เปิดหน้า "มือปล่อย" ธัมมชโย !

มือใคร ? ในประวัติศาสตร์ศาสนา 2549

 


 

 

แอ่นแอ๊น ! ท่ามกลางกระแสข่าว "รัฐบาลออก ม.44 สั่งดีเอสไอให้นำทหารเข้าค้นวัดพระธรรมกาย ตามจับพระธัมมชโยมาขึ้นศาล รับโทษในคดีฟอกเงิน สหกรณ์คลองจั่น" ซึ่งเดินตามหลังงานตั้งสังฆราชมาจากธรรมยุต "ภายในอาทิตย์เดียว" ซึ่งเรื่องหลังนั้น ส่งผลให้ "สมเด็จช่วง" ร่วงจากตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ไปตลอดกาล

"สมเด็จช่วง เป็นพระอุปัชฌาย์ บวชให้แก่ธัมมชโย" จึงต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อพฤติกรรมของธัมมชโย อย่างเลี่ยงไม่ได้ สังคมไทยส่วนใหญ่มองไปทางนั้น แถมยังเข้าใจด้วยว่า "สมเด็จช่วงเป็นผู้ช่วยธัมมชโยให้พ้นคดีทางสงฆ์ในปี 49" ก่อนที่ธัมมชโยจะสยายอาณาจักรกว้างไกลไปสุดขอบสุริยจักรวาล

แต่กระแสก็เป็นกระแส คือเป็นแค่ "ผิว" หรือ "เปลือก" ของเหตุการณ์ ในพยานหลักฐานอันประจักษ์นั้น เรารับทราบกันชัดเจนแค่ว่า "นายมานพ พลไพรินทร์ อดีตข้าราชการกรมการศาสนา และนายสมพร เทพสิทธา อดีตนายกยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นโจทก์ฟ้องพระธัมมชโย ได้ขอถอนฟ้องด้วยตนเอง" ก็จบข่าว !

สังคมไทยหันไปให้ความสำคัญกับ "คำสั่งศาลอาญา" เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2549 ซึ่งอนุญาตให้ "อัยการสูงสุด" ถอนฟ้อง "พระธัมมชโย" จากคดีฉ้อโกงทรัพย์สินของวัดไปเป็นของตัวเอง..นับพันล้าน ด้วยเหตุผลว่า "พระธัมมชโยได้คืนเงินที่ยักยอกเอาไปให้แก่วัดพระธรรมกายครบหมดแล้ว" และ "การดำเนินคดีไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ" จึงสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบศาลอาญามาตั้งแต่นั้น

ที่ผู้คนสนใจในประเด็นหลังนี้ เพราะมีเงื่อนงำทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง เนื่องเพราะก่อนหน้านั้น วันที่ 18 กรกฎาคม 2549 มีบุคคลสำคัญทางการเมือง คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปเป็นประธานในพิธีสำคัญที่วัดพระธรรมกาย จึงเชื่อว่า "เพราะแม้วช่วย" ธัมมชโยจึงรอดปากเหยี่ยวปากกา ทั้งๆ ที่เหลือพยานอีกแค่ 2 ปาก เท่านั้น ก็พิพากษาได้แล้ว

สังคมพุทธไทย สรุปว่า ต้นตอของปัญหาธรรมกาย อยู่ที่..สมเด็จช่วงและวัดปากน้ำ

สังคมการเมืองไทย สรุปว่า ปลายทางของปัญหาธรรมกาย อยู่ที่..ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปี 49

เมื่อ "ทักษิณ" ถูกทหารปฏิวัติและหลบหนีออกจากประเทศไทย ไม่ยอมรับกบิลเมืองในคดีอาญา ก็ถือว่า..สาสม !

และเมื่อ "สมเด็จช่วง" ซึ่งมีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ มีความชอบธรรมที่สุด ที่จะได้เป็นสมเด็จพระสังฆราช แต่เมื่อไม่จัดการกับธัมมชโย แถมยังช่วยเหลือเกื้อกูลกันออกหน้า สนช. จึงจัดการ "แก้ไข พรบ.คณะสงฆ์" ถวายคืนพระราชอำนาจ และทรงโปรดสถาปนา "สมเด็จพระมหามุนีวงศ์" วัดราชบพิธ ขึ้นเป็นสังฆราชแทน สมเด็จช่วงร่วงระนาว ก็ถือว่า..สาสม !

สังคมไทยรู้กันอยู่ "แค่เนียะ" สะใจสาใจสมใจกันอยู่..แค่เนียะ !

