มหากาพย์วัดโสธร

 

 

เจ้าคุณอมร : พระราชปริยัติสุนทร (กลาง)

ถูกพระธรรมมังคลาจารย์-ประยงค์ (ซ้าย) เจ้าอาวาสวัดโสธร และพระธรรมปริยัติมุนี-ประยนต์ (ขวา) อดีตเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา ฟ้องร้องสมเด็จพระสังฆราช ว่าขาดคุณสมบัติเหมาะสมกับตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา แต่พอเข้าไปศึกษารายละเอียดเชิงลึก กลับพบว่าผิดขั้ว เพราะคนของสอง ป. ที่หนุนให้เป็นเจ้าคณะจังหวัดแทนนั้น กลับขาดคุณสมบัติเสียเอง แถมยังข้ามอาวุโสเจ้าคุณอมรเขาก่อนเสียอีก

 

 

 

สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงประทับเป็นประธานมหาเถรสมาคม วินิจฉัยให้ "พระราชปริยัติสุนทร-อมรภิรักษ์" พ้นมลทินทั้งปวง และควรแก่ตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทราทุกประการ

 

 

"ดื้อยา" ต้องว่าอย่างนี้ กรณี "แก๊งค์ 2 ป." คือ ป.ประยงค์ เจ้าอาวาสวัดโสธรวราราม กับ ป.ประยนต์ อดีตเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา วัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์ ได้แท๊กทีมกันเข้าชนกับสองผู้ยิ่งใหญ่ในภาคตะวันออก ได้แก่ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (สนิท ชวนปญฺโญ) วัดไตรมิตรวิทยาราม เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก กรรมการมหาเถรสมาคม และ พระพรหมสิทธิ (เจ้าคุณธงชัย) เจ้าอาวาสวัดสระเกศ เจ้าคณะภาค 10 กรรมการมหาเถรสมาคม ในฐานะ "เจ้านาย" ของเจ้าคุณสุรชัย เจ้าคณะภาค 12 ซึ่งเป็นผู้ปกครองของแก๊งค์ 2 ป. ดังกล่าว

แรกนั้น แก๊งค์นี้ก็ทำทีว่า ถ้าหากสมเด็จพระสังฆราช ทรงมีพระสังฆราชวินิจฉัยอย่างไร เกี่ยวกับการแต่งตั้งพระราชปริยัติสุนทร (อมรภิรักษ์ ปสนฺโน ป.ธ.4) ขึ้นเป็นเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทราแล้ว ก็พร้อมรับคำตัดสินทุกประการ

แต่ครั้นมหาเถรสมาคม อันมีสมเด็จพระสังฆราช ทรงเป็นประธาน ได้ลงมติรับรองการแต่งตั้งพระราชปริยัติสุนทร อย่างเป็นเอกฉันท์ ในวันที่ 31 กรกฎาคม 2560 ที่ผ่านมา ปรากฏว่ายังคงมีความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามอยู่ เพียงแต่คราวนี้ ผ้าเหลืองหลบไปอยู่หลังฉาก ผลักให้ผ้าลายออกมาเคลื่อนไหวแทน ในนาม "กลุ่มรักษ์ธรรมเมืองแปดริ้ว" มีนายฉลอง หอมหวล เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน

นี่แสดงให้เห็นว่า มีการเล่นไม่เลิก ในเกมชิงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา และเจ้าอาวาสวัดโสธรวราราม อันมีผลประโยชน์มหาศาลนับพันๆ ล้าน เป็นเดิมพัน และบอกด้วยว่า นอกจากผ้าเหลืองจะร้อนเพราะผลประโยชน์ในวัดโสธรแล้ว ผ้าลายก็น้ำลายหกไม่แพ้กัน ไม่งั้นไม่ออกหน้าแทนพระหรอก

 

 

 

 

เจ้าคุณเสนาะ กับ เจ้าคุณธงชัย คู่สร้างคู่สมมาแต่ชาติก่อน

 

มองสองมุม

มุมแรก ฝ่ายหนึ่งมองว่า เจ้าคุณธงชัย วัดสระเกศ จะยึดวัดโสธร โดยการดันเจ้าคุณอมร ขึ้นเป็นเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทราก่อน จากนั้นก็รอให้หลวงตาประยงค์ (พระธรรมมังคลาจารย์) เกษียนอายุ แล้วทีนี้ เจ้าคุณอมรก็จะควบ 2 ตำแหน่ง คือ เจ้าอาวาสวัดโสธรและเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา เบ็ดเสร็จเด็ดขาด

ซึ่งการจะเข้าคุม "ทั้งจังหวัด" ดังกล่าวมานี้ ส่งผลให้อีกฝ่ายไม่มีที่ยืน สูญเสียอำนาจหมดทุกอย่าง ต้องตกเป็นรองฝ่ายตรงกันข้ามหมด ฝ่ายนี้จึงคิดว่า ถ้าไม่สู้ก็คงไม่รอด โอกาสรอดน่าจะพอมี จึงได้กินดีปลีทำเรื่องร้องเรียนสังฆราชดังกล่าว

มุมที่สอง ก็ต้องมองว่า ทางฝ่ายหลวงตาประยงค์ก็กะจะเล่นเกมเดียวกัน นั่นคือ ดันเจ้าคุณเก๋น-สิริวัฒน์ เด็กปั้นเจ้าคุณเสนาะขึ้นเป็นเจ้าคณะจังหวัด เพื่อรอหลวงตาประยงค์เกษียนอายุเจ้าอาวาสวัดโสธร ตอนนั้น แก๊งค์ 2 ป. ก็กินรวบทั้งจังหวัดไม่ต่างกัน

 

มันเดินหมากสูตรเดียวกัน เพียงแต่ใครจะเดินไวกว่ากัน หรือจังหวะใครดีกว่า เท่านั้น

 

 

 

สอง ป.9

ซ้าย : สมเด็จพระพุฒาจารย์ (สนิท ชวนปญฺโญ) วัดไตรมิตร

ขวา : พระธรรมปริยัติมุนี (ประยนต์ อจฺจาทโร) วัดปิตุลาธิราชฯ

เปิดตำราใส่กันสายฟ้าแลบ ต่างกล่าวหาว่าผิดจริยาพระสังฆาธิการ

 

ในปี 2552 นั้น หมดเวลารักษาการเจ้าอาวาสวัดโสธร ซึ่งพระพรหมสุธี (เจ้าคุณเสนาะ) เข้ามายึดครองวัดโสธรนานถึง 5 ปี (เข้ามาตั้งแต่ยังเป็นชั้นธรรมที่พระธรรมสิทธิเวที ปี 47 จนได้เป็นชั้นพรหม) ก่อนจะออกจากวัดโสธร เจ้าคุณเสนาะก็ไม่ลืม "วางหมากวางเกม" ทั้งข้างในและข้างนอกวัดไว้อย่างรัดกุม เรียกภาษาทหารว่า วางกับระเบิดไว้เต็มไปหมด

