-1-

 

หลังผ่านจากนรก คือไป "เดตวัลเล่ย์-Death Valley" ออกมาอย่างสะบักสะบอมแล้ว ผู้เขียนก็นึกไม่ออกว่าอยากจะไปดูอะไรในสหรัฐอเมริกาอีก เพราะไปมาหมดแล้วทั้ง 50 รัฐ ไม่ว่าจะเป็น 48 รัฐในเมนแลนด์ หรืออีก 2 รัฐที่แยกออกไป ได้แก่ อลาสก้าและฮาวาย แถมปีกลายยังไปจำพรรษาที่เมืองเคมบริดจ์ประเทศอังกฤษผ่านมาแล้วด้วย จึงคิดว่าปีนี้จะจำพรรษาอยู่อย่างเงียบๆ ไม่ไปไหนให้วุ่นวายใจ

แต่ก่อนเข้าพรรษานั้น ท่านพระอาจารย์สง่า เจ้าอาวาสวัดไทยที่ฮาวาย ท่านแวะมาเยี่ยมหลังงานประชุมสมัชชาสงฆ์ไทย นอกจากดูเมืองลาสเวกัส (เว้นคาสิโน่) แล้ว ก็อยากจะพาท่านไปดูอะไรที่แปลกใหม่ ที่คนไม่เคยไป แต่เราสามารถพาไปได้ เพราะตั้งใจจะตอบแทนน้ำใจของท่าน เมื่อตอนที่ผู้เขียนไปเยือนฮาวายเมื่อปีก่อน ท่านก็สู้อุตส่าห์บริการตั้ง 3 วัน พาไปไกลถึงเกาะใหญ่ ไปเก็บเม็ดทรายสีมรกตอันอยู่ชายเกาะลาวาภูเขาไฟ ในเขตอันกันดารสุดๆ

อาหารการกินนั้น นอกจาก "ผัดกะเพราพื้นบ้านฮาวาย" อันทั้งเผ็ด ทั้งหอม เพราะฮาวายปลูกได้ทั้งปี แถมด้วย "เชฟไอซ์" น้ำแข็งไสสีเรนโบว์สไตล์ฮาวายอันโด่งดังกล่าว ท่านยังพาไปชมและชิม "สัปรดฮาวาย" ยี่ห้อดังของโลก "DOLE" ชื่อนี้ใครๆ ก็รู้จัก แบบว่ามีอะไรดีที่ฮาวาย ท่านก็จัดถวายชุดใหญ่ ทีนี้ว่าถึงเวลาท่านมาลาสเวกัสมั่ง มีดีอะไรจะไม่เอาออกไปอวดแขกบ้านแขกเมืองเลยเจียวหรือ นี่คือความเป็นไปเป็นมา

ผู้เขียนจึงคิดว่า อยากจะพาท่านไปเยือน "เขตอันตรายที่สุดในโลก" ที่มีชื่อว่า พื้นที่ 51 : AREA-51 แต่ช่วงนั้นอากาศร้อนจัด เห็นว่าถ้าขืนพาท่านไปกลางทะเลทราย อากาศเกือบ 120 องศาฟาเรนไฮต์แล้ว เกิดรถเป็นอะไรขึ้นมาจะทำอย่างไร ไม่เป็นการพาท่านมาลำบากดอกหรือ คิดดังนั้นจึงงดไว้ ไม่ได้พาท่านไปตามที่ตั้งใจ แต่อย่างไรก็ตาม ความคิดจะไปเยือนเขตพิเศษที่เรียกว่า แอเรีย 51 นั้น จุดประกายมาตั้งแต่ตอนนั้น

ก็รอมาเรื่อยๆ จนกระทั่งวันที่ 18 สิงหาคม 2560 วันนั้นอากาศเย็นลงเหลือ 100 องศา ถือว่าเย็นแล้วสำหรับเมืองลาสเวกัส ที่สำคัญก็คือ วันนั้นผู้เขียนว่าง ก็เลยออกปากชวนพระท่านที่จำพรรษาอยู่ด้วยกันว่า จะพาไปสัมผัสดินแดนที่ผู้คนไม่เคยไป พระท่านถามว่าอยู่ที่ไหน ผู้เขียนก็ไม่ตอบ บอกแต่เพียงว่า ใครอยากไปก็ให้เตรียมตัว เท่านั้น

คณะของเราออกจากวัดไทยลาสเวกัส ในเวลาเที่ยงครึ่ง วิ่งรถไปทางเหนือ ใช้ฟรีเวย์สาย 15 ไปประมาณ 20 ไมล์ จึงเป็นทางแยกไปเมืองอลาโม (Alamo) ตรงนี้เป็นไฮเวย์สาย 93 วิ่งไปได้ชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงเมืองอลาโม แวะปั๊ม เข้าห้องน้ำ หากาแฟดื่มแก้ง่วง ก่อนออกจากปั๊มก็ถามคนขายของว่า ถ้าจะไปเมืองราเชล-Rachel (อ่านสำเนียงอเมริกันว่า แรชเชิ่ล) ไปทางไหน คนขายก็ตอบว่า ก็ตรงไปอีกนิด ถึงทางแยกก็เลี้ยวซ้าย และใช้เส้นทางซ้ายไปเรื่อยๆ อีกเพียง 20 ไมล์ก็จะถึงเมืองแรชเชิ่ลแล้ว "ที่นั่น คุณจะเห็นมีบ้านประมาณ 20 หลังเท่านั้น" คนขายบรรยาย ฝ่ายเราก็ดีใจที่ได้รับคำยืนยันจากคนในพื้นที่ เพิ่มความมั่นใจว่า ไม่ได้มาผิดทาง

ถามว่า ทำไมจึงมาทางนี้ ?

คำตอบก็คือว่า ถ้าจะพูดถึงการเดินทางของมนุษย์แล้ว ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มาจนถึงปัจจุบันวันนี้ ไม่มีใครปฏิเสธว่า "ชีวิตนี้ไม่อยากไปไหน" และในเมื่อมนุษย์ทุกคนเป็นนักเดินทาง ก็ย่อมอยากจะไปให้ไกลสุดหล้าฟ้าเขียว ยิ่งได้ไปในที่ๆ คนไม่เคยไป ก็ยิ่งถือว่าเป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่า

บรรดาสถานที่ที่ผู้คนนิยมไปในโลกใบนี้ อ่านข่าวแล้วเห็นมีมากมาย บ้างจัดเป็น "Top of the World" เป็นอันซีน เป็นไฮไลต์ เป็นแลนด์มาร์ก เป็นอเมซิ่ง เป็นอะไรต่อมิอะไรสารพัดเป็น ถึงกับพูดกันว่า "ก่อนตายต้องไปให้ได้..ซักครั้งก็ยังดี" นี่แหละคือจุดขาย

"ไปที่ไหน ไปทำไม ?" เป็นคำถามถึง "เป้าหมาย" หรือจุดหมายปลายทางในการเดินทางของทุกๆ คน แต่ถึงทุกคนจะมีเป้าหมาย ก็ยังมีคนอีกมากมายที่ไปไม่ถึงจุดหมาย จะเพราะเดินทางไปไม่ถึงหรือว่าไปไม่ถูก คำว่า "ไม่ถูก" นี้ยังมีอธิบายอีกว่า ไปไม่ถูกที่ หรือไปถึงที่แล้ว แต่ยังไม่ถูกจุด ดังนั้น คำว่า "เป้าหมาย" กับ "จุดหมาย" จึงถูกนำมาขยายความเพิ่มในบริบทนี้อีกด้วย

ทีนี้ว่า ทุกบ้านทุกเมืองในโลกนี้ ย่อมจะเป็นสถานที่ "แปลก" สำหรับคนต่างถิ่น ให้สนใจจะมาเยี่ยมชม เราอยู่ใกล้เห็นมาแต่อ้อนแต่ออกก็ไม่ค่อยสนใจเท่าใดนัก ว่ามันจะสลักสำคัญอะไร แต่สำหรับคนอยู่ไกลแล้ว "อยากไป๊ อยากไป" อยากไป..ลาสเวกัส !

นั่นยกเป็นตัวอย่าง เดี๋ยวนี้สถานที่ต่างๆ เขามีคำขวัญเก๋ไก๋ เช่นว่า ถ้าไปเชียงใหม่แล้ว "บ่ได้กิ๋นข้าวซอย บ่ได้ขึ้นดอยสุเทพ" ก็ถือว่าไปไม่ถึง ถ้าไปนครพนมก็ต้องไปไหว้พระธาตุพนม ไปอุดรธานีก่อนหน้านี้ต้องไปบ้านเชียง แต่เดี๋ยวนี้คนเขาเลี่ยงไป "คำชะโนด" กันหมด ทางสายใหม่ย่อมไกล เอ๊ย กว้างกว่าทางสายเก่า เป็นธรรมดา

ในต่างประเทศนั้น ไปฝรั่งเศสต้องไปขึ้นหอไอเฟลกลางกรุงปารีส แถมด้วยดูแสงตะวันส่องหน้าโบสถ์นอเตอร์ดาม เห็นกระจกเจ็ดสีสวยงามระดับโลก เสร็จแล้วออกมาเหยียบ "ซีโร่พ้อยท์" หน้าโบสถ์ จึงจะถือว่าไปถึงแบบครบเซ็ต ถ้าจะเอาของแถมด้วยก็ต้อง "ลงเรือ" ล่องแม่น้ำแซน (Siend) อ้อมรอบนครปารีส ทักทายเทพีสันติภาพกลางเกาะ "ทิดเจ้าคุณจำลอง" บรรยายว่า ต้องเลือกเวลาหัวค่ำด้วย เพราะแดดสวย  ตกทุ่มหรือสองทุ่ม ทางยอดหอไอเฟลก็จะเปิดไฟกระพริบระยิบระยับให้ตื่นตาตื่นใจไปด้วย บรรยากาศแบบนี้มันต้องมีมืออาชีพนำไป ใครไปทัวร์โหลรับรองว่าได้ของโหลกลับบ้าน

ข้ามฝั่งมาทางมหานครลอนดอน ก็ต้องไปเยี่ยมพระราชวังบักกิ้งแฮม แถมด้วยขึ้นชิงช้าสวรรค์ยักษ์ "ลอนดอนอาย" ไปยืนถ่ายรูป "หอนาฬิกาบิ๊กเบน" ที่เชิงสะพานเวสต์มินสเตอร์ แต่คนไทยใจนักเลงยังมีที่ไปมากกว่านั้น ท่านว่า คนไทยที่ไปอังกฤษแบบครบเซ็ตจริงๆ ต้องไปช็อปปิ้งที่ "แฮร์รอตส์-Harrods" ห้างหรูกลางกรุงลอนดอน ที่คนไทยนิยมยกย่องว่า "เป็นห้างอันดับหนึ่งของโลก" ไม่ได้ไปใจจะขาด แต่ไปแล้วกระเป๋าจะฉีกขาด มันอดจ่ายไม่ได้ อะไรทำนองนั้น และต้องไปชิม "เป็ดย่าง" ที่โรงแรมโฟว์ซีซั่น อีกต่างหาก นี่โยมเล่าให้ฟัง บ้างเป็นหนักถึงขนาด "ซื้อเป็ดย่างขึ้นเครื่องกลับเมืองไทย" เห็นไหมว่าไม่ธรรมดา แบบว่าครบสูตร "ชม ช็อป ชิม"

ถามว่าผู้เขียนไปมาหมดแล้วหรือยัง ก็ตอบว่า "ยัง" ไปอังกฤษตั้งหลายครั้ง ไม่มีใครนิมนต์ไปฉันเป็ดที่โฟว์ซีซั่น เพราะท่านว่า "ร้านเปิดตอนเที่ยงวัน" มันเลยเวลาเพลสำหรับพระเณรไปแล้ว ไหนจะต้องไปเข้าแถวเข้าคิวตามธรรมเนียมนิยมของฝรั่งอีก แถวนั้นไม่มีทางด่วนสำหรับพระ กว่าจะได้ฉันก็บ่ายสองโน่นละมั๊ง ดังนั้น เรื่องกินมิใช่เรื่องใหญ่ เรื่องไม่ได้กินสิใหญ่กว่า ที่ไหนเปิดก่อนก็ไปที่นั่นก่อน อีกอย่างนั้น ผู้เขียนเข้าใจว่า เรื่องเป็ดย่างมิใช่เรื่องใหญ่ แต่เรื่องใหญ่กว่าก็คือ "น้ำจิ้ม" เพราะคนไทยเขาถือว่า หมูเห็ดเป็ดไก่จะดีอย่างไร แต่ถ้าน้ำจิ้มไม่เด็ด ก็ถือว่าเสียของ หมดรสหมดชาติกันไปเลย

ทีนี้ว่า บรรดาสถานที่น่าสนใจในโลกใบนี้นั้น ส่วนใหญ่ที่ไปกันแล้วภูมิใจ ก็เพราะไปยาก บางแห่งท่านเปิดให้เข้าได้เฉพาะฤดูกาล หรือต้องไปให้ถูกฤดู ไม่งั้นไม่สวย ไม่ได้เห็นสิ่งสำคัญของสถานที่นั้น อย่างหน้าพระราชวังบักกิ้งแฮมนั้น ท่านว่าต้องไปตอนเช้า จะเห็นนายทหารราชองครักษ์ แต่ชุดสุดเท่ห์ เข้าแถวเดินสวนสนาม ให้แขกบ้านแขกเมืองชม ใครไปเวลาอื่นก็ไม่ได้เห็น ไปอลาสก้าต้องไปหน้าร้อน ตกหน้าหนาวหิมะเต็ม ไปไหนไม่ได้ สถานที่ท่องเที่ยวปิดหมด ใครไปเที่ยวอลาสก้าหน้าหนาวถือว่าผิด แต่สำหรับฮาวายแล้ว อากาศอบอุ่นตลอดทั้งปี ฮาวายมี 2 ฤดู คือ อบอุ่นกับฝน แต่ทั้งสองก็รวมอยู่ในฤดูเดียวกัน เพราะว่าอากาศอบอุ่นทุกวัน และฝนก็ตกแทบทุกวันเช่นกัน

อังกฤษนั้นก็ฝนตกบ่อย ต้องคอยเอาร่มติดมือไว้ตลอดเวลาออกนอกบ้าน วันไหนแดดออก คนอังกฤษจะออกจากบ้านมานั่งผิงแดด จะว่าบ้าแดดก็คงใช่ แต่ไปอังกฤษนั้น ถ้าจะทานอาหารประจำบ้านเมืองเขาจริงๆ แล้วก็มีแค่เมนูเดียวคือ Fish and Ship เป็นเมนูปลาทอดชิ้นโต เคียงข้างด้วยมันฝรั่งทอดชิ้นใหญ่ ในอเมริกาเรียกว่า เฟรนช์ฟราย หรือ ฟราย แต่ที่อังกฤษเรียกว่า ชิป ใครไปอังกฤษไม่ได้ชิมเมนูนี้ ขอเตือนว่า ยังไปไม่ถึง !