แต่..เมื่อไม่กี่วันมานี้ มีการนำเอาเอกสาร "การขอถอนฟ้อง" พระธัมมชโย ออกจากศาลสงฆ์ โดยสองโจทก์ คือ นายมานพ พลไพรินทร์ และนายสมพร เทพสิทธา มา เปิดเผยในสังคมออนไลน์ และมีบางจุดที่ "สะดุดตาผู้เขียน" ให้ต้องหยุดชะงัก และยกกล้องพระขึ้นส่อง มองไปที่เนื้อหาของสิ่งที่อยู่ตรงหน้า พิจารณาว่า "พระหรือชี" ที่เป็นมือปล่อยธัมมชโยหลุดพ้นคดี ปี 49 ด้านล่างนี้แหละคือเอกสารดังกล่าว

 


 


 




 

อ่านเอกสารเหล่านี้แล้ว ก็สรุปความได้ง่ายๆ ว่า นายมานพและนายสมพร ได้ยินยอม "ถอนฟ้อง" พระธัมมชโย โดยไม่มีเงื่อนไข แต่เงื่อนไขที่ปรากฏอยู่ในเอกสารอีกส่วนหนึ่งก็คือ "มีการวิ่งเต้นใช้เงินจำนวน 3 ล้านบาท ผ่านทางนายมานพ ให้ยินยอมถอนฟ้องพระธัมมชโย" และต่อมา ประเด็นดังกล่าวนี้ ก็ส่งผลให้นายมานพ "ถูกปลด" ออกจากราชการ เป็นตราบาปไปชั่วชีวิต เป็นคนที่สองของคดีธรรมกาย คนแรกก็คือ พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร) วัดยานนาวา อดีตเจ้าคณะภาค 1 ถูกมหาเถรสมาคมปลดออกจากตำแหน่ง โทษฐานไม่ยอมรับฟ้องจากฆราวาสในคดียักยอกทรัพย์ของพระธัมมชโย (คดีเดียวกัน และผู้ฟ้องเดียวกัน โดยนายมานพและนายสมพรเป็นผู้ฟ้อง แต่ศาลสงฆ์โดยพระพรหมโมลี-วิลาศ ไม่ยอมรับฟ้อง อ้างว่าได้ตัดสินคดีเป็นที่สิ้นสุดไปแล้ว)

พระพรหมโมลี (วิลาศ) หลังถูกปลดก็ได้เดินทางไปทัศนศึกษาที่ประเทศพม่า และถึงแก่มรณภาพอย่างกะทันหัน ที่เมืองทวาย ประเทศพม่า ในวันที่ 11 มกราคม 2544

เมื่อพระพรหมโมลีโดนปลดไปแล้วนั้น สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม ฐานิสฺสโร) วัดชนะสงคราม เจ้าคณะใหญ่หนกลาง จึงได้ตั้งให้ "พระธรรมโมลี- สมศักดิ์ อุปสโม" วัดพิชยญาติการาม เจ้าคณะภาค 15 ข้ามห้วยมาเป็นรักษาการเจ้าคณะภาค 1 เพื่อรับฟ้องพระธัมมชโยในคดีดังกล่าว ก่อนที่พระธรรมโมลีจะได้เลื่อนขึ้นเป็น "พระพรหมโมลี" และ "สมเด็จพระพุทธชินวงศ์" ในที่สุด สมเด็จสมศักดิ์ได้เป็นทั้ง "เจ้าคณะภาค 1" ในตำแหน่งเดิมของพระพรหมโมลี (วิลาศ) และเจ้าคณะใหญ่หนกลาง แทนสมเด็จนิยมวัดชนะ

นั่นก็รู้กันทั่วไปในวงการสงฆ์ไทย ว่าเส้นทางเดินของแต่ละรูปนั้น ท่านเดินกันอย่างไร จึงมาถึงทุกวันนี้ได้

แต่ตามเอกสารข้างต้นนั้น มีบุคคลสำคัญที่มิใช่ "พระภิกษุสงฆ์" แต่เป็นอิสตรี แถมมีฐานะพิเศษเป็น "แม่ชี" เข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีธรรมกาย "อย่างสำคัญ" อีกหนึ่งท่านด้วย สตรีนางนั้นมีนามว่า

 

แม่ชีทศพร บุญเทวาพิทักษ์

 

จึงต้องค้นหาว่า แม่ชีคนนี้เป็นใคร มาจากไหน เหตุใดจึงมาเกี่ยวข้องกับคดีธรรมกาย และสุดท้าย ปัจจุบันวันนี้ หล่อนอยู่ดีกินดีอยู่หรือไร ?

