|
ก็เป็นคำสั้นๆ กับคำว่า "เซ็ตซีโร่" ซึ่งอ่านมาจากภาษาอังกฤษตรงๆ เลย นั่นคือ "Set Zero" หรือ "Set-0" ซึ่งคำว่า Set - Set up นั้นเป็นกิริยา ท่านแปลว่า จัดตั้ง วางระบบ กำหนด สามารถนำไปใช้ได้กับนามได้หลากหลาย เช่น เวลา (ตั้งเวลา) สิ่งของ (จัดตั้ง) หรือกลุ่มคน (จัดกำลัง) ส่วนคำว่า "0-Zero" นั้น ก็แปลว่า ศูนย์ เซ็ตซีโร่จึงหมายถึง การตั้งค่าหรือจัดระเบียบใหม่ ไปเริ่มต้นที่ศูนย์ ซึ่งคำๆ นี้ก็ยังถือว่าใหม่ ถ้าใช้คำไทยเดิมๆ ก็คงจะใกล้เคียงกับคำว่า "ล้างหน้าไพ่" ซึ่งหมายถึงการ โละ รวม แล้วตั้งสลับไพ่ใหม่ แจกไพ่ใหม่ เริ่มเล่นกันใหม่ กับไพ่ชุดใหม่ ไม่เอาไพ่ใบเก่า ไม่ว่าจะอยู่ในมือใคร มีแต้มเท่าไหร่ ให้ถือว่าหมดค่าไปทันที
กรณีที่รัฐบาลทำการแก้ไข พรบ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ในหมวดว่าด้วยมหาเถรสมาคมและการปกครองคณะสงฆ์ โดยทำเป็น "มติลับ" ลงมติกันในวันที่ 19 มิถุนายน 2561 จากนั้นอีกเพียงหนึ่งวัน ร่างดังกล่าวก็ถูกส่งไปถึงมือกฤษฎีกา ซึ่งได้ออกประกาศให้สาธารณชนทั้งพระภิกษุสงฆ์และฆราวาสญาติโยม ได้แสดงความคิดเห็นภายใน 7 วัน นับตั้งแต่วันที่ 20 ถึง 27 มิถุนายน และได้ประกาศ "ปิดรับความคิดเห็น" ตรงเวลาเป๊ะ จากนั้นอีกเพียง 3 วัน ร่างดังกล่าวก็กลับคืนสู่คณะรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีก็ตีเรื่องเข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในวันที่ 1 กรกฎาคม ซึ่งวันที่ 2 กรกฏาคม นั้น ดร.วิษณุ เครืองาม ได้ออกมาแย้มฝาบาตรว่า ร่าง พรบ.คณะสงฆ์ ฉบับดังกล่าว ได้ส่งไปถึงมือ สนช. เรียบร้อยแล้ว รอพิจารณาและประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นอันดับสุดท้าย ประกาศในราชกิจจาฯเมื่อใด ก็ถือว่าเริ่มต้นใช้กฎหมายสงฆ์ใหม่ทันที
ทีนี้ว่า ถ้ากลับไปดูช่วงเวลาที่รัฐบาล คสช. ได้เข้ามาบริหารประเทศนั้น 4 ปีที่ผ่านมา ปรากฏว่า ได้มีการแก้ไข พรบ.คณะสงฆ์ ไปแล้วครั้งหนึ่ง ในวันที่ 6 มกราคม 2560 คือเมื่อปีกลาย ตอนนั้นแก้ มาตรา 7 หมวดสมเด็จพระสังฆราช "ยึดอำนาจมหาเถรสมาคม" ไม่ให้มีอำนาจเสนอนามตั้งสมเด็จพระสังฆราช แต่ให้ "นายกรัฐมนตรี" มีอำนาจในการเสนอนามสมเด็จพระสังฆราช แต่เพียงผู้เดียว สรุปก็คือ รัฐบาลยึดอำนาจมหาเถรสมาคมในการตั้งพระสังฆราช ! มาครั้งนี้ รัฐบาลได้แก้ไขในหมวดว่าด้วยกรรมการมหาเถรสมาคมและเจ้าคณะใหญ่-เจ้าคณะภาค ว่าจะได้รับการโปรดเกล้าฯ จากราชสำนักโดยตรง ซึ่งความจริงแล้วก็ต้องชงเรื่องผ่านสำนักนายกรัฐมนตรีเหมือนกรณีสมเด็จพระสังฆราชนั่นแหละ ก็จึงแปลว่า หลังจากยึดอำนาจ มส. ในการตั้งสังฆราชเมื่อปีกลายแล้ว ตกปีนี้ รัฐบาลจึงปลดกรรมการ มส. ทั้งชุด (ยกเว้นสมเด็จพระสังฆราช) รวมทั้งเจ้าคณะผู้ปกครองระดับสูง ได้แก่ตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่และเจ้าคณะภาค ทั้งมหานิกายและธรรมยุต เซ็ตซีโร่ทั้งประเทศ ใช่แต่แค่มหาเถรสมาคมเท่านั้น 1. รัฐบาล ยึดอำนาจพระสังฆราช ไปถวายในหลวง เพราะเห็นว่า ถึงจะให้สมเด็จพระสังฆราชมีอำนาจในการตั้งกรรมการ มส. ต่อไป แต่สุดท้ายก็มาติด "โควต้า" จนได้ แต่ถ้าใช้ "พระราชอำนาจ" ก็สามารถตั้ง "ข้ามนิกาย" ได้ จึงหันมาใช้สูตรนี้ 2. รัฐบาลต้องการโละปัญหาใน มส. ทั้งจากกรรมการโดยตำแหน่งและแต่งตั้ง จึงเซ็ตซีโร่ ครั้นเซ็ตแล้วก็จะ "รีเซ็ต" หรือตั้งใหม่เองทั้งหมด สมเด็จพระสังฆราชไม่มีโอกาสจับปากกาเซ็นอีกต่อไป ตราบใดที่ยังทำการ "รวมนิกาย" ไม่สำเร็จ ก็ไม่มีทางที่คลื่นในพระศาสนาของประเทศไทยจะสงบได้ 3. ไหนๆ ก็จะเซ็ตซีโร่แล้ว ตำแหน่งเจ้าคณะผู้ปกครอง ระดับ หน-ภาค ก็ถือว่าสำคัญไม่ด้อยไปกว่ากรรมการ มส. จึงดึงมาพ่วงไว้ในบัญชีซีโร่ในครั้งนี้ด้วย เรียกว่าตั้งศูนย์ปรับพื้นฐานตั้งแต่ระดับภาคขึ้นไปถึง มส. ถ้ายังไม่สวยก็คงไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว แค่นี้ "รัฐบิ๊กตู่" ก็แทบจะกลายเป็น "เทวทัต" ในสายตามหาชนแล้ว
เรื่องแสดงความคิดเห็นว่า "คณะสงฆ์วัดไทยลาสเวกัสและวัดในเครือ ไม่เห็นด้วยที่จะให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจในการเสนอชื่อกรรมการ มส. เจ้าคณะใหญ่และเจ้าคณะภาค ทั่วประเทศ แต่เพียงผู้เดียว" นั้น ก็ได้แสดงไปแล้ว จะฟังหรือไม่ก็สุดแท้แต่ผู้มีอำนาจ ดังนั้น ประเด็นนี้จึงผ่านไป ประเด็นที่จะพูดถึงในวันนี้ ก็มีความเกี่ยวเนื่องต่อจาก พรบ.คณะสงฆ์ ฉบับใหม่ (แก้ไข) ที่จะออกใช้ไวๆ นี้ ว่าจะมีผลต่อใครอย่างไรบ้าง
สมเด็จสมศักดิ์ วัดพิชัยญาติ : สมเด็จช่วง วัดปากน้ำ
เริ่มแรก หมวดกรรมการมหาเถรสมาคม กรรมการมหาเถรสมาคม ชุดปัจจุบัน ที่ยังขึ้นกับ พรบ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 นั้น กำหนดให้มีกรรมการ 2 ประเภท ได้แก่
ประเภทที่ 1 กรรมการโดยสมณศักดิ์หรือโดยตำแหน่ง ได้แก่สมเด็จพระราชาคณะทั้ง 8 รูป เมื่อได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จฯ กฎหมายก็กำหนดให้เป็น "กรรมการมหาเถรสมาคม" โดยอัตโนมัติ จะลาออกก็ไม่ได้ ต้องเป็นไปจนตาย ยกเว้นแต่ ลาสิกขา และถูกถอดยศ จึงจะสิ้นสุดสถานภาพ
ประเภทที่ 2 กรรมการโดยแต่งตั้ง แต่เดิมกำหนดให้มีกรรมการประเภทนี้จากทั้ง 2 นิกายๆ ละ 6 รูป รวมเป็น 12 รูป ทั้งนี้ กำหนดให้ "สมเด็จพระสังฆราช" ทรงมีพระอำนาจในการแต่งตั้ง
แต่ตามความเป็นจริงแล้ว กรรมการประเภทที่ 2 นี้ ถือว่าเป็นโควต้าของสองนิกาย แบ่งกันฝ่ายละครึ่ง สมเด็จพระสังฆราชซึ่งจะทรงเป็นพระสงฆ์ในนิกายใดนิกายหนึ่ง จึงสงวนมารยาทที่จะไม่ก้าวก่ายในอีกนิกายหนึ่ง จึงให้อำนาจฝ่ายนั้น "เสนอชื่อ" เข้าไป เสนอใครไปก็โปรดแต่งตั้งไปตามนั้น ไม่มีการทักท้วงหรือทบทวนใดๆ ทั้งสิ้น
รวมไปถึงตำแหน่ง "เจ้าคณะใหญ่-เจ้าคณะภาค" ก็ใช้ระบบเดียวกัน เรียกระบบนี้ว่า ระบบโควต้า แบบว่าพระเถระรูปใด ได้เป็นเจ้าคณะใหญ่ในหนไหน ก็ส่งคนของตนเองเข้าไปกินโควต้าเพื่อรักษาฐานอำนาจ และสืบทอดตำแหน่งต่อจากตนเอง หลังจากตายไป แบ่งประเทศไทยออกเป็นชิ้นๆ ตามหลักการ "แบ่งแยกแล้วปกครอง" นั่นเอง
จึงเห็นได้ว่า เมื่อเจ้าคณะใหญ่มรณภาพตายไป พระในสายก็จะเข้ามารับตำแหน่งสืบต่อไป ปิดทางวัดหรือสายอื่นๆ ไม่ให้ได้เข้ามามีอำนาจในการปกครองคณะสงฆ์เลย
แม้แต่ตำแหน่งสำคัญ เช่น เจ้าคณะภาค 1 และเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร ซึ่งแต่ก่อนนั้น จะตั้งเฉพาะ "เจ้าคณะ" ส่วนตำแหน่ง "รอง" นั้นจะว่างไว้ เพื่อเปิดโอกาสให้มหาเถรสมาคม สามารถหมุนบุคคลากรจากทั่วประเทศ ได้เข้ามานั่งในตำแหน่งสำคัญนี้ แต่ภายหลัง กลับมีการตั้งตำแหน่งรอง "ซ้อนเอาไว้" ไม่ต่างจากภาคอื่นๆ จึงกลายเป็นว่า ทุกภาค รวมทั้ง กทม. ได้เข้าสู่ระบบโควต้าอีก ไม่เหลือพื้นที่ว่างให้หายใจเลย
อย่าลืมด้วยว่า ตำแหน่งในทางพระสงฆ์นั้น ถึงจะไม่มีอำนาจล้นฟ้าเหมือนทหารตำรวจหรือนักการเมือง แต่ระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งนั้น "ยาวนานที่สุดในโลก" คือเป็นจนสิ้นชีวิต มีน้อยมากที่จะลาออก ถูกปลด หรือเกิดอุบัติเหตุอื่นๆ ดังนั้น ตำแหน่งทางคณะสงฆ์จึงถือว่า "ทรงอิทธิพลที่สุด" เพราะมีอำนาจนานที่สุดนั่นเอง แต่หลังจากนี้ไป จะไม่มีอีกแล้วกับคำว่า "อมตะ" เพราะทุกอย่างจะกลับเข้าสู่กฎไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา !
ยิ่งตำแหน่ง "สมเด็จพระราชาคณะ" ที่ พรบ.พ.ศ.05 กำหนดว่า "ต้องเป็นกรรมการมหาเถรสมาคมไปจนสิ้นชีวิต" ยกเว้นถูกปลด หรือลาสิกขา เท่านั้น ลาออกไม่ได้ ไม่มีการเลือกตั้งหรือมีวาระ (เทอม) ในการดำรงตำแหน่ง นั่นจึงเท่ากับว่า ยศหรือสมณศักดิ์ชั้นสมเด็จนั่น เป็นตำแหน่งอมตะ ใครได้เป็นสมเด็จก็ปิดประตูแห่งความตกต่ำ เพราะสามารถครองยศไปจนวันตาย แถมตำแหน่งก็ติดกับยศไปจนวันตายเช่นกัน ชาตินี้แม้ไม่ได้พานพบพระนิพพาน ขอได้เป็นสมเด็จ ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว แต่เพราะความเป็นอมตะที่แปลว่า ตายยาก นี่แหละ ที่ทำให้เกิดปัญหาขึ้นกับกรรมการมหาเถรสมาคมที่เป็นสมเด็จฯ เนื่องเพราะกว่าจะได้เป็นสมเด็จนั้น ต้องผ่านด่านอรหันต์ ตั้งแต่พระครู เจ้าคุณชั้นสามัญ ชั้นราช ชั้นเทพ ชั้นธรรม ชั้นพรหม (รองสมเด็จ) และรอเวลา "สมเด็จว่าง" เพราะถ้าไม่ว่างก็ตั้งใหม่ไม่ได้ บางรูปกว่าจะได้เป็นสมเด็จก็อายุปีนขึ้นเลข 9 แล้ว รับปุ๊ปตายปั๊ปก็มีให้เห็น ไม่ทันเป็นแต่ตายไปก่อนก็เคยมี นี่คือเรื่องจริง ตำแหน่งหรือสมณศักดิ์ชั้นสมเด็จนั้น แบ่งออกเป็นนิกายละ 4/4 รวมเป็น 8 อรหันต์ เท่านั้น
เมื่อเป็นเช่นนั้น กว่าพระรูปใดจะได้เป็นสมเด็จฯ ก็แก่งัก หูตาฝ้าฟาง ส่วนใหญ่ก็มีหมอประจำตัว ซึ่งโรคนิยมของพระสงฆ์ไทยก็ได้แก่ เบาหวาน ไขมันหรือครอเรสเตอรอล และความดันสูง ยังไม่นับโรคอื่นๆ อีกเพียบ เพราะยิ่งสูงก็ยิ่งหนาว วันๆ ได้แต่นั่งรับแขก ไม่มีเวลาพักผ่อน หรือออกกำลังกาย สุดท้ายจึงเหมือนเร่งเวลาเข้าโรงพยาบาล
อย่างสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช นั้น ก็ทรงประชวรร่วมๆ 10 ปี จนรัฐบาลทักษิณอ้างเป็นเหตุให้ตั้ง "ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช"
สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดสัมพันธวงศ์ ก็อาวุโสเกิน 100 ปี อย่านับแต่จะไปประชุม มส. ที่พุทธมณฑลเลย หมอห้ามออกนอกห้องนอนด้วยซ้ำ
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) วัดญาณเวศกวัน นครปฐม
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ก็อาพาธมานานหลายสิบปี จนแทบว่าจะลาวงการไปนานแล้ว ถึงจะได้รับสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จ "โดยพระราชอำนาจ" ไม่ต้องผ่านมหาเถรสมาคม กระนั้นก็ยังไม่สามารถมาประชุม มส. ได้ ต้องลาประชุมตั้งแต่นัดแรกที่ได้เป็นสมเด็จ และอาจจะเป็นสมเด็จเพียงรูปเดียวที่ไม่เคยเข้าประชุม มส. เลย
นี่คือปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพของพระสมเด็จ ที่รัฐบาลมองเห็น
สมเด็จช่วงเดินบนพรมโรยด้วยกลีบกุหลาบ งานธุดงค์ธรรมชัยของธรรมกาย
แต่..แต่ยังมีปัญหาสุขภาพอีกโรคหนึ่ง คือ ป่วยการเมือง
การเมืองเรื่องที่ว่านั้นก็มาจาก ศึกชิงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมหาเถรสมาคม มีสมเด็จพระมหามุนีวงศ์ (อัมพร อมฺพโร) เป็นประธาน ได้ประชุมลับและเสนอนาม "สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์" วัดปากน้ำ ขึ้นดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช อย่างเป็นเอกฉันท์ ด้วยสกอร์ 17-0 ส่งผลการประชุมให้แก่รัฐบาลเพื่อนำความขึ้นทูลเกล้า ในเดือนมกราคม พ.ศ.2559 แต่รัฐบาลเอาเรื่องไปดองไว้ อ้างว่า ต้องรอให้เกิดความสงบจึงจะดำเนินการ แต่สุดท้ายรัฐบาลก็เล่นเกมเร็ว ส่งรัฐมนตรีเข้าประชุม สนช. เพื่อผ่าตัด ม.7 แก้ไขให้ "การสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช เป็นพระราชอำนาจ" เท่ากับยึดอำนาจมหาเถรสมาคม ไปตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2560 และต่อมาในวันที่ 12 ก.พ. 2560 ก็มีพระบรมราชโองการสถาปนาสมเด็จพระมหามุนีวงศ์ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ขึ้นดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
จากการสถาปนาสมเด็จพระราชาคณะในฝ่าย "ธรรมยุต" ขึ้นดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชคราวนั้น ส่งผลให้สมณศักดิ์สมเด็จพระราชาคณะที่ "สมเด็จพระมหามุนีวงศ์" นั้น ว่างลง แต่ฝ่ายธรรมยุตยังไม่มีการตั้งสมเด็จขึ้นแทน จึงทำให้ฝ่ายธรรมยุตมีสมเด็จเหลืออยู่เพียง 3 รูป เข้าประชุมไม่ไหวอีก 1 รูป ก็เหลือเข้าประชุมได้เพียง 2 รูป ส่วนฝ่ายมหานิกายก็เข้าประชุมได้แค่ครึ่งเดียว เพราะสมเด็จวัดญาณเวศและสมเด็จวัดปากน้ำ ทั้งเข้าประชุมไม่ได้และไม่ยอมเข้าประชุม สมเด็จประยุทธ์นั้น เข้าประชุมไม่ได้ เพราะอาพาธ ที่ไปกราบลาสมเด็จวัดปากน้ำ ตั้งแต่ก่อนจะมีการตั้งสังฆราช และตอนนั้นสมเด็จวัดปากน้ำยังเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชอยู่ แต่เมื่อสมเด็จวัดปากน้ำ "พลาด" จากตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ก็ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ขึ้นมา นั่นคือ ไม่ยอมเข้าประชุมมหาเถรสมาคมเลย จนกระทั่งบัดนี้ !
สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำ เดินทางไปเป็นประธานเปิดงานประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการโครงการหมู่บ้านศีลห้า ณ วัดไร่ขิง อ.สามพราน จ.นครปฐม วันที่ 19 ก.พ. 2561
เลี้ยงปลา แสดงว่า ไม่ได้ป่วย !
แต่..แต่กลับปรากฏว่า ในงานประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ โครงการหมู่บ้านศีลห้า ซึ่งจัดที่วัดไร่ขิง จังหวัดนครปฐม ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561 ที่ผ่านมา สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ได้เดินทางไปร่วมงานด้วย โดยไม่มีทีท่าว่าป่วยแต่อย่างใด ยิ้มแย้มแจ่มใส โปรยอาหารให้ปลาหน้าวัดอย่างสบายอกสบายใจ เหมือนไปปิ๊กนิก !
ตามเส้นทางนี้ จากวัดปากน้ำไปวัดไร่ขิง ต้องผ่านพุทธมณฑล หรือพุทธมณฑลอยู่ "ใกล้" กว่าวัดไร่ขิง แปลกแต่จริง ที่สมเด็จช่วงไปวัดไร่ขิงได้ แต่ไปพุทธมณฑลไม่ได้
คำถามก็คือ ระหว่างพุทธมณฑล ซึ่งเป็นสถานที่ประชุมมหาเถรสมาคม กับวัดไร่ขิง ซึ่งอยู่ในจังหวัดนครปฐมเหมือนกัน ทำไมสมเด็จช่วงไปร่วมงานศีลห้าวัดไร่ขิงได้ แต่ไปประชุมที่พุทธมณฑลไม่ได้ ?
และระหว่าง โครงการหมู่บ้านศีลห้า กับการประชุมมหาเถรสมาคม อย่างไหนสำคัญกว่ากัน ?
ตอบคำถามนี้ได้ก็ตอบปัญหาเรื่อง ป่วยการเมืองได้ เว้นแต่ไม่กล้าถามและไม่กล้าตอบ !
โปรดสังเกตว่า การขาดประชุม มส. นั้น ไม่มีโทษกำกับ ไม่ว่าจะป่วยจริงหรือไม่ แต่มันเป็นมารยาทที่เรียกว่า จริยาพระสังฆาธิการ สมเด็จช่วงนั้น ดำรงตำแหน่งมายาวนาน เคยเป็นถึงผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช จะไม่รู้เรื่องนี้ก็คงไม่ใช่ นอกเสียจากว่า "จงใจ" จะไม่ไปประชุม มส. ซึ่งก็ต้องตีความว่าเป็นการ ป่วยการเมือง ! แต่ป่วยชนิดนี้ ไม่มียาชนิดใดจะรักษา รัฐบาลหรือมหาเถรสมาคมจะลงโทษก็ไม่ได้ ปลดก็ไม่ได้ จนกระทั่งมาถึงมะม่วงพวงสุดท้าย นั่นคือ
วันที่ 24 พฤษภาคม 2561 เจ้าหน้าที่กองปราบปราม ได้นำกำลังเข้าจับกุม 3 กรรมการมหาเถรสมาคม อันประกอบด้วย 1. พระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ) เจ้าอาวาสวัดสระเกศ เจ้าคณะภาค 10 กรรมการมหาเถรสมาคม และประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ 2. พระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม) เจ้าอาวาสวัดสามพระยา เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร และกรรมการมหาเถรสมาคม 3. พระพรหมเมธี (จำนงค์ ธมฺมจารี) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ เจ้าคณะภาค 4-5-6-7 (ธรรมยุต) และกรรมการมหาเถรสมาคม
ปฏิบัติการ "ฟ้าสาง" กำราบเจ้าพ่อดงขมิ้นเมืองไทย
รวมทั้ง "พระพุทธะอิสระ" วัดอ้อน้อย ซึ่งถือว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพลในวงการสงฆ์ นำตัวไปฝากขังแต่ศาลไม่ให้ประกันตัว เลยถูกจับสึก รวมแล้ว 3 เหลือเพียงพระพรหมเมธีที่หนีไปเยอรมันนี จนกระทั่งบัดนี้ยังไม่ได้ตัวมาดำเนินคดี แต่ทั้งสามรูปก็ถูก "ถอดยศ" ออกจากพระราชาคณะในวันเดียวกัน ส่งผลให้หลุดจากทุกตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าอาวาส เจ้าคณะภาค เจ้าคณะ กทม. และกรรมการมหาเถรสมาคม โดยเฉพาะกรรมการมหาเถรสมาคมนั้น "ว่างทีละสาม" รวมกับพระสมเด็จที่ประชุมไม่ได้และไม่ยอมมาประชุมอีก 4 รูป รวมเป็น 7 ถือว่าวิกฤตพอๆ กับล้อรถหลุดไปครึ่งหนึ่ง ขืนวิ่งไปแบบนี้ก็มีหวังลงเหว หนามยอกนัยน์ตาของรัฐบาลที่เหลือก็น่าจะเป็น "สมเด็จช่วง" ที่ไม่ยอมเข้าประชุม มส. แต่กลับไปออกงานศีลห้าแทน จะประชดหรือตีรวนรัฐบาลผ่านมหาเถรสมาคมอย่างไรก็ไม่รู้ล่ะ แต่งานนี้มีได้มีเสีย รอแต่เวลาว่าหวยจะออกวันไหน ไม่เร็วก็ไว เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ก็แล้วกัน สัมมา อะระหัง !