เรื่องไปถึงกับไม่ถึง ถึงจะเป็นประเด็นสำคัญ แต่นั่นก็ยังไม่สำคัญเท่ากับว่า มีสถานที่บางแห่ง ที่ไม่มีสิทธิ์ไปถึง ไม่ว่ากรณีใดๆ เช่น พระราชวังต้องห้าม หรือเขตอันตราย ห้ามเข้าเด็ดขาด ฯลฯ แต่ในบรรดาสถานที่ต้องห้ามในโลกนี้นั้น ถ้าจะจัดอันดับแล้ว คงต้องยกให้ "แอเรีย 51" เป็นสุดยอดของทุกแห่งในโลกใบนี้

 

 

 

แอเรีย 51 นั้น สำคัญไฉน ? ทำไมจึงไปไม่ถึง ไม่ว่ากรณีใดๆ ถ้าไม่สำคัญดังว่ามานี้ พระมหานรินทร์ คงไม่เสียเวลามาเขียนให้ท่านผู้อ่านเสียเวลาเล่นเป็นแน่

หลายท่านคงจะทราบดีว่า บรรดาพื้นที่ที่แบ่งออกเป็นเขตปกครองในสหรัฐอเมริกานั้น มีทั้งสิ้น 50 เขต 50 จังหวัด หรือ 50 รัฐ (50 States) รวมกันเข้าเรียกว่า Unites State of America แต่มีสถานที่แห่งหนึ่ง มีชื่อสะดุดหูอย่างแปลกๆ ว่า "AREA 51" มันแปลว่าอะไร ?

นักการทหารให้คำนิยามว่า มันเป็นเขตพิเศษ แยกออกจาก 50 รัฐ จึงจัดเป็น "แอเรีย 51" แต่ถามว่า สำคัญขนาดนั้นเชียวหรือ ?

 


 

ทะเลสาป กรูม (Groom Lake) ที่ตั้งของ แอเรีย 51

 

แน่นอนว่า ในรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา ไม่มี "รัฐที่ 51" ที่ว่านี้ (โดยนิตินัย) แต่ในทางพฤตินัยแล้ว ชาวโลกทั่วไปเขาก็รู้กันว่า บริเวณทะเลทรายในรัฐเนวาด้า ตรงบริเวณ "ทะเลสาบ กรูม - Groom Lake" และโดยรอบนั้น เป็นเขตต้องห้าม ห้ามผู้คนและยานยนต์ทุกชนิดเข้า ยกเว้นเจ้าหน้าที่และพนักงานที่จะต้องเข้าไปด้วยวิธีพิเศษ คือ นั่งเครื่องบินเข้า-ออก จากสนามบินแมคคาเรน แอร์พอร์ต เพียงทางเดียวเท่านั้น จะเหาะไปเองก็ไม่ได้

จะบอกว่า นี่เป็นออฟฟิสโคตรวีไอพี ที่พนักงานต้องเดินทางไป-กลับด้วยเครื่องบิน "ทุกวัน" ค่าแรงงานคงไม่ต้องพูดถึง แค่ค่าพาหนะไปกลับในแต่ละวันก็มหาโหดแล้ว แต่แค่ค่าแรงผู้คนคงไม่ติดใจ ที่น่าสงสัยก็คือ ทำไมต้องขึ้นเครื่องบินไปแอเรีย 51 ทั้งๆ ที่มีวิธีไปตั้งหลายอย่าง และระยะทางก็ไม่ไกลเลย มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นสิ จริงไหม ?

นี่ไง ที่ใครๆ ได้ฟังก็คงจะสลัดหัวอย่างแรง แทบให้คอหลุด เหมือนมีเข็มแทงเข้าไปในสมองให้เป็นช่องพิเศษอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน ถามว่า อึ๊ย ! อะไรจะขนาดนั้น ในโลกใบนี้ยังมีสถานที่พิเศษยิ่งกว่านวนิยายแบบนี้อีกหรือ ก็ขอตอบว่า มีจริงๆ ฮ่ะ ไม่ได้มุสาแน่นอน

ก็คิดดูสิครับท่าน ขนาดเราจะขึ้นเครื่องบินไปไหนต่อไหน ก็ต้องเข้าแถวยาวไกล ให้พนักงานตรวจแล้วตรวจอีก ให้เครื่องตรวจยังไม่พอ ต้องให้คนตรวจเพิ่ม เจออะไรที่น่าสงสัยเป็นต้องรื้อค้นจนเราเสียอารมณ์ แต่ถึงอย่างไร ถ้าไม่มีของผิดกฎหมาย ก็หมายถึงว่าผ่าน เราสามารถเดินทางได้

แต่สำหรับสถานที่แห่งนี้ ไม่มีทางเลย ไม่ว่ากรณีใดๆ ยกเว้นต้องเป็นพนักงานของแอเรีย 51 เท่านั้น ที่จะได้นั่งเครื่องบินไปทำงาน แต่ตอนขึ้นเครื่องก็ต้องถูกตรวจตราละเอียดยิบ แถมยังต้องมีรหัสเฉพาะตัวของแต่ละคนด้วย ใครไม่มีรหัสที่ถูกต้องก็หมดสิทธิ์เช่นกัน ถึงมีแล้วลืม หรือจำผิด ก็หมดสิทธิ์ด้วย เมื่ออยู่ในที่ทำงานนั้นเล่า นึกอยากจะเดินไปไหนมาไหนก็คงไม่ได้ พนักงานทุกคนก็คงจะถูกจำกัดเสรีภาพให้อยู่แต่ในออฟฟิส เลิกงานแล้วก็เดินแถวขึ้นเครื่องกลับ แถมห้ามพูดอะไรเกี่ยวกับการงานด้วย โดยจะต้องมีสายสืบสะกดรอยทุกอย่างก้าว เมื่อก้าวพ้นแอเรีย 51 มาแล้ว จะไปที่ไหน อยู่กับใคร คุยกับใคร ส่งอะไรให้ใคร ฯลฯ ไม่มีชีวิตที่เป็นอิสระ และคงจะเป็นเช่นนี้ไปจนตาย ใครหลวมตัวเข้าไปในแอเรีย 51 จึงเหมือนถูกสาป

ยากไหมล่ะฮะ กับแอเรีย 51 แต่ขอเรียนท่านผู้อ่านว่า นี่ยังแค่ "แซมเปิ้ล" เท่านั้น เพราะแค่นี้คงไม่ทำให้สถานที่แห่งนี้น่าสนใจสำหรับ "พระมหานรินทร์" ที่จะต้องลงมือ "ศึกษา ค้นคว้า" และถึงกับลงทุน "ลงพื้นที่" ด้วยตัวเอง จนเกือบจะไม่ได้ออกมา เพราะว่าไปบุกรุกสถานที่ต้องห้าม "นัมเบอร์วัน" ของโลกเข้า มันเร้าใจกว่าเป็นไหนๆ พูดง่ายๆว่า เกือบไม่รอด !

สรุปว่า แอเรีย 51 ที่ผู้เขียนเขียนถึงในวันนี้ เป็นประสบการณ์อันตราย มิใช่เรื่องราวการเดินทางทั่วไป ตายนั้นมีหลายอย่าง ตายเอง เช่นขับรถไปเกิดอุบัติเหตุตาย นั่นก็เกิดได้ทุกวัน แต่นี่เป็นกรณี "ขับรถเข้าเขตหวงห้ามพิเศษอันดับหนึ่งของโลก ผิดกฎหมายข้อหาบุกรุกแน่นอน" เมื่อรอดมาได้ จึงถือว่ามีความหมายสำหรับผู้เขียนที่จะนำมาถ่ายทอดลงบนกระดาษในวันนี้

 

-2-

 

 

แอเรีย 51 นั้น มีคำนิยามง่ายๆ ว่า "เป็นฐานทัพลับ" ของสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ในเขตทะเลทราย ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของตัวเมืองลาสเวกัส รัฐเนวาด้า ระยะทางประมาณ 90 ไมล์ หรือ 150 กิโลเมตร เริ่มก่อตั้งในปี ค.ศ.1955 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นสถานที่ทดลอง "อาวุธพิเศษ" ของกองทัพ นับรวมทั้งเครื่องบินทิ้งระเบิดและโจมตีประเภทต่างๆ แข่งขันกับอภิมหาอำนาจของโลก เช่น รัสเซีย จีน เป็นต้น

แน่นอนว่า ภารกิจหรือปฏิบัติการทางทหารนั้น ถือว่าเป็นงานเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ หรือของชาติ จะเปิดเผยหรือแพร่งพรายให้แก่บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องทราบนั้น ไม่ได้ นั่นเป็นที่มาของคำว่า "ลับ" และ "ลับพิเศษ" แต่พื้นที่ที่ว่านี้ มีความลับซ้อนกันอยู่อีกมากมายหลายชั้น จึงมิใช่แค่ "ลับพิเศษ" แต่ต้องเป็น "ลับเอ๊กซตร้า" แบบว่าเหนือกว่าความลับใดๆ ในโลกใบนี้ นี่มิใช่โม้ แต่มันเป็นเรื่องจริง มีทั้งอิงและไม่อิงนิยาย

 

 

 

รอสเวลล์ รัฐนิวเม๊กซิโก ถิ่นกำเนิดเอเลี่ยนและยูเอฟโอ

 

 

 

เหตุการณ์ที่..รอสเวลล์

 

ก่อนการตั้งฐานทัพพิเศษ ที่เรียกว่า "แอเรีย 51" ขึ้นมาในปี 1955 นั้น ต้นเดือนกรกฎาคม ค.ศ.1947 เกิดเหตุการณ์พิศวงครั้งใหญ่ในโลก ที่เมืองรอสเวลล์ รัฐนิวเม๊กซิโก ซึ่งชาวโลกรู้จักกันดีในนาม "เหตุการณ์ที่รอสเวลล์" หรือ Roswell Incident

เหตุการณ์ที่ว่านั้นมีอยู่ว่า วันที่ 4 กรกฎาคม ปี ค.ศ.1947 ขณะที่กระทาชายนายแม๊ก แบรซเซิล (Mac Brazel) เจ้าของฟาร์มบ้านนอกชาวเมืองรอสเวล กำลังนอนฟังเสียงคำรามของท้องฟ้าอยู่ในกระท่อมอันเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา แต่เสียงร้องของฟ้าที่เขาได้ยินช่วงหนึ่งในกลางดึกคืนนั้น มันดังผิดปรกติ แต่ด้วยความง่วง เขาจึงงีบหลับไป

 

 

แม๊ก แบรซเซิล (Mac Brazel) วัยหนุ่มและวัยชรา

 

 

ทุ่งเลี้ยงสัตว์แห่งรอสเวลล์ของ แม๊ก แบรซเซิ่ล

จุดต้นตำนานแห่งยูเอฟโอและมนุษย์ต่างดาว หรือ เอเลี่ยน

 

 

ตกเช้า แบรซเซิล ต้อนฝูงแกะออกไปในทุ่ง พลันนั้น สายตาก็กระทบเข้ากับกองอะไรใหญ่มาก เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนในบริเวณฟาร์มของเขา เขาจึงเดินเข้าไปสำรวจดู ก็พบว่าเป็นกองโลหะขนาดใหญ่ มีลักษณะกลมๆ คล้ายๆ จาน ด้านหนึ่งนั้นพังเพราะกระทบกับพื้นอย่างแรง เศษโลหะกระจายไปโดยรอบ เขายิ่งตกใจเพิ่มขึ้น เมื่อพบว่ามีอะไรตัวอะไรนอนหายใจรวยรินอยู่ ดูไปเหมือนๆ กับทารกแรกเกิด หัวใหญ่ ตาโต ตัวเรียว ดูไปเหมือนไม่ใช่คน แต่จะเป็นอะไร ?

แบรซเซิล ตัดสินใจนำเรื่องไปแจ้งแก่นายอำเภอเมืองรอสเวล นายอำเภอก็รายงานต่อไปยังฐานทัพอากาศรอสเวลล์ ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่เกิดเหตุ โดยทางฐานทัพได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงสำรวจพื้นที่ และได้ยึดเทหวัตถุทั้งหมดไป

 

 

กล่าวทางหนังสือพิมพ์ Roswell Daily Record (บันทึกรายวันแห่งรอสเวลล์) ได้เริ่มรายงานข่าวนี้ในวันที่ 8 (หลังเกิดเหตุ 4 วัน) เพราะทางฐานทัพอากาศรอสเวลล์ โดยนาวาอากาศเอก วิลเลี่ยม บลังชาร์ด (Colonal William H. Branchard) ผู้บัญชาการกองบินที่ 509 ประจำรัฐนิวแม๊กซิโก ได้แถลงข่าวว่า ทางกองทัพได้พบกับวัตถุลึกลับจากนอกโลก ตกลงที่นอกเมืองรอสเวลล์ โดยครั้งนั้นเขาได้เรียกวัตถุนั้นว่า UFO (อ่านได้ทั้ง ยู เอฟ โอ หรือ ยู โฟร์) ย่อมาจากคำว่า Unidentified Flying Object แปลว่า วัตถุบินที่ไม่สามารถระบุเอกลักษณ์ได้ และทางกองทัพกำลังตรวจสอบอยู่ว่ามันคืออะไร ?

