ไข้หวัดนก
 

 

   เป็นปัญหาว่าด้วยชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอีกเรื่องหนึ่งซึ่งใหญ่มาก คือปราฏการณ์ที่เกิดโรคประหลาดในหมู่ไก่ในประเทศไทยและประเทศต่าง ๆ ทั่วทั้งโลก มีไก่ตายไปแล้วไม่ต่ำกว่า 100 ล้านตัว ถ้าเป็นสมัยโบราณก็คงจะระบุว่า "โรคห่าไก่" ซึ่งเป็นคำจำกัดความอย่างง่าย ๆ ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์การแพทย์ยังไม่เจริญ

      แต่ในยุคปัจจุบันนี้ จะมีการแยกโรคห่าและโรคอื่น ๆ เกี่ยวกับไก่ออกไปเป็นหลายโรค และโรคที่เรารู้จักกันเกร่อในเวลานี้ก็คือ ไข้หวัดนก หรือ Bird Flu ซึ่งแต่ก่อนร่อนชะไรมานั้น มันคงจะเป็นอยู่แต่พวกนกเท่านั้น และต่อมามันก็กลายพันธุ์ (เป็นศัพท์จำเพาะในวงการแพทย์ แปลว่า เปลี่ยนสภาพจากไข้หวัดชนิดที่มีในนกเท่านั้น มาเป็นไข้หวัดที่ติดต่อในระหว่างสัตว์ปีกต่างประเภท เช่น จากนกพิราบไปเป็นนกอื่น ๆ หรือแม้แต่เป็ด ไก่ ห่าน ฯลฯ) ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือว่า ไข้นี้เมื่อมีในนกก็ทำให้นกตาย เมื่อมีในไก่ก็ทำให้ไก่ตาย ไม่แต่เท่านั้น เมื่อมันมีพาหะคือตัวสื่อตัวเชื่อมไปสู่สัตว์อื่น ๆ ก็ยังสามารถพัฒนาการเป็นไข้หวัดเล่นงานสัตว์ประเภทนั้น ๆ ให้ "ตาย" ได้ด้วย เท่าที่มีการบันทึก พบว่าไข้หวัดชนิดนี้สามารถติดต่อไปถึงสัตว์บกสัตว์น้ำได้แทบทุกชนิด ที่ติดโรคมาแล้วคือ นก หมู ม้า ปลาวาฬ ไก่ และสุดท้ายที่อันตรายที่สุดก็คือ คน เพราะมนุษย์คือทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของโลก (ตามกาตีค่าของคน เพราะถ้าให้หมูหรือไก่มาตีความบ้าง มันก็คงตีความให้ตัวเองมีค่ามากที่สุดในโลกเช่นกัน)

     ทีนี้เมื่อคนซึ่งมีค่ามากที่สุดถูกไข้หวัดนก (ความจริงเดี๋ยวนี้เป็นไข้หวัดไก่แล้ว เพราะเป็นในไก่และระบาดจากไก่) จนถึงแก่ชีวิต บรรดาสัตว์ปีกที่สงสัยว่าจะเป็นตัวต่อให้เกิดไข้ในคน ก็ถูกทำลายคือ "ฆ่าทิ้ง" โดยไม่จำกัดจำนวนและไม่จำกัดอาการ ต่างจากคนที่ต้องรออาการจากห้องแล็บเพื่อยืนยันเสียก่อนว่า "เป็นไข้หวัดนกจริง ๆ หรือไม่"