ภายนอกวัดโสธร ได้แก่ พระธรรมประยัติมุนี (เจ้าคุณประยนต์) วัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์ ได้รับการผลักดันจากเจ้าคุณเสนาะให้เข้ามาดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา พร้อมกับเสนอเลื่อนสมณศักดิ์เป็นชั้นธรรมให้ ในปี พ.ศ.2554 ก็หนุนนโยบายของเจ้าคุณเสนาะอย่างออกหน้า โดยดึงเอา "เจ้าคุณเก๋น" เด็กของเจ้าคุณเสนาะ เข้าไปดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา ข้ามอาวุโสของเจ้าคุณอมร ซึ่งดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอเมืองมานานถึง 14 ปี ทั้งนี้ มีแผนจะให้เจ้าคุณเก๋นขึ้นดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดสืบต่อจากเจ้าคุณประยนต์ ในปี พ.ศ.2560

ภายในนั้น ในปี 2552 นั้น เมื่อวัดโสธรว่างเจ้าอาวาส เพราะพระเทพสิทธิโสภณ (เจ้าคุณสุดใจ) รองเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทราและรองเจ้าอาวาสวัดโสธร ซึ่งมีอาวุโสอันดับหนึ่งในสาย ได้ถึงแก่มรณภาพลงกะทันหัน ทำให้เจ้าคุณอมร (พระปริยัติกิจวิธาน) อาจารย์ใหญ่ในวัดโสธร มีอาวุโสเป็นอันดับหนึ่ง จะต้องได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดโสธรวราราม พ่วงกับตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา เหมือนเจ้าคุณสุดใจด้วย

แต่เพราะเจ้าคุณอมรไม่ยอมอ่อนน้อมให้แก่เจ้าคุณเสนาะหรือไรไม่ทราบ หรืออาจจะเป็นเด็กในสายหลวงปู่ธีร์ (พระราชมงคลวุฒาจารย์) อดีตเจ้าอาวาสวัดโสธรที่ถูกเจ้าคุณเสนาะสั่งปลดกลางอากาศ เหมือนมวยคนละค่าย ทำให้เกิดกระบวนการ "กำจัดเจ้าคุณอมร" ออกจากเส้นทางแห่งอำนาจในวงการสงฆ์

นั่นคือ เจ้าคุณเสนาะกับหลวงตาประยนต์ เจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา ได้วางแผนไปดึงเอา "คนนอก" คือ หลวงตาประยงค์ (พระพิพิธกิจจาภิวัฒน์) เจ้าอาวาสวัดท่าสะอ้าน เจ้าคณะอำเภอบางปะกง ซึ่งมีอายุมากถึง 84 ปี ให้เข้ามาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดโสธร ปิดทางเจ้าคุณอมรซึ่งเป็นคนในเสียสนิท

 

 

เสือเฒ่ากับสิงห์หนุ่ม

ซ้าย : พระธรรมมังคลาจารย์ (ประยงค์ ปิยวณฺโณ) เจ้าอาวาสวัดโสธร

ขวา : พระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ) เจ้าอาวาสวัดสระเกศ  เจ้าคณะภาค 10 กรรมการมหาเถรสมาคม

เจ้าคุณธงชัย กำลังถูกหลวงตาประยงค์ลูบคมอย่างแรง ที่ออกหน้าต้านมติมหาเถรสมาคมตั้งเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งผ่านการพิจารณาของทีมงานวัดสระเกศ

 

 

ในเวลานั้น (ปี 52) ทางเจ้าคุณอมร ได้ระดมพลระดับผู้ช่วยเจ้าอาวาส ได้ 7 เสียง จากทั้งหมด 11 เสียง คัดค้านการแต่งตั้งคนนอกเข้ามาเป็นเจ้าอาวาสวัดโสธร ถ้าพูดโดยเฉพาะก็คือ คัดค้านหลวงตาประยงค์ไม่ให้เป็นเจ้าอาวาสวัดโสธรนั่นเอง แต่การคัดค้านนั้นมิได้จำเพาะหลวงตาประยงค์เท่านั้น ทางกลุ่ม 7 ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธร เห็นว่า เป็นผลงานการเสนอของ "เจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา" ที่ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ จึงร้องเรียนให้มีการถอดถอนพระเทพปัญญาเมธี (พระธรรมปริยัติมุนี-ประยนต์ อจฺจาทโร ป.ธ.9) ออกจากตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทราอีกด้วย เจ้าคุณประยนต์กับเจ้าคุณประยงค์ จึงรวมตัวกันเป็นแก๊งค์ 2 ป. มาตั้งแต่นั้น

ทั้งนี้ แก๊งค์นี้ มี "พระเก๋น-สิริวัฒน์" เป็นม้าใช้คนใหม่ เพราะหลังจากได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดโสธรแล้ว นอกจากคำสั่ง "พักงาน 7 ผู้ช่วยเจ้าอาวาส มีเจ้าคุณอมรเป็นหัวหน้า" แล้ว หลวงตาประยงค์ยังเซ็นคำสั่ง "โอนงานสำคัญ" ไปใส่ในมือของพระครูเก๋น โดยเฉพาะบริเวณ "พระอุโบสถหลวงพ่อโสธร" ซึ่งเป็นหัวใจของวัด เพราะผู้คนหลั่งไหลไปไหว้หลวงพ่อโสธร มีดอกไม้ธูปเทียนอยู่ในมือ และต่อมากิจการส่วนนี้ได้มีปัญหา เพราะว่ามีการเปลี่ยนแปลงวิธีการบูชาหลวงพ่อโสธร เปลี่ยนจากดอกบัวซึ่งซื้อมาจากหลายแหล่ง (กระจายตลาด) เป็นกล้วยไม้จากสวนๆ หนึ่ง ซึ่งเป็นกิจการเครือญาติของเจ้าคุณเสนาะนั่นเองเพียงแห่งเดียว ผลประโยชน์ทับซ้อนเห็นๆ แต่เห็นแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะมีอำนาจทับหูทับตาทับปากอยู่ พระสงฆ์ไทยส่วนใหญ่แล้วมิใช่ธรรมยุตหรือมหานิกาย แต่เป็นนิกายทู่ซี้ ถ้าไม่เกิดกรณี "สั่งพักงานเจ้าคุณธงชัย" ในวัดสระเกศ รับรองว่าป่านนี้กระเป๋าเจ้าคุณเสนาะทะลุพันล้านไปดังคำคุยที่ใครได้ยินทั่ววัดสระเกศแล้ว

