ประเทศไทยในเวลานี้เหมือนมีอาการป่วยหลายอย่าง ทั้งโรคภัยไข้เจ็บ
โรคภัยจากมนุษย์ และโรคจากลัทธิศาสนา ดังโบราณว่า
"พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก"
แต่วันนี้จะขอชี้ให้เห็นถึงมหันตภัยที่เกิดขึ้นกับพระไทยในแดนไทย
นั่นคือเรื่อง
"สังหารพระสงฆ์ในขณะออกบิณฑบาตในจังหวัดนราธิวาสและจังหวัดสตูล"
ซึ่งมีพระภิกษุและสามเณรมรณภาพไปแล้วถึง 3 รูป เป็นเรื่องพิลึกพึงกลัวไม่เคยปรากฎมาก่อนในผืนแผ่นดินไทย
อันได้นามว่า ดินแดนแห่งผ้ากาสาวพัสตร์
ความจริงแล้ว เวปแห่งนี้เราจะไม่เล่นข่าวมั่ว ๆ
หรือข่าวตลาด ใครจะเจ็บใครจะตายถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา
ขอเพียงให้เป็นไปตามครรลองของธรรมชาติเท่านั้น
หากแต่การมรณภาพของพระภิกษุ-สามเณรในจังหวัดภาคใต้ของประเทศไทยเราเมื่อวานนี้นั้น
มันเป็นเหตุการณ์พิศวงงงงวยที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น
และไม่ควรเกิดขึ้นได้เลย ไม่ว่ากรณีใด ๆ
แต่สมัยโบราณมานั้น
ใครมีอาชีพทุกจริตคิดคดโกง เป็นโจรเป็นขโมย
เขาจะต้องมีปฏิญญาโจรเป็นกติกาสากล เช่น ไม่รังแกสตรีเพศ เด็ก
และไม่เบียดเบียนพระภิกษุสงฆ์สามเณร หรือนักบวชทุกลัทธินิกายให้เดือดร้อน
เพราะว่าท่านเหล่านั้นเป็นคนของประชาชน เป็นผู้ที่ประชาชนเคารพนบไหว้
หากใครไปล่วงละเมิดแล้ว ก็ย่อมตกเป็นที่เกลี่ยดชังของชาวประชา
เมื่อนั้นก็ย่อมถูกกำจัดไปในไม่ช้า
แต่ทว่า
กรณีที่เกิดขึ้นในจังหวัดนราธิวาสและจังหวัดสตูลนี้
กลับมีกรณีน่าศึกษาแต่ต่างกันไป
เป็นเหมือนกับการมุ่งสร้างสถานการณ์ให้เกิดขึ้น
เพื่อจงใจให้เกิดความขัดแย้งกันระหว่างชาวพุทธไทยกับชาวมุสลิมไทย
ซึ่งเป็นไทยเหมือนกัน
แต่นับถือศาสนาต่างกัน อันจะนำไปสู่สงคราม
และอาจจะลามปามไปจนถึงการแยกแผ่นดินไทยให้เป็นสอง
จิตวิทยาที่โจรกระจอก
(ขอประณามว่าเป็นโจรกระจอก
เพราะถ้าเป็นโจรผู้ดีมันต้องไม่ทำอะไรด้วยวิธีกระจอก ๆ อย่างนี้)
นำมาใช้นั้น ขอบอกว่ากระจอกอย่างยิ่ง เพราะชาวพุทธจริง
ๆ นั้น เขาไม่นิยมทำสงครามเพื่อศาสนาอยู่แล้ว เพราะศาสนาสอนไม่ให้ทำสงคราม
ห้ามไม่ให้ฆ่าคน แล้วจะเอาศาสนามาเป็นเหตุให้เกิดสงครามศาสนาได้อย่างไร
ถ้าคนในศาสนาไหนเคยใช้วิธีการเช่นนี้มาแล้วและจะใช้อีก
ก็ขอให้กลับไปศึกษาประวัติศาสตร์ให้ดี
กงกรรม-กงเกวียนนั้นมีจริง
ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ โดยเฉพาะไอ้พวกเดรัจฉานที่ออกปฏิบัติการในครั้งนี้
มันต้องได้รับโทษแห่งกรรมที่ก่อไว้อย่างสาสม
สังคมไทย
