THE RACETRACK
MOVING ROCKS - SAILING STONES |
สิ่งใดที่คนไม่ได้สร้าง หรือสร้างไม่ได้ ดูยิ่งใหญ่กว่าสิ่งที่คนสร้าง หรือหาคำตอบไม่ได้ว่าใครสร้าง อาทิเช่น โลก สุริยจักรวาล ฯลฯ สิ่งนั้น ชาวฝรั่งจะยกให้เป็นอำนาจของ "GOD- พระเจ้า" ว่าเป็นผู้สร้าง !
ในปลายปี 2013 หรือ พ.ศ.2556 มีข่าวเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่น่าพิศวง คือนักวิทยาศาสตร์ ได้ตั้งคำถามและค้นหาคำตอบ เกี่ยวกับ "ก้อนหิน" จำนวนหนึ่ง ในหุบเขาแห่งหนึ่ง ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีร่องรอยของการเคลื่อนไหวเป็นทางยาว เหมือนรอยเลื้อยของงู ดูไปก็ไม่อยากจะเชื่อว่า ก้อนหินเหล่านั้นจะเดินได้ ข่าวรายงานว่า นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่า สาเหตุน่าจะมาจากการที่ "อากาศแถบนี้เย็นจนถึงจุดเยือกแข็ง" แล้วก็เกิด "เกล็ดน้ำแข็ง" จับคลุมทั่วทั้งก้อนของหินเหล่านั้น ไม่เว้นแม้แต่ "ด้านใต้" ครั้นหิมะละลาย และมีกระแสลมจากช่องเขาในทะเลทรายตีช่วย ก็เลยส่งผลให้ "มีการเคลื่อนไหว" ของก้อนหินเหล่านั้น และด้วยความหนัก จึงกดทับลงไปในพื้นดินซึ่งอ่อนนุ่มเป็นทางยาว ครั้นเมื่อถึงหน้าร้อน น้ำก็เหือดแห้ง ผืนดินก็หดตัว ร่องรอยการเคลื่อนของหินเหล่านั้นจึงปรากฏชัด ก้อนหินเหล่านั้นท่านเรียกว่า Moving Rocks (ก้อนหินเคลื่อนที่ได้) บ้าง Sailing Stones (ก้อนหินวิ่งได้) บ้าง ผู้เขียนอ่านข่าวไปก็สะดุดใจตรงที่ว่า ก้อนหินเหล่านั้นวิ่งอยู่ในบริเวณที่เรียกว่า The Racetrack Praya ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหุบเขาแห่งความตาย หรือ Death Valley ! "เอ๊ะ ! ถ้างั้นมันก็อยู่บ้านเรานี่" ผู้เขียนฉุกคิดในใจ เพราะถ้าพูดถึง Death Valley แล้ว ผู้เขียนก็กล้าพูดได้ว่า "รู้จักดี" และ "ดีมากๆ" คนหนึ่งทีเดียวเชียวล่ะ เพราะอยู่ที่นี่มานานจวนจะถึง 20 ปีแล้ว ว่างๆ ก็ไปบ่อน้ำร้อน ซึ่งอยู่ติดกับเขต Death Valley พอไปถึงบ่อน้ำร้อนแล้ว ถ้ามีเวลาเหลืออยู่ ก็ชอบจะตีรถเข้าไปในเขต Death Valley เพื่อทดสอบความร้อนของหุบเขาแห่งความตายแห่งนี้ ว่าจะมีดีกรีสูงจัดขนาดไหน แต่..เอ แต่เจ้าก้อนหินเหล่านั้นมันอยู่ไหน ทำไมเราไม่เคยเห็น ? เป็นคำถามที่ผุดขึ้นในใจของผู้เขียน เพราะหลับตาดูก็เชื่อมั่นว่า "ตัวเองรู้จักหุบเขามรณะแห่งนี้ดีพอ" เพราะเคยไปหลายสิบครั้ง แต่กลับไม่เคยพบเห็นเจ้าก้อนหินเดินได้เหล่านั้นเลย มันอยู่ที่ไหนกัน ? นั่นเอง จึงเป็นที่มาของการค้นหา "ก้อนหินดิ้นได้" รวมทั้งบันทึกการเดินทางในวันนี้