วันที่ 8 มิถุนายน 2561 มีข่าวสั้นๆ จาก..นายพิสิฐชัย สว่างวัฒนากร เจ้าหน้าที่ดีเอสไอว่า "เตรียมจับเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ วัดพิชัยญาติ และวัดบวรนิเวศวิหาร" เท่านั้นเอง เล่นเอาผ้าเหลืองลุกเป็นไฟ มือม็อบทั่วไทยมีงานใหญ่ตกใส่พร้อมๆ กัน น้ำเลี้ยงพุ่งกระฉูดแตะพันล้าน เรียกว่ากะจะระดมกำลังกันเข้ามาทั้ง 4 ภาค แบบว่าตั้งเป้าชนรัฐบาลให้พังไปข้าง โดยเฉพาะธรรมกายนั้นได้ทีเอาคืน งานนี้ดีเดย์ ถ้าไม่..ดีเลย์ !
แต่..แต่รัฐบาลกลับลำทัน สั่งล็อคพิสิฐชัยไปตบปาก ข้อหาทำไก่ตื่น ก่อนจะประกาศข่าว "เช้านี้สดใส ไม่มีอะไร"
ทีนี้ เมื่อดำเนินคดีกับสมเด็จวัดปากน้ำไม่ได้ ถามว่า รัฐบาลจะเดินหน้าอย่างไรในการปฏิรูปคณะสงฆ์ เพราะถ้าปลด "สามพรหม" สายธรรมกาย พ้น มส. ได้ แต่ปลด "วัดพี่วัดน้อง" ของธรรมกายไม่ได้ ก็ไร้ค่า แน่นอนว่า รัฐบาลคงไม่ยอมหยุด เพราะวางโรดแม็ปไว้แล้ว เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน..บรื๊อ..!
เมื่อแผนแรกเหลว แผนสองก็ถูกนำออกมาปฏิบัติการ..ทันที ! คราวนี้ต้องเล่นเร็ว รุกเร็ว รับเร็ว และลับสุดๆ ! ที่สำคัญก็คือ เปลี่ยนที่เล่น ไม่ไปวัดปากน้ำแล้ว แต่จะ "ยิงไกล" ผ่านทำเนียบรัฐบาล-กฤษฎีกา และ สนช. เหมือนกรณี "แก้ไข ม.7 ตั้งสังฆราช" นั่นเอง ไปหรือไม่ไปวัดปากน้ำ สมเด็จช่วงก็ "ร่วง" อยู่ดี แถมดูดีเสียอีก ปะแป้งซะแดงแจ๋ว่า "เซ็ตซีโร่มหาเถรสมาคม"
พระพรหมบัณฑิต (ประยูร) วัดประยุรวงศาวาส กรรมการ มส. และอธิการบดี มจร.
วันที่ 22-24 มิถุนายน 2561 มีงานใหญ่ ประชุมสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกา ณ วัดอตัมมยตาราม เมืองซีแอ๊ตเติ้ล มลรัฐวอชิงตัน วางกำหนดการกันข้ามปี แม้แต่สำนักพุทธฯ ก็ส่งตัวแทนบินไปร่วมประชุมสังเกตการณ์ ซึ่งตามกำหนดการนั้น ศาสตราจารย์ พระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมฺมจิตฺโต ป.ธ.9 Ph.D ) เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาส เจ้าคณะภาค 2 กรรมการมหาเถรสมาคม และอธิการบดี มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) จะเดินทางมาเป็นประธานเปิดประชุมในวันที่ 23 มิถุนา เวลา 9 โมงเช้า แต่ในช่วงฉันเช้าวันนั้น (23 มิถุนายน) ทางโฆษกสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศ "เปลี่ยนโปรแกรม" กะทันหันว่า ขอยกเลิกการถ่ายภาพหมู่ในเช้าวันนี้ สอบถามอีกทีก็ทราบว่า ประธานสมัชชาสงฆ์ไทยไม่อยู่ ต้องรีบเดินทางไปส่งพระพรหมบัณฑิต บินกลับเมืองไทยด่วน !
สายข่าวรายงานว่า พระพรหมบัณฑิต บินเข้านครซีแอ๊ตเติ้ล จะถึงในเวลา 8 โมงเช้า แต่มีคำสั่งด่วนจากเลขาธิการสมเด็จพระสังฆราช ให้กลับประเทศไทย จึงต้องเปลี่ยนเครื่องกะทันหัน ไม่ทันถึงวัดอตัมมยตารามด้วยซ้ำไป
พร้อมๆ กันนั้น ก็มีข่าวจากประเทศไทยว่า กฤษฎีกาได้เผยแพร่ข่าวสาร เรื่องการรับฟังความคิดเห็นในการแก้ไข พรบ.คณะสงฆ์ ซึ่งรัฐบาลได้ผ่านมติ ครม. เมื่อวันที่ 19 มิ.ย. ก่อนจะส่งถึงกฤษฎีกาในวันเดียวกัน นั่นเองที่เป็นสาเหตุให้พระพรหมบัณฑิต ต้องทิ้งงานประชุมสมัชชาสงฆ์ไทยไปอย่างเฉียดฉิว
นั่นแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลไทยไม่ยอมหยุดจริงๆ ถึงจะดำเนินคดีกับวัดปากน้ำไม่ได้ ก็หันมา "แก้ไข พรบ.คณะสงฆ์" เป้าหมายก็คือ "ปลดสมเด็จวัดปากน้ำออกจากกรรมการ มส. รวมทั้งสายธรรมกายรูปอื่นๆ" และไหนๆ ก็ไหนๆ ในเมื่อจะเล่นแล้วก็เล่นหนักซะเลยทีเดียว บัญชีนี้จึงเพิ่มรายการเข้าไป ให้ "กรรมการ มส. ทั้งสมเด็จและไม่ใช่สมเด็จ เจ้าคณะใหญ่ เจ้าคณะภาค ทั้งธรรมยุตและมหานิกาย" ต้องเป็นพระบรมราชโองการ แม้แต่สมเด็จพระสังฆราชก็ไม่มีโอกาสเห็นรายชื่อ ถือเป็นการปฏิวัติยึดอำนาจคณะสงฆ์อย่างมโหฬารที่สุดในประวัติศาสตร์
หมายความว่า ถ้าสามารถแก้ไขได้สำเร็จ ก็จะเซ็ตซีโร่ตั้งแต่ กรรมการมหาเถรสมาคม 20 ตำแหน่ง เจ้าคณะใหญ่ 5 ตำแหน่ง (ธรรมยุต 1 มหานิกาย 4) เจ้าคณะภาค 26 ตำแหน่ง (มหานิกาย 18 ธรรมยุต 8) รวมทั้งสิ้น 51 ตำแหน่ง และถ้ารวมทั้งรองเจ้าคณะภาคทั้งธรรมยุตและมหานิกายอีกร่วมๆ 46 ตำแหน่ง ก็ร่วมร้อย ถ้านับทั้ง "กองงานเลขา" ของเจ้าคณะพระสังฆาธิการ "ทั้งร้อย" เหล่านั้น ก็คงหลายร้อย งานนี้ถูก "เซ็ตซีโร่" เกลี้ยง
ยิ่งกว่า..สึนามิ !
สามผู้ทรงอิทธิพลแห่งวัดปากน้ำ กลาง : สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ขวา : พระวิสุทธิวงศาจารย์ (วิเชียร) รองเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ซ้าย : พระพรหมโมลี (สุชาติ) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ
ทีนี้ก็จะมาว่ากันด้วย "ตำแหน่งสำคัญ" ที่จะโดนเซ็ตซีโร่ในคราวนี้ จะเช็ครายชื่อเรียงตัวเหมือนยาขอบเขียนสามก๊กฉบับวณิพกกันเลยทีเดียว แต่ไม่ต้องห่วงว่าจะเยิ่นเย้อหรอกท่าน ข้าพเจ้าเองก็ไม่ชอบสำนวนน้ำท่วมทุ่งซักเท่าไหร่
อันดับแรกที่จะโดนก่อนใครก็คงหนีไม่พ้น "สมเด็จช่วง" เจ้าของลีลา "ไปประชุมศีลห้า แต่ไม่ยอมไปประชุม มส." ทั้งๆ ที่ พุทธมณฑลและวัดไร่ขิงนั้น ก็อยู่ในเขตจังหวัดนครปฐม ไปวัดไร่ขิงได้ แต่ไปพุทธมณฑลไม่ได้ จะตอบคำถาม "บิ๊กตู่" ว่าอย่างไร ?