แต่ปรากฏว่า ลูกบอลที่เจ้าคุณอมรพร้อมกับผองเพื่อนยิงไปนั้น ติดหมด ติดด่านตั้งแต่..เจ้าอาวาสวัดโสธร (หลวงตาประยงค์) เจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา (หลวงตาประยนต์) เจ้าคณะภาค 12 (เจ้าคุณเสนาะ) เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก (สมเด็จเกี่ยว) และติดด่านสุดท้ายที่ มส. (มหาเถรสมาคม) เพราะในเวลานั้น สมเด็จเกี่ยวควบทั้งเจ้าคณะใหญ่หนตะวันออกกับประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช มีอำนาจสูงสุดในสังฆมณฑล และท่านทั้งโปรดและไว้วางใจในเจ้าคุณเสนาะมากที่สุดในประเทศไทย จึงเชื่อเจ้าคุณเสนาะทุกประการ เจ้าคุณเสนาะพูดอะไรก็ถูกไปหมด และนั่นจึงเป็นที่มาของ "มติอัปยศ" สั่งปลดผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรทีเดียว 7 รูป ในประวัติศาสตร์

ที่มันน่าตลกก็คือว่า หลวงตาประยงค์ ถูกเจ้าคุณอมรต่อต้านว่าข้ามห้วยมาจากวัดท่าสะอ้านเข้ามากินตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดโสธรโดยไม่ชอบธรรมนั้น ถือว่าเป็นคู่แข่งของเจ้าคุณอมร แต่ครั้นได้เป็นเจ้าอาวาสวัดโสธรแล้ว ก็ออกคำสั่ง "พักงานเจ้าคุณอมร พร้อมด้วยผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรอีก 6 รูป รวมเป็น 7" แถมด้วยเจ้าคุณเสนาะ เจ้าคณะภาค 12 ในสมัยนั้น ก็สั่งตั้งกรรมสอบสวนทางวินัย ที่เรียกว่า จริยาพระสังฆาธิการ เป็นด่านที่สองอีกด้วย ถ้ารอดได้ก็ปาฏิหาริย์

การที่คู่กรณี ออกคำสั่งทางการปกครอง "ลงโทษ" อีกฝ่ายหนึ่งนั้น ถือว่าผิดหลักกฎหมาย เพราะผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือขัดแยังกันอยู่ จะเข้าไปมีส่วนในการออกคำสั่งหรือวินิจฉัยข้อกฎหมายไม่ได้ นี่เป็นหลักกฎหมายทั่วไป แต่ในทางกฎหมายคณะสงฆ์ ซึ่งถือว่าบริสุทธิ์กว่ากฎหมายทางโลกนั้น ปรากฏว่า มหาเถรสมาคม อันมีสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว) วัดสระเกศ เป็นประธานในสมัยนั้น กลับเห็นว่าเป็นธรรม แถมยังออกมติสนับสนุนพฤติกรรมอันผิดทั้งกฎหมายและพระธรรมวินัยของเจ้าคุณเสนาะและหลวงตาประยงค์ โดยการรับรองคำสั่งพักงานผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรทั้ง 7 รูปนั้น และรับรองผลการสอบสวนอธิกรณ์จากคณะกรรมการที่เจ้าคุณเสนาะแต่งตั้งอีกด้วย

โปรดสังเกตว่า วิธีการ "สั่งพักงานผู้ช่วยเจ้าอาวาส" ในวัดโสธรนั้น ต่อมา เจ้าคุณเสนาะได้นำมาประยุกต์ใช้ในวัดสระเกศ โดยสั่งพักงานเจ้าคุณธงชัยเช่นกัน พร้อมทั้งแจ้งความดำเนินคดีด้วย จึงเชื่อว่า การสั่งพักงานผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรนั้นเป็นมันสมองของเจ้าคุณเสนาะ เพราะลำพังหลวงตาประยงค์จะคิดมุกนี้ออกได้อย่างไร

 

 

 

เจ้าคุณเก๋น (วงเล็บ) เข้าทีมเสนาะ

 

 

ถ้าจะสืบสาวราวเรื่องหาความล้มเหลวของมหาเถรสมาคม ก็คงจะจับได้คาหนังคาเขา ในช่วงที่ "สมเด็จเกี่ยว" เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช และ "เจ้าคุณเสนาะ" เป็นเลขาผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช นี่แหละ เละเทะที่สุดแล้วในวงการสงฆ์ไทย เละไม่เละอย่างไรก็ดูวัดโสธรสิ ถึงทุกวันนี้ยังไม่เข้ารูปเข้ารอย ก็เพราะผลงานของสมเด็จเกี่ยวกับเจ้าคุณเสนาะในปรโลกนั่นเอง นี่ยังไม่นับบัญชาสมเด็จพระสังฆราชตั้งอธิการบดีมหามกุฎราชวิทยาลัยของเจ้าคุณแสวง (พระเทพปริยัติวิมล) ที่เป็นหมันมาจนป่านนี้ ส่วนมหาเถรสมาคมนั้นก็เป็น "ตราประทับ" ให้แก่ทั้งธรรมยุตและมหานิกายมาทุกยุคสมัย ไม่เคยเปลี่ยน ไม่ว่าอดีตหรือปัจจุบัน (แต่เจ้าคุณธงชัยไม่กล้าพูดมาก เพราะเกรงจะไปกระทบกับวัดสระเกศและสมเด็จเกี่ยว ที่ตัวเองเคารพเหมือนพ่อ ดังนั้น ด้วยความกตัญญูจึงสู้นิ่งเอาไว้ ถึงจะรู้แก่ใจว่า พ่อรักพี่เหนาะมากกว่าตัวเองก็ตาม)

ปัญหาเรื่องระบบความยุติธรรมในวงการสงฆ์นั้น ยกเอากรณีวัดโสธรเพียงแห่งเดียวก็สามารถทำวิทยานิพนธ์ได้หลายใบ เพราะได้ทุกรส ไล่ตั้งแต่ประวัติหลวงพ่อโสธรอันเป็นต้นธารศรัทธา ประวัติการแต่งตั้งพระสังฆาธิการ กฎหมายคณะสงฆ์ กฎมหาเถรสมาคม ธรรมเนียมนิยม ความเหมาะสม วิธีการพิจารณาแต่งตั้ง อำนาจของเจ้าอาวาส เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะภาค เจ้าคณะหน มหาเถรสมาคม และสมเด็จพระสังฆราช มีการปะทะประทังกันทุกระดับ นับตั้งแต่พระสงฆ์ผู้ทรงศีลไปยันม็อบชาวบ้าน แล้วจะไม่ให้เป็นเรื่องใหญ่ระดับ "มหากาพย์" ได้อย่างไร !