แต่ยังมีคำจำกัดความอย่างสั้นๆ เกี่ยวกับเจ้าวัตถุทรงประหลาดนั้น เนื่องเพราะมันมีรูปทรงกลมๆ แบนๆ คล้ายๆ กับแผ่น หรือจานทรงคว่ำ และเมื่อเชื่อว่ามันตกลงมาจากอากาศ คนก็เชื่อว่าเจ้าจานนี้ต้องบินได้ จึงให้ชื่อว่า จานบิน ภาษาอังกฤษเขียนเป็น Flying Disc แต่ศัพท์ที่ถูกใช้เรียกเจ้าวัตถุนี้นั้น หนังสือพิมพ์ รอสเวลล์ เดลี่ เร็คคอร์ด เรียกมันว่า Flying Saucer แปลเหมือนกัน

 

 

วัตถุลึกลับแห่งรอสเวลล์

 

 

แน่นอนว่า เจ้าวัตถุลึกลับนั้น ต้องเป็นอะไรที่ไม่ใช่ของใช้ในโลก มันต้องเป็นของที่มาจากนอกโลกอย่างมิต้องสงสัย จุดประกายให้มั่นใจว่า มนุษย์ต่างดาวมีจริง และเดี๋ยวนี้ก็อยู่ไม่ไกลแล้ว มันร่วงและนอนอยู่กลางทุ่งรอสเวลล์นี่เอง

วันนั้นทั้งวัน ข่าวสารจากรอสเวลล์ ถูกตีกระหน่ำออกไปทุกทิศทาง ทั้งวิทยุและหนังสือพิมพ์ ผู้คนหลั่งไหลไปดูทุ่งเลี้ยงสัตว์ของนายบราเซิล อยากเห็นจานบินจากต่างดาว แต่สถานที่ถูกเจ้าหน้าที่ปิดกั้นไว้หมด แม้แต่นายบราเซิลเจ้าของก็ห้ามเข้า เจ้าวัตถุประหลาดนั้นรวมทั้งเศษซากทั้งหมด ถูกยึดและย้ายไปไว้ที่ฐานทัพอากาศเมืองฟอร์ดเวิร์ด รัฐเท็กซัส ซึ่งอยู่ไกลจากรอสเวลล์ไปอีก 460 ไมล์ หรือราว 750 กิโลเมตร

เช้าขึ้นอีกวัน (9 กรกฎาคม) ทางฐานทัพอากาศฟอร์ดเวิร์ด ได้เปิดเผยผลการตรวจสอบวัตถุลึกลับแห่งทุ่งรอสเวลล์ว่า มันมิใช่วัตถุจากอวกาศหรือจานบินแต่อย่างใด แต่แท้ที่จริงแล้ว มันคือ บอลลูน หรือลูกโป่งยักษ์ สำหรับตรวจอากาศของกรมอุตุ ที่ตกลงเพราะถูกฟ้าผ่า เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรในรอสเวลล์ สรุปง่ายๆ ว่า Nothing !

แต่คำแถลงครั้งหลังนี้ ถูกตั้งข้อสังเกตว่า "แย้ง" กับคำแถลงครั้งแรกของฐานทัพอากาศรอสเวลล์ เพราะครั้งแรกนั้น เจ้าตัวกลมๆ นั้น ถูกเรียกว่า "จานบิน" แต่ครั้งที่สอง กลับกลายเป็น "บัลลูน" ไปเสียแล้ว เปรียบเทียบภาพง่ายๆ ว่า จานบินนั้นแบน แต่บัลลูนนั้นกลม จากแบนกลายเป็นกลม ยิ่งกว่าแม่โขงเสียอีก มันมิใช่แค่พูดไม่ตรงกัน แต่มันกลับตาลปัตรไปหมด แบบว่าคนละเรื่องเลย

เหตุผลหลักที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาอ้างว่า เจ้าวัตถุทรงกลมคล้ายกับจานบินได้นั้นเป็นบัลลูน ก็เพราะ (ว่ากันว่า) ภายในมันไม่มีอะไรเลย เป็นจานเปล่าๆ ไม่มีเครื่องยนต์กลไกไดนามิกหรือวงจรอีเล็คโทรนิกส์อะไรให้เห็นทั้งสิ้น น็อตซักตัวก็ไม่เห็น ที่เห็นๆ ก็คงเป็นช่องๆ ที่ใช้สำหรับหลับนอนของเจ้าเอเลี่ยนที่เปลี่ยนกะกันเข้าจะประจำการพลขับยานเท่านั้น เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐสันนิษฐานว่า ยานอวกาศลำนี้น่าจะไม่ใช้เครื่องยนต์เป็นตัวขับเคลื่อน แต่เชื่อว่า น่าจะใช้ "ใจ-พลังใจ" หรือ "พลังจิต" ของเอเลี่ยนในการขับเคลื่อนมากกว่า ข้อสันนิษฐานนี้สังเกตได้จากในหนัง "เอเลี่ยน" จะมีฉากที่ให้เอเลี่ยนใช้พลังจิตในการต่อสู้กันโดยการยกฝ่ามือขึ้นชี้ไปที่เป้าประสงค์ เหมือนในหนังจีนกำลังภายในไม่ผิด แต่เพราะความโล่งภายในของเจ้ายานหรือจานที่ว่านั้น ก็เลยเข้าเค้าให้ทางรัฐบาลอเมริกันอ้างว่า มันคือบัลลูน นี่ไงเห็นไหม ว่ามันลึกลับซับซ้อนไม่ธรรมดาเลย

แน่นอนว่า นักข่าวอเมริกันซึ่งมีฝีปากกล้าที่สุดในโลก ย่อมไม่ปล่อยให้เจ้าจานบินกลายเป็นบัลลูนไปอย่างง่ายๆ จึงยิงคำถามปานเอ็ม 16 ตกใส่ฐานทัพฟอร์ดเวิร์ด ทางการก็อ้างว่า "ที่นาวาวิลเลี่ยมระบุว่าเป็นจานบินอะไรไปนั้น ก็เพราะแกพูดไปโดยไม่ได้ตรวจสอบ แกพูดเองเออเอง แต่ว่าวันนี้ผลการตรวจสอบของกองทัพออกมาแล้ว จึงควรจะเชื่อผลการตรวจสอบอย่างเป็นทางการมากกว่า" แต่ชาวอเมริกันรวมทั้งชาวโลก เขาเทคะแนนให้นาวาวิลเลี่ยมว่าพูดความจริงมากกว่า แต่พอไปถามวิลเลี่ยมๆ กลับไม่ยอมพูดไปอีกคน มันจนใจแท้

 

 

ที่น่าสงสัยก็คือว่า บรรดาตัวประหลาดทั้งสี่ตัว ที่แบรซเซิลเห็นและเล่าให้ชาวบ้านฟังครั้งแรกนั้น มันอยู่ที่ไหน มันเป็นอะไร ทำไมกองทัพไม่เอามาโชว์ให้หายสงสัย แต่กองทัพกลับเงียบ แบบว่าปิดไมค์เอาดื้อๆ แถมนายแม๊กก็เป็นใบ้ไปอีกคน บ้างว่าแกถูกปิดปากจากอำนาจอันลึกลับ เหตุการณ์แห่งรอสเวลล์เลยจบลงแบบดื้อๆ แค่สองวัน แต่เป็นสองวันบันลือโลก

จากนั้น เรื่องราวทั้งปวงก็เงียบหายไป เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเลยที่..รอสเวลล์ ท้องไร่ของแบรซเซิลก็กลับสู่สภาพเดิม แถมจะดูสะอาดกว่าเดิม เพราะเจ้าหน้าที่ทำการเก็บกวาดเศษซากของเจ้าวัตถุประหลาดนั้นไปเกลี้ยง แม้แต่หญ้าก็ไม่เหลือให้แกะกิน พูดแบบไทยๆ ว่า ไม่เหลือซาก

 

 

-3-

 

 

 

THE BOB LARZAR INTERVIEW : KLAS-TV MAY, 1989

 

 

จาก..รอสเวลล์ ถึง..ลาสเวกัส

 

ดังที่เล่าว่า เมื่อกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา ปฏิเสธให้ความเห็นเรื่องเหตุการณ์เมืองรอสเวลล์ ไม่ให้ไปไกลกว่าเรื่อง "บัลลูนตก" ก็จบข่าว เพราะไม่มีแหล่งข่าว แถมพยานหลักฐานทั้งสิ้นทั้งปวงก็ถูกปกปิด ไม่มีแม้แต่ช่องทางเดียวที่จะเจาะข่าวได้ ไม่ว่าจะเป็นข่าวลึกหรือข่าวตื้น เรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวและจานบินหรือจานผี จึงไม่มีความชัดเจนอีกเรื่อยมา จนกระทั่งในเดือน พฤษภาคม ปี 1989 (พ.ศ.2532) สถานีโทรทัศน์ในเมืองลาสเวกัส รัฐเนวาด้า ช่อง 8 เรียกชื่อว่า KLAS-TV ได้นำเสนอสารคดีเรื่องหนึ่ง ชื่อว่า THE BOB LARZAR INTERVIEW ซึ่งทำให้ชาวโลกใบนี้ต้องตะลึง

 

 

 

 ROBERT SCOTT LAZAR (BOB LAZAR)

บ็อป ลาซาร์ ผู้สร้างแอเรีย 51 ให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก

 

ตะลึงเพราะว่า จู่ๆ นายบ็อบ ลาซาร์ ก็เสนอหน้าออกทีวี อ้างตัวเองว่า เป็นชาวลาสเวกัสโดยกำเนิด เรียนจบฟิสิกส์ และเคยทำงานให้แก่โครงการวิจัยในรัฐบาลสหรัฐอเมริกา อยู่ที่..ลอส อลาโมส (Los Alamos) รัฐนิวเม๊กซิโก ซึ่งเป็นศูนย์ทดลองนิวเคลียร์แห่งแรกของสหรัฐอเมริกา ก่อนจะย้ายมาประจำอยู่ที่ แอเรีย 51 ..

 

 

บ๊อบอ้างว่า ในปี 1988-1989 เขาเคยทำงานวิจัยอยู่ในเขตหวงห้าม "พิเศษ" ตรงบริเวณที่เรียกว่า ปาปูส์ เลค - Papoose Lake เรียกเป็นภาษาปากแบบไทยๆ ว่า "ทะเลปลาปู" ง่ายดี สถานที่แห่งนี้อยู่ห่างจากกรูมเลค (Groom Lake) ศูนย์ใหญ่ของแอเรีย 51 ไปทางทิศใต้ระยะทาง 10 ไมล์ หรือ 16 กิโลเมตร มีความพิเศษตรงที่ว่า เป็นสถานที่ศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับสรรพสิ่งที่อยู่นอกโลก โดยเฉพาะก็คือ ยูเอฟโอและมนุษย์ต่างดาว เอเลี่ยน-Alian !

พิเศษยังไง ? พิเศษเพราะว่า แม้แต่ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ก็ยังไม่มีสิทธิ์เข้าไป ถ้าไม่ได้รับอนุญาต แต่บ็อบไปมาแล้ว !

บ็อบสาบานด้วยว่า สิ่งที่เขาเห็นกับตาและนำมาเล่านั้น เป็นของจริง เพราะมิใช่ดูด้วยตาเพียงอย่างเดียว แต่เขาสวมแว่นขยายติดไว้ด้านหน้าตาเนื้อด้วย รวมว่าเขาดูด้วยตาทั้ง 4 มิใช่แค่ 2 ข้าง เล่นเอาผู้ชมงงเข้าไปใหญ่ !

บ็อบบรรยายว่า เจ้าแอเรีย 51 ตรงบริเวณ "ปาปูส์เลค" เนี่ยนะ เป็นสุดยอดสถานลึกลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนของโลก ระดับ "ลับ-ลวง-พราง" เรียกพี่ เพราะที่นี่ถูกกำหนดให้ใช้ทำการวิจัยเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่นอกโลก โดยที่ทุกสิ่งนั้นถูกเก็บเป็นความลับ (ลับทั้งๆ ที่ตัวเองพูดออกทีวีจ้อยๆ) โค๊ตหรือรหัสที่ใช้เรียกสถานที่ทดลองเอเลี่ยนนั้น บ็อบเรียกมันว่า "S-4" (เอสโฟว์)

เขาเล่าอีกว่า บรรดาสิ่งที่ตกอยู่นอกเมืองรอสเวลล์ในปี 47 นั้น เวลานี้ถูกย้ายมาไว้ที่นี่หมดแล้ว "รวมทั้งอีที 4 ตัวนั่นด้วย"

จาก..รอสเวลล์ จึงมาถึง..ลาสเวกัส และ แอเรีย 51 ด้วยประการฉะนี้

 

 

มุมขวาล่าง คือ ทะเลสาบปาปูส์ (Papoose Lake)

ตรงกลางภาพนั้น คือ ทะเลสาบกรูม (Groom Lake)

 

 

รูปร่างลักษณะของเอเลี่ยนจากคำบอกเล่า

 

 

เอเลี่ยน 4 ตัว กำลังถูกผ่าตัด เพราะบาดเจ็บสาหัสจากจานบินตก

(น่าแปลกว่า แต่ละตัวไม่มีร่มชูชีพติดตัวเลย ถือว่าล้าหลังมาก ฮา !)