จับสึก-ดำเนินคดีไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร บิ๊กตู่เคยขู่ "เจ้าคุณประสาร" เอาไว้ว่า "จับวันนี้ไม่ได้ ก็จับวันหน้า จับพรุ่งนี้ไม่ได้ ก็จับปีหน้า จับชาตินี้ไม่ได้ก็จับชาติหน้า" ดูพุทธะอิสระเป็นตัวอย่าง อย่าชะล่าใจ ดังนั้น ถึงจะทำอะไรสมเด็จช่วงไม่ได้ และเมื่อท่านประสงค์จะ "พักผ่อน" มีตำแหน่งแต่ไม่ยอมทำงาน แต่ยังรับเบี้ยหวัดเงินเดือนอยู่ บิ๊กตู่จึง "จัดให้" จะได้อยู่วัดปากน้ำไปตราบนานเท่านาน อย่าหวังว่าจะได้เหยียบพุทธมณฑลอีกเลย
ฟันธงว่า หลังแก้ไข พรบ.คณะสงฆ์ ครั้งที่สองของบิ๊กตู่ในครั้งนี้ สมเด็จช่วง โดนรีเซ็ตเป็นรูปแรก
เจ้าคุณวิเชียร กับ เจ้าคุณพิมพ์
รูปต่อไปก็น่าจะใช่ "พระวิสุทธิวงศาจารย์" หรือเจ้าคุณวิเชียร อโนมคุโณ รองเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ กรรมการมหาเถรสมาคม ซึ่งช่วงหลังเป็นตัวแทนสมเด็จช่วงไปนั่งเป็นประธานงานธรรมกายอย่างเสมอต้นเสมอปลาย เมื่อสมเด็จช่วงสละเก้าอี้ "เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ" เพื่อหวังผล "ขึ้นนั่งเก้าอี้สมเด็จพระสังฆราชอย่างเต็มตัว" นั้น ก็ผลักดันเจ้าคุณวิเชียรให้ขึ้นนั่งแทน พอขึ้นเป็นเจ้าคณะใหญ่หนเหนือ เจ้าคุณวิเชียรก็ดึงเอา "มหานิกร" เชื้อสายสุพรรณบุรี จากเลขาฯ ของเจ้าคุณวิเชียร ขึ้นนั่งเก้าอี้ "รองเจ้าคณะภาค 7" สืบท่ออำนาจในสายวัดปากน้ำทันที พฤติกรรมไม่ต่างไปจากสาย "วัดชนะสงคราม" เท่าใดเลย
เจ้าคุณวิเชียร นำธรรมกาย ยึดเมืองเชียงใหม่
งานตักบาตรพระของธรรมกายในเมืองเชียงใหม่และภาค 7 นั้น ก็มีเจ้าคุณวิเชียรนี่แหละ ไปนั่งเอ้เต้เป็นประธาน ทำเอาเจ้าคณะพระสังฆาธิการในภาคเหนือ "จำยอม" ต้องไปร่วมงาน ไม่งั้นจะไม่เจริญในหน้าที่การงาน
งานการปกครองคณะสงฆ์นั้น คือรับสนองงานของมหาเถรสมาคมและนำเอานโยบายของคณะสงฆ์ที่ผ่านมหาเถรสมาคมไปปฏิบัติให้บรรลุผล แต่สายวัดปากน้ำกลับนำเอาตำแหน่งไปใช้เป็นเครื่องมือ "เผยแพร่ลัทธิธรรมกาย" อันเป็นอุดมการณ์ส่วนตัว เหนือกว่านโยบายของคณะสงฆ์ ทำการครอบงำจารีตประเพณีอันดีงามของท้องถิ่นที่มีมานาน ด้วยจุดมุ่งหมายจะนำเอาลัทธิธรรมกายขึ้นเป็นนิกายหลักของคณะสงฆ์ไทย เป้าหมายแรกก็คือ ภาคเหนือ ซึ่งสายวัดปากน้ำครองอำนาจมาอย่างยาวนาน และวางทายาทไว้อีกหลายทอด แบบว่าถ้าจะรื้อก็คงต้องรื้อ "ทั้งหลัง" เพราะพระภาคเหนือถูกสมเด็จช่วงสั่งเปลี่ยนแม้กระทั่งสีจีวร ความเสียหายจากลัทธิธรรมกายที่เกิดขึ้นนั้น วัดปากน้ำมีส่วนสร้างอย่างสำคัญ ทั้งเป็นบ่อเกิดลัทธิ เป็นจุดเผยแพร่ในเบื้องต้น และช่วยเหลือเกื้อกูลจนเติบใหญ่ ดังนั้น จะปัดความรับผิดชอบหาได้ไม่ การเซ็ตซีโร่จึงถือว่านุ่มหรือเบาที่สุดแล้ว ถ้าเป็นสมัยโบราณนั้นก็คงระดับ "ประหาร" ไปเจ็ดชั่วโคตร
พระราชปริยัติกวี (สมจินต์ สมฺมาปญฺโญ ป.ธ.9) แต่ว่าวัดปากน้ำก็ใช่จะไร้พระดีมีคุณภาพเสียเมื่อไหร่ ที่เห็นๆ ก็น่าจะเป็น "พระราชปริยัติกวี" หรือ เจ้าคุณสมจินต์ ซึ่งเป็นที่ ป.ธ.9 และ Ph.D. มีตำแหน่งเป็นถึง "รองอธิการบดี มจร. ฝ่ายวิชาการ" ฐานความรู้จึงแน่นปึ๊ก หลังสุด เจ้าคุณสุชาติ ดึงมานั่งเก้าอี้ "เลขานุการแม่กองบาลีสนามหลวง" ผ่านงานสำคัญมาอย่างโชกโชน หากไม่มีเก้าอี้บริหารคณะสงฆ์นั่งเลยก็..เสียดาย
เจ้าคุณพิมพ์ ไปร่วมงานวันเกิดธัมมชโย เมษา-59
อีกท่านที่สำคัญในภาคเหนือก็คือ "เจ้าคุณพิมพ์-พระพรหมเสนาบดี" เจ้าอาวาสวัดปทุมคงคา และเจ้าคณะภาค 7 ซึ่งทีแรกก็กะจะคั่ว "กรรมการ มส." เมื่อสามพรหมโดนปลด แต่วันนี้เหมือนมีกรรมบัง เมื่อ มส. โดนรีเซ็ต ลามมาจนถึงเจ้าคณะภาคด้วย เจ้าคุณพิมพ์นั้น แรกๆ ก็ดูเหมือนจะ "น้ำดี" เพราะวางตัว "เข้าได้ทุกค่าย" แต่พอวัดปากน้ำผงาดเป็นปฏิบัติหน้าที่สังฆราช เจ้าคุณพิมพ์ก็อาสา "นำหน้า" ในโครงการหมู่บ้านศีลห้า วิ่งเข้าหา "ตุ๊แป๊ะ" เป็นทางด่วนขึ้นสู่ชั้นพรหม ถึงกับลงทุนดึง "ตุ๊แป๊ะ" มาเป็นกรรมการหมู่บ้านศีลห้าด้วย และเมื่อต้องการคะแนนนิยมอย่างหน้ามืด จึงวิ่งเข้าหา "ธรรมกาย" หวังใช้โครงการ "เด็กดีวีสตาร์" ดึงบิดามารดาในกรุงเทพฯ เข้ามาเป็นฐานเสียง ถึงกับยอมไป "นั่งหัวแถว" ในงานวันเกิดธัมมชโย ซึ่งโดนคดีไปหลายแล้ว แต่เจ้าคุณพิมพ์ก็..ไม่แคร์ ! เจ้าคุณพิมพ์จึงถือว่าเป็นทั้ง "เครือข่ายธรรมกายและวัดปากน้ำ" เต็มตัว แต่ก็ต้องเข้าใจว่า ถ้าไม่ทำตัวให้เป็นเขา เขาก็จะทำตัวไม่เป็นเราเช่นกัน กรณี "พระธรรมเสนาบดี" (ธงชัย สุวณฺณสิริ) วัดพระธาตุดอยสุเทพฯ เป็นตัวอย่าง ไม่ใกล้ชิดกับวัดปากน้ำ เลยถูกกีดกันไม่ให้ขึ้นดำรงตำแหน่ง "เจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่" โดนโยกไปนั่งตบยุงที่ "รองภาคเจ็ด" จากนั้น ท่านวิเชียรจึงไปดึงเอาสายที่อ่อนและปกครองง่ายมาเป็นหุ่นเชิดแทน "เจ้าคุณสะอาด" วัดเจ็ดยอดนั้น อ่อนน้อมถ่อมตน โอนเอนยอมให้ธรรมกายเอา "พระกาโม่" ไปตั้งไว้กลางวัดเจ็ดยอด เหมือนจะเริ่มทำสังคายนาจากสมัยพระเจ้าลกมหาราชมาเป็นของ "ธัมมชโย" เจ้าคุณโสภณ วัดพระสิงห์ ก็ใช้สูตรเดียวกัน ถึงกับยอมเอาพระกาโม่ไปตั้งในวัดพระสิงห์ พระคู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่ ไม่อายใครในหล้า ปรากฏว่ากระโดดขึ้น "ชั้นเทพ" ทันตาเห็น
ไหว้พระอะไรก็ไม่ได้อานิสงส์ไว้เท่ากับพระกาโม่ รักษาศีลอะไรก็ไม่โตไวเท่ากับศีลห้า
เซียนพระสมัยสมเด็จช่วงว่ากันอย่างนั้น
สิ่งเหล่านี้บ่งชี้ว่า พระสังฆาธิการของไทยมากมาย ไร้อุดมการณ์ แต่พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่ง "ยศ ทรัพย์ และอำนาจ" ยินยอมแม้กระทั่ง "ขายอุดมการณ์" ซึ่งบูรพาจารย์ได้เคยสร้างสรรค์เอาไว้ให้เป็นศักดิ์เป็นศรีแก่บ้านเมือง เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจ ไม่คิดว่าจะเกิดในเมืองเชียงใหม่ใน พ.ศ.นี้
เมืองหลวงคือ กรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์ นั้น ถูกรีเซ็ตไปแล้ว หลังเจ้าคุณเอื้อนโดนคดี แต่เมืองหลวงภาคเหนือ คือ นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ ยังติดอยู่ในอาณาจักรวัดปากน้ำและธรรมกาย แบบไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดวงจรอุบาทว์เมื่อไหร่ เพราะมองไปทางไหนก็เจอแต่..ปากน้ำ กับ ธรรมกาย
สรุปว่า สามผู้ยิ่งใหญ่ในสายเหนือ ได้แก่ พระวิสุทธิวงศาจารย์ (วิเชียร) พระพรหมเสนาบดี (พิมพ์) และ พระราชวิสุทธิเวที (นิกร) คงต้องถูกรีเซ็ตไปในคราวนี้ด้วย
เจ้าคุณสุชาติ (พระพรหมโมลี) วัดปากน้ำ แม่กองบาลีสนามหลวง เจ้าคณะภาค 5 และกรรมการ มส.