เป็นสังคมเปิด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และรัฐบาลไทยทุกสมัย
ตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีแล้ว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเมตตาต่อคนทุกเชื้อชาติศาสนาให้เข้ามาอาศัยผืนแผ่นดินไทยอยู่
ทั้งชาวมุสลิม ชาวคริสเตียน และอื่น ๆ บุคคลเหล่านั้น
หลายท่านมีความจงรักภักดีต่อแผ่นดิน ทำราชการสนองพระเดชพระคุณจนได้รับพระมหากรุณาธิคุณเป็นถึงเจ้าพระยา
นั่นเป็นผลแห่งความกตัญญูกตเวทีต่อแผ่นดินไทย
ถึงยุคสมัยนี้
คนไทยในสามหรือสี่จังหวัดภาคใต้ มิใช่คนไทยต่างถิ่นหรือคนอพยพอีกต่อไป
หากแต่เป็นคนไทยในประเทศไทย เกิดในไทย มีสัญชาติไทยโดยกำเนิด
เพียงแต่ว่าดินแดนในภาคใต้เหล่านี้มีการนับถือศาสนาอิสลามกันมาเนิ่นนาน
คนไทยในจังหวัดภาคใต้เหล่านั้นจึงยอมรับนับถือศาสนาอิสลามไปตามบรรพบุรุษ
เหมือนคนไทยในจังหวัดอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นมาในสังคมพุทธ
ก็พลอยนับถือศาสนาพุทธไปตามบรรพบุรุษด้วย
คำถามจึงมีว่า
ผิดด้วยหรือที่คนไทยเหล่านั้นนับถือศาสนาอิสลาม ?
ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนน้อยในประเทศไทย ขอตอบให้ว่า
"ไม่ผิด เพราะไม่มีใครสามารถเลือกเกิดได้"
ทั้งเมื่อเกิดเป็นมุสลิมแล้ว ความซื่อสัตย์
ซื่อตรงต่อพระธรรมคำสอนในศาสนาอิสลามนั่นยิ่งเป็นสิ่งที่ควรสรรเสริญ
ในทางตรงกันข้าม ชาวพุทธเอง
ถ้าหากไม่ซื่อสัตย์ไม่มั่นคงต่อพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
ก็ถือได้ว่า "ไม่ใช่ชาวพุทธที่ดีเช่นกัน"
นั่นเป็นหลักการเบื้องต้นของการถือศาสนา
ซึ่งรัฐธรรมนูญไทยก็ได้ให้สิทธิไว้เช่นนี้
หากแต่ว่า
ปัญหาที่เกิดขึ้นในภาคใต้เวลานี้
กลับมีความสลับซับซ้อนมากกว่านั้น
คือว่า
มีคนผู้มีเจตนาอันไม่บริสุทธิ์นำเอาความเคร่งทางศาสนา
มาเป็นเครื่องมือในการแสวงหาวัตถุประสงค์ทางการเมืองอย่างผิดต่อวัตถุประสงค์ของศาสนา
โดยการมอมเมาเยาวชนให้มองเห็นคนต่างศาสนาเป็นคนละพวก
ทำให้เกิดความเกลียดชังระหว่างศาสนา แล้วก็ขยายผลให้เป็นเรื่องการเมือง
เพื่อจะนำไปสู่การแบ่งแยกดินแดนต่อไป
ขอย้ำว่า
ในพระพุทธศาสนาไม่มีคำสอนให้ฆ่าคนและสัตว์ อย่านับถึงสงครามเลย ดังนั้น
การทำสงครามไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม ย่อมมิใช่วัตถุประสงค์ของศาสนา
อย่าว่าแต่จะเอาความแตกต่างทางศาสนามาเป็นเลศอ้างเลย
เรายังไม่รู้เลยว่า
พระเณรที่ถูกสังหารในภาคใต้นั้นใครเป็นคนทำ ? แต่ตามรูปการณ์แล้ว