ผู้เขียนทำการค้นหาในอินเตอร์เน็ต ลงลึกไปในแผนที่ ซึ่งชี้ให้เห็นบริเวณที่เรียกว่า "The Racetrack Playa" ก็พบว่า "มันอยู่ไม่ไกล แค่ 200 ไมล์ จากลาสเวกัส" แต่..แต่ทำไมเราไม่เคยไป เพราะถ้าวัดระยะจากการคำนวณทางแผนที่ดูแล้ว "ขับรถไปไม่นานก็ถึง" แต่ถามว่า ทำไมเราไม่เคยไป นอกจากตัวเองจะไม่เคยไปแล้ว คนอื่นๆ ที่รู้จักและอยู่แถวนี้แทบทุกคนก็..ไม่เคยไป และไม่เคยพูดให้เราได้ยิน ถ้าไม่มีข่าวทางสื่อก็คงไม่รู้ว่า มันอยู่ใกล้บ้านเรานี่เอง นั่นแสดงว่า ผู้เขียน "สอบตก" เรื่องเดตวัลเล่ย์ อย่างแรง ! เมื่อเป็นเช่นนั้น การค้นหา "ก้อนหินดิ้นได้" ของผู้เขียน จึงเริ่มขึ้น ! หลังเสร็จงานกฐินเมื่อสองปีก่อน เช้าวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ.2557 หลังจากส่งพระอาคันตุกะกลับที่ท่ารถแล้ว เห็นว่าน่าจะมีเวลาว่างทั้งวัน ผู้เขียนจึงเอ่ยกับพระมหาถาวรและพระมหาประดิษฐ์ ว่าจะพาไปชมสิ่งมหัศจรรย์ของโลก คือ หินไหล หรือหินเดินได้ ที่เรียกว่า Moving Rocks อันโด่งดังนั่นแหละ เคยได้ยินหรือเปล่าเอ่ย ? พระท่านก็ถามว่า "อยู่ไหนหรือครับอาจารย์" ผู้เขียนก็ตอบว่า อยู่ใกล้บ้านเรานี่แหละ (เขาว่านะ) ตามทิศทางที่เขาว่ามานั้น ถ้าวัดระยะจากตัวเมืองลาสเวกัส วิ่งไปบนถนน Blue Daimond เข้าเมืองพะลัม (Pahrump) จนถึงบ่อน้ำร้อนเทโคป้า (Tecopa) รวมแล้วก็อยู่ที่ 80 ไมล์ หรือราว 110 ก.ม. ถ้าวิ่งต่อไปบนเส้นทางสาย 127 อีกไม่กี่สิบไมล์ ก็ถึง Death Valley และบรรดาหินที่เคลื่อนไหวได้ ก็อยู่ในหุบเขาแห่งนั้น ผู้เขียนสรุปง่ายๆ เพื่อชักจูงให้เพื่อนร่วมทางเห็นดีเห็นงามด้วย คำนวณเวลา ขณะนั้นประมาณ 9 โมงเช้า วิ่งไปสบายๆ เกือบๆ 11 โมง แวะฉันเพลที่เมืองพะลัม เสร็จแล้วก็ตีรถตัดเข้าเส้นทางลัด กะว่าประมาณบ่ายโมง เราจะอยู่ที่ปากทางเข้าหุบเขา The Racetrack Praya และถ้าวิ่งเข้าไปในหุบเขาจนถึงบริเวณที่ก้อนหินเหล่านั้นสถิตอยู่ ก็คาดว่า น่าจะไม่เกิน "บ่ายสอง" เราก็จะได้ชมสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ! คำนวณเวลาขากลับ คาดว่า อย่างช้าที่สุด เราน่าจะใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง ในการชมก้อนหินเหล่านั้น จากนั้นก็ตีรถออกมาทางเดิม ไม่เกิน 5 หรือ 6 โมงเย็น เราก็จะกลับมาถึงลาสเวกัส แบบว่าคืนนั้นสามารถส่งเฟซบุ๊คออนไลน์อวดเพื่อนฝูงได้เลยว่าไปไหนมา ! ดูจากแผนที่ของ Google แล้ว มันง่ายเหมือนลิงกินกล้วยเลยล่ะ ! อา..