 

 

"เจ้าเอเลี่ยนที่ว่าเนี่ยนะ ดูไปก็คล้ายกับคน มันเหมือนเด็กตัวโตๆ พุงโร แขนเล็ก ขาลีบ สูงซัก 3-4 ฟุต น้ำหนักเฉลี่ยตัวละไม่เกิน 30 โลเองมั๊ง" บ็อบมั๊งเพียงครั้งเดียว เกี่ยวกับน้ำหนักของเอเลี่ยน ที่พิเศษนั้น ท่านว่าเอเลี่ยนมีนิ้วเพิ่มมากกว่านิ้วมนุษย์หนึ่งนิ้ว คือมีหกนิ้ว ทำนองเป็น "สัมผัสที่หก" เหนือกว่า ตา หู จมูก ลิ้น และกาย อันเป็นสัมผัสห้าธรรมดาๆ ในมนุษย์เรา

แน่นอนว่า เรื่องที่นายบ็อบเล่านั้น เป็นสิ่งเหลือเชื่อ หลายคนไม่เชื่อ แต่คนมากมายกลับเชื่อ เชื่อว่าเจ้ามนุษย์ต่างดาว หรือเอเลี่ยนนั้น มีจริง เชื่อด้วยว่าเหตุการณ์ที่รอสเวลล์นั้นเป็นอุบัติเหตุของจานบิน มิใช่เรื่องลูกโป่ง คนกลุ่มหลังนี้มีมากมาย เขาท้าทายด้วยว่า ถ้าไม่ลึกลับดังนายบ๊อบว่าจริง ทำไม "แอเรีย 51" จึงกลายเป็นเขตต้องห้าม "นัมเบอร์วัน" ของโลก !

แต่ไม่ว่าใครจะเชื่อหรือไม่อย่างไร นายบ็อบ ลาซาร์ ก็ได้แจ้งเกิดและกลายเป็น "ผู้ให้กำเนิด" แก่เอเลียนมนุษย์ต่างดาวไปแล้ว เป็นอมตะ ปัจจุบัน นายบ็อบยังไม่ตาย อายุแค่ 58 ปี (เกิดวันที่ 26 มกราคม พ.ศ.2502 หรือ ค.ศ.1959) แค่เล่าประวัติเอเลี่ยนเพียงอย่างเดียว ก็กินไม่หมด

 

 

แน่นอนว่า รัฐบาลสหรัฐอเมริกา ย่อมจะปฏิเสธอย่างแข็งแรงว่า แอเรีย 51 มิได้เกี่ยวกับเอลงเอเลี่ยนอะไรนี่เลย เป็นเรื่องเพ้อเจ้อไร้สาระ กลับบ้านเถอะลูก อะไรประมาณนั้น แต่รัฐบาลอเมริกันก็ไม่สามารถ "เปิดพื้นที่แอเรีย 51" ให้นักข่าวเข้าไปพิสูจน์ทฤษฎีสมคบคิดที่ถูกนินทามานานให้โปร่งใสได้ นั่นหมายถึงว่า คำถามเกี่ยวกับแอเรีย 51 ยังไม่ได้รับการเฉลยเลย เป็นคำถามสาธารณะที่ไร้คำตอบ

ทีนี้ เมื่อรัฐบาลไม่ตอบ หรือตอบไม่เคลียร์ คนที่อยากรู้ก็ต้องหาคำตอบเอาเอง ตามแต่ความสามารถส่วนตัวของใครของมัน สุดท้ายมันจึงไปลงที่ "หนัง" หรือ "ภาพยนตร์" เพราะสามารถนำเอาทั้ง "ความฝัน" และ "ความจริง" มารวมกันได้โดยไม่ผิดกฎหมาย จะเอาใครมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาก็ได้ จะให้เอเลี่ยนตกที่รอสเวลล์กี่เวอร์ชั่นก็ได้ แถมยังสามารถสร้าง "แอเรีย 51 จำลอง" ขึ้นมาได้อีกด้วย นั่นก็ยิ่งทำให้ทฤษฎีสมคบคิดของพวกผู้กำกับในฮอลลีวูดยังคงเฉิดฉาย สามารถสร้างหนังเกี่ยวกับเอเลี่ยนออกมาขายได้เรื่อยๆ ตราบใดที่ยังมีความลับ ที่นั่นยังก็มี..เอเลี่ยน มี..อีที และมี..เจ้ากอลัม !

 

-4-

 



 

เอเลี่ยน และ แอเรีย 51

 

 

เอเลี่ยนและเอเลี่ยนฟีเวอร์

 

ปีค.ศ.1989 ที่นายบ็อบ ลาซา ออกมาแฉเกี่ยวกับแอเรีย 51 นั้น ถือว่าอยู่ในช่วงเอเลี่ยนกำลังโต โดยก่อนหน้านั้น 10 ปี (ค.ศ.1979) มีภาพยนตร์ฮอลลีวูดชื่อว่า Alien ออกฉายเป็นภาคแรก ตกปี 1986 เอเลี่ยนภาค 2 ก็ตามมาอีก ถือว่ามีเอเลี่ยนอยู่ในโรงแล้ว 2 ตัว ตัวพี่อายุ 10 ปี ตัวน้องอายุ 3 ปี   ซึ่งหลังจากนั้น เราได้เห็นวิวัฒนาการด้านภาพยนตร์ฮอลลีวูด อันเกิดจากจินตนาการเรื่องเอเลียน ของนายบ๊อบ ลาซาร์ ดังนี้

ปี ค.ศ.1979 ฮอลลีวูด สร้างหนัง Alien

ปี ค.ศ. 1982 ฮอลลีวูด สร้างหนัง ET

ปี ค.ศ.1986 ฮอลลีวูด สร้างหนัง Alien ภาค 2

ปี ค.ศ.1992 ฮอลลีวูด สร้างหนัง Alien ภาค 3

ปี ค.ศ.1996 ฮอลลีวูด สร้างหนัง Independence Day เป็นเรื่องราวของการต่อสู้เพื่อมิให้เอเลี่ยนยึดครองโลก

ปี ค.ศ.1997 ฮอลลีวูด สร้างหนัง Alien ภาค 4

ปี ค.ศ.2001 ฮอลลีวูด สร้างหนังเรื่อง The Lord of the Rings มีดารานำหน้าตาประหลาด ชื่อว่า เจ้ากอลัม (Gollum)

ปี ค.ศ.2012 ฮอลลีวูด สร้างหนัง Alien ภาค 5

ปี ค.ศ.2015 ฮอลลีวูด สร้างหนัง Area 51

ปี ค.ศ.2017 ฮอลลีวูด สร้างหนัง Alien ภาค 6

 

แต่ถ้านับหนังเกี่ยวกับเอเลี่ยนแล้ว ท่านว่ามีมากมายหลายสิบเรื่องเลยทีเดียว แสดงว่าขายดีมาก ในหนังแต่ละเรื่องเหล่านี้ ก็มีตัวประหลาด รูปร่างคล้ายกับเจ้าตัวต่างดาวที่นายบ็อบบรรยาย เป็นดาราหลักด้วยเสมอ แต่ตรงนี้ยังไม่มีการยืนยันว่า นายบ็อบจำรูปร่างของเอเลี่ยนมาจากภาพยนตร์ หรือว่าเคยเห็นของจริงดังอ้าง บางคนก็ว่านายบ็อบได้ถูกจ้างให้ไปโฆษณาหนังอีที ก่อนจะเปิดซีรี่ต่อไป ไม่มีใครสงสัยเลยละหรือว่า บรรดาผู้คนที่เคยเข้าออกแอเรีย 51 มานานนับครึ่งศตวรรษนั้น มีเพียง "นายบ็อบ" คนเดียวเท่านั้นหรือ ที่เคยเห็นเอเลี่ยน ?!

 

-5-

 

 

ซ้าย-กอลัม : กลาง-เอเลี่ยน : ขวา-อีที

ใครชอบตัวไหนก็โหวตได้

 


 

 

ดังที่ทราบ รัฐบาลสหรัฐอเมริกา ได้ปฏิเสธเรื่องราวเกี่ยวกับเอเลี่ยนหรือมนุษย์ต่างดาวโดยสิ้นเชิง จึงยืนกรานที่จะไม่พิสูจน์อะไรทั้งสิ้น ปล่อยให้ฮอลลีวูดสร้างหนังหากินกันเอิกเกริก หนังแต่ละเรื่องก็มีนายพลนายพันเข้าฉากกันเป็นว่าเล่น เพราะเรื่องเอเลี่ยนมันดันไปเกี่ยวกับกองทัพเข้า จะเอาแต่เอเลี่ยนไม่เอาทหารอเมริกันไปเข้าฉากนั้น ถือว่าไม่ครบเครื่อง เอเลี่ยนกับเครื่องแบบทหาร จึงถือเป็นคู่ขวัญของกัน เหมือนโกโบริกับอังศุมาลินในหนังคู่กรรมของไทย

 

 

 

เรื่องที่กองทัพสหรัฐยอมรับก็คือ ฐานทัพ "แอเรีย 51" นั้น เป็นสถานที่พิเศษ สำหรับทดลองทางด้านทหาร ซึ่งนักสังเกตการณ์ก็เชื่อว่า จะเน้นไปทางเครื่องบินรบเป็นพิเศษ แต่ก็ยังมีข่าวรายงานว่า บริเวณนี้เคยเป็นที่ทดลองอาวุธนิวเคลียร์หลายสิบครั้ง แต่สำหรับผู้เขียนแล้ว ไม่เชื่อว่าจะเป็นจริง เพราะถ้าเป็นสถานที่ทดลองอาวุธนิวเคลียร์จริงแล้ว รัฐบาลคงห้ามไม่ให้ใครเข้าไปในบริเวณนี้ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่หรือประชาชนทั่วไป เพราะอันตรายจากกัมมันตภาพรังสีนั้นไม่ยกเว้นฐานันดร ประการสำคัญก็คือ ถ้าหากจะทดลองอาวุธนิวเคลียร์แล้ว แอเรีย 51 ถือว่าอันตราย เพราะอยู่ห่างจากตัวเมืองลาสเวกัสไปเพียง 100 ไมล์ แต่ถ้าจะวัดระยะห่างจากเคหสถานบ้านเรือนของประชาชนนอกเมืองลาสเวกัสแล้ว คงห่างไม่ถึง 30 ไมล์ ถามว่าไม่ตายกันทั้งเมืองหรือ ?

 

 

โครงการพัฒนาอันโด่งดังของสหรัฐอเมริกา ในแอเรีย 51 นั้น เริ่มขึ้นในปี 1955 (พ.ศ.2498) ชื่อว่า Project Aquatone เริ่มพัฒนาเครื่องบินจารกรรม U-2 ซึ่งว่ากันว่าสามารถบินได้สูงถึง 70,000 ฟิต คิดเป็น 21,000 เมตร หรือ 21 กิโลเมตร เหนือผิวโลก ขณะที่เครื่องบินโดยสารทั่วไปจะบินสูงประมาณ 10 กิโลเมตรเท่านั้น ถึงจะบินสูงปานนั้น แต่เครื่องตรวจบนเครื่อง U-2 นั้น ก็แม่นยำและชัดเจนเหมือนถ่ายภาพนิ่งบนพื้นดิน

 


 

 

จาก U-2 รุ่นแรก ปี 1955 ทางกองทัพอากาศสหรัฐก็พัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั้งเจ้าเครื่องบินปีศาจ "Stealth-สเตลท์" ซึ่งมีรูปร่างแบนเหมือนจานบิน ได้โผล่ออกมาจาก "แอเรีย 51" อวดโฉมแก่ชาวโลก ว่ากันว่าเป็นเครื่องบินที่สามารถหลบหลีกเรด้าได้อย่างยอดเยี่ยม มันเป็นเครื่องบินที่ไม่มีใครเห็น ก็เท่ากับสามารถล่องหนหายตัวได้ จึงได้รับสมญานามว่า "เจ้าปีศาจดำ" อีกนามหนึ่ง

สรุปว่า โครงการภายใต้กรูมเลก และแอเรีย 51 นั้น รัฐบาลสหรัฐมุ่งไปในการ "จารกรรม" และ "ทำลาย" ซึ่งทั้งสองเป้าหมายนี้ เป็นเป้าหมายสุดยอดในทางทหาร ดังนั้น จึงต้องห้ามเข้าไปไม่ว่ากรณีใดๆ

อย่างไรก็ตาม ถ้าจะรวมความสำคัญของแอเรีย 51 ก็อาจจะได้ดังนี้

1. เป็นสถานที่ทดลองนิวเคลียร์

2. เป็นสถานที่ทดลองเครื่องบินรบล่องหนสำหรับจารกรรม

3. เป็นสถานที่เก็บความลับที่ได้มาจากการจารกรรม (รวมทั้งหลักฐานต่างๆ)

4. เป็นสถานที่เก็บซากมนุษย์ต่างดาว (เอเลี่ยน) ที่ได้มาจากรอสเวลล์ และศึกษาพัฒนาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตนอกโลก

ในบรรดาวัตถุประสงค์ทั้ง 4 ข้อเหล่านี้ น่าเชื่อถือเพียง 2 ข้อ คือ ข้อ 2 กับข้อ 3 ส่วนข้อ 1 และข้อ 4 นั้น ยังไม่น่าเชื่อ

ไม่น่าเชื่อเพราะว่า ไม่มีการยืนยันจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกานั่นเอง

แต่ความสงสัย อยากรู้อยากเห็น เป็นสัญชาติญาณสำคัญของมนุษย์ ยิ่งถูกปิดบังมากเท่าไหร่ก็ยิ่งสงสัยมากขึ้นเท่านั้น และนั่นเอง "แอเรีย 51" จึงตกเป็นเป้าสายตาของประชาคมโลก ว่าจริงๆ แล้ว ภายในเขตหวงห้ามอันดับหนึ่งของโลกแห่งนี้ มีอะไรซุกซ่อนอยู่ โดยเฉพาะมนุษย์ต่างดาวที่นายบ็อบบอกนั้น มันจริงหรือไม่ ถ้ามีจริง มันอยู่ที่ไหน ในแอเรีย 51 ?

ด้วยเหตุผลสำคัญดังกล่าวมานี้ บริเวณแอเรีย 51 แห่งนี้ จึงถูกตั้งสมญานามว่า เป็นสถานที่เก็บความลับของคนทั้งโลก !