     กลับไปเรื่องไข้หวัดนกอีกทีหนึ่ง อย่างที่บอกว่า ที่ชื่อว่า "ไข้หวัดนกนั้น" เพราะเขาพบโรคนี้ในนกเป็นครั้งแรกในโลก ทีนี้ถ้าต่อมาไปพบไข้หวัดสายพันธ์เดียวกันนี้ในสัตว์อื่น ๆ ก็จะยืนยันทางการแพทย์ว่า "มาจากนกหรือเป็นไข้หวัดนก" และว่ากันว่า ปัจจุบันวันนี้ ไข้หวัดสายนี้ได้พัฒนากลายพันธุ์จากไข้หวัดนกธรรมดามาเป็นไข้หวัดไก่ ไข้หวัดหมู ไข้หวัดม้า ไข้หวัดปลาวาฬ และไข้หวัดคน ผลการตรวจยืนยันว่า มันมีแล้วถึง 15 สายพันธุ์ ซึ่งแต่ละสายพันธุ์ก็อันตรายระดับ "ตาย" สถานเดียว ประเทศแรกที่พบไข้หวัดก็คือ ฮ่องกง (เขตเศรษฐกิจพิเศษของจีน) ในปี พ.ศ. 2520 ซึ่งมีคนตายด้วยไข้นี้ 6 คน ป่วยอีก 18 คน

     ความตายนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องตามลำดับดังต่อไปนี้ คือ 1.มีการติดเชื้อ ซึ่งการติดเชื้อนี้ต้องมี "พาหะ" คือตัวนำ ตัวเชื่อม ตัวต่อ เหมือนการติดต่อทางจดหมายไปรษณีย์หรืออีเมล์ เพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งได้รับทราบจนติดเป็นโรคกับเขาด้วย 2. เกิดอาการป่วย และเมื่อแพทย์ตรวจแล้วพบไข้หวัดนกนี้ในร่างกาย 3. อาการนี้นำไปสู่การตายในที่สุด

     สามระดับนี้เป็นวิวัฒนาการทางการป่วยด้วยไข้หวัดนก หากแต่มีปัญหาในภาคการปฏิบัติเพื่อกำจัดหรือควบคุมไข้หวัดรายนี้ ทั้งนี้เพราะมีปัญหายุ่งเหยิงไปหมด เนื่องเพราะไข้หวัดชนิดนี้มี "นก" และ "ไก่" เป็นพาหนะ

     เจ้าตัวพาหะนี้ท่านชี้ว่า มาจากอูณหภูมิของโลกกลม ๆ ใบนี้ไม่เท่ากัน ขณะที่เมืองไทยกำลังนอนอาบแดดอ่อนอุ่น ๆ อยู่นั้น ในอีกซีกโลกหนึ่งซึ่งเหนือขึ้นไป เช่น ทางจีน รัสเซีย ไซบีเรีย เรื่อยไปจนถึงญี่ปุ่น ฮ่องกง ประเทศพวกนี้มีโลเคชั่นอยู่สูงกว่าประเทศไทย และมีอากาศหนาวตรงกับหน้าอุ่นในเมืองไทย

     นกในประเทศเหล่านี้มีมากมายมหาศาล อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ เช่น ทะเลสาปและหนองน้ำใหญ่ ถึงหน้าหนาวคราวใด นกไม่สามารถจะร้องเพลง "หนาวลมที่ลำนารายณ์" หรือ "เจ้าสินอนกอดไผ" ได้ ทั้งไม่มีฮีตเตอร์ไว้ทำความหนาวให้อุ่น ก่อไฟผิงกันหนาวก็ไม่เป็น มีทางเดียวก็คือ ต้องบินไปให้สุดขอบฟ้าเพื่อตามหาความอบอุ่น แล้วโดยสัญชาติญาณก็พาให้นกนับร้อยนับพันชนิดเหล่านั้นบินตามตะวันมาถึงประเทศไทย  พบหนองน้ำใหญ่ที่น่าอยู่มาก ๆ คือ บึงบรเพ็ด เขตอำเภอหนองบัว จังหวัดนครสวรรค์ นครสวรรค์จึงเป็นสวรรค์ของนกนอกเหล่านี้ทุกปี