สองสหาย เณรนาคหลวง ปี 2519
ส่วน "เจ้าคุณสุชาติ-พระพรหมโมลี" มือวางอันดับสามในวัดปากน้ำนั้น ก็ยังก้ำกึ่งว่าจะโดนโละในคราวนี้ด้วยหรือไม่ แต่จากบทบาทที่ผ่านมา ถือว่าเจ้าคุณสุชาติ "รักษาเนื้อรักษาตัวดี" ไม่มีด่างพร้อย คือไม่ยอมไปปรากฏตัวที่วัดพระธรรมกาย แถมยังมีสายสัมพันธ์ "เป็นเพื่อนร่วมรุ่น" กับเจ้าคุณประยูร-พระพรหมบัณฑิต อธิการบดี มจร. ถือว่าในสายวิชาการแน่นปึ๊ก ถ้าดึงแขนเจ้าคุณประยูรไว้ได้ ก็น่าจะพอหลบมรสุมไปได้ เผลอบุญหล่นทับได้เป็นเจ้าอาวาสวัดปากน้ำไวๆ นี้ เพราะอะไรก็ไม่แน่
สามเด็กเส้นในวงการสงฆ์ ซ้าย : พระราชรัตนมุนี (บุญเทียม) วัดพิชัยญาติ เลขาฯสมเด็จสมศักดิ์ กลาง : พระราชวิสุทธิเวที (นิกร) วัดปากน้ำ เลขาฯ พระวิสุทธิวงศาจารย์ ขวา : พระเทพสุธี (สายชล) หลานสมเด็จนิยม วัดชนะสงคราม เจ้าคณะภาค 1
กลับมาภาคกลาง โฟกัสไปที่ "นัมเบอร์วัน" อันได้แก่ สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม) วัดพิชัยญาติ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง คุมทั้งภาค 1 และ กทม. ไว้ในอำนาจ เคยประกาศว่า "จะรักษาปฏิปทาและแนวทางที่สมเด็จพระมหาธีราจารย์-นิยม อดีตเจ้าอาวาสวัดชนะสงครามและอดีตเจ้าคณะใหญ่หนกลางได้วางเอาไว้" พูดได้ไม่กี่วัน ก็ดึงเอา "มหาสายชล" หลานและเด็กเทกระโถนของสมเด็จนิยม ขึ้นนั่งเก้าอี้ "ภาคหนึ่ง" ยืนหัวแถวในบรรดา 18 ภาคของประเทศไทย ถ้าเป็นทหาร ก็ต้องเป็น "แม่ทัพภาค 1" สามารถจี้รัฐบาลได้ทุกเวลา ตำแหน่งนี้ถือว่ามีอิทธิพลสูงสุด รองจากเจ้าคณะใหญ่หนกลางเท่านั้น
และแล้วมหาสายชลก็ไม่ทำให้สมเด็จสมศักดิ์ผิดหวัง เมื่อเกิดกรณี "พระมิตซูโอะ" แอบไปสึกกลางดึกที่วัดชนะสงครามคราวนั้น มหาสายชลโชว์อัพว่า "พระมิตซูโอะไม่ได้มาสึกที่วัดชนะสงคราม สงสัยจะเป็นสงครามอื่น ที่มีชื่อคล้ายกัน" อีกไม่กี่วัน ทิดมิตซูโอะก็โผล่ออกทีวี โชว์หนังสือสุทธิว่า "สึกที่วัดชนะสงครามบางลำพู" เล่นเอามหาสายชลมุดหัวหลบห่าน้ำลายแทบไม่ทัน เมื่อเกิดปัญหาธรรมกายขั้นวิกฤตนั้น เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ สนธิกำลังกันเข้าปิดล้อมตามหาธัมมชโย มหาสายชลในฐานะเจ้าคณะภาค 1 กลับทำตัวเป็น "อีแอบ" ซ่อนตัวอยู่หลังม่าน กอดเก้าอี้เจ้าคณะภาค 1 ไว้ กลัวหลุด พุทธะอิสระอดสงสัยไม่ได้จึงวิ่งไปวัดชนะสงครามถามกับตัวเอง ก็ได้รับคำตอบว่า "ผมตัวคนเดียวจะมีอำนาจอะไรไปต่อกรกับเขา (ธรรมกาย) ได้" เล่นเอาหัวร่อไม่ได้ ร่ำไห้ไม่ออก ก็ตัวเองไม่มีบารมีหรือนน้ำยาจะไปบัญชาการใคร แล้วสะเออะรับตำแหน่งไปทำอะไร
ผลงานของมหาสายชลที่ดีเด่นและเห็นประจักษ์ก็คือ ทำเรื่องขอเลื่อนสมณศักดิ์ 9 ปี 3 ขั้น ตกขั้นละ 3 ปี
วันนี้ ถึงคิดจะลาออกก็คงสายเกินไปเสียแล้ว สำหรับ "ตาลสุก" อย่างมหาสายชล สอยก็ร่วง ไม่สอยก็ร่วง
ต้นเหตุที่ทำให้รัฐบาล "ขยายวง" จากมหาเถรสมาคมลงมาถึงเจ้าคณะภาค ก็เชื่อว่ามาจากบทบาทของ "มหาสายชล" นี่แหละ เพราะตำแหน่งนี้คือผู้ชี้เป็นชี้ตายต่อฐานะของธัมมชโยและเหล่าเจ้าคุณวัดพระธรรมกาย เสียดายที่เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินทรงเมตตา แต่สุดท้ายก็กลายเป็นมะลิลา
สมเด็จสมศักดิ์ ยังมีศิษย์รักอยู่อีกรูปหนึ่ง มีนามกรว่า "เจ้าคุณบุญเทียม" ติดยศชั้นราชเป็นพระราชรัตนมุนี ถือว่ามาแรงที่สุดแห่งยุค แต่กลับไปสะดุดในคดีเงินทอนวัด ข่าวล่าสุดว่า หลบลี้หนีไปอยู่ต่างประเทศ เหมือนเจ้าคุณแป๊ะวัดปากน้ำ แต่ก็ยังไม่พิธีอะไรจากวัดพิชัยญาติของสมเด็จสมศักดิ์ สงสัยงานนี้จะสวีวี่วีทั้งเจ้านายและลูกน้อง
นักกฎหมายระบุตรงกันว่า ปัญหาวัดพระธรรมกายนั้น สุดท้ายมิได้ติดที่วัดปากน้ำ เพราะไม่ได้คุมกำลังโดยตรง แต่ติดที่วัดพิชัยญาติและวัดชนะสงคราม ซึ่งมีอำนาจแต่ไม่กล้าทำอะไร ส่งผลให้รัฐบาลต้องออกนอกหน้าเข้าจัดการปัญหาเอง เลยโดยถล่มเสียรังวัดไปหลายวา แต่ว่าสมเด็จสมศักดิ์เอย มหาสายชลเอย ต่างไม่รู้สึกรู้สา ยังคงเชื่อมั่นว่าจะไม่มีอะไรมาสั่นสะเทือนเก้าอี้แห่งอำนาจได้ เพราะสาย อ.ย. นั้น รักกันเหนียวแน่นกว่าสายสุพรรณ
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (สนิท ชวนปญฺโญ) วัดไตรมิตร เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก กรรมการ มส.
ก็ถือว่า "อาการน่าเป็นห่วง" สำหรับสมเด็จสนิท วัดไตรมิตร เพราะมีประวัติเคยร่วมงานธรรมกายออกบ่อย มาคราวนี้จะถึงคิว "เซ็ตซีโร่" ตามวัดปากน้ำไปด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้
พระราชเมธี (วิชา อภิญฺญาโณ) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตร รองเจ้าคณะภาค 8
รู้แต่ว่า "มหาวิชา" พระราชเมธี ผู้ช่วยของสมเด็จสนิทนั้น "สนิทสนม" กับธรรมกายสุดๆ ลงทุนเดินธุดงค์ธรรมกายมาหลายรอบ งานไหนใครไม่ไป แต่วิชาไป ไม่สนใจสายตาใคร แถมยังได้ดิบได้ดีเป็นถึง "รองเจ้าคณะภาค 8" ของเจ้าคุณเก็งอีกด้วย ต้องเซ็ตซีโร่มหาวิชาก่อน จึงจะไปผ่อนเบาที่..สมเด็จสนิท
พระพรหมวชิรญาณ (ประสฤษดิ์ เขมงฺกโร) เจ้าอาวาสวัดยานนาวา กรรมการ มส.
พระพรหมวชิรญาณ ประกาศ สลายขั้ว ไม่เล่นพรรคเล่นพวก ไม่เลือกภาค ไม่มีพระไทยพระลาว พระบ้านนอกหรือพระในกรุง ทุกรูปทุกองค์คือ พระไทย แต่ทำได้หรือไม่ ก็ต้องรอดู เพราะสิบปากว่าหรือจะเท่าตาเห็น
ถามว่า พระพรหมวชิรญาณ หรือเจ้าคุณประสฤษดิ์ล่ะ จะติดโผไหนในงวดนี้ เซียนพระชี้ว่า "ก็น่าจะไม่พลาด" เพราะว่างมากเหลือเกิน เกิน 10 ตำแหน่งละมั๊ง คือหลังจาก "เจ้าคุณธงชัย" วัดสระเกศ หลุดจากตำแหน่งประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ เจ้าคุณประสฤษดิ์ก็เข้าปฏิบัติหน้าที่แทนทันที ต่อไปนี้คงจะมีบทบาทมากขึ้นในด้านใดด้านหนึ่ง จึงต้องจับตามองอย่ากะพริบเช่นกัน อย่างล่าสุด เฟสบุ๊ควัดยานนาวา ก็ขึ้นภาพพระพรหมวชิรญาณ พร้อมกับข้อความ "ต้องทำงานได้กับทุกคน อย่าเลือกพวกเลือกภาค ทำงานพระศาสนาต้องใจกว้าง" ก็ต้องรอดูถ้ามีอำนาจจะสามารถทำได้อย่างที่พูดหรือไม่ เพราะส่วนใหญ่ "ก่อนได้เป็น" ก็เห็นพูดแบบนี้ทั้งนั้น
สมเด็จพระวันรัต (จุณฑ์) วัดบวรนิเวศวิหาร เจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต
สมเด็จจุณฑ์ กับ เจ้าคุณวงศ์ไทย เจ้าคณะจังหวัดอุดรธานี และเจ้าอาวาสวัดโพธิสมภรณ์
