่เลย

     ปัญหาจริง ๆ แล้วจึงอยู่ที่สปิริตของคนที่อ้างว่า "ข้าคือพระธรรมทูต" แต่เป็นพระธรรมทูตขี้เลื่อย มีความหิวกระหายในอำนาจวาสนา เป็นใหญ่ในวัดไทยไม่ได้ก็หาทางขึ้นเป็นใหญ่ในวัดลาววัดเขมร แต่ไปอยู่กับเขาแล้วกลับทำตัวเข้ากับเขาไม่ได้ หลายเมืองเป็นเช่นนี้ คืออวดดีอวดเด่น เช่นศาสนพิธีที่เป็นลาวเป็นเขมรก็ทำไม่เป็น คนเขมรคนลาวมาวัดก็ให้เขาปฏิบัติศาสนพิธีแบบไทย ๆ อุตริบอกว่าของไทยดีกว่า แม้แต่อาหารการกิน บางรูปนั้นไทยจ๋ากินปลาร้าไม่เป็น แต่กินไม่เป็นยังไม่เป็นไร ยังปากเสียไปทักว่า "เอาอันนี้ออกไป อาหารลาวอาตมาฉันไม่ได้" แต่เงินดอลล่าห์ที่ลาวและเขมรเอามาถวายนั้น "รับได้ ไม่เหม็น" วัดไทย-วัดลาว-เขมร จึงเห็นมีอยู่คู่กันมาแทบทุกเมือง ไม่เชื่อไปสำรวจดูได้ แต่อย่าถามพระเทพโสภณ อธิการบดีมหาจุฬาฯ เลย ท่านไม่รู้เรื่องหรอก เพราะได้เป็นศาสตราจารย์สาขาปรัชญา ไม่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเช่นนี้

     ท้ายบทความนี้จึงขอชี้ว่า คนไทยต้องปรับตัวปรับใจเสียใหม่ ให้เห็นชาวลาวชาวกัมพูชาเป็นเพื่อน มิใช่พี่น้อง ซึ่งไทยต้องเป็นพี่ตลอดกาล การคบหากันถ้าไม่ให้เกียรติเขาอย่างจริงใจ ก็แสดงว่าไทยเรานี่เองที่คบไม่ได้ ไม่ใช่เขมรหรือลาว ก่อนจะว่าเขาก็ควรสำรวจตัวเราเสียก่อนว่า ก่อนที่เราจะไปบ้านเขาน่ะ ไปเพื่ออะไร "เพื่อให้หรือว่าเพื่อเอา"
 

พระมหานรินทร์ นรินฺโท
วัดไทย ลาสเวกัส รัฐเนวาด้า สหรัฐอเมริกา
29 กุมภาพันธ์ 2547

 

 

 
E-Mail ถึง บก.
peesang2003@hotmail.com

All Right Reserved @ 2003
This Website Sponsored by

 

www.alittlebuddha.com เจ้าของ : วัดไทย ลาสเวกัส 2920 McLeod Dr. Las Vegas Nevada 89121 USA (702) 384-2264