      ในขณะที่ไข้หวัดนกระบาดไล่ตั้งแต่ในประเทศเยอรมันนี ญี่ปุ่น ฮ่องกง เวียตนาม จนคนตายไปหลายคนแล้ว ปลายปี 2546 ก็มีข่าวว่า ไก่ในเขตจังหวัดนครสวรรค์ตายอย่างประหลาดยกเล้า ถ้าเป็นสมัยเก่าเขาก็คงจะบอกว่า "มันเป็นห่า" แต่ในยุคสมัย ไอที เมื่อมีข่าวนี้ขึ้นมาแล้ว ห่าไก่ในจังหวัดนครสวรรค์จึงถูกหมายตาว่าจะเป็น "ไข้หวัดนก" หรือไม่ ??? นั่นเป็นเหตุการณ์เริ่มแรกของไข้หวัดตัวนี้ในประเทศไทย ในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว แต่ตอนนั้นมันยังตายแค่ "ไก่" ทำให้ใครต่อใครก็คิดว่า "มันคงยังไกลตัวเกินไปที่จะทำให้คนตาย"

     แต่ต่อมาปรากฏว่า การตายของไก่เกิดระบาดลุกลามไปอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาแค่เดือนเศษ ๆ ไก่เกือบทั่วไทยเป็นห่าตายไปแล้วหลายสิบล้านตัวกินอาณาเขตถึง 20 จังหวัด นับดูเถิดว่ามันรวดเร็วเพียงไหน จะช้ากว่าก็เพียงไวรัสในคอมพิวเตอร์เท่านั้นกระมัง

     นั่นแหละคือปัญหาใหญ่ที่น่าสะพรึงกลัวในบ้านเรา เพราะไข้หวัดนี้มีนกและไก่เป็นพาหนะ และประเทศไทยเรานั้น ตั้งแต่มีคนไทยคนแรกเกิดมาในโลกแล้วละกระมัง ก็นิยมเลี้ยงไก่ไว้กินไข่และกินเนื้อ โดยเฉพาะก็คือ ในยุคที่ยังไม่มีนาฬิกาปลุก ไก่ก็คือนาฬิกาปลุกอันเยี่ยมที่สุด เพราะขันตรงเวลาตามมาตรฐานสากลเป๊ะ ถ้าตัวไหนตื่นสายก็เตรียมตัวคอขาดลงหม้อต้มยำได้

     ดังนั้น ถ้าไปดูตามบ้านนอกคอกนา ตั้งแต่แม่สายยันสุไหงโกลก คนไทยชนบทแทบทุกหลังคาเรือนย่อมมีไก่เป็นสัตว์สามัญประจำบ้าน ตะทีนี้ว่า ถ้าไก่เป็นพาหะนำโรคมาสู่คนจนถึงตายได้แล้ว เราคงจะได้เห็นว่าปัญหามันน่าสะพรึงกลัวเพียงไหน

     นี่เป็นลำดับความในเรื่องของ "พาหะ" คือตัวนำโรคเท่านั้น สองปีก่อน มีอันตรายใหญ่หลวงของโลก นั่นคือ "โรคซาส์" ซึ่งเริ่มติดจากสัตว์สู่คนในมณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน มันพัฒนาไวจนสามารถติดต่อระหว่างคนไปสู่คนได้แค่เพียงจับเนื้อต้องตัวหรือแม้กระทั่งสัมผัสผ่านกันทางลมหายใจ !

     ตอนนั้นโลกร้อนเป็นไฟ สายการบินต่าง ๆ ต่างถูกห้ามบินเข้าจีนและห้ามคนจีนเข้าเมือง ใครไปเมืองจีนกลับมาก็ต้องถูก "กักตัว" เพื่อความชัวร์ว่าไม่เป็นโรคซาส์ ปรากฏต่อมาว่า โรคนี้ถูกควบคุมได้ จนกระทั่งหายไปแล้ว นั่นเพราะเมื่อมีคนเป็นพาหะ ทางรัฐบาลประเทศต่าง ๆ ก็สั่งห้ามคนที่ต้องสงสัยหรืออยู่ในข่ายว่าจะติดเชื้อ "มิให้เข้าประเทศ" ไว้ก่อน ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัย

      แต่ในสถานการณ์ขณะนี้มีปัญหายุ่งกว่าไข้หวัดซาส์ เพราะว่าเจ้าตัวพาหะนั้นมันมิใช่คน หากแต่เป็นนกและไก่ ซึ่งไก่และนกนั้นมันพูดไม่รู้เรื่อง จะเอาอะไรไปสั่งห้ามมิให้มันบิน อาจจะทำได้บ้างก็ในกรณีไก่บ้านและไก่ฟาร์ม ซึ่งถูกเลี้ยงในบริเวณจำกัด อันนี้เราได้เห็นว่า รัฐบาลเร่งรัดในการกำจัด ซึ่งข่าวก็ประเมินออกมาแล้วว่า อาจจะมีไก่ถูกฆ่าทิ้งถึงหลายสิบล้านตัว

     หากแต่นกที่มาอาศัยในบึงบรเพ็ดชั่วคราวเหล่านั้นเล่า ใครจะรู้ว่าตัวไหนติดเชื้อ ตัวไหนอยู่ที่นั่นกี่วัน และตัวไหนย้ายไปพักโรงแรมอื่น ๆ เพราะว่านกเหล่านั้นไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน แถมเกิดมาหน้าเหมือนกันยังกระฝาแฝดอีก แล้วเราจะจำหน้ามันเหมือนซัดดัมฮุดเซนได้ไง นี่ ..มันยุ่งอีลุงตุงนังอย่างนี้แหละครับ หลวงตาบัว

      สรุปว่า ปัญหาด้านพาหะก็หมดปัญญาจะกำจัดให้สิ้นซากอย่างแน่นอนแล้ว คราวนี้เราไปดูปัญหาใหญ่ในระดับต่อไป นั่นคือในระดับติดเชื้อในคน

     ถามว่า ไข้หวัดนกนี้ เมื่อใครเป็นแล้วกินยาอะไรถึงจะหาย ยาแก้ปวดหัวยาวใช้ได้ไหม ไทรานอล บูราเจล หรืออื่น ๆ กินมะนาวกับเกลือและน้ำอุ่นบรรเทาได้หรือเปล่า คำตอบทางการแพทย์ก็คือว่า "โนเวย์" แพทย์ยังหาทางไม่เจอว่าจะฆ่าเจ้าเชื้อไวรัสที่ชื่อไข้หวัดนกนี้ยังไง นอกจากจะให้กำลังใจคนไข้ว่า "แข็งใจไว้โยม" ซึ่งนับเป็นการนอนรอความตายอย่างเลี่ยงไม่ได้

      ทางแก้นั้นจึงต้องกลับไปแก้ตั้งแต่เริ่มต้น (เพราะแก้ตอนปลายไม่ได้ ถ้าใครเผลอติดไข้หวัดนกหรือไข้หวัดไก่นี้แล้ว ก็ต้องนับว่าบรมซวย) คือท่านว่า ต้องเลิกยุ่งกับไก่และนกเสียทั้งสิ้น (แต่คนที่ชื่อว่าไก่และนกไม่เกี่ยวกันนะจ๊ะ) ต้องไม่เลี้ยงไก่ไม่เลี้ยงนก ไม่สัมผัส รวมไปถึงไม่กินไก่ไม่กินนกใด ๆ ทั้งสิ้น แม้แต่เป็ดก็ห้ามแตะ จึงจะนับว่าปลอดภัยในระดับหนึ่ง (ตรงนี้แม้จะยังไม่มีสถิติว่าคนกินไก่สุกแล้วตาย แต่ก็ไม่แน่อีก แม้รัฐบาลจะประกาศว่า ถ้าใครกินไก่แล้วตายจะได้ 1 ล้านก็ตาม ก็คงไม่มีใครอยากรวยเป็นมิลเลี่ยแนร์ในปรโลกเป็นแน่)