บอกแล้วไงว่า ปัญหาวัดโสธร มันมิใช่เรื่องของใครดีใครเลวกว่าใคร เพราะพระทุกรูปก็ถือศีลเท่ากัน แต่มันเป็นเรื่องของเส้นสายใยโยง สืบเนื่องมาจากระบบการปกครองของคณะสงฆ์ไทย ที่ยกอำนาจให้มหาเถรสมาคมเป็นรัฐบาลผสมระหว่าง 2 พรรคใหญ่ อันได้แก่ มหานิกายและธรรมยุต โดยมีสัดส่วนดังนี้

 

   

มหานิกาย

ธรรมยุต

จำนวนพระเณร 300,000 30,000
กรรมการ มส. 10 10

 

 

ส่วนตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชนั้นก็ "ลอย" เอาไว้ แบบว่าผลัดเปลี่ยนกันเป็นระหว่าง 2 นิกาย ถ้ามหานิกายได้สังฆราช เสียงก็จะเพิ่มเป็น 11 ต่อ 10 แต่ถ้าธรรมยุตได้เป็น ก็จะครองเสียงข้างมากในมหาเถรสมาคม เช่นกัน

ถามว่า ประเทศไหนในโลก ที่ประชากรห่างกันถึง 10 ต่อ 1 แต่มีสัดส่วนในสภาเท่ากัน แค่นี้ก็จะเห็นว่า ความยุติธรรมมันเริ่มเอียงมาจากพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ไทย ที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ตราบาปไว้ตั้งแต่ปี 2505 แล้ว

แล้วทีนี้ เมื่อสังคมไทยอันศิวิไลซ์ พากันมองข้าม ไม่ยอมปรับความเหลื่อมล้ำระหว่างนิกายนี้ก่อน แล้วปล่อยให้มีการกระจายอำนาจออกไปสู่เจ้าคณะใหญ่และเจ้าคณะภาคตามลำดับ ไปจนถึงเจ้าอาวาสอันเป็นฐานล่างสุดของสังคมสงฆ์ไทย ก็เลยเกิดกระบวนการกินรวบตั้งแต่เล็กจนโต และจะเป็นเช่นนี้ต่อไป ตราบเท่าที่กฎหมายมรดกเผด็จการฉบับนี้ยังอยู่ 

พ.ศ.2552 มีการร้องเรียนจากพระสงฆ์สามเณรวัดโสธร "นับร้อย" ว่ามีกระบวนการฉ้อฉลอำนาจในวัดโสธร โดยพระพรหมสุธี (เสนาะ ปญฺญาวชิโร) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ เจ้าคณะภาค 12 กรรมการมหาเถรสมาคม และเลขานุการสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) วัดสระเกศ ในฐานะเจ้าคณะใหญ่หนตะวันออกและผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ไม่ว่าจะมองมุมไหน ก็มองไม่ออกว่า บรรดาผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรทั้ง 7 รูป รวมทั้งพระเณรทั้งวัดนั้น เขาผิดอะไร มองหาความผิดทางพระธรรมวินัยไม่เจอ สุดท้ายแก๊งค์เจ้าคุณเสนาะก็ลากเอา "จริยาพระสังฆาธิการ" มาฟาดฟันเจ้าคุณอมรและคณะ ให้หลวงตาประยงค์สั่งพักงานพร้อมกับตั้งกรรมการสอบวินัย ซึ่งเป็นวิธีนิยมที่สุดในทางการเมือง เมื่อต้องการจะย้ายข้าราชการที่ตัวเองไม่ชอบ ก็ง่ายๆ แค่ "อ้างความเหมาะสม" ถ้าถูกทักท้วงก็ตั้งกรรมการสอบ ให้มีชนักปักหลังเข้าไว้ ผ่านไป 2-3 ปี ถึงจะหาความผิดอะไรไม่ได้ แต่ผู้มีอำนาจก็ได้อะไรสมใจแล้ว หรือบางคนก็พ้นจากอำนาจไปแล้ว คนรับกรรมก็คือผู้ถูกกระทำ และยังไม่เคยเห็นใครในประเทศไทยได้รับความเป็นธรรมคืนมาอย่างเหมาะสม

มหาเถรสมาคมเอง น่าจะตั้งตัวเป็นองค์กรทางคุณธรรม เป็นที่พึ่งทางด้านยุติธรรมให้แก่บรรดาพระสงฆ์องค์เณรทั่วประเทศ หากเกิดเหตุพระเณรรูปใดถูกปรักปรำใส่ความ ก็ควรปกป้องคุ้มครอง และหากพระเณรรูปใดปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ก็ควรยกย่องให้เป็นแบบอย่าง แต่นี่กลับไม่ทำทั้งสองอย่าง คนดีไม่ได้รับการยกย่องป้องกัน หนำซ้ำ มหาเถรสมาคมกลับไปสนับสนุนคนเลวให้ได้ดี เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐเสียอีก บ้านเมืองมันบรรลัยก็เพราะอะไร ถ้ามิใช่ระบบยุติธรรมมันไม่ทำงาน !

อย่างกรณี "พระพรหมคุณาภรณ์ : ป.อ.ปยุตฺโต" นั้น ถามว่า ท่านได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระราชาคณะเพราะใคร ? คนเขาก็รู้กันทั่วไปว่า "เป็นพระบรมราชโองการ" ขณะที่กรรมการมหาเถรสมาคมแต่ละสายก็จ้องแต่จะเอาคนของตนเองขึ้นครองอำนาจ นี่สดๆ ร้อนๆ เลย

คดีดังสะท้านไตรภพในอดีต "พระพิมลธรรม-อาจ อาสโภ" วัดมหาธาตุ ที่ถูกรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์และมหาเถรสมาคม มีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธานในสมัยนั้น "จับสึก" ขังคุกสันติบาลไว้นานเกือบ 5 ปี ศาลทหารพิพากษาว่า "ไม่มีมูลความผิด แต่ถูกกลั่นแกล้ง แถมจำเลยยังมีคุณูปการต่อพระศาสนามหาศาล กลับถูกปรักปรำทำร้ายจากพระสงฆ์ด้วยกัน บางรูปเป็นถึงสังฆราช มันน่าเศร้าใจ แต่ถึงอย่างไร ในฐานะที่จำเลยบวชเรียนมานาน ความอาฆาตพยาบาทย่อมมิใช่สิ่งที่ดีงามในทางศาสนา ดังนั้น เมื่อคนส่วนใหญ่ทำผิด ก็อย่าเอาผิดคนส่วนใหญ่เลย ขอให้จำเลยอโหสิกรรม ถือเสียว่าเป็นกรรมเก่า" ฟังแล้วก็เศร้าใจแทนพระพิมลธรรมเหลือเกิน จับกูถอดผ้าเหลือง ปลดจากทุกตำแหน่ง แถมยัดเข้าคุกนานถึง 5 ปี ศาลทหารปรานีบอกว่า ขอให้อโหสิกรรม เอวํ !

แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่า เมื่อศาลสั่งยกฟ้องพระพิมลธรรมแล้วนั้น มหาเถรสมาคม (ซึ่งมีกรรมการผู้กลั่นแกล้งพระพิมลธรรมนั่งสุมหัวกันอยู่) กลับมิได้มีการคืนความชอบธรรมให้แก่พระพิมลธรรมเลย ทุกคนยังคงเสวยอำนาจต่อไป ส่วนพระพิมลธรรมก็ยังคงเป็น "พระอาจ" มาจนถึง ปี 18 รัฐบาลคึกฤทธิ์ ปราโมช จึงได้ทำเรื่องขอคืนสมณศักดิ์ให้ และกว่าจะได้เป็น "สมเด็จพระพุฒาจารย์" คณะสงฆ์ทั้งภาคอีสาน ถึงกับต้องประกาศ "แยกตัวออกจากคณะสงฆ์ไทย" จะขอขึ้นกับพระพิมลธรรมในฐานะประมุขนิกายใหม่ มหาเถรสมาคมเห็นว่า พระสงฆ์ทั้งอีสานซึ่งมีประชากรมากที่สุดในประเทศไทย จะแยกตัวออกไป ที่เหลืออยู่ก็เป็นส่วนน้อย แล้วจะปกครองใคร แบบนี้ได้ไม่คุ้มเสีย จึงยอมโยนพัดให้ด้ามหนึ่ง ให้พระพิมลธรรมได้เป็นสมเด็จในปี 29 แล้วก็ครองอำนาจเรื่อยมาถึงปัจจุบัน หลังจากสิ้นสมเด็จอาจแล้ว วัดมหาธาตุอันยิ่งใหญ่ ก็ถูกบอนไซลงเรื่อยๆ ตำแหน่งสุดท้ายก็คือ เจ้าคณะ กทม. จะบอกว่าเรื่องการเมืองแล้ว คณะสงฆ์ไทยไม่เป็นสองรองใครหรอกโยม

 

 

 

ฝุ่นเข้าตา !

 

 

 

กลับมาที่วัดโสธร เมื่อปี 52 ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธร 7 รูป ถูกมหาเถรสมาคมพักงานและตั้งกรรมการสอบอธิกรณ์ว่าทำผิดจริยาพระสังฆาธิการ (เท่ากับวินัยของข้าราชการ) อย่างร้ายแรง ซึ่งข้อหานี้มิได้เกี่ยวกับพระธรรมวินัย อันเท่ากับกฎหมายอาญา แต่ว่าเป็นปัญหาทางการปกครองเท่านั้นเอง ตอนนั้น "ทีมเสนาะ" ก็เข้ายึดครองอำนาจในวัดโสธรทุกตำแหน่งไปจนถึงเจ้าคณะจังหวัด ก็วางแผน "กินเมือง" ยาว แบบว่าวัดปิตุลาฯเกษียนอายุไป เจ้าคุณเก๋นก็จะขึ้นไปสืบทอดอำนาจ แถมยังจะสามารถ "วางทายาท" ไปได้อีกเป็นรุ่นที่ 3 รวมความแล้วก็น่าจะเกิน 100 ปี

แต่ครั้นสิ้นสมเด็จเกี่ยว และเจ้าคุณเสนาะเดินหมากพลาด ที่ไปสั่งปลดเจ้าคุณธงชัยจากหน้าที่การงานในวัดสระเกศ เลยโดนเจ้าคุณธงชัยเอาคืน ลามมาจนถึงปัญหาวัดโสธร ซึ่งนอกจาก "เจ้าคุณเสนาะ" จะโดนปลดจากทุกตำแหน่งถึงกับผูกคอตายอย่างจนตรอกแล้ว มหาเถรสมาคมก็กลืนน้ำลาย ยอมทบทวนอธิกรณ์ของผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรทั้งเจ็ด อ้อมแอ้มว่า ผู้ช่วยเหล่านี้ผิดจริง แต่ผิดเล็กน้อย ที่ถูกพักงานไปนานถึง 5 ปีนั้นก็สมเหตุสมผลแล้ว จึงขอคืนตำแหน่งให้ พร้อมกับเงินเดือนหรือนิตยภัตย้อนหลังด้วย

แต่ก็ดังว่า คือว่า การคืนความชอบธรรมของมหาเถรสมาคมในครั้งนั้น เป็นการคืนไม่หมด พูดแบบภาษาสื่อก็คือว่า ฉี่ไม่สุด คือเมื่อ มส. ออกมติคืนความชอบธรรม ก็คืนแค่ตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธร แต่ว่าโอกาสทางหน้าที่การงานและยศถาบรรดาศักดิ์ที่ถูกดองนานถึง 5 นั้น ไม่มีการคืน

ไม่คืนเพราะว่า หลวงตาประยงค์ (พระพิพิธกิจจาภิวัฒน์) ยังคงดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดโสธรอยู่ต่อไป ทั้งๆ ที่รู้เห็นอยู่เต็มตาว่า หลวงตาประยงค์คือศัตรูของเจ้าคุณอมร เกาเหลาในตำแหน่งเจ้าอาวาส ดังนั้น ถ้าจะคืนความชอบธรรมจริงๆ แล้ว ก็ต้อง "คืนตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดโสธร" ให้แก่เจ้าคุณอมรด้วย ถึงจะเรียกว่าคืนความชอบธรรมจริง

ก็ยกตัวอย่าง "สมเด็จช่วง" วัดปากน้ำ เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช สั่งคืนความชอบธรรมให้แก่เจ้าคุณธงชัยที่โดนเจ้าคุณเสนาะปลด แบบว่าให้เจ้าคุณธงชัยกลับไปเป็นผู้ดูแลภูเขาทอง ส่วนอำนาจบาตรใหญ่ในวัด (ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสระเกศ) ยังคงเป็นของเจ้าคุณเสนาะต่อไป แบบนี้เจ้าคุณธงชัยก็ลำบาก เพราะต้องแบบน้ำหนัก ตกอยู่ภายใต้อำนาจของเจ้าคุณเสนาะ ถูกเจ้าคุณเสนาะขี่คอต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด แหมคนทะเลาะกันมาแทบตาย แต่สมเด็จช่วงกลับสั่งให้เจ้าคุณธงชัยกลับไปเป็นลูกน้องของเจ้าคุณเสนาะอีก ยุติธรรมล้ำเลิศเหลือเกิน  เทียบกับกรณีเจ้าคุณอมรก็ไม่ต่างกัน

 

การคืนความชอบธรรม ของมหาเถรสมาคม จึงไม่เป็นธรรมเลย !

 

 

 

เจ้าคุณอมร VS เจ้าคุณเก๋น

เปิดศึกสายเลือดลูกหลวงพ่อโสธร

 

 

 

มาถึงตำแหน่ง "เจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา" ก็เข้าอีหรอบเดียวกัน เจ้าคุณเก๋นได้ขึ้นเป็นรองเจ้าคณะจังหวัด ในปี 2555 โดยการวางหมากของใครคงไม่ต้องบอก เพราะถ้าเจ้าคุณเก๋นวางแผนเองก็ต้องนับว่าอัจฉริยะ แต่เวลานั้น เจ้าคุณอมรภิรักษ์ ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอเมืองฉะเชิงเทรามานานถึง 14 ปีแล้ว มีอาวุโสกว่าทุกด้าน กลับถูกเจ้าคุณเก๋น ซึ่งเด็กกว่าทั้งอายุพรรษาวิทยฐานะและอาวุโสในตำแหน่งพระสังฆาธิการ "ข้ามหัว" ขึ้นเป็นรองเจ้าคณะฉะเชิงเทราเฉย โดยมีการการันตีจาก พระธรรมปริยัติมุนี (ประยนต์ อจฺจาทโร) วัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์ เจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทราว่า "เหมาะสมทุกประการ ถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัย กฎหมายคณะสงฆ์ และกฎมหาเถรสมาคม ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการทุกประการ" ฟันธง !