 

 

แม่ชีทศพร บุญเทวาพิทักษ์

 

แม่ชีทศพรนั้น ฟังดูก็คุ้นๆ หู เพราะว่ามีชื่อโด่งดังในสังคมพุทธไทย แต่ค่อนข้างจะสับสน เพราะมีหลายนามสกุล สืบทราบมาว่า

เมื่อเกิดมานั้น พ่อแม่ตั้งชื่อให้เด็กหญิงคนนี้ว่า "มาลินี ชัยประคอง" เป็นชาวอัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม เกิดวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2501 เรียนจบชั้นประถมปีที่ 7 ถือว่าได้มาตรฐานบ้านนอกในสมัยนั้นแล้ว จากนั้นก็มีครอบครัว และมีลูกจำนวน 5 คน

ประวัติก่อนบวชชีมีว่า ต่อมาเกิดปัญหาครอบครัว (เรื่องอะไรไม่รู้) นางมาลินีทนไม่ไหว ได้ตัดสินใจ "หนีไปบวช" ที่วัดเขาอิติสุคโต อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ส่วนวันเดือนปีที่บวชมิได้ระบุ

ต่อมาอีก แม่ชีมาลินี ได้ย้ายเข้ามาสังกัดวัดพิชยญาติการาม เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร ภายใต้การอุปถัมภ์ของ "พระธรรมโมลี-สมศักดิ์ อุปสโม" เจ้าคณะภาค 15 ซึ่งต่อมาก็คือ สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ องค์ปัจจุบัน

เมื่อย้ายเข้าวัดพิชัยญาติมานั้น แม่ชีมาลินีได้เปลี่ยนชื่อใหม่ เป็น "ธนพร ชัยประคอง" "ทศพร ชัยประคอง" แต่เปลี่ยนแค่ชื่อดูเหมือนจะยังไม่ดัง หล่อนจึงตัดสินใจ "เปลี่ยนนามสกุล" ไปด้วย โดยได้ทั้งชื่อและนามสกุลใหม่ว่า "ทศพร บุญเทวาพิทักษ์" "ทศพร เทวาพิทักษ์ธรรม" และล่าสุด หล่อนได้เปลี่ยนนามสกุลเป็นครั้งที่สอง มีนามว่า "ทศพร วชิระบำเพ็ญ"

สรุปว่า ชีคนนี้มี "3 ชื่อ 4 นามสกุล" ซึ่งก็คิดว่าน่าจะเป็นคนใช้ชื่อและนามสกุลมากที่สุดในโลก !

 

 

ช่วงที่เกิดคดีธรรมกายในปี 2549 ซึ่งมีการถอนฟ้อง และแม่ชีคนนี้เข้าไปเกี่ยวข้องนั้น หล่อนใช้ชื่อว่า "ทศพร บุญเทวาพิทักษ์" ซึ่งตอนนั้นเชื่อว่าได้เข้ามาสังกัดวัดพิชัยญาติแล้ว

สิ่งที่ต้องนำมาพิจารณาถึงเงื่อนงำ เกี่ยวกับการเข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีพระธัมมชโยของแม่ชีทศพรนั้น มีอยู่ 2 ทาง คือ

1. ความสัมพันธ์กับนายมานพ พลไพรินทร์ อดีตผู้เชี่ยวชาญกรมการศาสนา ซึ่งมีวาสนาเกือบจะได้เป็นอธิบดีกรมการศาสนาด้วย (ตอนนั้นยังไม่ได้ตั้งสำนักพุทธฯ)

2. ความสัมพันธ์กับสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม) อดีตเจ้าคณะภาค 15 อดีตพระในสังกัดวัดชนะสงคราม ของสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ซึ่งต่อมาได้เป็นรักษาการเจ้าคณะภาค 1 พร้อมๆ กับตำแหน่งประธานศาลสงฆ์ในคดีพระธัมมชโย (พ.ศ.2543) และต่อมาได้เป็นเจ้าคณะภาค 1 และเจ้าคณะใหญ่หนกลาง อันเป็นตำแหน่งสูงสุดของคณะสงฆ์ไทย

เหตุการณ์ตรงนี้มัน "เชื่อมโยง" กันอย่างน่าอัศจรรย์ว่า แม่ชีทศพร ซึ่งอยู่วัดพิชัยญาติ ของพระธรรมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม) ซึ่งเป็น "ประธานศาลสงฆ์" ในคดีพระธัมมชโย ได้ไป "เป็นพยาน" ให้แก่ นายมานพ พลไพรินทร์ ในการ "ถอนฟ้อง" พระธัมมชโย จากศาลสงฆ์ของพระธรรมโมลี (ยศในสมัยนั้น) แถมยัง "รับอาสา" เป็นผู้นำเอาจดหมายถอนฟ้อง หรือคำร้องนั้น ไปยื่นให้แก่พระราชปริยัตยาภรณ์ (สมศักดิ์ โชตินฺธโร) เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี วัดเขียนเขต (ปัจจุบันคือ พระเทพรัตนสุธี) ส่งผลให้คดีพระธัมมชโย "ถูกถอน" ออกจากศาลสงฆ์ เหมือนอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 ยื่นถอนฟ้องพระธัมมชโยจากศาลอาญา เหมือนกันเป๊ะ แสดงว่าวัดพระธรรมกายใช้วิธีสู้คดีแบบเดียวกันทั้งศาลสงฆ์และศาลอาญา

