ชาวพุทธทิเบตเตรียมฉลองปี พ.ศ. ใหม่
 


 

   มีข่าวเล็กๆ เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาบนเวปหนังสือพิมพ์ผู้จัดการออนไลน์ว่า  ชาวทิเบตที่นับถือศาสนาพุทธทั่วโลก เตรียมฉลองวันขึ้นปีใหม่ตามปีนักษัตร จากปีแพะไปสู่ปีลิง ตามความเชื่อของชาวทิเบต โดยที่วัดลามะในกรุงปักกิ่ง ซึ่งเป็นวัดทิเบตที่ใหญ่ที่สุดในจีนจะมีการเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่อย่างใหญ่โตและจัดพิธีไล่ภูตผีปีศาจตามความเชื่อ ขณะที่ชาวทิเบตที่อาศัยอยู่ในอินเดียก็เตรียมการฉลองด้วยการเต้นรำและพิธีกรรมทางศาสนาเช่นกัน

     ข่าวนี้ทำให้ผู้เขียนติดใจมาก อยากจะบอกแก่ท่านผู้อ่านว่า "เป็นข่าวสำคัญ" เพราะนี่คือวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระบรมศาสดาของศาสนาพุทธ ไม่ใช่วันวาเลนไทน์ที่คนไทยปากพุทธแต่ใจคริสต์พากันเห่อไปทั้งบ้านทั้งเมือง เมื่อถามถึงกำพืดของบรรพบุรุษก็กลับไม่รู้เรื่อง นั่นเป็นเรื่องสำคัญที่มหาเถรสมาคม มหาวิทยาลัยสงฆ์ และรัฐบาลไทย ควรจะใส่ใจในนโยบาย มากกว่าจะมุ่งหาเงินไปประเคนรัฐบาล และหรือรัฐบาลก็มุ่งแต่จะออกโครงการหาเสียงเลือกตั้ง โดยไม่มองดูการพัฒนาที่ยั่งยืนแบบที่ท่านเรียกว่า บูรณาการ

     แต่เดิมมานั้น ชาวไทยเราเมื่อนับถือพระพุทธศาสนาแล้ว ก็นิยมเอาวันเสด็จปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (พระโคดมพุทธเจ้า) มาเป็นวันสำหรับขึ้นต้นปีใหม่ และวันนั้นก็คือวันวิสาขบูชา เราเชื่อกันว่าเป็นวันเพ็ญเดือน 6 ตกราวเดือนพฤษภาคม พอพระจันทร์เสวยวิสาขฤกษ์ ก็ถือเป็นฤกษ์สำหรับการเฉลิมฉลองขึ้นปีใหม่ ในนามว่า พุทธศักราช

     ปีปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ในกลุ่มประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาเองก็ยังไม่ค่อยลงรอยกัน อย่างชาวไทยเรานั้นเชื่อกันว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปได้ 2547 ปีแล้ว แต่ในประเทศศรีลังกา พม่า เป็นต้น เขากลับนับปีพุทธศักราชไวกว่าเราไป 1 ปี

     ทีนี้ ถ้าว่ากันเรื่องพุทธศักราชจริงๆ คือถ้าเราเอาวันปรินิพพานของพระพุทธเจ้าเป็นวันขึ้นต้นปีใหม่ เหมือนชาวคริสต์เขานิยมเอาวันประสูติของพระเยซูเป็นวันนิวเยียร์เรียกว่าคริสตมาส เราก็ต้องไปฉลองปีใหม่กันในวันวิสาขบูชา คือวันเพ็ญเดือน 6 ไม่ใช่ไปฉลองเอาในวันที่ 1 มกราคม หรือวันที่ 13 เมษายน ซึ่งเป็นวันสงกรานต์

     นี่ขอท้าว่าลองเอาปัญหานี้ไปถามคนไทยดูสิ ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ รู้อยู่แต่เรื่องมั่วๆ เช่นว่า พอถึงวันที่ 1 มกราคมปุ๊ป ก็อุตรินับเอาวันนั้นเป็นวันขึ้นต้นปีใหม่ เปลี่ยนพุทธศักราชใหม่ แม้แต่พวกที่ทำปฏิทินขายก็ขายความโง่กันทั้งบ้านทั้งเมือง

     คำว่า ศักราช เป็นศัพท์จำเพาะใช้เรียกชื่อปี มีต้นมีท้าย อย่างคำว่า พุทธศักราช เมื่อเราถือเอาวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 เป็นวันขึ้นปีใหม่ เพราะว่าวันนั้นเป็นวันปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้นวันสิ้นปีของเราจึงเป็นวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 6 ก็ตกราวเดือนพฤษภาคมนั่นแหละ แล้วถามว่า คนไทยเรามีการฉลองปีใหม่กันในเดือนนี้หรือไม่ ? ก็ตอบได้ว่า เปล่าเลย ไม่เคยได้ยิน