ส่วนสายธรรมยุตนั้น ทุกวันนี้ ทุกสายตา โฟกัสปัญหาใหญ่ไปที่ "บางลำพู" ของ "สมเด็จพระวันรัต" หรือสมเด็จจุณฑ์ ซึ่งมีวีรกรรมหลายอย่าง ตั้งแต่เป็นรักษาการเจ้าอาวาสวัดมกุฏกษัตริยาราม แต่โดนพระในวัดต่อต้าน ไม่ยอมร่วมสังฆกรรม ทำนองวัดแตก ต่อมาก็ไปหนุน "เจ้าคุณวงศ์ไทย" อย่างออกหน้า ตั้งเป็นรักษาการเจ้าอาวาสวัดโพธิสมภรณ์ อุดรธานี ข้ามหน้าครูบาอาจารย์ "หลวงพ่อสิงห์" ซึ่งเป็นถึงเจ้าคณะจังหวัด เลยถูกพระป่าลงมติ "ไม่ยอมรับ" น่าจะหยุด แต่กลับดันทุรัง เข็นเจ้าคุณวงศ์ไทยขึ้นเป็น "เจ้าคณะจังหวัดอุดร" ก่อนเป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิสมภรณ์ ทำนอง "สวมกางเกงนอกก่อนกางเกงใน" และสุดท้ายก็สามารถ "ยึด" อุดรธานีไว้ได้ทั้งหมด แบบผิดรูปผิดร่าง สร้างตำนานวิปริตในวงการพระธรรมยุต ว่ากันว่า ตัวสมเด็จจุณฑ์นั้นแทบจะไปอุดรไม่ได้ เพราะพระป่าไม่ยอมรับ แม้จะเป็นรักษาการเจ้าคุณใหญ่ธรรมยุต แต่พระป่าก็ไม่ไปวัดบวรนิเวศวิหาร ทุกสายมุ่งหน้าไปวัดราชบพิธเท่านั้น ยกเว้น "พระสงบ กุสลจิตฺโต" วัดป่าสุขใจ สมุทรปราการ ซึ่งออกมาหนุน "อ้อยเตโช" อย่างโฉ่งฉ่าง ขานั้นเดิมตามก้นเจ้าคุณจุณฑ์ยังกะลูกแมว
ภาพรวมของสมเด็จจุณฑ์นั้น อย่านับว่าจะได้เป็นสังฆราชเลย แม้แต่เจ้าอาวาสวัดบวรก็ยังไม่รู้ผีรู้คน ต้องรอดูว่า หลังจากเซ็ตซีโร่แล้ว รัฐบาลจะทำอย่างไร กับวัดที่เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินหลังจากทรงผนวชแล้วเสด็จไปประทับมาหลายรัชกาลแห่งนี้
พระธรรมกิตติเมธี (เกษม สญฺญโต ป.ธ.9) วัดราชาธิวาส เจ้าคณะภาค 16-17-18 ธรรมยุต ประธานศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย
"ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย" ของเจ้าคุณเกษม (พระธรรมกิตติเมธี) วัดราชาธิวาส ซึ่งมีบทบาทดูเหมือนว่า "จะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับรัฐบาลกลายๆ" คล้ายๆ จะไปทางเจ้าคุณจำนงค์ วัดสัมพันธวงศ์ ยิ่งมี "เจ้าคุณประสาร" มาพัวพัน ก็ยิ่งทำให้ไม่แน่ใจนักว่า "รัฐบาลจะไว้ใจหรือเปล่า" จึงต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่าจะโดนรีเซ็ตไปในคราวนี้ด้วยหรือไม่ เพราะเจ้าคุณเกษมนั้นท่านเป็น "เจ้าคณะภาค 16-17-18" ของฝ่ายธรรมยุต อยู่ในข่ายถูกเซ็ตซีโร่ด้วยซี
สุรชัย-สุรพล สองขุนพลแห่งภาค 12 ซ้าย : พระเทพรัตนมุนี (สุรชัย) วัดสระเกศ เจ้าคณะภาค 12 ขวา : พระราชเวที (สุรพล) วัดพระเชตุพนฯ รองเจ้าคณะภาค 12
กลับมาที่ "วัดสระเกศ" ซึ่งหลังจาก "เจ้าคุณธงชัย-พระพรหมสิทธิ" ถูกจับถอดผ้าเหลือง หลุดทั้งตำแหน่งเจ้าอาวาส เจ้าคณะภาค 10 กรรมการ มส. และประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ ส่งผลให้ "พระเทพรัตนมุนี-สุรชัย" ได้ขึ้นรักษาการเจ้าอาวาส แต่ยังคงดำรงตำแหน่ง "เจ้าคณะภาค 12" คุมวัดโสธรอันร่ำรวยที่สุดในประเทศไทย
เจ้าคุณสุรชัยนั้น เป็นเด็กปั้นของ "เจ้าคุณเสนาะ-พระพรหมสุธี" ดึงขึ้นมาเป็น "รอง" สืบทอดอำนาจในภาค 12 ก่อนจะหมดอำนาจ ซึ่งตอนนั้น เจ้าคุณสุรชัยก็แทบสิ้นใจไปแล้ว เพราะหมดนายก็หมดสิ้น แต่โชคดีที่ในวัดสระเกศ "ไม่มีตัว" ถ้าไม่เอาเจ้าคุณสุรชัย ก็คงต้องให้ "เจ้าคุณธงชัย-วัดไตรมิตร" แต่สุดท้ายก็เข้าตำรา "เราได้ดีกว่าเขาได้" สุรชัยจึงยิ่งใหญ่กว่าเจ้าอาวาสวัดสระเกศ เพราะได้คุม "ภาคใหญ่กว่า" ในตะวันออกกลาง เหมือนมีบ่อน้ำมันอยู่ในบ้าน แต่ยังเจาะมาใช้ไม่ได้ เพราะเครื่องไม้เครื่องมือยังไม่ถึง
แต่ถึงกระนั้น ด้วยพรรษาและบารมีที่เห็นและเป็นไป ส่งผลให้เจ้าคุณสุรชัย "ไร้บทบาท" อย่างสิ้นเชิง เพราะในวัดสระเกศนั้นเป็นเพียง "ผู้ช่วยเจ้าอาวาส" เหมือนมหาสายชล จึงไม่มีเงินหรือกำลังพลในมือ ที่จะใช้ในการบริหารปกครองภาค 12 ถ้าได้เป็นเจ้าอาวาสวัดสระเกศก็ไม่แน่ แต่รุ่นพี่ในวัดจะยอมรับหรือ และถ้าไม่ได้ตำแหน่งเจ้าอาวาสคราวนี้ ก็ชี้ได้ว่า อาจจะหลุดทั้งภาค 12 ไปด้วย
ถามต่อไปว่า วิจารณ์มามากมาย ว่าใครจะหลุด ใครถูกรีเซ็ต แต่ไม่บอกว่าใครจะได้เป็นเลย ? ก็ตอบว่า ก็พอเห็นตัวอยู่บ้าง แต่ว่าไม่ทั้งหมด เพราะคณะสงฆ์ไทยนั้น แบ่งออกเป็น 2 นิกายมาร้อยกว่าปีแล้ว ทำนองฝ่ายค้านกับรัฐบาล ดังนั้นเรื่องผลัดกันครองอำนาจจึงอยู่ที่ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชเท่านั้น ตำแหน่งรองลงมาทั้งหมด ก็ถูก "แบ่งแยกและปกครอง" มาอย่างยาวนาน จนเป็นประเพณี ไม่มีใครล้ำเส้นใคร
ดังนั้น ในฝ่ายมหานิกายเอง ก็พัวพันนันนัว แยกไม่ออกอย่างเด็ดขาดว่า รูปนี้ไม่มีความสัมพันธ์หรือรู้จักมักคุ้นกับรูปนั้น สังคมสงฆ์ไทยค่อนข้างแคบ จะแยกสายแยกสีให้ชัดเจนนั้นยาก แต่ก็อยากจะ "ใบ้หวย" ต่อไปว่า
พระพรหมบัณฑิต (ประยูร) วัดประยุรวงศาวาส อธิการบดีมหาวิทยาลัย มจร. เจ้าคณะภาค 2 และกรรมการ มส.
ถ้าเป็นตำแหน่ง "เจ้าคณะใหญ่หนกลาง" หลังจากสมเด็จสมศักดิ์ ถูกรีเซ็ตแล้ว แถวหน้าก็เห็นแต่ "พระพรหมบัณฑิต-ประยูร ธมฺมจิตฺโต" วัดประยุรวงศาวาส อธิการบดี มจร. เท่านั้น ที่จะขึ้นมานั่งเก้าอี้ใหญ่ตัวนี้ได้อย่างสมศักดิ์ศรี ทีเหลือเชื่อว่ามือไม่ถึง
ส่วนตำแหน่ง "เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ" นั้น ก็เดายากอีก พระมหาเถระที่มากบารมีในส่วนกลาง และมีอิทธิพลในภาคเหนือนั้นมีน้อย เจ้าคุณพิมพ์ วัดปทุมคงคานั้น คงยากจะได้ขึ้น เพราะเบื้องหลังพัวพันกับวัดปากน้ำและธรรมกายเยอะมาก รักษาเก้าอี้ "ภาค 7" เอาไว้ได้ก็บุญโขแล้ว
พระธรรมราชานุวัตร (สุทัศน์ สุทสฺสโน) วัดพระแก้ว เชียงราย เจ้าคณะภาค 6
วัดพระแก้ว จังหวัดเชียงราย ของพระธรรมราชานุวัตร (สุทัศน์ สุทสฺสโน) ศิษย์เก่าวัดเบญจฯ ถือว่าห่างจากธรรมกาย แทบไม่มีมลทินในจุดนี้ ส่วนวัดปากน้ำนั้นก็สัมพันธ์กันในฐานะ "ผู้บังคับบัญชา" ถือว่ารักษาระยะห่างได้ดี ในอดีตนั้นได้ใกล้ชิดในรั้วในวังอยู่มากเช่นกัน โดยเฉพาะ "สมเด็จย่า" นั้นเสด็จประทับ ณ ตำแหนักแม่ฟ้าหลวง ในเขตการปกครองของวัดพระแก้ว จึงถือว่าอยู่ใกล้รั้วใกล้วังมาโดยตลอด เผลอๆ ตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่หนเหนือ อาจจะขึ้นเหนือไปจนสุดเขตแดนสยามก็เป็นได้ เพราะพระผู้ใหญ่ในสายเหนือที่มียศชั้นธรรมขึ้นไปนั้น ปัจจุบันมีน้อย ไม่ดอยสุเทพก็วัดพระแก้วนี่แหละ บางคนอาจจะแย้งว่า ตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่ไปอยู่ต่างจังหวัด จะเป็นไปได้หรือ ? ก็ขอตอบว่า ได้ไม่ได้ก็ดู "ภาคใต้" เป็นตัวอย่าง ใต้ได้ ทำไมเหนือจะไม่ได้ แล้วคอยดูสิ ระหว่าง "ตัวอยู่กรุง ตำแหน่งอยู่ต่างจังหวัด" กับ "ตัวและตำแหน่งอยู่ที่เดียวกัน" อย่างไหนจะทำงานได้ดีกว่ากัน ไม่ลองจะรู้หรือ ?