ถามว่า แม่ชีไปช่วยนายมานพ เพราะมีความสนิทสนมส่วนตัว หรือว่าได้รับคำสั่งจากใครให้ไปช่วย โดยเฉพาะ "พระธรรมโมลี-สมศักดิ์" เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการาม ซึ่งแม่ชีพึ่งพาบารมีอยู่ ?

ถ้าแม่ชีได้รับคำสั่งจาก "พระธรรมโมลี" ให้ไปช่วยเป็นพยานให้นายมานพ รวมทั้งเป็นผู้ยื่นถอนฟ้องแทนนายมานพด้วย ก็แสดงว่า พระธรรมโมลี ซึ่งเป็นประธานศาลสงฆ์ ได้ดำเนินการ "ถอนฟ้อง" พระธัมมชโย เสียเอง โดยการให้ "แม่ชีทศพร" ไปช่วยนายมานพ "ถอนฟ้อง" จากเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นกรรมการศาลสงฆ์

ในอีกทางหนึ่ง พระธรรมโมลี ในฐานะประธานศาลสงฆ์และเจ้าคณะภาค 1 ในสมัยนั้น ได้ไปเป็นพยานในชั้นอัยการ รับรองว่าพระธัมมชโยได้สั่งสอนถูกต้องตามพระธรรมวินัยในพระไตรปิฎกแล้วด้วย ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่อัยการยื่นขอต่อศาลอาญา เพื่อขอถอนฟ้องพระธัมมชโย จนสำเร็จไปในที่สุด

นี่คือ พฤติกรรมที่อำพราง ในคดีประวัติศาสตร์ศาสนา ที่น่าพิศวง

 

 

พระธรรมโมลี-พระพรหมโมลี-สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม) วัดพิชยญาติการาม อดีตเจ้าคณะภาค 1 และปัจจุบัน เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ทายาทสืบทอดอำนาจของสมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม ฐานิสฺสโร) วัดชนะสงคราม คือ ผู้ต้องสงสัย อันดับที่ 1 ในคดีนี้ !

เพราะอำนาจและยศถาบรรดาศักดิ์ทุกอย่าง ที่เป็นของพระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร) อดีตเจ้าคณะภาค 1 วัดยานนาวา ได้ถูกผ่องถ่ายมาไว้ที่สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ทั้งสิ้น ขณะที่คดีพระธัมมชโยนั้น ถูกเป่าหาย ซึ่งผู้เขียนเคยนิยามพฤติกรรมทำนองนี้ไว้ว่า "เป็นการปล้น" ดีๆ นี่เอง แต่เนียนโคตร !

 

 

นั่นก็ถือว่ามหัศจรรย์แล้ว แต่ยังมีพิสดารกว่านั้น นั่นก็คือ มีปัญหาเรื่องเงินทอง หรือสินบน เข้ามาเกี่ยวข้องในคดีนี้ด้วย

โดยมีหลักฐานเป็น "เทป" พูดคุยทางโทรศัพท์ ระหว่าง นางจารุวรรณ พลไพรินทร์ ภรรยาของนายมานพ กับ นางสาวนวลนิจ หงส์วิวัฒน์ ผู้แทนวัดพระธรรมกาย ฝ่ายนายมานพ รับปากว่า จะช่วยเหลือพระธัมมชโย ให้รอดคดีความทางสงฆ์ (ซึ่งนายมานพเป็นโจทก์) และได้ขอให้ทางตัวแทนวัดพระธรรมกาย "โอนเงิน" ไปยังบัญชีของ "พี่สาว" ของนายมานพ หลบเลี่ยงไม่รับเงินโดยตรง

อีกด้านหนึ่งนั้น มีการระบุว่า พระครูสุวรรณวชิรธรรม เจ้าอาวาสวัดสกุลปักษี อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี ได้เป็นผู้ติดต่อกับนายมานพ พลไพรินทร์ เพื่อขอให้ช่วยถอนฟ้องพระธัมมชโย อีกด้วย

โดยจำนวนเงิน ที่เข้ามาเกี่ยวข้องนั้น ว่ากันว่า อยู่ที่ 3 ล้านบาท !