      ปีใหม่ในปัจจุบันนี้เราใช้กันอยู่จริงๆ 2 ระบบ คือ 1. ปีใหม่สากล กำหนดให้วันที่ 1 มกราคม ของทุกปีเป็นวันปีใหม่ 2. ปีใหม่ไทย หรือสงกรานต์ กำหนดเอาวันที่ 15 เมษายน ของทุกปีเป็นวันปีใหม่

     ทั้งสองระบบนี้ แบบแรกเป็นระบบสุริยคติ ใช้การโคจรของพระอาทิตย์มาคำนวนหาวันสงกรานต์ แบบแรกใช้ในยุโรป ซึ่งไทยเราเพิ่งจะเอามาใช้ในวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2483 ในรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม มติของรัฐบาลในสมัยนั้นให้ประเทศไทยเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ จากวันที่ 1 เมษายน เป็นวันที่ 1 มกราคมแทน ส่วนระบบที่สองนั้นเป็นจันทรคติ ใช้การโคจรของพระจันทร์รอบโลกมาคิดคำนวนได้คราวละ 1 ปักษ์ คือข้างขึ้นกับข้างแรม เราจึงได้ยินคำว่า ขึ้นกี่ค่ำ แรมกี่ค่ำ พระจันทร์เพ็ญ พระจันทร์ดับ วิธีการนับแบบนี้ใช้มาก่อนจะมีระบบสุริยคติ ในสมัยพุทธกาลคือเมื่อพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ในอินเดียใช้ระบบจันทรคติ เราจึงรู้ว่า พระพุทธเจ้าประสูติวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 แต่ไม่รู้ว่าเป็นวันที่อะไร เดือนไหน เพราะใช้ปฏิทินต่างกันไง

      คนไทยเรานับถือพระพุทธศาสนาพระพุทธศาสนามาแต่ดึกดำบรรพ์ก็จริง แต่ก็ว่าไม่เคยใช้ปีพุทธศักราชกันอย่างถูกต้องเลย ที่เรารู้ ๆ กันอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองเรื่องวันสงกรานต์ ซึ่งนับวันที่ 13 เมษายนเป็นวันสังขารล่อง วันที่ 14 เมษายนเป็นวันเนาว์หรือวันเน่า และเอาวันที่ 15 เมษายนเป็นวันเถลิงศกหรือวันขึ้นปีใหม่ ชาวไทยภาคเหนือเรียกวันนี้ว่าวันพญาวัน คนไปวัดกันวันนี้

      แต่ความจริงแล้ว วันสงกรานต์ของไทยเรานั้นใช้ระบบโหราศาสตร์ของศาสนาพราหมณ์ หาใช่ระบบพุทธศาสตร์ไม่ ระบบโหราศาสตร์นั้นเรียกว่าปีนักษัตร เริ่มนับเป็นศักราช 01 ในปี พ.ศ. 1181 โดยพระเจ้าแผ่นดินมอญหรือพม่าพระองค์หนึ่งได้คำนวนขึ้น และระบบนี้ก็ยังเป็นที่นิยมทั้งในแวดวงผู้รู้และชาวบ้านทั่วไป คนไทยเราจึงใช้เป็นวันขึ้นปีใหม่ ทั้งนี้ระบบนี้ท่านคำนวนเอาสุริยจักรวาลนี้ตัดแบ่งออกเป็น 12 ราศีๆ ละ 30 องศา รวมความว่า สุริยจักรวาลนั้นถูกย่อลงเป็น 360 องศา เมื่อแบ่งออกเป็น 12 ราศี จึงได้ราศีละ 30 องศา แล้วก็หาจุดเดินหรือโคจรของดวงดาวต่างๆ ระบุลงไปให้ละเอียดเป็นองศา ลิปดา ฟิลิปดา ฯลฯ