พระราชปริยัติ (สายัณห์ อรินฺทโม ป.ธ.9) วัดศรีโคมคำ เจ้าคณะจังหวัดพะเยา
เจ้าคุณสายัณห์ เจ้าคณะจังหวัดพะเยา นั้น มีดีกรีเป็นเณรนาคหลวง ถือว่าเป็นพระหนุ่มไฟแรงที่สุดในภาคเหนือ เพราะขึ้นครองตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดขณะอายุอยู่ที่ 40 ต้นๆ เท่านั้น ยังคงรักษาเนื้อรักษาตัวดีไม่มีด่างพร้อย ถ้าโอกาสเปิดก็น่าจะได้ขยับขึ้นไป..ใหญ่กว่านั้น แต่แค่นี้ก็เหลือกินแล้ว
พระธรรมรัตนดิลก (เชิด จิตฺตคุตฺโต) วัดสุทัศนเทพวราราม เจ้าคณะภาค 4
ในภาคกลางนั้น "วัดสุทัศนเทพวราราม" ของพระธรรมรัตนดิลก (เชิด จิตฺตคุตฺโต) พักหลังมานี้ก็รักษาเนื้อตัวดี แถมยังอยู่ใกล้กับวัดราชบพิธ ถือว่ามาแนวเดียวกัน น่าจะ "เข้าป้าย" ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง
เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายเข้าวัดสุทัศน์ยุคเจ้าคุณเชิดเป็นเจ้าอาวาส
ปัญหามีอยู่ว่า เมื่อสิ้นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (วีระ ภทฺทจารี) แล้ว สถานการณ์ทางคณะสงฆ์กำลังสุกงอม ใครต่อใครต่างก็ไม่เอาธรรมกายแล้ว อย่างน้อยก็ไม่ไปร่วมงาน เรื่องนิมนต์มาร่วมงานยิ่งไม่ต้องพูด แต่วัดสุทัศน์ของเจ้าคุณเชิดกลับทำตรงกันข้าม วันที่ 29 พฤศจิกายน 2560 พระครูสังฆรักษ์รังสฤษดิ์ อิทฺธิจินฺตโก เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ได้นำคณะสงฆ์วัดพระธรรมกาย ไปช่วยงานตรวจข้อสอบนักธรรมสนามหลวง ที่วัดสุทัศนเทพวราราม โดยได้ตั้งกองเลี้ยงน้ำปานะด้วย ก็เลยกลายเป็นว่า วัดสุทัศน์ของเจ้าคุณเชิดนั้น ถลำเข้าธรรมกายหนักกว่าเดิม จึงไม่แน่ใจว่าจะอยู่หรือจะไปในตำแหน่งเจ้าคณะภาค 4 ในคราวนี้
พระเทพวิสุทธิโมลี (บุญมา สปฺปญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดจักรวรรดิราชาวาส รองเจ้าคณะภาค 10
สายวัดจักรวรรดิราชาวาส หรือวัดสามปลื้ม ของพระเทพวิสุทธิโมลี (บุญมา) ก็ถือว่า รอเวลาเบ่งบาน เพราะเป็นรองภาค 10 มานาน วัดใหญ่ระดับอดีตสมเด็จแห่งนี้ น่าจะมีบทบาทในภาค 10 อีกครั้ง
ส่วนวัดใหญ่ในนครปฐมนั้น พระพรหมเวที (สุเทพ) เจ้าอาวาสวัดพระปฐมเจดีย์และเจ้าคณะภาค 15 ถือว่ารุ่นใหญ่ สูงส่งทั้งวุฒิการศึกษาและบารมี แถมมีเงินเยอะ บริหารแบบนี้ไม่เหนื่อย อาจจะคว้า "ภาค 1" ไปครอง ก็เป็นได้ หรือไม่ก็ขึ้นเป็น "กรรมการ มส." ไปเลย
พระเทพมหาเจติยาจารย์ (ชัยวัฒน์ ปญฺญาสิริ) รองเจ้าอาวาสวัดพระปฐมเจดีย์ เจ้าคณะจังหวันครปฐม ผู้นิยมในลัทธิธรรมกายอย่างสุดตัว พอๆ กับเจ้าคุณทองดี วัดราชโอรส
21 มกราคม 2561 เจ้าคุณชัยวัฒน์ บินไปร่วมงานตักบาตรของธรรมกายที่พม่า
แต่ยังมีปัญหาอยู่ว่า เจ้าคุณชัยวัฒน์ รองเจ้าอาวาสของเจ้าคุณสุเทพนั้น นิยมในลัทธิธรรมกายอย่างออกนอกหน้า ไปร่วมงานธรรมกายเสมอมา แม้ว่าธรรมกายจะโดนคดีมากมาย แต่เจ้าคุณชัยวัฒน์ก็ไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม ล่าสุด เดือนมกราคม ปีนี้ ถังกับลงทุนไปร่วมงานบิณฑบาตของธรรมกาย ที่เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมาร์ ถ้าไม่เคลียร์เรื่อง "ชัยวัฒน์" ก็เกรงว่าเจ้าคุณสุเทพจะเหนื่อย
พระเทพกิตติเวที (ฉ่ำ ปุญฺญชโย) เจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตร เจ้าคณะภาค 17
เจ้าคุณฉ่ำ (พระเทพกิตติเวที) วัดเบญจมบพิตร เจ้าคณะภาค 17 ก็น่าจะ "ยังอยู่" ไม่ถูกเซ็ตซีโร่ เพราะวัดใหญ่ระดับนี้ ต้องมีตำแหน่งประดับวัดไว้บ้าง แต่จะได้ขึ้นสูงกว่านั้นหรือไม่ ก็ต้องขยันออกงานหน่อย ล่าสุด เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เจ้าคุณฉ่ำ บินไปสวีท เอ๊ย สวิตฯ ที่วัดศรีนครินทร์ ของเจ้าคุณทองสูรย์ บรรยากาศม่วนซื่น ทีมวัดเบญจฯ แพ็กกันแน่นยิ่งกว่าป๋าท่องโก๋ ถ้าหลวงพ่อสวัสดิ์ (พระธรรมพุทธิวงศ์) ตัดสินใจ "ทิ้งเก้าอี้" ประธานสหภาพพระธรรมทูตไทยในทวีปยุโรป กลับมารับตำแหน่ง "เจ้าอาวาสวัดสระเกศ" ก็เชื่อว่า เจ้าคุณทองสูรย์ (พระเทพกิตติโมลี) จะมีภาษีกว่าเพื่อน ได้ขึ้นสู่ตำแหน่ง "ประธานสหภาพพระธรรมทูตไทยในทวีปยุโรป" ใหญ่บะเริ่มเทิ่ม สมน้ำ สมเนื้อ !
พระเทพวีราภรณ์ (สีนวล ปญฺญาวชิโร) เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือวัดโพธิ์
วัดโพธิ์ อดีตวัดอันดับหนึ่งของไทยตั้งแต่สมัยสร้างกรุงฯ ช่วงหลังหลายสิบปีมานี้ ไร้บทบาทอย่างสิ้นเชิง เพิ่งจะมาเกิดปาฏิหาริย์ในสมัยที่ "เจ้าคุณสีนวล-พระเทพวีราภรณ์" เป็นเจ้าอาวาส เมื่อจู่ๆ ท่านประธานาธิบดี บารัก โอบาม่า นึกอยากจะเที่ยววัดไทย แล้วก็ไปวัดโพธิ์ จนวัดโพธิ์โด่งดังไกลไปทั่วโลก ว่ากันว่า แค่ขายตั๋วให้นักท่องเที่ยวเข้าวัด ก็ได้ถึงวันละ 1 ล้าน เดือนละเท่าไหร่ ปีละเท่าไหร่ ไม่อยากคิด เพราะคิดแล้วจะเครียด แต่เจ้าคุณสีนวลนั้นท่านใช้เงินเป็น ใช้คนก็เป็น จึงเชื่อว่าจะสามารถพลิกบทบาท "วัดโพธิ์" ให้ใหญ่โตอีกครั้ง หลังจากส่ง "เจ้าคุณสุรพล" เข้าเสียบในตำแหน่ง "รองภาค 12" ของเจ้าคุณสุรชัยได้ ก็ต้องคอยดูต่อไปว่า วัดใหญ่แห่งนี้จะมีอิทธิฤทธิ์มากกว่านี้หรือไม่ มังกรนั้น ถ้านอนแค่ในหนองน้ำ ก็เป็นได้เพียงแค่..งูเหลือม !
พระราชพิพัฒนาภรณ์ (นิพนธ์ เขมโก) เจ้าอาวาสวัดหลักสี่ เคยสังกัดวัดโพธิ์ ท่าเตียน
ถามว่า ใครเคยไปโคราชบ้าง ? ถ้าไปแล้ว แถวๆ สีคิ้ว จะต้องผ่านอะไร ? ทุกคนที่เคยไปก็จะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า "ผ่านวิหารหลวงพ่อโตองค์ใหญ่" บ้างก็เรียกว่า วัดสรพงษ์ คนก็งงว่า สรพงษ์บวชพระตั้งแต่เมื่อไหร่ ? ในสมัย 40 ปีที่ผ่านมา ดาราแนวหน้าเมืองไทยไม่มีใครดังเกิน "สรพงษ์ ชาตรี - จารุณี สุขสวัสดิ์" สองดาราคู่ขวัญ คนไม่สนหรอกว่าหนังเรื่องนั้นมีบทอย่างไร แต่ถ้าไม่มี "สรพงษ์-จารุณี" แสดงเป็น "พระเอก-นางเอก" หนังเรื่องนั้นก็..ขายไม่ออก ปานนั้น สรพงษ์คือ "รุ่นใหญ่" ในแวดวงดาราไทยในวันนี้ ทั้งเรียกพี่เรียกพ่อ ต้องนั่งเป่าหัวดารารุ่นลูกรุ่นหลาน ที่คลานเข้ามาขอขึ้นครู พักหลังมานี้ สรพงษ์ยกระดับขึ้นรับบท "สมเด็จโต-พระมหาเถรคันฉ่อง" จนดังกระฉ่อนในวงการพระเครื่อง และเป็น "สรพงษ์ ชาตรี" ที่เป็นประธานมูลนิธิสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ตั้งอยู่ที่อำเภอสีคิ้ว นครราชสีมา ซึ่งเป็นจังหวัดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เพราะมีจำนวนประชากรมากที่สุดรองจากกรุงเทพเมืองหลวง สรพงษ์มาปักหลักอยู่ที่บ้านของภรรยา คือ คุณดวงเดือน จิไธสงค์ และได้สร้างรูปปั้นสมเด็จโตองค์โตขึ้นมาที่กลางทุ่ง ก่อนจะพัฒนามาเป็น "อุทยานมหาวิหารสมเด็จพระพุฒาจารย์โตใหญ่ที่สุดในโลก" ในปัจจุบัน วิ่งรถจากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทาง "ทางหลวงหมายเลข 1" ถึงสระบุรีแล้วเลี้ยวขวา เข้าทางหลวงหมายเลข 2 ที่เรียกว่าถนนมิตรภาพ มุ่งหน้าเข้าปากช่อง ก็จะผ่านหลวงพ่อโตทางด้านซ้ายมือ มีป้ายบอกไว้ไม่หลงแน่ และนอกจากจะไปไหว้หลวงพ่อโตแล้ว ก่อนเที่ยงหรือก่อนเพล ถ้าจะวิ่งรถผ่าน ส่วนใหญ่ก็จะพูดกันว่า "น่าจะไปทานราดหน้าสรพงษ์" ซึ่งทางมูลนิธิได้จัดเตรียมไว้ ทั้งถวายพระและบริการสาธุชน โดยไม่คิดมูลค่า แปลว่าฟรี มีเพียงตู้ให้บริจาค..ตามกำลังศรัทธา น่าจะเป็นร้านราดหน้า "ใหญ่ที่สุดในโลก" อีกด้วย เพราะวันหนึ่งบริการลูกค้าทั้งพระทั้งโยมนับหมื่นคน แค่ขายราดหน้าก็รวยแล้ว ถามว่า การสร้างอย่างอลังการงานสร้างระดับนี้ ลำพัง "สรพงษ์ ชาตรี" ทำได้หรือไม่ ? คำตอบก็คือ เป็นไปไม่ได้ แต่สรพงษ์ยังต้องอาศัยเหตุปัจจัยอีกมากมาย ก็ไล่ตั้งแต่ "วัดระฆังโฆสิตาราม" ของสมเด็จโต ไปจนถึงวัดอีกมากมาย ล้วนแต่ได้รับเชิญให้มาเป็นที่ปรึกษา ทั้งการสร้าง ด้านพิธีกรรม และอะไรอีกมากมาย ทั้งฝ่ายธรรมยุตและมหานิกาย ก็มีส่วนช่วยสร้างไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่ง จึงถ้าจะถามว่า ใครรู้จักสรพงษ์บ้าง ก็คงมีคนอ้างอย่างมากมาย
อาจารย์นิพนธ์ กับ สรพงษ์ ชาตรี
แต่..ว่ากันว่า ในบรรดา "พระสงฆ์" ที่สรพงษ์ ชาตรี ให้ความเคารพนบนอบและสนิทสนมเป็นการส่วนตัวนั้น มีไม่กี่รูป และหนึ่งในนั้น ชื่อของ "อาจารย์นิพนธ์" หรือ พระราชพิพัฒนาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดหลักสี่ ดูจะมีความแน่นเหนียวกว่าใคร
อาจารย์นิพนธ์ ผู้อยู่เบื้องหลัง สรพงษ์ ชาตรี
อาจารย์นิพนธ์นั่น ก่อนจะมาเป็นเจ้าอาวาสวัดหลักสี่ ท่านมีสำนักอยู่ที่วัดโพธิ์ท่าเตียน เป็นเจ้าคุณพระศรีสมโพธิ พอวัดหลักสี่ว่าง บุญก็หล่นทับให้ได้รับอาราธนามาครองวัดหลักสี่พระอารามหลวง วิ่งไปสีคิ้วได้สะดวก จึงถือว่า อาจารย์นิพนธ์เป็นสายวัดโพธิ์ คนโตระดับอาจารย์นิพนธ์ ซึ่งคุมสรพงษ์ไว้ในคาถามหานิยมนั้น นับว่าหาได้ยาก แต่..แต่กลับไม่มีบทบาทในวงการสงฆ์เลย เจ้าคณะ กทม. องค์ก่อน ตั้งท่านให้เป็น "ที่ปรึกษา" ถามว่าเหมาะสมไหม ? ได้อาจารย์นิพนธ์เข้ามาช่วยงานสงฆ์ ก็เหมือนได้สรพงษ์มาช่วยอีกแรงหนึ่ง แถมแรงมหาศาลด้วยสิ มันก็อยู่ที่ "ผู้มีอำนาจ" จะมองเห็นศักยภาพในตัวอาจารย์นิพนธ์ ก็พูดได้แค่นี้แหละ เดี๋ยวจะหาว่าเชียร์ !