แม้ภายหลัง นายมานพจะอ้างว่า "ดำเนินการตามแผน เพื่อหลอกล่อฝ่ายพระธัมมชโยให้มาติดกับในข้อหา ติดสินบนเจ้าหน้าที่" แต่รูปคดีที่พิสูจน์ทราบนั้น ไม่เชื่อว่าทางฝ่ายธรรมกายจะเป็นฝ่ายติดต่อติดสินบนเพียงด้านเดียว แต่เชื่อว่า นายมานพก็ยินดีรับสินบนเช่นกัน

นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ นายมานพ พลไพรินทร์ "ถูกปลด" ออกจากทุกตำแหน่ง ดังกล่าว

เมื่อนายมานพถูกปลดเพราะความผิด "รับสินบน" จากพระธัมมชโย การถอนฟ้องพระธัมมชโยของนายมานพ จึงถือว่าไม่ชอบธรรมไปด้วย !

นี่เป็น "หลักฐานใหม่" ที่จะนำมาใช้ในการ "รื้อคดี" พระธัมมชโย ซึ่งถอนฟ้องไปในปี พ.ศ.2547

ถ้าทางฝ่ายธรรมกายอ้างว่า "ฟื้นคดีไม่ได้ ผิดพระวินัย" ก็ต้องเคลียร์ประเด็นนี้ให้ได้ด้วย

 

 

 

ทีนี้ก็จะมาถึง "แม่ชีทศพร" ซึ่งเข้ามาช่วยเหลือนายมานพในคดีนี้ ซึ่งมี 2 ประเด็น คือ

1. แม่ชีทศพร อยู่วัดพิชัยญาติ ของพระธรรมโมลี ประธานศาลสงฆ์ในคดีพระธัมมชโย แต่กลับไปช่วยนายมานพถอนฟ้องพระธัมมชโย ซึ่งเป็นจำเลย

2. นายมานพ พลไพรินทร์ โจทก์ วานให้แม่ชีทศพร ไปถอนฟ้องแทนตนเอง แต่กลับมีปัญหาเรื่องสินบนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

ประเด็นแรกพูดไปแล้วว่า ถ้าประธานศาลสงฆ์ "สั่ง" ให้แม่ชีทศพร ไปช่วยนายมานพถอนฟ้อง ซึ่งก็คือ ช่วยถอนฟ้องพระธัมมชโยนั่นเอง ก็ถือว่าเป็นคดีประหลาดที่สุดในโลก เผลอๆ พระธรรมโมลีจะต้องติดคุกติดตะราง หากพิสูจน์ได้ว่าเป็นจริง

ประเด็นที่ 2 ข้อนี้น่าสงสัยอย่างยิ่ง เพราะเมื่อแม่ชีเข้าไปเกี่ยวข้องกับการ "ถอนฟ้อง" พระธัมมชโยนั้น มีเรื่องเงินทองเข้ามาเกี่ยวข้อง ถามว่า แม่ชีรู้เห็นด้วยหรือไม่ ?

หลักฐานในตอนนั้นไม่มี แต่มีพยานอยู่ในช่วงเวลาถัดมา

 

 

กดที่ภาพเพื่อชม แม่ชีทศพร พยากรณ์กรรมธรรมกาย

 

วันที่ 17 พฤศจิกายน 2551 แม่ชีทศพร วัดพิชยญาติการาม ได้ตอบปัญหาธรรมะ ในรายการ "ตู้ธรรมประจำบ้าน" ให้แก่อุบาสกคนหนึ่ง โดยระบุว่า "เพราะกรรมที่ไปดูหมิ่นหลวงพ่อวัดพระธรรมกาย จึงถูกปลดจากตำแหน่งโดยไม่ทันตั้งตัว" ปิดท้ายด้วยการหยอดมุกว่า "แม่ชีเก่งไหม" สาวกในศาลาวัดพิชัยญาติปรบมือกันกราว..!

ตรงนี้จึงน่าสงสัยว่า "ชีทศพร" หล่อนเป็นใคร ? เป็นสาวกธรรมกายที่ถูกส่งไปรับใช้ "สมเด็จสมศักดิ์" วัดพิชัยญาติ หรือไม่ ? ทำไมจึงเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคดีธรรมกาย และยังส่งเสริมธรรมกายผ่านการแสดงธรรมของตนเองด้วย ?