      นอกนั้นยังต้องตรวจดูตัวเองว่ามีอาการเช่นนี้ด้วยหรือเปล่า คือ เริ่มแรกเป็นหวัด มีไข้ตัวร้อน อมปรอทแล้วเห็นเลขอูณหภูมิมันพุ่งขึ้นเกิน 38 องศาเซลเซียส อย่างนี้ถือว่าซีเรียสแล้ว ขอให้ตรวจดูอาการข้างเคียงอื่น ๆ ต่อไปอย่างใกล้ชิด ดังนี้

     1. ปวดกล้ามเนื้อ เหมือนเราโดนนวดหนัก ๆ ปวดหนุบ ๆ หนับ ๆ ลามไปลามมา นับว่าไม่น่าไว้วางใจในระดับสอง

     2. ไอ ไม่ว่าจะไอโขลกๆ หรือไอแค๊ก ๆ อมแฮกก็ไม่หาย ให้สงสัยต่อไปว่า น่าจะเข้าข่ายสหายของไข้หวัดนกแล้ว

     3. หอบ หายใจผิดปรกติ ลองสังเกตดูว่า แต่ก่อนเคยหายใจสบาย ๆ เหมือนเดินเล่นในสวนลุมยามเช้า แต่บัดนี้ต้องหายใจติด ๆ ขัด ๆ เหมือนอยู่ใต้ทางด่วนบางนา อย่างนี้นับว่าเข้าข่ายแล้ว

     4. ถ้าถามประวัติส่วนตัวผู้ป่วยว่า ก่อนหน้านั้นเคยยุ่งเกี่ยวกับไก่หรือสัตว์ปีก เช่น นกเขา นกกระจอก หรือสัตว์ปีกอื่นใดมาบ้างหรือเปล่า ถ้าบอกว่า เลี้ยงไก่เป็นอาชีพ จะไม่ให้ยุ่งกับไก่ได้ไง หรือเป็นนักเลงไก่ เอาไก่ไปชนตามนโยบายของที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี

     อย่างนี้ก็แหงแซะ ให้รีบไปหาหมอหรือพยาบาลเป็นการด่วน กรุณาอย่าลังเลใจ เพราะถ้าเกิดไอ กินใช้อะไรร่วมกับคนในครอบครัว อาจจะแพร่เชื้อไปยังคนที่รักของคุณได้ (ถึงแม้จะยังไม่มีสถิติว่าเจ้าโรคนี้สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้ก็ตาม แต่แพทย์ก็ยังไม่การันตีว่าจะไม่มีกรณีเช่นนี้เกิดขึ้น และถึงแม้ว่า รัฐบาลไทยจะกินไก่โชว์ทางทีวีเพื่อรับรองก่อนใบรับรองแพทย์จะออกมาว่า "ประเทศไทยไร้ไข้หวัดนก" แล้วก็ตาม เพื่อความปลอดภัยไว้ก่อน ก็ขอให้รีบตัดวงจรอุบาทว์นี้จากตัวเองและจากครอบครัว เพื่อไม่ให้เป็นปัญหาสังคม

     สุดท้ายข้อเขียนนี้ ขอให้ทุกคนในโลกนี้ปลอดภัย ไร้โรคไข้หวัดนก หรือไข้หวัดใดๆ ในโลกนี้ ขอให้มีความสุขสวัสดี ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน สามารถใช้ชีวิตตามธรรมชาติอย่างลุล่วงไป จนถึงวาระสุดท้าย มา-ไป ตามธรรมชาติ ประชาชาติก็คงอุ่นใจ

 

พระมหานรินทร์ นรินฺโท
วัดไทย ลาสเวกัส รัฐเนวาด้า สหรัฐอเมริกา
24  มกราคม 2547

 

 

 
E-Mail ถึง บก.
peesang2003@hotmail.com

All Right Reserved @ 2003
This Website Sponsored by

 

www.alittlebuddha.com เจ้าของ : วัดไทย ลาสเวกัส 2920 McLeod Dr. Las Vegas Nevada 89121 USA (702) 384-2264