มันก็ทริปธรรมดาๆ เหมือนขาไปบ่อน้ำร้อนนั่นเองแหละ ตัดทางแยกออกไปนิดหน่อยก็เป็น "ป่าอินทผลัม" อร่อยระดับโลก ตีรถลึกเข้าไปอีกนิดก็เป็น Death Valley ยาวติดกันเป็นพืดไป สมัยนี้อะไรๆ ก็เจริญ ขอแค่มีคลื่นโทรศัพท์ รับรองว่าเห็นกันทั้งโลก ! เราวิ่งรถไปแบบสบายๆ ตามเส้นทางสาย 190 ถึง Visiter Center ตรง Furnace Creek แวะเข้าห้องน้ำนิดหนึ่ง เพื่อความมั่นใจจึงเข้าไปในร้านขายของ หยิบแผนที่ของเดตวัลเล่ย์มาเล่มหนึ่ง ก่อนจ่ายตังค์ก็ถามเจ้าหน้าที่ว่า เจ้า Sailing Stones เหล่านั้นมันอยู่ตรงไหน ใช้เวลานานเท่าไหร่ (จากจุดนี้ไป) จึงจะถึง และรถเก๋งธรรมดาๆ สามารถไปถึงหรือไม่ คนขายก็ชี้แผนที่และอธิบายอย่างง่ายๆ แถมรับรองว่ารถของเราสามารถเข้าไปได้แน่นอน ! ก็ถือว่า เมคชัวร์ แล้ว เรา-สามชีวิต จึงตีรถออกจาก Visiter Center วิ่งตรงขึ้นไปบนถนน 190 แล้วก็ไปเจอทางแยกเข้า มีป้ายบอกว่า "Scotty Castle" ก็เลยถามพระท่านว่า ถ้าไม่ไปทาง Scotty Castle จะสามารถเข้าไปถึง The Racetrack ได้ไหม ? พระท่านก็อ่านแผนที่ดู แล้วชี้บอกว่า "มีทางเข้าสองทางครับ คือวิ่งตรงไปบนสก็อตตี้ แคสเติ้ล ต่อไปอีก 27 ไมล์ ก็ถึงหินไหล" แต่..แต่ถ้าวิ่งลงไปบนเส้นนี้ (190) ก็จะมีทางเข้าอีกทางหนึ่ง สำหรับระยะทางนั้น ดูจากแผนที่แล้ว คงไม่ห่างกันเท่าไหร่ ! คำว่า "ไม่ห่างกันเท่าไหร่" นั้น แปลอีกความหมายหนึ่งว่า ใช้เวลาไม่ต่างกัน เมื่อไม่ต่างกัน ผู้เขียนจึงไม่หันรถกลับ แต่วิ่งอ้อมไปบนเส้นทาง 190 ต่อไป จนกระทั่งไปเจอปากทางเข้า และเห็นมีรถเก๋งคันหนึ่งดูขะมุกขะมอมคลุกฝุ่นเชียวจอดอยู่ เจ้าหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งก้มๆ เงยๆ ส่องดูใต้ท้องรถ เหมือนค้นหาอะไรซักอย่าง จึงเข้าไปถามว่า "นี่คือทางเข้า The Racetrack ใช่หรือเปล่า" หนุ่มเจ้าของรถ จึงเงยหน้ามาบอกเราว่า "Yes" แปลว่าใช่ เราจึงถามอีกว่า เส้นทางเป็นไง โอเคไหม เจ้าหนุ่มคนซื่อก็ตอบว่า OK ! อา..ถ้าเขาบอกว่าโอเค เราก็โอเค ผู้เขียนจึงตอบว่า I am going inside to see the rocks now ! หนุ่มเจ้าของรถคันสวยก็อวยพรว่า "Good Luck" เอ..มันพูดแปลกๆ โชคดีอะไร ในเมื่อมันเป็นเรื่องง่ายๆ ! ผู้เขียนสะกิดหู แต่ตอนนั้นยังมิได้สนใจในน้ำคำของเจ้าหนุ่มคนนั้นเท่าไหร่ สนใจแต่จะไปให้ถึงก้อนหินเหล่านั้นโดยเร็วเท่านั้น แบบว่าเวลานั้นอะไรก็ยั้งเราไม่อยู่แล้ว ! รถของเราเริ่มวิ่งเข้าสู่เส้นทางที่เรียกว่า Offroad มีผิวจราจรขรุขระ แรกๆ นั้นก็ยังเป็นหินก้อนเล็กๆ เหมือนทางลูกรังบ้านเรา แต่พ้นเขาลูกแรกๆ เข้าไปได้ไม่นาน รถของเราก็ต้องปีนเขาสูงๆ ต่ำๆ และก้อนหินลูกโตๆ เท่ากับกำมือก็ทยอยกันโผล่ออกมาจากผิวถนนซึ่งก็ลุ่มๆ ดอนๆ ไปตลอดทาง จนเราต้องลดความเร็วลงเหลือประมาณ 5-10 ไมล์ต่อชั่วโมงเท่านั้น วิ่งไปได้สักพักใหญ่ ก็พบว่าเป็นทางแยก แต่ไม่มีป้ายบอกทาง รถของเราจึงยังคงวิ่งผ่านไปอีกไกล พระท่านสงสัยจึงทักว่า "เอ..