 


 

 

-6-

 

ตามล่าหาเอเลี่ยน

 

 

หลายสิบปีที่ผ่านมา มีผู้คนมากมาย พยายามที่จะทำการพิสูจน์เกี่ยวกับ "เอเลี่ยน" หรือมนุษย์ต่างดาว รวมทั้งอากาศยานที่ใช้เดินทาง หรือ ยูเอฟโอ (UFO) ว่ามันมีจริงหรือไม่ ถ้ามีจริงแล้วจะพบมันได้ที่ไหน ?

นอกจากจะมีคนอ้างว่า "เคยเห็นจานผี" มีรูปทรงกลมๆ ในที่ต่างๆ ทั้งข้างขึ้นข้างแรมทั่วโลก แต่ก็เพียงแว๊บๆ บ้างจับภาพได้ แต่จับตัวไม่ได้ บ้างว่าตาฝาดเหมือนคนเห็นผี มีหรือไม่มีก็พิสูจน์ไม่ได้ กลายเป็นความเชื่อส่วนบุคคล เหมือนมายากลที่จะเล่นเพียงรอบเดียว ขืนเล่นรอบสองก็ไม่อัศจรรย์ สุดท้าย สายตาของทุกคนบนโลกจึงเหล่มาที่ "แอเรีย 51" เพราะนายบ็อบบอกว่า "เจ้าเอเลี่ยน 4 ตัว ที่รอสเวลล์นั้น ถูกขังอยู่ในบริเวณนี้" พลางชี้ไปที่..แอเรีย 51 !

 


 

พูดง่ายๆ ว่า แอเรีย 51 ถูกพาดพิงถึงทุกครั้งที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับเอเลี่ยนและยูเอฟโอ ผู้ที่ต้องการรู้เรื่องเอเลียนและยูเอฟโอ จึงเชื่อว่า ถ้าได้เข้าไปพิสูจน์ทราบในแอเรีย 51 ก็น่าจะได้คำตอบ หรืออย่างน้อยก็อยากจะทราบว่า เหตุใดรัฐบาลอเมริกันถึงได้หวงห้ามบริเวณนี้นัก แม้แต่เครื่องบินก็ห้ามผ่าน "มันต้องมีอะไรซักอย่าง" ผู้คนทั้งโลกตั้งคำถามเกี่ยวกับแอเรีย 51

 

 

 

ป้ายเตือนรอบๆ แอเรีย 51

 

 

ป้าย "ห้ามเข้า" ประเภทต่างๆ เหล่านี้ ถูกปิดไว้รอบๆ แอเรีย 51 แบบว่าไปทางไหนก็เจอ และเจอมากที่สุดในโลกด้วย ตอกย้ำให้เห็นว่า นี่คือสถานที่ต้องห้ามยิ่งกว่าพระราชวังต้องห้าม นอกจากจะห้ามรถยนต์และเครื่องบิน วิ่งและบินเข้าไป รวมทั้งปีนข้ามรั้ว หรือเดินมุดประตูเข้าไปแล้ว ปัจจุบัน ยังห้ามมิให้ใช้เครื่องบินไร้คนขับ หรือโดรน (Drone) ทุกประเภท บินเข้าไปในเขตที่ว่านี้อีกด้วย มันเฮี๊ยบจริงไหมล่ะท่านพระครู ?

 

-7-

 

 

ก็ดังที่รายงานไปข้างต้นแล้วว่า ทีแรกนั้น ผู้เขียนอยากจะพาท่านอาจารย์สง่า จากฮาวาย ไปดูอะไรที่มันหาดูยาก จู่ๆ ก็นึกถึง "แอเรีย 51" ขึ้นมา แต่ว่าเวลานั้นอากาศร้อนจัด เลยไม่กล้าพาท่านไป

จุดประสงค์ที่จะไปก็ไม่มีอะไรมาก แค่ว่า อยากจะพาไปดู "ประตู" ของแอเรีย 51 ว่ามันอยู่ที่ไหน สภาพของเขตหวงห้าม "อันดับหนึ่ง" ของโลกนั้น มันเป็นอย่างไร ไม่ต้องเข้าไปข้างใน แค่ถ่ายรูปที่หน้าประตูซึ่งมีป้าย "Area 51" ปิดอยู่ ก็พอใจแล้ว

แต่เมื่อเข้าไปศึกษาเกี่ยวกับแอเรีย 51 ก็พบว่า มีผู้คนที่สนใจ ได้นำเอาตัวเอเลี่ยนและยูเอฟโอมาจำลองขึ้น เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้แวะชมไว้หลายแห่ง สถานที่เหล่านี้ก็คงจะอยู่ใกล้ๆ แอเรีย 51 นั่นแหละ แต่ว่ามันอยู่จุดไหนเล่าเอ่ย ?

 

 

ผู้เขียนเปิด Google Map เพื่อสำรวจพื้นที่ทางอากาศดูคร่าวๆ ก่อน ก็เห็นว่า บริเวณแอเรีย 51 นั้น ถูกขนาบด้วยฟรีเวย์ 2 สาย คือ สาย 93 และสาย 95 ซึ่งทั้งสองสายนี้แยกออกจากสาย 15 หรือ I-15 ซึ่งวิ่งขึ้นมาจากแคลิฟอร์เนีย ผ่านตัวเมืองลาสเวกัสขึ้นไปทางเหนืออีกทีหนึ่ง

 

 

ทีนี้ ลองเอา "Groom Lake" เป็นหลัก วัดระยะจากตัวเมืองลาสเวกัส ผ่านฟรีเวย์ 93 ทิศเหนือของแอเรีย 51 ก็พบว่า แยกออกจากฟรีเวย์ 93 นั้นไปไม่ไกล มีเมืองชื่อว่า Rachel (ราเชล หรือ แรชเชิ่ล) ระยะทาง 150 ไมล์ (240 ก.ม.) ก็จะถึงกรูมเลคพอดี

 

 

 

ทีนี้มาดูทางเส้นใต้ คือฟรีเวย์ 95 เส้นนี้ใกล้กว่า คือไกลแค่ 124 ไมล์ หรือประมาณ 200 ก.ม. เอง ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงนิดๆ ก็ถึงกรูมเลคแล้ว สำหรับทางเข้าด้านใต้นี้ มีเมือง Mercury เป็นประตูเข้าสู่แอเรีย 51

ก็หมายเอาไว้อย่างง่ายๆ ว่า ประตูเข้าแอเรีย 51 ทางทิศเหนือ (สาย 93) นั้น อยู่ตรงเมืองราเชล (Rachel) ส่วนทิศใต้ผู้เขียนมองไปที่เมืองเมอร์คิวรี่ (Mercury) เมืองทั้งสองนี้จึงมีฐานะเป็นเมืองด่านหน้าของแอเรีย 51

 

 

ฟรีเวย์ 93-95 และเมืองราเชล-เมอร์คิวรี่ ขนาบแอเรีย 51

 

ทั้งสองเส้นทาง (93-95) นั้น ผู้เขียนเคยขับรถผ่านมาแล้วหลายครั้ง 95 ไปบ่อย เพราะเป็นเส้นทางไปเมืองรีโน่ ซึ่งอยู่บนฟรีเวย์สาย 80 ผ่านไปถึงซาคราเมนโต้ เมืองหลวงของแคลิฟอร์เนีย ต่อไปถึงซานฟรานซิสโก แต่ถ้าไปไม่ถึง เอาแค่เลยเมอคิวรี่ไปไม่ไกล ก็จะตัดเข้าเมืองเทโคป้า ซึ่งที่นั่นมีพุน้ำร้อนธรรมชาติที่ว่ากันว่าดีระดับโลก รวมทั้งสวนอินทผลัมหลากสีอีกด้วย

ส่วนสาย 93 นั้น 9-10 ปีก่อน ก่อนหน้าหนาวทุกปี ผู้เขียนชอบขับรถพาพระรุ่นใหม่เดินทางไปทางเมืองอลาโม ก่อนจะตัดเข้าไฮเวย์ 375 ไปยังเมืองราเชล (Rachel) นี่แหละ วิ่งรถยาวไปจนถึงเมืองโทโนพาท์ (Tonopah) วกลงมาทางฟรีเวย์ 95 ตัดเข้าลาสเวกัส ยังจำได้ดีว่า วิ่งออกเมืองราเชลขึ้นเขาไปซักระยะ อากาศก็จะเริ่มลดลงหลายดีกรี ทางด้านขวามือ จะมีแอ่งน้ำขนาดใหญ่ นั้นไม่ลึกมาก แค่ครึ่งขา หน้าร้อนนั้นน้ำจะเต็มแอ่งที่ว่านี้ ผู้เขียนเคยไปในหน้าหนาว พบว่าน้ำนั้นแข็งไปหมดแล้ว ลองเอาหินขนาดเท่าลูกมะพร้าวทุ่มลงไปน้ำแข็งก็ไม่แตก แสดงว่าหนามาก เลยลากพรมปูรถลงไปนั่งเล่นบนน้ำแข็ง แสดงฤทธิ์ให้พระถ่ายรูปไว้ว่า พระมหานรินทร์ สามารถเดินและนั่งบนน้ำได้ โดยไม่จม

"ก็อยู่ใกล้ๆ บ้านเรานี่" ผู้เขียนสรุปในใจ พลางวาดแผนการเดินทางไปเยือนจุดสำคัญของโลกที่ชื่อว่า "แอเรีย 51" ขึ้นมา พบว่ามันหมูมาก เพราะทางทั้งสองเส้นนั้น ผู้เขียนคุ้นเคยเป็นอย่างดี ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด คาดว่าภายในไม่กี่ชั่วโมง เราจะไปยืนอยู่ที่ "หน้าประตู แอเรีย 51" ทักทายบรรดาท่าน "ผู้มาจากต่างดาว" ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก ไปนานๆ ชัดๆ สั้นๆ ง่ายๆ ก็คือว่า ขอไปถึงแค่ Gate of Area 51 เท่านั้น ไกลกว่านั้นไปก็ไม่อยากไป

 

 

ภาพขยายเส้นทาง จากเมืองอลาโม ไปราเชล เพียง 20 ไมล์

 

 

 

ทางแยก ไฮเวย์ 93-318 และ 375 มีเมืองราเชลอยู่บนทาง 375

 

 

ผู้เขียนตัดสินใจ "ไปทางเหนือ" ก่อน เพราะว่าไกลกว่า ดูประตูเหนือแล้ว ค่อยลงมาดูประตูใต้ ก็จะได้ครบทั้งเหนือ-ใต้

 

 

Rachel เป้าหมายแรกที่จะไปพบ Alien

 

 

 

Extraterrestrial Highway

เอ็กซ์ตร้าเทอเรสเทรล ไฮเวย์

ไฮเวย์สายสั้นๆ ตัดระหว่างเมืองอลาโมกับวอร์มสปริงส์ วิ่งไปถึงโทโนพาท์ ถือว่าเป็นไฮเวย์ที่สำคัญสูงสุดเส้นหนึ่งของโลก น่าจะสร้างขึ้นมาเพื่อตัดเข้าแอเรีย 51 ทางทิศเหนือ เชื่อมระหว่างไฮเวย์ 93 กับ 95 เท่านั้น เพื่อให้สามารถเข้าสู่แอเรีย 51 ได้ทุกทิศทาง

 

 

 

เส้นทางที่ค่อนข้างเปลี่ยวมากๆ ชั่วโมงหนึ่งถ้าวิ่งผ่านถึง 5 คันก็มากแล้ว

 

 

 

ภาพแรกที่ขึ้นสู่ไฮเวย์ 375

 

เวลาเที่ยงครึ่ง (12:30 น.) วันศุกร์ ที่ 18 สิงหาคม 2560 ผู้เขียนพร้อมด้วย พระมหาบุญจันทร์ พระมหาถาวร และพระสุภา ได้ฤกษ์ออกจากวัดไทยลาสเวกัส แวะเติมน้ำมันเต็มถัง จากนั้นวิ่งรถขึ้นฟรีเวย์สาย 215 ตัดเข้าสาย 15 N. วิ่งไป 20 ไมล์ ก็ตัดเข้าสาย 93 N. มุ่งหน้าไปเมือง Alamo ใช้เวลา 2 ชั่วโมงโดยประมาณ ก็ถึงเมืองอลาโม แวะเข้าปั๊ม เติมน้ำมัน หากาแฟแก้ง่วง ก่อนออกจากร้านก็ถามคนขายของว่า ถ้าจะไปราเชล ไปดูเอเลี่ยน จะต้องใช้ทางเส้นไหนอย่างไร และใช้เวลาเท่าไหร่ คนขายของก็อธิบายอย่างคร่าวๆ พลางบอกว่า "มันเข้าไปไม่ได้หรอก ไอ้แอเรีย 51 อะไรน่ะ แต่ถ้าเป็นเมืองแรชเชิ่ลแล้วละก็ มันมีแค่บ้านโมเบิ้ลโฮมซัก 20 หลังเองมั๊ง" เธอพูดให้เรามองเห็นว่า ราเชลเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ คงเพิ่งจะมีคนเข้ามาตั้งถิ่นฐานได้ไม่นาน เธอย้ำด้วยว่า "เมื่อเลี้ยวซ้ายไปทางราเชลแล้ว จะมีทางแยกอีก คุณต้องไปทางซ้ายนะ ไม่งั้นคุณก็จะโผล่ไปเมืองอีลี่-Ely ไปไกลเลย"

 

 

Welcome to Rachel

เห็นตัวเมืองกระหรอมกะแหรมอยู่ด้านหลังไม่ไกล

 

 