 

บรรดาพระนวกะวัดโสธรลองเทียบกันดูนะฮะ ว่าใครเด็กใครผู้ใหญ่

 

คุณสมบัติ   

พระราชปริยัติสุนทร
 (เจ้าคุณอมร)

พระราชภาวนาพิธาน
(เจ้าคุณเก๋น)

เกิด 2499 2504
อายุ 61 56
พรรษา 40 28
การศึกษา

น.ธ.เอก ป.ธ.4 กศ.ม.

น.ธ.เอก พธ.บ.

ผู้ช่วยเจ้าอาวาส 2531 2545
ตำแหน่งปกครอง 2542 จอ.เมืองฉะเชิงเทรา 2555 รจจ.ฉะเชิงเทรา
สมณศักดิ์ 2546 พระปริยัติกิจวิธาน

2559 พระราชปริยัติสุนทร

2550 พระพิมลภาวนาพิธาน

2555 พระราชภาวนาพิธาน

 

 

การที่หลวงตาประยงค์กับหลวงตาประยนต์ แก๊งค์ 2 ป. แห่งบางปะกง อ้างความเหมาะสมแต่งตั้งตุ๊เก๋นเป็นรองเจ้าคณะฉะเชิงเทรา และดันขึ้นเป็นเจ้าคณะจังหวัดนั้น ถ้าไม่เกรงหัวหงอกหัวขาวแล้ว ก็อยากจะถามว่า เอาหัวแม่ตีนข้างไหนคิด ? ต่อมคุณธรรมน้ำใจของสองมหาประลัยนี่ไม่มีเลย !

ถ้าแน่จริงก็เอาไปใส่ไว้ในประวัติตอนตายด้วยสิ ว่าตัวเองพิจารณา "ความเหมาะสม" จากคุณสมบัติเหล่านี้

ยิ่งหลวงตาประยงค์อ้างว่า "ถ้ามีการตั้งเจ้าคุณอมรขึ้นเป็นเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรานั้น จะทำให้เจ้าคุณเก๋นอึดอัด เพราะว่าอาวุโสกว่า" เห็นน้ำลายหลวงตารูปนี้แล้ว มันสลดใจ

ก็ในเมื่อเจ้าคุณอมรมีอาวุโสกว่าตุ๊เก๋นในทุกๆ ด้าน การที่แก๊งค์พวกนี้สุมหัวหันตั้งเจ้าคุณเก๋น "ข้ามอาวุโส" ข้ามเจ้าคุณอมรเขาไปนั้นสิ ถึงจะเรียกว่า ผิดหลักการแต่งตั้ง คนที่อึดอัดก็ควรจะเป็นเจ้าคุณอมร เพราะรุ่นน้องข้ามหัว แต่สองหลวงตากลับตาลปัตรบอกว่า "ถ้าตั้งผู้อาวุโสกว่าเป็นเจ้าคณะจังหวัด จะทำให้ผู้อ่อนอาวุโสอึดอัด" อึดอัดเรื่องอะไร อึดอัดเพราะไม่ได้อัดยาเสพติดอำนาจอย่างนั้นหรือ ไม่บ้าก็บ๊องแล้วหลวงตานี่ !

 

ปี 55 สองหลวงตามหาประลัย อาศัยมหาเถรสมาคมเป็น "ตราประทับ" ให้เจ้าคุณเก๋น ได้เป็นรองจังหวัด ข้ามอาวุโสเจ้าคุณอมร ตอนนั้นทั้งสองก็ยกย่องมหาเถรสมาคมว่าเที่ยงธรรม (เพราะกูได้ประโยชน์)

ปี 60 เจ้าคุณอมรได้รับการอนุมัติจากมหาเถรสมาคม ให้ขึ้นดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา สองหลวงตามหาประลัยก็ออกมาโวยวายว่า "ไม่เป็นธรรม" (เพราะกูเสียประโยชน์)

 

ทั้งๆ ที่มหาเถรสมาคมก็ยังทำเหมือนเดิม คือเป็นกรมเสมียนตรา

เดี๋ยวก็โดนด่า เดี๋ยวก็ยกย่อง ว่ายุติธรรม

 

ไม่ว่าเจ้าคุณเก๋นจะข้ามเจ้าคุณอมร หรือเจ้าคุณอมรจะมาโดยความชอบธรรมอย่างไร มหาเถรสมาคมก็ยังคงเสมอต้นเสมอปลาย คือปั๊มลูกเดียว นอกนั้นไม่เกี่ยว พูดแบบภาษานักเลงก็คือว่า ไปเคลียร์กันเอาเอง !

จะว่ามหาเถรสมาคมไม่มีความเป็นธรรมก็ว่าไม่ถูก ที่ถูกน่าจะเป็นว่า มหาเถรสมาคมไม่เคยรู้ด้วยซ้ำไปว่าอะไรคือความเป็นธรรม อะไรคือความไม่เป็นธรรม รู้แต่ว่าจะรักษาอำนาจของตัวเองให้เป็นธรรมอย่างไรเท่านั้น แม้แต่กรณีธรรมกาย มหาเถรสมาคมก็ไม่เคยรับผิดชอบอะไร มีแต่โบ้ยออกไปนอกตัว เดี๋ยวก็บอกอธิกรณ์ของธัมมชโยสิ้นสุดแล้ว เดี๋ยวก็กลับคำว่า มส. ไม่เคยพิจารณาอธิกรณ์ของธัมมชโย จึงไม่สามารถบอกได้ว่าผิดหรือถูก เอากะพ่อสิ !

 

 

เจ้าคุณธงชัย แสดงความยินดีกับเจ้าคุณอมร

โดยไม่รู้ว่า จะมีโอกาสได้ไปวัดโสธรอีกเมื่อไหร่

เพราะหลวงตาประยงค์ออกมาไล่พ้นวัด

 

 

แต่ก่อนจะไปถึง "ระบบยุติธรรม" ของมหาเถรสมาคมนั้น ก็ต้องกลับมาดูที่ "ต้นทาง" ของปัญหา นั่นก็คือ ระบบการปกครองภายในวัดโสธร เพราะปัญหาเริ่มที่นี่ ก่อนจะไปถึงมหาเถรสมาคมอันเป็นด่านสุดท้าย

ดังที่บอกว่า เมื่อมหาเถรสมาคมสั่งคืนความชอบธรรมให้แก่ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรทั้ง 7 แล้ว ให้ถูกต้อง สมเด็จสนิทและเจ้าคุณธงชัย ในฐานะผู้มีอำนาจในจังหวัดฉะเชิงเทรา ต้องทำการคืนความชอบธรรมให้แก่เจ้าคุณอมร โดยการย้ายหลวงตาประยงค์ให้กลับวัดท่าสะอ้าน แล้วให้เจ้าคุณอมรขึ้นเป็นเจ้าอาวาสวัดโสธร พร้อมกับตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา อันเป็นสิทธิที่ชอบธรรมของเขาแต่เดิมมา

 

แต่ว่า ทั้งสองท่านกลับไม่ทำ !