 

น่าสงสัยว่า แม่ชีทศพร อาจจะเป็น "นางนกต่อ" ของธัมมชโย ที่ส่งมาอยู่กับสมเด็จสมศักดิ์  วัดพิชัยญาติ จนสามารถถอนฟ้องต่อศาลสงฆ์ได้สำเร็จ แถมยังใช้ "ธรรมาสน์" ของวัดพิชัยญาติ ช่วย "แก้กรรม" ให้แก่ธรรมกาย ได้อย่างแนบเนียน เพราะคำพูดที่ออกจากปากของแม่ชีในวัดพิชัยญาติ ใครไหนจะสะกิดใจ ว่า "ธรรมาสน์" ของวัดพิชัยญาติ ถูกธัมมชโยซื้อไป ผ่านนางนกต่อที่ชื่อ แม่ชีทศพร

 

ก็ปิดประเด็นว่าด้วยคดีพระธัมมชโย ไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน

 

 

 

เมื่อตอนอยู่วัดพิชัยญาติ และเปลี่ยนชื่อเป็น "แม่ชีทศพร เทวาพิทักษ์ธรรม" ก็โด่งดังทะลุฟ้า สามารถยึดครองหัวใจของสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เรียกขานนามว่า "แม่ชีใหญ่" รับอาสาบูรณะวัดช่วยจนเสร็จ จึงได้บำเหน็จเป็น "เจ้าของธรรมาสน์" คือยกธรรมาสน์วัดพิชัยญาติ ให้แม่ชีแสดงธรรม พร้อมกับตั้งสำนักปฏิบัติธรรมให้แม่ชีด้วย ใครไปวัดพิชัยญาติสมัยนั้น มิได้ไปฟังพระเทศน์ แต่ไปฟังชีเทศน์ มิได้ไปปฏิบัติธรรมกับพระ แต่ไปปฏิบัติธรรมกับแม่ชีใหญ่ !

 

 

 

แม่ชีทศพร เทวาพิทักษ์ธรรม วัดพิชัยญาติ เข้ารับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (ด๊อกเตอร์) จากมหาวิทยาลัยสงฆ์ มจร. วันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ.2552

 

 

่วงนั้น แม่ชีทศพร โด่งดังมาก ได้รับเชิญไปออกรายการ "มิติพิศวง" ทางช่องเจ็ดสีทีวีเพื่อคุณ เรียกได้ว่าเป็นซูเปอร์สตาร์ เงินทองไหลมาเทมา ทำบุญที่วัดพิชัยญาติดูจะแคบไป แม่ชีเลยหันไปช่วยเหลือกิจการการศึกษาของคณะสงฆ์ไทย ในมหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย  (มจร) และสุดท้าย ชีทศพรก็ "คว้าดาว" สำเร็จ ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยสงฆ์ มจร. เปลี่ยนวิทยฐานะจาก "ป.7" เป็น "ดร.แม่ชีทศพร เทวาพิทักษ์ธรรม" ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่า พระธรรมโมลี (สมเด็จพระพุทธชินวงศ์) นั้น นอกจากจะมีตำแหน่งเป็นเจ้าคณะใหญ่หนกลางแล้ว ก็ยังเป็น "รองอธิการบดี มจร." อีกตำแหน่งหนึ่งด้วย จึงเป็นช่องทางให้แม่ชีทศพร เดินตามสมเด็จสมศักดิ์เข้าไปใน มจร. ได้อย่างง่ายดาย

 

 

กดที่ภาพเพื่อชม แม่ชีทศพร แก้กรรม 2 ที

 

 

ต่อมา ในเดือนเมษายน พ.ศ.2554 แม่ชีใหญ่ แห่งวัดพิชัยญาติ ก็ปีกกล้าขาแข็ง เชี่ยวชาญในการแสดงธรรม เหนือกว่าบรรดาพระสงฆ์องค์เณรวัดพิชัยญาติทั้งปวง จึงได้แสดงอุตริมนุสธรรม แนะนำให้อุบาสิกานางหนึ่ง ซึ่งมาขอคำปรึกษาว่าด้วยปัญหาชีวิต และแม่ชีได้แนะนำว่า "กรรมเก่าที่ไปดูถูกผู้ชายสูงวัย ต้องแก้กรรมด้วยการไปนอนกับเด็ก 2 ครั้ง จึงจะพ้นกรรม" พร้อมกับหัวเราะเป็นที่สนุกสนาน ราวกับว่าธรรมาสน์วัดพิชัยญาตินั้นเป็นเวทีลิเก จะร้องรำทำเพลงอย่างไรก็ได้ !