      ครั้นมาถึงวันที่ 13 เมษายน เมื่อประมาณ 5 พันปีมาแล้ว ในวันนั้นเกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ประหลาดขึ้น คือว่า ตั้งแต่เช้าพระอาทิตย์จะขึ้นตรงๆ และเริ่มเดินตรงๆ ไม่เกเรเหมือนแม่ปู ถึงเวลาเที่ยงวัน ไม่ว่าใครลองไปยืนอยู่กลางแดดดู ก็จะรู้ว่าตัวเองไม่มีเงา คือว่า เงานั้นทับกับร่างกายของตัวเองอย่างกลมกลืน ไม่มีเอนไปทางไหนทั้งสิ้น ทั้งนี้เพราะว่าวันนั้นเป็นวันที่โลกหมุนเอาแกนมาตั้งตรงกับระนาบแสงของพระอาทิตย์ วันที่ 13 เมษายน จึงเป็นวันระหว่างฤดูหนาวกับฤดูร้อน ถ้าเข้าหน้าร้อนจริงๆ แกนของโลกซึ่งเอียงจะเอียงเข้าหาพระอาทิตย์ ทำให้กลางวันมากกว่ากลางคืน แต่ถ้าถึงหน้าหนาว แกนของโลกก็จะเบนหนีพระอาทิตย์ ทำให้กลางคืนมากกว่ากลางวัน ซึ่งปีหนึ่งก็มีเพียง 2 วันเท่านั้น (ปัจจุบันเป็นวันที่ ๒๑ มีนาคม และวันที่ ๒๒ ธันวาคม) แต่ที่ท่านเลือกเอาวันที่ 13 เมษายน มาเป็นต้นปีนั้น ก็ด้วยเหตุผลว่าเป็นวันเริ่มฤดูร้อนซึ่งควรจะเป็นต้นปี ก็ไม่มีอะไรมาก

     จะเห็นว่า ถึงแม้ว่าเราจะตั้งชื่อแต่ละปีว่า พุทธศักราช หรือเขียนย่อว่า พ.ศ. แต่ก็หาได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับระบบที่ใช้กันจริงๆ ไม่ เพราะถ้าจะให้ถูกต้องจริงๆ ก็ต้องใช้วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 เป็นวันขึ้นปีใหม่และใช้ระบบจันทรคติ

การเปลี่ยนศักราชหรือขึ้นปีใหม่นั้น ถ้าให้ถูกต้องแล้วก็ต้องเปลี่ยนตามหลักเช่นนี้

คริสต์ศักราช เปลี่ยนในวันที่ 1 มกราคม

พุทธศักราช เปลี่ยนในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6

จุลศักราช เปลี่ยนวันที่ 15 เมษายน หรือในวันเถลิงศก ซึ่งต้องรอการคำนวนปฏิทินจากโหร

และเปลี่ยนปีนักษัตร เช่น ปีวอก ปีไก่ เป็นต้น ในวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 (ราวเดือนมีนาคม)

ไม่ใช่พอถึงวันที่ 1 มกราคมปุ๊ป ก็เปลี่ยนพุทธศักราชทันทีเลย

      ดังนั้น เมื่อได้รับข่าวว่า ชาวทิเบตเขากำลังจะฉลองปีพุทธศักราชกัน จึงทึ่งใจว่า เขาเข้าใจเรื่องพระพุทธศาสนาและให้ความสำคัญมากกว่าชาวไทยที่แทบไม่รู้เรื่องพุทโธ ธัมโม สังโฆ เลย พระสงฆ์ส่วนใหญ่ก็มุ่งแต่หายศถาบรรดาศักดิ์ บอกบุญบอกกุศล ให้สร้างวัดให้ตนอยู่อย่างสุขสบาย ส่วนญาติโยมนั้นปล่อยให้หากินกันเอง พระอริยะบางองค์ก็ยังมัวเมาเอาเงินเอาทองไปเข้าคลังหลวง กลัวว่าจะไม่มีเงินทองให้นักการเมืองกังฉินโกงกิน เรื่องพระนิพพงนิพพานก็กลายเป็นสินค้าหาเงินให้แก่ซาตานในคราบนักบุญ เห็นประเทศไทยวันนี้แล้วเหมือนถูกอัปรีย์ครอบงำ พระดีๆ กลับไม่นำพายกย่อง ต้องไปหาหลวงตาเกจิอาจารย์สักเสกเลขยันต์ ไหว้แม้กระทั่งสัตว์เดรัจฉาน เออหนอ ไทยแลนด์เมืองพุทธ วัวตกลูกออกมามีสองหัว ก็พากันไปไหว้ หมาออกลูกมามีห้าขา ก็พากันไปไหว้ แย่งกันกินแม้กระทั่งเยี่ยวพระด้วยความศรัทธาว่า "เป็นของดี" ผู้เขียนว่าน่าจะกินขี้ให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย เพราะว่ามันเข้มข้นกว่ากันแน่นอน อ้าวเขียนเรื่องปีใหม่ ไหงพาลไปหาวัวหาควายด้วยเล่า !

 

พระมหานรินทร์ นรินฺโท
วัดไทย ลาสเวกัส รัฐเนวาด้า สหรัฐอเมริกา
20 กุมภาพันธ์ 2547

 

 

 
E-Mail ถึง บก.
peesang2003@hotmail.com

All Right Reserved @ 2003
This Website Sponsored by

 

www.alittlebuddha.com เจ้าของ : วัดไทย ลาสเวกัส 2920 McLeod Dr. Las Vegas Nevada 89121 USA (702) 384-2264