ก็โอเคแล้วล่ะ ได้ข้อมูลแบบนี้ก็ดีกว่าคลำทางไป คนขายของช่วยเตือนเราไม่ให้ใช้เส้นทางผิด แต่เมื่อวิ่งรถไปถึงทางแยกที่ว่านั้น ก็พบว่ามีป้ายบอกทางอย่างชัดเจน แสดงว่ากรมทางหลวงของสหรัฐอเมริกาเขาเอาใจใส่ในเรื่องนี้มาก ขอเพียงอ่านออกเขียนได้ รับรองว่าไปไหนไม่มีหลง ตกลงว่าเราวิ่งรถมาถึงเมืองราเชลแล้ว เวลาขณะนั้น บ่ายสามโมง 45 นาที (3:45 P.M.) เรามาจอดรถที่หน้าป้าย Welcome to Rachel ก่อนเข้าเมืองเลยจอดรถเก็บภาพไว้ชุดหนึ่ง

 


 

จากนั้นไม่กี่นาที เราก็มาถึงโรงแรมเอเลี่ยนน้อย "ลิตเติ้ล เอเลี่ยน Little ALE' INN" เอาชื่อเอเลี่ยนมาเป็นชื่อโรงแรม

 

 

ป้ายที่จอดรถสำหรับผู้มาเยือน (Alien)

 

ผู้เขียนเห็นแล้วก็ร้องอ๋อทันที นี่ไง เจ้าเอเลี่ยนที่เราเห็นในเว็บไซต์ต่างๆ นั้น มันไปจากโรงแรมแห่งนี้ นี่หมายถึงว่า "เรามาถูกทางแล้ว" จึงจอดรถ ชวนพระท่านลงไปเก็บภาพ "เอเลี่ยน" กันยกใหญ่ สังเกตเห็นด้วยว่า มีรถจอดอยู่อีก 2 คัน แสดงว่ามีคนสนใจมาทางนี้เช่นกัน แหมก็นึกว่าทางเปลี่ยวมีแค่เราคันเดียว แต่เมื่อมีเพื่อนเพิ่ม แม้เพียงคันสองคัน ก็ทำให้อุ่นใจเท่าไหร่แล้ว

 

 

นี่ไง เจอแล้วฮ่ะ จานผีที่ย้ายมาจากเมืองรอสเวลล์ มันจอดรออยู่ที่นี่เอง

 


 

โฟกัสใกล้ๆ

 

 

 

วัตถุลึกลับ กับ ดินแดนต้องห้าม

 

 

 

เรา-ลิตเติ้ลเอเลี่ยน ยินดีต้อนรับ

 

 

มีรถของเอเลี่ยนด้วย

 

 

ด้านหน้าโรงแรม สัมผัสเอเลี่ยนอย่างใกล้ชิด

 

 

มีจุดขายอยู่หลายแห่ง

 

 

THE AREA 51

 

 

 

 

Back Gate ประตูหลังของ Area 51

แสดงว่า เจ้าหน้าที่เขากำหนดให้ประตูเข้าทางฟรีเวย์ 95 เป็นด้านหน้า ทางเข้าทางฟรีเวย์ 93 (ไฮเวย์ 375) จึงกลายเป็นประตูหลัง

 

ก่อนออกจากบริเวณโรงแรมลิตเติ้ลเอเลี่ยนนั้น ผู้เขียนเข้าไปถามพนักงานในโรงแรมว่า ถ้าจะไป "แอเรีย 51" นั้น ไกลไหม ? พนักงานซึ่งแนะนำตัวเองว่า มาจากเมืองฟิลาเดลเฟีย (รัฐเพนซิลวาเนีย) ซึ่งเมืองนี้มีประวัติว่าเคยเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของสหรัฐอเมริกา ก่อนจะสร้างกรุงวอชิงตันดีซีขึ้นมาแทน เธออาจจะเบื่อความแออัดของฟิลล่า จึงหนีมาหาเอเลี่ยนถึงเมืองราเชล อันมีสภาพเป็นทุ่งโล่งๆ ยิ่งกว่าทุ่งกุลาร้องไห้

สตรีชาวฟิลล่าท่านนั้นบอกว่า ถ้าคุณจะเข้าไปที่ประตู ก็ให้วิ่งรถกลับไปทางอลาโมเพียงนิดเดียว แล้วดู "Second Right" ให้เลี้ยวขวาเข้าไป ไม่นานก็จะเจอเอง ฯลฯ ผู้เขียนจึงต้องย้ำคำถามว่า "แยกที่สองทางขวาใช่ไหม" เธอก็พยักหน้าตอบว่า "แม่นแล้ว" จากนั้นรถของเราก็วิ่งกลับมาทางอลาโม แล้วเลี้ยวเข้าไปในเส้นทางที่ไม่มีป้ายบอก ??

ทางเส้นนี้ไม่น่าจะเป็นประตูเข้าสู่แอเรีย 51 อันโด่งดังระดับโลก เพราะเป็นทางลูกรังทั้งเล็กทั้งแคบแบบว่าไม่มีเส้นแบ่งเลนด้วยซ้ำ รถที่วิ่งสวนกันจึงต้องกะระยะหลีกกันเอาเอง เมื่อรถวิ่งผ่าน ฝุ่นก็คลุ้งขึ้นเป็นทางยาว วิ่งเข้าไปซัก 5 นาที ก็พบว่า ทางลูกรังได้กลายเป็นทางลาดยาง นั่นแสดงว่า "เส้นทางด้านในดีกว่าเส้นทางด้านนอก" ผู้เขียนนึกในใจว่า "แอเรีย 51 นี่ มันลึกลับจริงๆ ดูสิ เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็น ถนนด้านในดีกว่าถนนใหญ่ด้านนอก มันแปลกจริงๆ"

 

 

ประตูเข้าสู่ แอเรีย 51 ทางทิศเหนือ หรือ Back Gate

(ภาพจากอินเตอร์เน็ต)

 

ก็วิ่งรถมาถึงป้ายใหญ่ที่เห็นนี่แหละ มีเหล็กขนาดใหญ่กั้นไว้เหมือนทางรถไฟ บริเวณโดยรอบนั้นมีป้ายอะไรต่อมิอะไรติดเต็มไปหมด ห้ามเข้า ห้ามบุกรุก ห้ามถ่ายรูป ห้ามใช้โดรนบินบริเวณนี้ พร้อมกับคำอธิบายว่า ถ้าฝ่าฝืนจะมีความตามกฎหมายมาตราใดบ้าง !

จอดรถ และเปิดประตูลงไป "เหยียบ" ที่หน้าแอเรีย 51 เหมือนท้าทายอภิมหาอำนาจของโลก อ่านป้ายต่างๆ แล้ว หันมาพูดกับพระท่านว่า "มิน่า พวกรถ 2 คันที่กลับไปก่อนหน้าเรานั้น ก็คงเข้าไม่ได้ คงมาถึงแค่นี้แหละ" ผู้เขียนพูดพลางก็กวาดสายตาเข้าไปใน "แอเรีย 51" ว่าจะมีเจ้าหน้าที่ "ซุ่มดู" อยู่ซักแห่ง ตามที่เขาเตือนไว้ในเว็บไซต์ต่างๆ หรือไม่ แต่ก็ไม่เห็น เห็นแต่กล้องวงจรปิดติดอยู่หลายมุม แสดงว่าพวกเราถูกจ้องมองและบันทึกภาพไว้หมดแล้ว จึงต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง ผู้เขียนเหลียวไปเห็นพระท่านกำลังเอากล้องถ่ายรูปออกมายืนหันหลังให้ประตู แล้วทำท่าจะถ่ายเซลฟี่เข้าไป เลยห้ามไว้ว่า "ไม่ต้องถ่ายหรอกครับท่าน เขาห้ามมิให้ใครถ่ายรูป พวกเราแค่มาดู มิได้ต้องการอะไรไปมากกว่านี้ ได้มาถึงตรงนี้ก็ถือว่าดียิ่งแล้ว เดี๋ยวเกิดเขารู้ว่าพวกเราฝ่าฝืนกฎหมาย มันก็จะไม่ดี" พระท่านก็เชื่อฟัง รีบเก็บกล้องแต่โดยดี เมื่อไม่ให้เข้า-ไม่ให้ถ่ายรูป ก็ถือว่าไม่มีอะไรจะทำที่หน้าป้าย "อันตราย" นี้แล้ว ไม่กี่นาทีจากนั้น ผู้เขียนจึงตัดสินใจชวนพระท่านกลับ อยู่นานก็เกรงจะไม่ปลอดภัย

 


 

พิพิธภัณฑ์เอเลี่ยน นอกเมืองอลาโม

 

 

วิ่งรถกลับมาทางเมืองอลาโม เห็นอาคารครึ่งวงกลม อยู่ด้านซ้ายมือ ด้านหน้านั้นมีหุ่นเอเลี่ยนตัวสูงยังกะเปรตยืนค้ำอยู่ เห็นว่าน่าจะมีเรื่องราวเอเลี่ยนที่น่าสนใจ จึงชวนพระท่านเข้าไปดู แต่ปรากฏว่าพิพิธภัณฑ์ปิดแล้ว เราจึงลงไปถ่ายรูปที่ด้านหน้าแทน


 

 

ออกจากพิพิธภัณฑ์ วิ่งรถมาถึงทางแยกอลาโม ก็พบว่ามีร้านขายของอยู่ตรงสามแยก มีภาพวาดเอเลี่ยนและยูเอฟโอขนาดโตมากอยู่เต็มกำแพง เลยชวนกันลงไปถ่ายรูปอีกชุดใหญ่

 

 

กลางดงเอเลี่ยน

 

 

ต่อจากนั้น เราก็มาหยุดรถที่ปั๊มเดิมอีกครั้ง คนขายของเห็นก็ทักว่า ยูไปราเชลมาแล้วหรือ ผู้เขียนก็ตอบว่า ใช่ เราไปมาแล้ว และเราพบเอเลี่ยนตั้งหลายตัวด้วย เธอคงเคยไปมาแล้วล่ะ จึงหัวเราะชอบใจ หลังจากนั้นอีก 2 ชั่วโมง คณะของเราก็กลับถึงวัดไทยลาสเวกัส โดยปลอดภัย

 

 

-8-

 

 

EXIT MERCURY ทางเข้าสู่แอเรีย 51 (ไม่มีบริการใดๆ)

 

 

 

ในวันต่อมา เส้นทางที่สองจึงถูกเปิดออกมา ผู้เขียนคำนวณว่า จากลาสเวกัสไปยังเมืองเมอคิวรี่ ซึ่งใกล้กว่าราเชลนั้น น่าจะใช้เวลาน้อยกว่า จึงนัดกับพระท่านว่า "วันนี้เราจะออกกันเวลาบ่ายสาม"

ครั้นถึงเวลา 3:00 P.M. วันที่ 19 สิงหาคม 2560 คณะของเราก็ออกเดินทางเป็นรอบที่สอง คราวนี้มั่นใจมากขึ้นกว่าเดิม เพราะผ่านทั้งเอเลี่ยนและประตูต้องห้ามมาแล้ว ผู้เขียนมุ่งหวังว่า ถ้าวิ่งรถไปถึงหน้าประตูทางเข้าสู่แอเรีย 51 ด้านหน้า ถึงแม้ว่าเจ้าหน้าที่จะไม่ให้เข้าไปข้างใน แต่เราก็จะไปดูและถ่ายรูปร้านค้าต่างๆ แถวๆ นั้น เหมือนที่เมือง..ราเชล

 

 

 

ทางแยกจากไฮเวย์ 95 เข้าสู่เมืองเมอคิวรี่

ระยะทาง 4.8 ไมล์ ใช้เวลาวิ่งรถประมาณ 10-20 นาที

 

 

 

ป้ายเตือนด้านขวามือ (ภาพจากอินเตอร์เน็ต)

 

 

รถวิ่งมาได้ชั่วโมงกว่านิดๆ ก็พบกับป้าย Mercury ผู้เขียนจึงหมุนพวงมาลัยชิดขวาเข้าไป แต่ลงทางด่วนมาได้ไม่ไกล ก็พบประตูใหญ่ ไม่มีเหล็กกั้น มีแต่ป้ายปักไว้สองข้างว่า No-Trepassing ก็แปลว่าห้ามเข้าหรือห้ามผ่านนี่แหละ แต่..เอ

แต่สังเกตว่า ประตูนี้ทำไมมีแต่ป้าย ต่างจากประตูหลังเมื่อวาน ที่มีเหล็กกั้นไว้ ดูสิ ถนนโล่งไปหมด ถ้าไม่ให้ผ่านจริงๆ ก็ทำไมไม่เอาเหล็กมากั้นไว้เหมือนเมื่อวาน ผู้เขียนคิดพลางก็ปล่อยให้รถ "หลุด" ผ่านจุดที่ป้ายนั้นปักอยู่

วิ่งมาได้อีกสักครู่ ก็มีป้ายบอกว่า รถยนต์น้ำหนักเกิน 2 หรือ 3 ตัน นี่แหละ ให้จอดทางขวามือ สังเกตเห็นรถสิบล้อจอดอยู่คันหนึ่ง นั่นแสดงว่า "ไม่ห้ามรถเข้า แต่ให้รถที่มีน้ำหนักเกินต้องจอดอยู่ตรงจุดนี้" ผู้เขียนแปลความหมายเอาเอง ทีนี้เมื่อเห็นว่ารถของเราเป็นรถเล็ก คงไม่เข้าเกณฑ์ต้องจอดเหมือนสิบล้อคันนั้นหรอก จึงปล่อยให้รถวิ่งต่อไปอีก

 

 

ตัวด่านตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างทางที่เห็น


 

 

อีกไม่กี่นาทีจากนั้น รถของเราจึงมาถึงจุดสำคัญ จุดนั้นก็คือ "ด่านทหาร" ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า มองดูด้วยสัญชาติญาณก็รู้ว่า "นี่มิใช่ด่านธรรมดา แต่มันเป็นด่านพิเศษที่สุดในโลก เป็นประตูเข้าสู่แอเรีย 51" เรารู้ว่านี่มิใช่ด่านเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่มันเป็นด่านทหาร แถมเป็นด่านพิเศษ มิได้ตั้งไว้บนท้องถนน แต่เป็นด่านตรวจดินแดนต้องห้ามของโลก ซึ่งว่ากันว่ามีมาตรการป้องกันผู้บุกรุกรุนแรงที่สุดในโลก

ผู้เขียนเลยลดความเร็วลงเหลือแค่ 3-5 ไมล์ต่อชั่วโมงเท่านั้น ก็แทบว่าจะคลานกันไปเลยทีเดียว มิทันที่รถของเราจะเข้าใกล้ประตูในระยะ 100 เมตร ก็ปรากฏร่างของเจ้าหน้าที่ทหาร 2 นาย เดินออกมาจากในป้อมยามตรงกลางด่านด้านซ้ายมือ มือข้างหนึ่งกุมอาวุธปืนเอาไว้ อีกข้างหนึ่งยกขึ้นห้ามมิให้เราไปต่อ หมายถึงว่า เราต้องหยุด !