 

 

 

เมื่อคลิป "แก้กรรม 2 ที" ของแม่ชีทศพร แพร่ออกไปทางโลกออนไลน์ ก็มีเสียงวิจารณ์กันกระหึ่ม ว่าถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัยหรือไม่ ร้อนถึง นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ต้องเดินทางไปยังวัดพิชัยญาติ (27 เม.ย. 2554) คาดโทษเอากับสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เจ้าของธรรมาสน์และผู้ปกครองของแม่ชีทศพร ซึ่งสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ก็อ้อมแอ้มออกตัวว่า "เคยเตือนแม่ชีแล้ว แต่แกไม่ฟัง"

ส่วนแม่ชีทศพรนั้น นอกจากจะออกมาขอโทษว่า "ขออโหสิกรรมที่ทำผิดไป และขอโอกาสแก้ตัว เพราะเคยทำความดีไว้มาก แต่ถ้าหากทำให้ใครเสื่อมเสีย ก็ยินดีออกจากศาสนา" จากนั้นก็ปิดเว็บไซต์เดิมเพื่อหนีกรรมไป

 

 

 

ครั้งหนึ่ง แม่ชีทศพร บอกว่า "เคยได้นิมิตเห็นสึนามิ ในภาคใต้ของประเทศไทย ก่อนเหตุการณ์จริงตั้ง 6-7 ปี แต่ไม่กล้าพูด เพราะกลัวไม่มีคนเชื่อ" (เกิดเหตุการณ์สึนามิในภาคใต้ของไทย  วันที่ 26 ธันวาคม 2547 ความสูญเสียมหาศาล ผู้คนล้มตายหลายแสนชีวิต) ซึ่งเป็นการอวดอุตริว่าตนเองมีทิพยจักษุ

ในการแสดงธรรมเพื่อแก้กรรมนั้น แม่ชีออกตัวอยู่ตลอดเวลาว่า "หลายเรื่องที่แม่ชีกระทำไปนั้นเป็นอุตริมนุสสธรรม คืออวดคุณวิเศษ ซึ่งพระทำไม่ได้" ตามด้วยการ "ยกย่อง" พระภิกษุ-สามเณร ว่ามีศีลาจารวัตรสูงส่ง "สูงกว่า" แม่ชีหลายร้อยหลายพันเท่า แต่..แม่ชีมีตาทิพย์ มีฤทธิ์แก้กรรมได้ ขณะที่พระเณรทั้งประเทศไทยนั้น..ไม่มี !

นี่คือกลยุทธ์ "เอาผ้าเหลืองบังหน้า" เพื่อหากินในทางอวดอุตริมนุสสธรรม จากนั้นก็นำเอาลาภสักการะที่ได้จากการอวดอุตรินั้น ไปทำนุบำรุงวัดวาอารามและพระสงฆ์องค์เณร ก็ทำนองเดียวกับพระธัมมชโยทำการอวดอุตริ แล้วก็ถวายสังฆทานแก่พระสงฆ์ไทย 30,000 วัด นั่นแหละ

การยอมรับความผิด และขอสอนใหม่ ของแม่ชีทศพร ในครั้งนั้น นับได้ว่าเป็นการ "สารภาพบาป" ว่าตนเองมิได้มีตาทิพย์ตาวิเศษแต่อย่างใด แต่อาศัย "วาทศิลป์" อันชำนิชำนาญ ทำการ "หลอกผู้คน" ไปวันๆ ซึ่งถ้าพูดแบบแม่ค้าในตลาดก็คงต้องบอกว่า "ตอแหล"

 



 

เห็นได้ชัดว่า แม่ชีทศพร รู้อยู่ว่าการอวดอุตริอ้างคุณวิเศษ "ที่ไม่มีในตน" นั้น ผิดทั้งพระธรรมวินัยและกฎหมายทางบ้านเมือง แต่ก็ยังฝืนทำ ครั้นทำไปแล้ว ด้วยกลัวความผิด จึงติดสินบน ด้วยการทำบุญสุนทานอย่างยิ่งใหญ่

ไม่ต่างไปจากกรณี "ว.วชิรเมธี" ที่อวดอุตริประกาศว่า "ชีวิตสงฆ์ควรปราศจาก ยศ ทรัพย์ และอำนาจ" แต่สุดท้ายก็ไปรับเอาทั้งยศ ทรัพย์ และอำนาจ มาไว้เต็มมือ ครั้นถูกจับได้ไล่ทันก็อ้าง "สำนักพระราชวัง" และ "ผู้ใหญ่" ว่าบังคับให้ตนเองรับ รับเอาสิ่งที่ตนเองเคยดูหมิ่นว่า "เป็นของไม่สมควรแก่สมณะ" นั้น

แต่แหม ของแบบนี้มันมีวิธีแก้ ก็แก้กรรมด้วยการทำ "มหาสังฆทาน" เอาเงินทองไปถวายพระเถระผู้ใหญ่ หรือรับจัดกิจกรรมช่วยศาสนา แจกทุนการศึกษาพระภิกษุสามเณร ฯลฯ โอ๊ย สารพัดวิธี มีหรือใครจะว่าอะไร ?