พระธรรมปัญญาบดี (พีร์ สุชาโต) เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ ท่าพระจันทร์ อดีตเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร
พระธรรมโพธิวงศ์ (เจ้าคุณวีรยุทธ) เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา หัวหน้าพระธรรมทูตไทยสายอินเดีย-เนปาล สังกัดวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ กรุงเทพมหานคร
พระราชวิเทศปัญญาคุณ (เจ้าคุณเหลา) เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุสหราชอาณาจักร รองหัวหน้าองค์กรพระธรรมทูตไทยในสหราชอาณาจักร
ส่วนวัดใหญ่สุดของไทยในอดีต คือ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ ซึ่งเคยมีทั้ง "ตำหนักสมเด็จพระสังฆราช" และ "มหาวิทยาลัยสงฆ์" อยู่ในอาณาจักร เชื่อว่าก็น่าจะมีพระที่มีความรู้ความสามารถอยู่หลายรูป เพียงแต่ยังไม่ปรากฏตัว เพราะโอกาสยังไม่เปิด เปิดหน้าไพ่ชุดใหญ่คราวนี้ น่าจะมีอะไรเคลื่อนไหวในวัดใหญ่แห่งนี้บ้าง ว่ากันว่า บุคคลากรที่มีบทบาทสำคัญ "สายวัดมหาธาตุ" ในปัจจุบันนั้น ล้วนแต่อยู่ในต่างประเทศ อาทิเช่น พระธรรมโพธิวงศ์ หรือเจ้าคุณวีรยุทธ์ เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยาและประธานพระธรรมทูตไทยสายอินเดีย-เนปาล นั้น ปัจจุบันก็บารมีคับฟ้า สามารถผันเงินมาสร้างวัดใหญ่ "วัดสุวรรณภูมิพุทธชยันตี" ติดกับรั้วสนามบินสุวรรณภูมิ ยึดประตูใหญ่ของประเทศไทยเอาไว้ได้ เงินงบประมาณที่ทุ่มลงไปก็เกิน "พันล้าน" ผลงานในต่างแดนจึงไม่มีใครเทียบ แต่ก็เห็นลังเล พักหลังมานี้ชักจะไม่ค่อยสนใจ "วัดมหาธาตุ" อีกต่อไปแล้ว เพราะมากคนก็มากความ สู้สร้างวัดใหม่ในสุวรรณภูมิขึ้นมาน่าภาคภูมิใจกว่าเป็นไหนๆ ใหญ่กว่าด้วย ที่อังกฤษหรือสหราชอาณาจักรนั้น สายวัดมหาธาตุ ก็ยังครองอำนาจอยู่อย่างแน่นเหนียว ไล่ตั้งแต่ หลวงพ่อวัดพุทธปทีป (พระเทพภาวนามงคล-ธีรวัธน์ อมโร) เจ้าอาวาสวัดพุทธปทีปและประธานองค์กรพระธรรมทูตไทยในสหราชอาณาจักร ก็ไปจากวัดมหาธาตุฯ พระราชวิเทศปัญญาคุณ หรือเจ้าคุณเหลา วัดมหาธาตุฯ คิงส์บรอมลี่ รองประธานองค์กรฯ ก็ศิษย์เก่าวัดมหาธาตุฯ พระมหาภาสกร ป.9 เลขาฯองค์กรฯ ก็วัดมหาธาตุฯ จะบอกว่า ถึงวัดมหาธาตุฯ จะไม่ได้คุมกำลังในประเทศไทย แต่ในต่างประเทศ ทั้งอินเดียและอังกฤษนั้น วัดมหาธาตุฯ ก็คุมไว้ได้หมดสิ้น จึงไม่ทราบว่าจะมีการ "เรียกกำลัง" กลับจากส่วนหน้าหรือเปล่า ในกรณีที่ต้องการคนทำงาน
พระราชปริยัติสุนทร (อมรภิรักษ์ ปสนฺโน) เจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา
ในภาคตะวันออกนั้น ชื่อเสียงของ "พระราชปริยัติสุนทร" หรือเจ้าคุณอมรภิรักษ์ เจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา ดังกระฉ่อน เพราะเคยมีวีรกรรม "นำ 7 ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรวราราม ต่อต้านคำสั่งอันไม่ชอบธรรมของมหาเถรสมาคม" จนถูกดองไปหลายปี แต่เพราะมีฝีมือทางด้านการศึกษาแบบหาตัวจับยาก จึงได้รับการอภัยโทษ จากนั้นจึงก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง "เจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา" อย่างเต็มตัว นี่ก็รอเวลาจะได้มาทำงานใหญ่ให้แก่ประเทศชาติพระศาสนาอีกครั้ง
พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (โกวิท อภิปุญฺโญ ) เจ้าอาวาสวัดด่านใน รองเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา
ส่วนประตูเข้าสู่อีสานนั้น ที่โคราชบ้านเอ็ง ชื่อชั้นของ "ดร.พระมหาโกวิท" หรือพระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ แห่งวัดด่านในนั้น เวลานี้แทบไม่มีอะไรฉุดอยู่ เพราะดูพร้อมไปเสียทุกอย่าง ไม่ว่าจะด้านความรู้ และแรงสนับสนุน พัดเจ้าคุณรอยู่แค่เอื้อม ยี่ห้อ ดร.โกวิท เป็นอะไรแต่ละทีก็ต้อง "พร้อมและใหญ่" เล็กๆ ไม่ เป็นปลาร้าก็ต้องทรงเครื่อง เป็นขนมเบื้องก็ต้อง..ชาววัง ผลงานในเมืองไทยไม่ต้องพูดถึง ไปดูการเนรมิต "วัดไทยพุทธภูมิ" ที่พุทธคยา ขึ้นมาได้ไม่กี่ปี เป็นวัดไทยแห่งเดียวในอินเดียที่ "มีลิฟต์" ขึ้นลงหลายชั้น ไม่รู้ว่าตอนไฟฟ้าพุทธคยาดับ จะลงกันยังไง เพราะทราบว่าดับบ่อย แต่รับรองว่าต้องมีระบบสำรองไว้รองรับแล้ว ได้ ดร.พระมหาโกวิท มาช่วยงานพระศาสนา ก็เหมือนได้ "เวิร์คพ้อยท์" มาช่วยงาน เพราะบอสใหญ่แห่งเวิร์คพ้อยท์ คือ คุณปัญญา นิรันด์กุล นั้น เป็นศิษย์ก้นกุฏิของท่าน ดร.พระมหาโกวิท ที่เหลือก็ล้วนแต่เป็นบริวาร ทรัพย์สินศฤงคารนั้นใช่แค่พันล้าน แต่ถึงระดับ..หมื่นล้าน แล้วถามว่า ถ้าทุ่มเทเพื่อพระศาสนา จะยิ่งใหญ่เพียงใด เมืองไทยมีของดีอยู่เยอะ
พระมงคลธีรคุณ (อินสอน จินฺตาปญฺโญ) ปฏิบัติหน้าที่เจ้าอาวาสวัดญาณเวศกวัน ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
รูปสุดท้ายที่จะนำเสนอในวันนี้ ก็คือ พระมงคลธีรคุณ หรืออาจารย์อินสอน แห่งวัดญาณเวศกวัน พระที่อุปัฏฐากรับใช้ "หลวงพ่อประยุทธ์-สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์" มาตั้งแต่สมัยเป็นเณร เป็นเลขาของหลวงพ่อประยุทธ์ ผลงานตำรับตำราก็มีอาจารย์อินสอนเป็นผู้ประสานงานจนสำเร็จ เรียกว่าอยู่เบื้องหลังเรื่อยมา จนกระทั่งหลวงพ่อประยุทธ์ประกาศตั้งให้เป็น "ผู้ปฏิบัติหน้าที่เจ้าอาวาสวัดญาณเวศกวันแทน" เรื่องประวัตินั้น สะอาดระดับบรีสเรียกพี่ ไม่มีมัวหมอง ไม่ว่าด้านเงินทองหรืออื่นใด ผลงานการรับใช้หลวงพ่อประยุทธ์ก็ระดับโลก แถมยังสันโดษ ยินดีเฉพาะสิ่งที่มีอยู่ ไม่ดิ้นรนขวนขวายนอกลู่นนอกทาง แต่เพราะหลวงพ่อประยุทธ์ไม่ไยดีกับสมณศักดิ์ อาจารย์อินสอนก็เดินตามเส้นทาง ที่ได้มานั้นก็เพราะผลงานการันตี แต่ยังไม่มีตำแหน่ง สมัยนี้ถ้าจะหาพระดี มีประวัติขาวสะอาด ก็ต้องมองไปที่ "หลวงพ่อประยุทธ์" เป็นตัวอย่าง และอาจารย์อินสอนก็นั่งใกล้ๆ จะไม่เห็นกันทั้งบ้านทั้งเมืองเลยเชียวหรือ
ยังมี "พระดี" อีกมากมาย ที่ยกมานี้แค่น้ำจิ้ม ถ้าเปิดกว้างไปทั่วไทย รับรองว่าได้พระสงฆ์ที่มีคุณสมบัติหลากหลาย แม้จะแตกต่าง แต่ไม่แตกแยก เราจะสามารถรักษาพระพุทธศาสนาที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ แยกออกไปตามถิ่นฐานบ้านเรือนต่างๆ สร้างสีสันต์ให้แก่ประเทศไทยได้อย่างงดงาม แตกต่างจากนโยบาย "ใช้ผ้าสีเดียวกันทั้งประเทศ" อย่างแน่นอน ก็เท่านี้แหละเมืองไทย จะปรับใหญ่ปรับน้อย จะแก้ไขอะไรๆ จะเซ็ตซีโร่หรือเซ็ตอัพอะไร สุดท้ายก็ต้องมาจอดที่ "ตัวบุคคล" เขียนรัฐธรรมนูญไว้เลิศหรูเพียงใด แต่คนไม่มีคุณภาพ ก็ทำไม่ได้ สุดท้ายก็กลายเป็นแบบไทยๆ ใช่ไม่ใช่ก็ลองถาม "บิ๊กตู่" ในเวลานี้สิ เตรียมเปลี่ยนสีจากทหารเป็นนักการเมืองเต็มตัว ท่องอาขยานหน้ากระจกในห้องน้ำทุกวัน อะไรๆ ก็..ประชาชน สุดท้ายนี้ก็ขอย้ำว่า ปัญหาสำคัญของ คสช. ต่อกิจการพระพุทธศาสนาก็คือ การกระจายอำนาจ ไม่ให้กระจุกตัวอยู่เฉพาะวัดใดวัดหนึ่ง จึงต้องพิจารณา "กระจาย" ตำแหน่งต่างๆ ออกไป เพื่อป้องกันการผูกขาดเหมือนในอดีต แต่จะทำได้เพียงใดนั้น ไม่มีใครกล้าสอนผู้มีอำนาจ !
|
พระมหานรินทร์ นรินฺโท |
E-Mail
To BK.
peesang2560@gmail.com
ALITTLEBUDDHA.COM WAT THAI LAS VEGAS 2920 MCLEOD DR. LAS VEGAS NV 89121 U.S.A. 702-384-2264