ด้วยสัญชาติญาณที่เคยผ่านการหยุดตรวจมาก่อน ผู้เขียนจึงเลื่อนกระจกลงทั้ง 4 ด้าน เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ จากนั้นค่อยๆ ปล่อยรถให้ไหลไปใกล้หน้าประตูก่อนถึงทหารที่ยืนอยู่ซัก 5 เมตร แล้วหยุดลง จากนั้นจึงชะโงกหน้าออกมาทางหน้าต่าง เพื่อทักทายเจ้าหน้าที่ผู้มีสีหน้าไม่รับแขกเหล่านั้น

"คุณจะไปไหน ?" เป็นคำถามแรกที่ได้ยินจากเจ้าหน้าที่ที่เดินตรงเข้ามาหา ผู้เขียนก็ไม่ยอมตอบคำถาม แต่ได้ยิ้มทักทายไปก่อนว่า "Hallo" แล้วก็หยุดอยู่ นายทหารท่านนั้นจึงถามซ้ำว่า "คุณจะไปไหน" ถึงตอนนี้ผู้เขียนจึงเพิ่งจะตอบว่า "ฉัน เอ้อ ฉันต้องการเข้าไปในเมืองนี้ - เมอคิวรี่ เห็นว่ามีสถานที่น่าสนใจ"

นายทหารท่านนั้นก็ส่ายหน้า บอกว่า "โน คุณเข้าไปไม่ได้" แล้วยิงคำถามต่อไปอีกว่า "คุณเห็นป้ายที่ด้านหน้าโน้นไหม ที่บอกว่าห้ามเข้ามาน่ะ" ผู้เขียนก็ตอบว่า "ไอเห็น แต่..ไอก็พยายามจะถามใครว่าเข้ามาได้ไหม แต่ไม่เห็นมีใครเลย ไอเลยเข้ามาที่นี่ เพื่อที่จะเช็คดูว่าเข้ามาได้ไหม"

นายทหารก็ตอบอีกว่า "โน คุณเข้าไม่ได้" จากนั้นไปก็ทำเอาผู้เขียนเครียด เพราะเขาถามว่า "ยูมี ID ไหม"

แหมขับรถมันก็ต้องมีอยู่แล้ว ไม่มีก็ผิดกฎหมายนะซี ผู้เขียนจึงโชว์ไอดีให้ดู เขาก็ยื่นมือมารับ เราเข้าใจต่อไปทันทีเลยว่า ต้องมีการเช็คประวัติอย่างแน่นอน แต่ถ้าเช็คเพียงคนขับก็ไม่น่ากังวลอะไรมาก เพราะผู้เขียนอยู่เมืองนี้มาเกือบๆ จะ 20 ปีนี่แล้ว แต่..แต่มีปัญหาว่า เขาขอดูบัตรประจำตัวของพระที่มาด้วย !

ทำไมต้องแต่ ? ที่ต้องแต่ก็เพราะว่า พระทั้งสามรูปเหล่านั้น ท่านเพิ่งมาใหม่ได้เพียง 3 เดือนกว่า ยังถือพาสปอร์ต ยังไม่มีบัตรประจำตัวของคนที่นี่ หรือพูดง่ายๆ ว่า ยังเป็นคนต่างด้าว !

แต่นั่นก็ยังไม่สำคัญเท่ากับว่า เมื่อผู้เขียนหันไปถามว่า ท่านเอาพาสปอร์ตมาด้วยไหม ? ก็ได้คำตอบเป็นรายตัวว่า

รูปที่ 1 ไม่ได้เอามาครับ

รูปที่ 2 เอามาครับ

รูปที่ 3 ไม่ได้เอามาครับ

เอาละซีครับ งงเต๊กเลยล่ะทีนี้ ผู้เขียนรู้สึกคอเหนียวขึ้นมาทันที ไม่มีน้ำลายเอาซะดื้อๆ ไม่รู้จะตอบเขายังไง ในเมื่อ "เอามาบ้าง ไม่เอามาบ้าง" คือถ้าจะเอาให้เขาตรวจก็ต้องเอาทั้งหมด ถ้าไม่เอาก็ต้องไม่เอาทั้งหมด จะเอาบ้างไม่เอาบ้างเขาคงไม่ยอม

สมองของผู้เขียนต้องวิ่งแข่งกับเวลาและสีหน้า (ยักษ์) ของทหารที่รออยู่ตรงหน้า จะแก้ปัญหาอย่างไร ในเมื่อมันไม่ได้เตรียมตัวมา เพราะว่าเมื่อวาน เราไปเมืองราเชล เข้าไปถึงหน้าประตู ไม่มีคนอยู่ มีแต่ป้อมยามกับเหล็กกั้นไว้ เราก็ลงไปยืนดูด้วยสายตาเท่านั้นแล้วก็กลับ ไม่มีใครตรวจบัตรตรวจเบอร์ วันนี้จึงคิดว่าจะเข้ามาดูเหมือนเมื่อวาน แต่กลับต้องมาเจอด่านและการตรวจประวัติผ่านบัตรประชาชน แถมพระเราทั้งสี่ยังเอามาครึ่งไม่มาครึ่ง มันจึงยุ่งที่จะตอบรับและปฏิเสธคำสั่งของเจ้าหน้าที่ที่หน้าประตู แอเรีย 51 ทั้งสองนาย ที่ยืนจังก้าพร้อมด้วยอาวุธครบมืออยู่ตรงหน้า นึกไม่ออกว่าถ้าเขาได้บัตรไม่ครบจะเกิดอะไรขึ้น เราอาจจะถูกกักตัวไว้ จนกว่าจะได้บัตรมาแสดง ?!

 

 

 

ด่านเข้าสู่แอเรีย 51 ประตูหน้า

ภาพจากอินเตอร์เน็ต

 

 

เมื่อตัวเลขมันออกมาแบบว่าไม่เคลียร์ คือคณะของเรามีบัตรไม่ครบทุกคน ผู้เขียนเลยตัดสินใจ "ไม่ให้ตรวจ" เพราะเห็นว่า ถ้าให้บ้างไม่ให้บ้างมันจะเกิดปัญหา แต่จะพูดอย่างไรให้เขาเข้าใจไม่ตรวจ เลยหันมาฉีกยิ้มและตอบเขาไปว่า "Sorry พอดีพวกเราเข้ามาที่นี่เพื่อจะมาดูเมืองเมอคิวรี่เท่านั้น ไม่ได้ต้องการเข้าไปข้างในแอเรีย 51 เลย ดังนั้น พี่น้องของฉันเขาเลยไม่ได้เอาบัตรมา They don't carry ID with them"

เจ้าหน้าที่ก็ตอบอีกว่า "คุณจะเข้าไปข้างในไม่ได้ เพราะไม่ได้รับอนุญาต"

ผู้เขียนก็ตอบว่า "ซอรี่ (ติดปากทุกครั้งเลย) ฉันเข้าใจ เข้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ถ้าเข้าไปไม่ได้ ฉันก็จะกลับออกไปเดี๋ยวนี้แหละ"

เจ้าหน้าที่คนเดิมก็บอกว่า "ยังก่อน ฉันต้องเช็คบัตรของคุณก่อน"

ผู้เขียน "OK Go ahead"

เจ้าหนาที่คนแรกก็เดินหันหลังกลับเข้าป้อมไปพร้อมกับไอดีของผู้เขียน ส่วนเจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่ง ซึ่งแต่แรกนั้นยืนคุมเชิงอยู่ห่างๆ แบบว่าถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินก็จะได้ช่วยกัน คนที่สองนี้ได้เดินเข้ามายืนในจุดที่เจ้าหน้าที่คนแรกนั้นแทน พร้อมๆ กับถามหาไอดีหรือบัตรประจำตัวของพระอีกสามรูป

ผู้เขียนก็ตอบไปอีกว่า "ขออภัย พี่น้องของฉันเขาไม่ได้เอาบัตรมาด้วย" จากนั้นผู้เขียนก็ถามบ้างว่า "ฉันเช็คดูในเว็บไซต์แล้ว เห็นเขาว่าแถวๆ นี้มีเอเลี่ยน" เจ้าหน้าที่ยักคิ้วถามอีกว่า "What ?" ผู้เขียนก็ตอบซ้ำไปว่า "อีที-เอเลี่ยน อยู่ข้างในนี้ไหม ฉันอยากรู้"

เขาก็ถามกลับว่า "คุณหมายถึง Area 51 ใช่ไหม"

เราก็ตอบด้วยความดีใจว่า "ใช่แล้ว ฉันอยากเห็นเอเลี่ยน"

เจ้าหน้าที่ก็บอกว่า "No-No Alien คุณเข้าไปไม่ได้"

คราวนี้เป็นทีของเราแล้วล่ะ เพราะว่าเขาเริ่มเปิดบทสนทนาแล้ว มันออกนอกกรอบของการตรวจสอบไปแล้ว เพราะผู้เขียนเคยมีประสบการณ์ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสต็อปรถเพราะขับเร็วมาก่อน เคยใช้ฝีปากเจรจาจนหลุดได้ใบสั่งมาแล้วหลายใบ เพราะเจ้าหน้าที่ก็มีหลายแบบ บางคนก็ใจร้าย เห็นหน้าปุ๊ปก็ถามหาบัตรปั๊ป แบบนี้ท่าจะไม่ค่อยดี มีแววว่าจะโดนสูง แต่ถ้าบางรายเดินเข้าทักทาย ถามว่าเราจะไปไหน ไอ้แบบนี้มันก็มีช่องให้เจรจาต้าอวยสูง เราก็ต้องรีบหาช่องคุยพร้อมกับขอโทษที่ขับรถเร็ว จะอ้างอะไรก็อ้างไป เพราะต้องเอาตัวให้รอดเฉพาะหน้าไปก่อน

ตอนนี้ก็เช่นกัน เมื่อเจ้าหน้าที่นายนั้นเปิดโอกาสช่วงที่คนแรกไปเช็คบัตร (ประวัติ) ของผู้เขียนอยู่ในป้อม เขาเจรจากับเราๆ ก็ยิงคำถามออกไปให้ไกลจากเรื่องการตรวจบัตร ผู้เขียนจึงเจรจาอีกว่า "ไอดูในเว็บไซต์แล้ว ข้างในมีร้านแม็กโดนัลด์อยู่ อยากจะซื้อน้ำซักหน่อย"

เจ้าหน้าที่ก็ถามอีกว่า "อะไรนะ"

เราก็ตอบว่า "แม๊กโดนัลด์ แฮมเบอร์เกอร์"

เขาก็บอกว่า "อ๋อ ร้านอาหารน่ะเหรอ มันปิดแล้วล่ะ No Service"

ทีนี้เจ้าหน้าที่คนที่ว่านี้ก็วกกลับมาที่บัตรประจำตัวอีกว่า "อีกสามคนน่ะ มีบัตรอย่างอื่นมาด้วยหรือเปล่า" Any Document เขาย้ำ

เราก็ตอบว่า "ซอรี่ พวกเขาไม่ได้เอาอะไรมาเลย Because..เพราะว่าเราตั้งใจจะมาดูเอเลี่ยนและซื้อน้ำดื่มในร้านแม๊กโดนัลด์เท่านั้น"

 

 

ปรับ 5 พัน จำคุก 1 ปี ผู้ที่ล่วงล้ำแอเรีย 51

 

 

ผู้เขียนหันกลับไปกลับมาระหว่างเจ้าหน้าที่กับพระในรถ พยายามฉีกยิ้มรับสถานการณ์ตรงหน้าให้สบายๆ ที่สุด แบบว่าเรามาเที่ยวและไม่ได้ซีเรียสอะไรในการถูกตรวจ ทั้งๆ ที่ในใจนั้นรู้สึกกังวลอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน คิดไปไกลถึงว่า นี่ถ้าเขาให้เราลงจากรถ และตรวจทั้งรถทั้งคน แถมพระที่ไม่ได้เอาเอกสารมาด้วยจะทำอย่างไรถ้าเขาไม่ยอม เขาอาจจะกักตัวเอาไว้ เพื่อสอบประวัติ ถึงเราจะมั่นใจว่าไม่มีประวัติเสียหาย แต่การถูกตรวจก็ทั้งเสียเวลาทั้งจะถูกบันทึกประวัติไว้ใน Area 51 อีกด้วย

ช่วงนี้แหละ ที่ผู้เขียนทำทีหันกลับเข้าข้างในรถ ถามพระทั้งด้านหน้าด้านหลังด้วยเสียงอันดัง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้ยินว่าเรากำลังคุยกัน มิได้พูดเองเออเอง มิเช่นนั้นเขาคงไม่เชื่อ และถ้าหากไม่เชื่อ เขาก็อาจจะ "เชิญเรา" ลงรถไปตามที่กังวลใจอยู่