 

 

 

 

เจ้าคุณธงชัย ชวนหลวงตาประยงค์เดินทางร่วมกัน ไปทำบุญที่อังกฤษ แต่วันนี้ เห็นทีจะบอกบุญไม่รับเสียแล้ว

 

 

หนำซ้ำ เจ้าคุณธงชัย ยังทำใจดีสู้เสือ ด้วยการเสนอเลื่อนสมณศักดิ์ให้แก่เจ้าคุณประยนต์และเจ้าคุณประยงค์ ได้เป็น "ชั้นธรรม" ทั้งคู่ ทำนองว่าซื้อใจ เลี้ยงไว้ก่อน โดยหวังว่าทั้งคู่จะหันมาสวามิภักดิ์ต่อตนเอง เช่น ครั้งหนึ่ง เจ้าคุณธงชัย ก็เคยนิมนต์หลวงตาประยงค์ไปร่วมงานที่ประเทศอังกฤษ มีมติมหาเถรสมาคมเป็นหลักฐาน การเดินทางไกลไปไหนมาไหนร่วมกันนั้น ถ้าไม่ใช่คนไว้วางใจแล้ว คงไม่ได้รับเชิญ

แต่วันนี้ ทั้งสองท่านนั้นก็เห็นแล้วว่า คิดผิดถนัด เลี้ยงงูไว้ในกุฏิ มีสภาพเป็นไง เข้าตำรา "ช้างสาร งูเห่า ข้าเก่า เมียรัก" เต็มๆ

เอ้า ! ไม่ปลดหลวงตาประยงค์และตุ๊เก๋นก็ไม่เป็นไร ไหนๆ ก็จะต้องดันเจ้าคุณอมรขึ้นเป็นเจ้าคณะจังหวัดแล้ว ทางที่เหมาะก็ควร "ปูทาง" ให้เจ้าคุณอมรไว้ก่อน จะได้ไม่ถูกครหาในภายหลัง อาทิเช่น

1. ตั้งเจ้าคุณอมร ขึ้นเป็นรองเจ้าคณะจังหวัด เท่ากับเจ้าคุณเก๋น เพื่อให้มีตำแหน่งเท่ากัน จะได้พิจารณาในระดับเดียวกัน มิใช่ระดับ "รองเจ้าคณะจังหวัด" กับ "เจ้าคณะอำเภอ" มันคนละเบอร์กันเลย

2. เลื่อนสมณศักดิ์ให้เจ้าคุณอมรเป็นชั้นเทพ เพื่อให้มีสมณศักดิ์สูงกว่าเจ้าคุณเก๋น ได้เปรียบอีกทางหนึ่ง เพราะในทางพระแล้ว สมณศักดิ์ถือว่าสูงส่งกว่าตำแหน่งปกครอง

(ทั้งสองวิธีนี้ ฝ่ายเจ้าคุณเก๋นได้เดินเกมก่อน ทั้งๆ ที่มีอาวุโสน้อยกว่าทั้งอายุพรรษาและวิทยฐานะ แต่ก็ใช้วิธีแต่งตั้งข้ามอาวุโส จนกระทั่งมีตำแหน่งและสมณศักดิ์สูงกว่าเจ้าคุณอมร จึงค่อยอ้างความอาวุโสที่ข้ามเขามาก่อนมาเป็นความชอบธรรมอีกที)

ทีนี้ว่าเมื่อไม่ทำ แล้วจู่ๆ เจ้าคุณธงชัย ก็ดันหลังเจ้าคุณอมรให้กระโดดข้าม "รองจังหวัด" อันเป็นตำแหน่งสูงกว่าอำเภอ เลยเจอข้อครหาอย่างที่เห็น ถึงจะอ้างกฎมหาเถรสมาคมข้อรองลงไป ก็หนีไม่พ้นที่จะถูกคนนินทาอยู่เอง แบบว่ามีเงื่อนไขให้คนด่า

แน่นอนว่า การตั้งให้เจ้าคุณอมรขึ้นเป็นเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรานั้น ถือว่าเป็นตำแหน่ง "สูงกว่า" เจ้าอาวาสวัดโสธรของหลวงตาประยงค์ๆ อึดอัดที่เห็นเด็กรุ่นหลานข้ามหัว เลยอ้างว่า "เจ้าคุณเก๋นอึดอัด" ทั้งๆ คนอึดอัดตัวจริงนั่นน่าจะเป็นหลวงตาประยงค์นั่นเอง

อึดอัดเพราะว่าเจ้าคุณอมรอ่อนอาวุโสกว่า แถมยังเคยเป็นปรปักษ์ในตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดโสธรมาก่อน และหลวงตาประยงค์ก็เป็นผู้บังคับบัญชาของเจ้าคุณอมรมานานหลายปี แต่วันนี้ เจ้าคุณอมรมีตำแหน่งสูงกว่าหลวงตาประยงค์ๆ จะทำรายงานอะไรในเบื้องสูง ก็ต้องผ่านเจ้าคุณอมร ถ้าเจ้าคุณอมรไม่ให้ผ่าน ก็ผ่านไม่ได้ แถมต่อไป ถ้าตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดโสธรว่าง ผู้ที่จะชี้เป็นชี้ตายได้ก็คือ เจ้าคุณอมรๆ จึงมีสิทธิ์ "กินรวบ" ทั้งตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดโสธรและเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์

เห็นเช่นนี้แล้ว ทางฝั่งตรงข้ามจึงเห็นว่ามากเกินไป จึงตัดสินใจเข้าชน แต่หลวงตาประยงค์กับหลวงตาประยนต์มิได้ชนแค่เจ้าคุณอมรเท่านั้น เมื่อเจ้าคณะภาคและเจ้าคณะใหญ่ไม่ยอมเปลี่ยนตัวเจ้าคณะจังหวัด เลยส่งคนไปฟ้องมหาเถรสมาคมให้ปลดออกทั้งหนทั้งภาค เอาให้ตายกันไปข้าง เพราะถ้าคุณไม่ตาย ผมก็ตาย ง่ายดี

นี่คือสูตรนักเลงบางปะกงที่สอง ป. เล่น เห็นแล้วไม่ธรรมดา เพราะว่าสอง ป. นั้น อายุอานามก็เข้าเลข 8 เลข 9 ไปหมดแล้ว แต่ยังคงเตะปี๊ปแรงเปรี้ยงปร้างปานฟ้าผ่า แสดงว่าสองเฒ่านี่ไม่ธรรมดา ภายนอกดูหงำเหงือก แต่เขี้ยวเล็บยังคมกริบ ซ้อนแผน "อัดเทป" เจ้าคุณพิมพ์กับเจ้าคุณโฮ้ คนโตในวัดไตรมิตร ไปประจานผ่านสื่อ เป็นแผลเต็มตัวเหมือนโดนเสือตะปบ