มันบ่งชี้ว่าเป็นการสร้างความชิงชังระหว่างชาวไทยพุธและชาวไทยมุสลิม
ซึ่งน่าหัวร่อ ก็ในเมื่อเราเป็นชาวไทยด้วยกัน ไฉนจึงแบ่งแยกว่า
"ฉันเป็นพุธ คุณเป็นมุมสลิม"
ด้วยเล่า
เราจะอยู่ร่วมแผ่นดินกันอย่างสันตินั้นไม่ได้เชียวหรือ
ถ้าหากว่า
เราเป็นชาวพุทธจริง ไม่ใช่พุทธที่นับถือศาสนาแต่เพียงชื่อ
เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เราย่อมมีสติ
ไม่ผลีผลามลามไหม้ไปว่ากล่าวใครต่อใครให้กระทบกระทั่งกัน
ควรปล่อยให้เป็นภาระของเจ้าหน้าที่รัฐในการสืบสวนนำผู้กระทำผิดมาลงโทษ
ในกรณีเดียวกัน ชาวมุสลิมที่แท้ก็คงเป็นฉันนั้น
คือไม่นิยมยกย่องวิธีการอันไร้ศีลธรรมเช่นนั้น
เพราะนั่นคงมิใช่วัตถุประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าที่ต้องการให้เกิดสันติสุขในโลก
กรณีที่พระภิกษุ-สามเณร
ถูกสังหารในจังหวัดภาคใต้ คงจะเป็นบทเรียนทดสอบอย่างสำคัญต่อชาวไทย
ทั้งที่เป็นพุทธและมุสลิม ว่าเราจะหลงกล หลงเหยื่อที่ใครบางคนล่อไว้หรือไม่
ถ้าไม่, ก็แสดงว่า ชาวไทยทั้งพุทธและมุสลิม
เป็นผู้เข้าถึงสาระธรรมคำสอนในศาสนาของตนอย่างจริงแท้
และเมื่อนั้นเหตุการณ์เหล่านี้จะเป็นบทเรียนและบททดสอบในสาระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าและพระอ้าหล่าที่ว่า
"ศาสนาทุกศาสนาสอนให้คนเป็นดี
และไม่ทรงปรารถนาสงคราม ไม่ว่าด้วยประการใด ๆ"
จะพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสได้ ก็ต้องใช้โอกาสนี้แล้ว
ชาวไทยพุทธนั้น
เราสูญเสียพระภิกษุ-สามเณร ซึ่งเป็นศาสนทายาทไปแล้วถึงสามรูป
เราจะไม่ยอมสูญเสียอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นพระเณรหรืออุบาสกอุบาสิกา
ในที่นี้ก็คือว่า
เราจะไม่อาศัยสถานการณ์นี้สร้างความแตกแยกให้บานปลายออกไปจนเกิดการสูญเสียมากขึ้น
ชาวไทยมุสลิมก็เช่นกัน
หากท่านยังมิทันสูญเสียใครไปในกรณีนี้ ก็ขอให้อยู่ในความไม่ประมาท
เราจะอยู่ร่วมกันในแผ่นดินไทยอย่างสันติ และจะไม่มีใครถูกฆ่าตายอีกต่อไป
ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นพุทธหรือมุสลิม เพราะว่าทุกคนก็เป็นคน มีคุณค่าเท่ากัน
เราควรเคารพและให้เกียรติกัน
และเมื่อนั้น
เรา-ท่าน ย่อมจะได้ชื่อว่า
เป็นผู้สถาปนาสันติภาพขึ้นเป็นแห่งแรกในโลกนี้ ในประวัติศาสตร์
ซึ่งยังไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน
เราจะเป็นผู้เข้าถึงแก่นแห่งพุทธและแก่นแห่งมุสลิมได้
ก็ต่อเมื่อผ่านพ้นวิกฤติการณ์นี้อย่างถูกต้องและสันติเท่านั้น
|