 

 

 

อย่าลืมว่า คนเหล่านี้ที่เอ่ยถึง ไม่ว่าจะเป็น ธัมมชโย ว.วชิรเมธี หรือ แม่ชีทศพร นั้น นับได้ว่าเป็นคนเก่ง มีฝีปากระดับหาตัวจับได้ยาก โดยเฉพาะเทคนิคพิเศษที่แม่ชีใช้ ผ่านทั้งสถานที่และวิธีการอันศักดิ์สิทธิ์ ได้แก่

1. อาศัยธรรมาสน์ของพระสงฆ์วัดพิชัยญาติขึ้นเทศน์แทนพระ

2. อวดอุตริมนุสสธรรม โดยยกพระสงฆ์ขึ้นบังหน้าว่าสูงส่งกว่าตน ผ่านการแสดงธรรม อันเป็นรูปแบบของพุทธสาวก

3. ได้ลาภสักการะมาจากการอวดอุตรินั้น ก็ทำการช่วยเหลือพระสงฆ์ ส่งผลให้พระสงฆ์พูดไม่ออกบอกไม่ได้ เพราะติดหนี้บุญคุณของแม่ชี

 

ที่เขียนมาทั้งนี้ก็มิใช่อะไร เพราะสะดุดตาที่มีชื่อของ "แม่ชีทศพร บุญเทวาพิทักษ์" เข้าไปเกี่ยวข้องช่วยเหลือ "พระธัมมชโย" จนหลุดจากศาลสงฆ์ จึงอยากจะทราบว่า แท้จริงแล้ว แม่ชีทศพรเป็นใคร มาจากไหน และปัจจุบันทำอะไรอยู่ ?

ข่าวสารล่าสุดนั้น แม่ชีทศพร ได้ลาอออกจากสำนักวัดพิชัยญาติ แล้วไปตั้งสำนักปฏิบัติธรรมเป็นของตนเอง ในท้องที่อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี มีชื่อว่า "บ้านเพชรบำเพ็ญ" พร้อมกับเปลี่ยนนามสกุลของตนเองเป็น "ทศพร วชิระบำเพ็ญ" ซึ่งก็แปลได้อีกสำนวนหนึ่งว่า "เพชรบำเพ็ญ" นั่นเอง

 

เปล่า ! มิได้อิจฉา หรือคิดจองล้างจองผลาญแม่ชี แต่เพราะเห็นว่ามีชื่อเข้าไปพัวพันกับคดีธัมมชโยอันโด่งดังระดับโลกอยู่ในเวลานี้ก็สงสัย อยากจะรู้จริงๆ ว่าแม่ชีเข้าไปเกี่ยวข้องได้อย่างไร รวมทั้งผู้หลักผู้ใหญ่ อันได้แก่ "สมเด็จพระพุทธชินวงศ์" วัดพิชัยญาติ ในฐานะ "ประธานศาลสงฆ์" และผู้ปกครองของชีทศพร อีกต่างหากด้วย

รับ "ยศ ทรัพย์ และอำนาจ" ไปเท่าไหร่ ก็ต้องชดใช้กรรมร่วมกัน ร่วมกับสมเด็จช่วงวัดปากน้ำ อย่ากินคนเดียวหรือฝ่ายเดียวมันไม่แฟร์ เพราะพุทธองค์ทรงตรัสว่า "เนกาสี ลภเต สุขํ" แปลว่า กินคนเดียวไม่อร่อย !

หากจะนับว่า กรณีธรรมกาย และคดีพระธัมมชโย เป็นกรรมหนักถึงหนักสุด ที่เกิดขึ้นในพระพุทธศาสนาเถรวาทของประเทศไทย ในรอบ 2500 ปีแล้ว การที่แม่ชีทศพร เข้าไปช่วยปลดธัมมชโยออกจากคดีในคราวนั้น ก็ถือว่าได้กระทำกรรมหนักระดับ "อนันตริยกรรม" เช่นกัน

 

จะแก้กรรมหรือแก้ตัวอย่างไร ก็เชิญคุณ ดร.แม่ชี ได้ ณ บัดนี้

 

 

 

พระมหานรินทร์ นรินฺโท

17 กุมภาพันธ์ 2560

 

 

 

E-Mail To BK.

peesang2555@hotmail.com

 


ALITTLEBUDDHA.COM WAT THAI LAS VEGAS 2920 MCLEOD DR. LAS VEGAS NV 89121 U.S.A. 702-384-2264