 

 

ส่วนสมเด็จสนิท วัดไตรมิตร นั้น รายการนี้ต้องบอกว่า "ฟาดเคราะห์" เพราะอยู่ดีๆ ก็มีบัญชีมาพัวพัน ทั้งๆ ที่รายการวัดโสธรกับเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรานั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับวัดไตรมิตรเลย เพราะขึ้นต่อภาค 12 ภายใต้อาณัติของวัดสระเกศ แต่ต้องมาร้อนเร่ากับเขาด้วย เพราะการแต่งตั้งต้องผ่านวัดไตรมิตร ในฐานะเจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก พอยื่นให้มหาเถรสมาคม นักข่าวก็เห็น เลยชี้ว่า "เป็นมือของสมเด็จสนิท" ทั้งๆ ที่ด้านหลังนั้นมีมือของ "เจ้าคุณธงชัย" ดันอยู่ ก็เลยเข้าตำรา "เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง กระดูกแขวนคอ" เห็นทีต้องไปสะเดาะเคราะห์วันราหูออกที่กุฏิใหญ่ของเจ้าคุณธงชัยวัดไตรมิตรเสียแล้ว

 

ณ ปัจจุบัน ปัญหามันมิได้หยุดอยู่แค่ตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทราเท่านั้น แต่มันลามไปถึงวัดโสธร ที่หลวงตาประยงค์ยังคงเป็น "เสือเฝ้าถ้ำ" อยู่ มันดูวังเวง เพราะเมื่อหลวงตาประยงค์แสดงตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อเจ้าคุณอมร กระทบไปถึงผู้ใหญ่ในระดับภาคระดับหน ก็ส่งผลให้เกิดภาวะทางใจ "ไม่ยินดีต้อนรับ" ผู้หลักผู้ใหญ่ จะเข้านอกออกในวัดโสธรเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว

เจ้าคุณเสนาะ ไม่สบายใจ ต้องย้ายที่ประชุมสงฆ์ภาค 12 ไปวัดพราหมณี นครนายก ฉันใด เจ้าคุณธงชัย-สมเด็จสนิท ก็อาจจะต้องย้ายที่ประชุมไปที่อื่นชั่วคราว ฉันนั้น จนกว่าจะสามารถล้างบางแก๊งค์ 2 ป. ออกไปหมดนั่นแหละ

เพราะอย่าลืมว่า มาตรว่าเจ้าคุณอมรจะได้เป็นเจ้าคณะจังหวัด แต่มิได้เป็นเจ้าอาวาสๆ ยังคงเป็นหลวงตาประยงค์ ซึ่งมีอำนาจเหนือกว่าเจ้าคุณอมรภายในวัดโสธร รวมทั้งการเงินการทองอะไรต่างๆ ก็ยังอยู่ในมือหลวงตาประยงค์ ถ้าหลวงตาประยงค์ซึ่งเป็นพ่อบ้านไม่สั่งจ่ายเงิน ไม่อนุญาตให้ใช้สถานที่ หรือไม่ยินดีต้อนรับแขก บรรดาพระลูกวัดรูปไหนจะกล้าเชิญแขกเข้าบ้าน  จะทำงานทำการก็ไม่มีตังค์ใช้ มันก็อีหรอบเดียวกับวัดปากน้ำนั่นแหละ ถึงเจ้าคุณวิเชียรเจ้าคุณสุชาติ จะมีตำแหน่ง "นอกวัด" สูงกว่าสมเด็จช่วง แต่สมเด็จช่วงยังเป็นเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ คุมการเงินการทองและอำนาจบริหารไว้ทุกอย่าง มันก็ได้เปรียบเห็นๆ

สรุปง่ายๆ ว่า การขึ้นเป็นเจ้าคณะจังหวัดของเจ้าคุณอมร ก็ยังไม่เป็นต่อ เผลอๆ จะเป็นรองหลวงตาประยงค์ด้วย เพราะไม่มีเงินบริหาร จะเอาเงินเดือนหรือรับกิจนิมนต์ไปบริหารทั้งจังหวัดมันก็คงไม่เวิร์ค ดังนั้น ถ้าจะมอบอำนาจการบริหารทั้งจังหวัดให้แก่เจ้าคุณอมรจริงๆ ก็ต้องมอบวัดโสธรให้เจ้าคุณอมรครองด้วย แต่ว่าถ้าปล่อยให้เป็นไปแบบนี้ ก็มีเพียงสิ่งเดียวที่หลวงตาประยงค์ตกเป็นรองเจ้าคุณอมร คือเรื่องวัย เพราะปัจจุบันท่านมีอายุย่าง 89 ปีแล้ว ถือว่าแก่หง่อม สุ่มเสี่ยงต่อการถูก "แขวน" ไว้ในตำแหน่งที่ปรึกษา ซึ่งก็อาจจะเดินซ้ำรอยพระราชมงคลวุฒาจารย์ อดีตเจ้าอาวาสวัดโสธร รูปก่อนโน้น ก็เป็นได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็คงต้องปลงว่า เวรกรรมมีจริง !

เห็นได้ว่า นอกจาก "พงศ์พร" จะเข้าวัดหลายวัดไม่ได้แล้ว แม้แต่ เจ้าคุณธงชัย และสมเด็จสนิท ก็อาจจะเข้าวัดโสธรลำบาก เจ้าอาวาสเขาไม่ยินดีต้อนรับ เมื่อเจ้าของบ้านไม่แฮปปี้ แล้วจะมีหน้าไปให้เขาปิดประตูใส่ทำไม ?

โบราณว่า ตีเหล็กแต่ไฟยังแรง ทำอะไรก็ต้องทันการณ์ กรณีนี้ เจ้าคุณธงชัยกับสมเด็จสนิท จึงต้องคิดให้ดี จะปล่อยตะปูไว้ในรองเท้าอย่างนี้ต่อไปหรือ เดินได้หรือไม่ได้ ดีไม่ดีอาจจะบานปลายกลายเป็น "บาดทะยัก" ถึงตอนนั้น อย่านับแต่เจ้าคุณอมรจะอยู่ยากเลย แม้แต่เจ้าคุณธงชัยก็อาจจะไม่เหลือ เพราะแก๊งค์ 2 ป. เขาดับเครื่องชนแล้ว มิได้เห็นแก่หน้าอินทร์หน้าพรหม

 

ไม่กลัวแม้แต่..พรหมสิทธิ ! 

 

พระมหานรินทร์ นรินฺโท
วัดไทย ลาสเวกัส
รัฐเนวาด้า สหรัฐอเมริกา
6 สิงหาคม
2560


 

 

 

 

E-Mail To BK.

peesang2560@gmail.com


 

 


ALITTLEBUDDHA.COM WAT THAI LAS VEGAS 2920 MCLEOD DR. LAS VEGAS NV 89121 U.S.A. 702-384-2264