พอผู้เขียนคุยกับพระในรถเสร็จแล้ว กำลังจะหันหน้ามาบอกกับเจ้าหน้าที่คนนั้นอีกที เจ้าหน้าที่คนแรกที่เอาบัตรของผู้เขียนเข้าไปตรวจนั้นก็เดินออกมาพอดี เจ้าหน้าที่คนที่สองจึงหันไปคุยกันได้สักครู่ จึงหันมาสั่งผู้เขียนว่า "คุณขับเข้าไปด้านในนะ แล้วให้เลี้ยวซ้ายออกทางเลนโน้น จากนั้นให้วนไปจอดตรงโน้นนะ" ว่าพลางก็ยกแขนชี้นิ้วเป็นวงกลม ผู้เขียนก็ถามย้ำว่า "ยูจะให้ไอขับเข้าไปด้านในด่าน แล้วเลี้ยวออกมาทางเลนโน้นใช่ไหม" เขาก็ตอบว่า "ใช่แล้ว คุณเข้าใจถูกต้อง" เราจึงถามย้ำครั้งที่สองว่า "เลี้ยวตรงนั้นนะ" พอเขาพยักหน้า ผู้เขียนจึงหันมาบอกพระว่า "เขาให้เรากลับออกไปจอดตรงโน้น" แล้วก็ขยับรถผ่านด่านเข้าไปด้านในพอได้ระยะพอเลี้ยวรถได้จึงเปิดไฟเลี้ยวซ้าย หมุนพวงมาลัยอ้อมรถไปในเลนขวาสุดตามที่เจ้าหน้าที่สั่ง พอรถวิ่งกลับเลยป้อมออกมา เจ้าหน้าที่ก็วิ่งเข้ามาประกบ พร้อมกับชี้นิ้วสั่งอีกว่า ยูจอดตรงโน้น ผู้เขียนก็ขยับรถไปตามที่เขาชี้ เบรคแล้วหันหน้ากลับมาถามว่า "Right Here" เขาก็บอกว่า OK OK

 

 

 

ภาพจำลองรถของเราวิ่งผ่านด่านแอเรีย 51 เข้าไปด้านในแล้วเลี้ยวออกมาจอดอยู่นอกด่าน

 

 

จากนั้น เจ้าหน้าที่นายที่ถือบัตรของผู้เขียนไว้นั้น ก็เดินเข้ามาประกบที่ประตูรถ เล่นเอาผู้เขียนตกใจ นึกว่าจะสั่งให้เราลงรถหรือขอบัตรพระที่เหลือเพิ่ม แต่เจ้าหน้าที่ได้บอกว่า "ยูรออยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวจะมีรถอีกคันมานำยูออกไปจากที่นี่" ผู้เขียนก็ถามว่า "จะมีรถมานำเราออกไปจากที่นี่หรือ" หมายถึงว่ารถที่มานั้นจะวิ่งนำเราออกไปใช่หรือไม่ ?

เจ้าหน้าที่ก็ตอบว่า "No No คุณจะต้องขับนำรถคันนั้นออกไป

"หมายถึงว่า รถคันนั้นจะขับตามหลังไอไปใช่ไหม" ผู้เขียนถามอีก

เจ้าหน้าที่ก็ตอบว่า "คุณเข้าใจถูกต้อง นะ ให้คุณขับออกไปก่อน" ว่าพลางก็ถอยกลับไปยืนอยู่คู่กันที่หน้าด่านตรวจ

ถึงตอนนี้ชักจะใจชื้นแล้วว่า น่าจะได้ออกไปโดยไม่มีการตรวจบัตรพระที่เหลือ แต่ยังติดที่ว่า เจ้าหน้าที่นายนั้นยังไม่ได้คืนใบขับขี่ให้ผู้เขียนเลย ก็เลยไม่รู้ว่า เขาจะถือเอาไว้นานเท่าใด ช่วงเวลาที่จอดรออยู่นั้น ผู้เขียนก็หันมาคุยกับพระในรถว่า เขาให้เรามาจอดตรงนี้ เดี๋ยวจะมีรถมาพาเราออกไปจากที่นี่ ถ้าโชคดีเราก็คงไม่โดนตรวจบัตรทุกรูป พระทั้งสามรูปในรถจึงค่อยมีสีหน้าผ่อนคลายขึ้นมาหน่อยหนึ่ง แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครยิ้มเลย ตั้งแต่ถูกถามหาบัตรมาจนถึงนาทีนี้ ก็แปลว่าเครียดกันทั้งรถ

ตอนนั้นผู้เขียนก็ภาวนาว่า ขออย่าให้มันยืดเยื้อไปเลย เราไม่ได้ตั้งใจล่วงล้ำแดนเข้ามาแบบผิดกฎหมาย เราเพียงแต่ขอเข้ามาดูแอเรีย 51 เท่านั้น ดูไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขอออกไปแบบไม่มีปัญหาก็แล้วกัน คิดพลางก็มองทะลุกระจกรถไปไกลด้านหน้า อยากจะบินออกแอเรีย 51 นี้ไปใจจะขาด !

จากนั้นไม่กี่อึดใจ ผู้เขียนก็ได้ยินเสียงเหมือนรถตำรวจ จึงมองไปที่กระจกหลัง เห็นรถกระบะ 4 ประตูคันหนึ่ง ติดไฟเหมือนรถเจ้าหน้าที่ตำรวจเต็มคัน เปิดไฟวูบวาบวิ่งมายังประตู แล้วก็จอดอยู่ตรงเจ้าหน้าที่สองนายนั้น สังเกตว่าพูดกันได้ไม่กี่คำ เจ้าหน้าที่คนแรกนั้นก็วิ่งมาที่รถของเรา เอามือซ้ายชี้ไปทางถนนด้านหน้าซึ่งออกไปจากแอเรีย 51 ว่า "คุณขับออกไปก่อนนะ แล้วคันนั้นจะขับตามคุณไป" ว่าพลางก็ยื่นใบขับขี่คืนมาให้ ผู้เขียนก็รีบรับคืนด้วยความดีใจ พูดออกไปว่า "Thank you" ถึงสองครั้ง พลางยื่นมือไปขอจับมือ เจ้าหน้าที่นายนั้นก็ใจดีเหลือหลาย ยื่นมือมาจับกับผู้เขียน พลางบอกว่า "Good Luck" ผู้เขียนก็ต้อง Thank you อีกครั้ง พลางหันมาเข้าเกียร์เตรียมวิ่งออกจากแอเรีย 51

พอรถของเราวิ่งเข้าเลนไปอย่างช้าๆ รถเจ้าหน้าที่คันนั้นก็เปิดไฟจี้ใกล้เข้ามาทันที เหมือนจะไล่เราให้พ้นเขตออกไปไวๆ แหมเราก็ไม่อยากอยู่อยู่แล้วแถวนี้ สังเกตว่า ผู้เขียนได้บัตรคืนมาก็รีบเอาวางไว้ในเก๊ะข้างๆ โดยไม่ได้เก็บเข้าย่ามเหมือนเคย เพราะอยากจะออกไปให้ไวที่สุดนั่นแหละ มันร้อนผิดปรกติเลยแถวนี้น่ะ

รถของเราวิ่งอย่างช้าๆ เพราะว่ามีป้ายกำกับความเร็วเอาไว้ด้วย เขาไม่ให้วิ่งเกิน 35 เราก็ต้องคุมความเร็วให้อยู่ในกำหนด ขืนวิ่งไวเกินอัตราก็อาจจะโดนข้อหาเพิ่มโดยไม่จำเป็น แต่รถคันนั้นก็จี้ใกล้เหลือเกิน เหมือนจะไม่เชื่อใจว่าเราจะกลับออกไปยังงั้นแหละ

แค่ระยะเวลาไม่ถึง 15 นาที ที่เราวิ่งออกจากด่านมานถึงประตูด้านหน้าสุดนั้น ผู้เขียนต้องมองกระจกหลังไม่รู้กี่สิบครั้ง ระมัดระวังตลอด ไหนจะคุมความเร็วของรถ ไหนจะต้องเช็ครถคันหลังที่จี้ใกล้เข้ามา ว่าเขาจะให้เราทำอะไรอีกหรือเปล่า ส่วนพระในรถนั้นก็เหมือนถูกสะกด เพราะผู้เขียนกำชับไว้ว่า ให้นั่งนิ่งๆ อย่าขยับหรือพูดคุยกัน มันจะกลายเป็นที่สนใจของเจ้าหน้าที่ ท่านก็ทำตามด้วยดี จนกระทั่งรถของเราวิ่งมาจนพ้นประตูหน้า รถเจ้าหน้าที่คันนั้นก็ชะลอความเร็ว พลางเลี้ยวออกจากถนนเพื่อจะกลับเข้าไปด้านใน ก็หมายถึงว่า เราพ้นจากแอเรีย 51 มาแล้ว อย่างเฉียดฉิว

ทีนี้ พอขึ้นฟรีเวย์ 95 ผู้เขียนก็เร่งความเร็วอย่างแรง เหมือนกับว่าอยากไปให้ไกลสุดขอบฟ้า ไม่อยากกลับมาอีกแล้ว แอเรีย 51 ที่ว่านี่

พอรถอยู่บนฟรีเวย์ได้ซักครู่ ผู้เขียนจึงหายใจให้เต็มปอด ก่อนหันไปคุยกับพระที่นั่งเป็นเจ้าเข้าทรงอยู่ว่า "เป็นไง เจออะไรบ้าง" เมื่อท่านยังไม่ทันตอบ ผู้เขียนก็เล่าให้ฟังว่า "นี่แหละ คือประตูของ แอเรีย 51 เขตหวงห้ามทางทหารอันดับหนึ่งของโลก เราล่วงล้ำเข้าไปในเขตห้ามเข้า ดีที่เขาไม่จับ เพราะมันผิดกฎหมาย แถมอีกสองท่านก็ไม่ได้เอาพาสปอร์ตมาด้วย เกือบซวยแล้วไหมล่ะ"

เมื่อเห็นพระท่านเงียบ ผู้เขียนจึงพูดต่อไปว่า "แต่ท่านสังเกตเห็นไหมว่า เขาห้ามเราเข้าตั้งแต่ประตูหนึ่งข้างหน้าแล้ว แต่เรายังเข้าไปถึงด้านในที่โดนตรวจ แสดงว่าเราเข้าไปลึกมาก แถมเขายังให้รถของเราเข้าผ่านด่านเข้าไปด้านในแล้วเลี้ยวออกมา แสดงว่า เราเข้าไปในแอเรีย 51 ได้จริงๆ เหลือเชื่อนะ แต่ว่า.."

ผู้เขียนหยุดนิดหนึ่ง จึงพูดต่อว่า "แต่ว่าผมคงพาท่านมาได้เพียงครั้งเดียวในชีวิต ต่อนี้ไปคงไม่สามารถพาใครมาได้อีกแล้ว เพราะทั้งรถและประวัติของผมถูกบันทึกไว้ในแฟ้มของแอเรีย 51 เสร็จเรียบร้อยแล้ว วันนี้ เขาไม่เอาโทษเราเพราะเข้าใจว่าเราไร้เจตนาบุกรุกจริงๆ แต่ครั้งต่อไปไม่แน่ แม้แต่ถ้าเกิดเหตุอะไรร้ายแรงต่อไป เขาก็อาจจะสงสัยผมด้วย เพราะผมมีประวัตินั่นเอง"

"ดังนั้น จึงเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ที่ผมจะมาแอเรีย 51"

พระท่านได้ฟังก็เหมือนๆ จะทั้งดีใจและเศร้าใจ

ดีใจที่ได้เป็นพระไทยกลุ่มแรก ที่เข้าไปถึงด้านในกำแพงของแอเรีย 51 อันโด่งดังของโลก แบบว่าถึงจะเป็นแค่กำแพงล้อมทะเลทรายอันแห้งแล้ง แต่ความหมายมันมากมายมหาศาล ถึงมีเงินล้านก็ซื้อโอกาสแบบนี้ไม่ได้

ที่เศร้าใจก็คงเพราะ "ต่อไปเราคงไม่ได้กลับมาอีกแล้ว ไม่ว่ากรณีใดๆ"

คนตกนรกนั้น เจอเรื่องทารุณโหดร้าย เจ็บปวดทรมานเหลือทน จึงไม่อยากกลับไปอีก ขอเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิต

คนขึ้นสวรรค์นั้น ได้เห็นนางฟ้าเทวดาและสมบัติพัสถาน อันเป็นทิพย์ ก็ติดอกติดใจอยากกลับไป ไม่อยากกลับมา

ทั้งสองความรู้สึกนี้ต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่..

แต่สำหรับการเข้าไปใน "แอเรีย 51" ของทีมเราในครั้งนี้ มิใช่นรกและมิใช่สวรรค์ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้างในมีอะไร มีแต่เพียงความสงสัยของคนทั้งโลกที่พาเราเข้าไป

อยากเข้าไปดูให้รู้และหายสงสัย

แต่เมื่อเข้าไปแล้วจะมีโทษเพราะผิดกฎหมาย

จึงทั้งอยากไปและไม่อยากไป

การไปยังดินแดนมหัศจรรย์นามว่า "AREA 51" ของผู้เขียนและคณะในวันนี้ จึงไม่มีภาพติดมาแม้แต่ภาพเดียว เพราะเขาห้ามถ่ายภาพ แต่จะอย่างไร ถึงไม่ได้ภาพ แต่ได้ตัวเองกลับมาโดยไม่โดนข้อหาบุกรุกติดคุกติดตะราง ก็ถือว่าโชคดีที่สุดแล้ว

การเข้าไปในแอเรีย 51 ครั้งนี้ คงจะบันทึกไว้ในความทรงจำ..ตลอดไป

 

คำถามสุดท้าย ในแอเรีย 51 มีอะไรซุกซ่อนอยู่ ทำให้ผู้คนทั้งโลกอยากรู้

คำตอบก็คือ ไม่มีอะไรเลย นอกจากสิ่งเดียวเท่านั้น นั่นคือ..ความลับ

 

THE TOP SECRET !

 

 

 







 

บ๊ายบาย..ALIEN

 

พระมหานรินทร์ นรินฺโท
วัดไทย ลาสเวกัส
รัฐเนวาด้า สหรัฐอเมริกา
20
สิงหาคม 2560

 

 

 

E-Mail To BK.

peesang2555@hotmail.com

 


ALITTLEBUDDHA.COM WAT THAI LAS VEGAS 2920 MCLEOD DR. LAS VEGAS NV 89121 U.S.A. 702-384-2264