เราน่าจะมาผิดทางเสียแล้วล่ะครับ เพราะถ้าดูตามแผนที่แล้ว เราควรจะไปตามทางเส้นนี้" ผู้เขียนจึงหันรถกลับมาทางเดิมอีก จนกระทั่งเจอทางแยกที่ว่านั้น จึงตัดรถเข้าไปอีกที นี่เริ่มมีปัญหาแล้ว เพราะทางแยกแต่ละแห่งนั้นไม่มีป้ายหรือเครื่องหมายอะไรไว้เลย แถมทางแต่ละแยกก็ไม่ต่างกัน คือแยกไม่ออกว่าทางเส้นไหนเป็นทางเอกหรือทางโท เป็นสายหลักหรือสายรอง เพราะเป็นเส้นทางขรุขระเหมือนกันทั้งหมด วิ่งเข้าไปนานพอดู ก็เจอทางแยกไปด้านซ้ายมืออีกเส้นหนึ่ง จึงจอดรถถามพระที่มาด้วยกันว่า "แยกตรงนี้ไปไหน" พระท่านก็กางแผนที่แล้วชี้ว่า ถ้าเราวิ่งจากตรงนี้มาถึงตรงนี้ ตรงนี้ก็น่าจะเป็นทางเส้นนี้ และถ้าเข้าทางเส้นนี้ "หินเหล่านั้นก็คงจะอยู่ไม่ไกล คืออยู่เลยเขาตรงนู๊น" ว่าพลางก็ชี้นิ้วนำทาง นั่นหมายถึงว่า เรามาใกล้จุดหมายปลายทางแล้ว เมื่อทบทวนกันมั่นเหมาะแล้ว ผู้เขียนจึงหมุนพวงมาลัยเลี้ยวซ้ายออกไปจากทางสายหลักที่วิ่งเข้ามาเกือบชั่วโมงนั้นไปทันที ทีนี้ว่า เมื่อเริ่มเลี้ยวไปบนทางแยกที่ว่านั้น ก็พบว่า ทางเส้นนั้นแทบมิได้ใช้มานาน เป็นเพียงทางเดินรถเก่าๆ ตรงกลางทางนั้นมีหญ้าขึ้นสูงร่วมๆ 2 ศอก เป็นหญ้าทึบและแข็ง ครูดสีเข้ากับท้องรถของเราดังสากๆ ไปตลอดทาง แต่คิดว่าแค่หญ้าคงไม่เป็นไร เราจึงวิ่งรถต่อไปอีก พอไปได้อีกราวหนึ่ง ก.ม. ก็พบว่า เป็นทางชันลงไป เวลาหน้ารถขณะนั้นอยู่ที่ "บ่ายสาม" แล้ว และเมื่อไม่มีใครทักท้วง ผู้เขียนจึงขับรถลงจากจุดสูงด้านหลังลงไปยังจุดต่ำเบื้องล่างทันที เพราะคาดว่าก้อนหินเหล่านั้นรออยู่ที่เบื้องล่าง ครั้นพอลงไปแล้ว ก็พบว่า เส้นทางนั้นเลือนหายไป ไม่มีรอยรถวิ่งเหมือนเส้นทางปรกติ จึงหันมาถามพระในรถว่า "สงสัยเรามาผิดทางแล้ว" พระท่านก็บอกว่า "นั่นนะสิ ดูเหมือนมิใช่ทางเช่นกัน" นั่นเองผู้เขียนจึงตัดสินใจ "หันพวงมาลัยกลับ" ทีนี้มีปัญหาว่า ขาลงมานั้น ดูเหมือนง่าย รถวิ่งสไลด์ "ลงไหล่เขา" ไปอย่างสบายๆ แต่พอจะขับกลับบ้าง ทางเส้นเดิมกลับกลายเป็น "ทางชัน" พอวิ่งขึ้นเนินมาได้ครึ่งหนึ่ง รถก็ติดไปไม่ได้ ล้อรถหมุนวนอยู่ใน "ทราย" ซึ่งเมื่อกี้ยังดูแน่น แต่เวลานี้ พื้นทรายกลับอ่อนยุบลง ส่งผลให้ล้อรถจมลงลึกลงไปเหมือนในโคลน ผู้เขียนเปิดประตูลงมาดูสภาพรถและถนน พบว่า ไหล่เขาตรงนั้นมีความชันพอประมาณ ถ้าเป็นรถกระบะสูงๆ ก็คงขึ้นไม่ยาก แต่รถของเราเป็นรถเก๋งเตี้ยแทบติดดิน เมื่อวิ่งบนทางธรรมชาติอันเป็นทรายอ่อนจึงจมและติดแหงกอยู่อย่างที่เห็น แต่นั้นยังมิใช่ปัญหาใหญ่ ปัญหาอยู่ที่ว่า ถ้าเป็นเส้นทางราบ ก็คงพอแก้ไขได้ แต่นี่เป็นทางชันขึ้นไปราวๆ 25 องศา เอารถเก๋งวิ่งขึ้นดอยบนพื้นทรายนุ่มๆ มันจะขึ้นได้อย่างไร ? มีวิธีเดียวคือ ถอยหลังลงไป แล้วเร่งเครื่องขึ้นไปใหม่ เพื่อให้มีแรงส่งไปจนพ้นบริเวณนั้น เพราะถ้าพ้นบริเวณนั้นไป ก็เชื่อว่า รถคงวิ่งต่อไปได้เป็นปกติ ! แต่การขับรถแบบที่ว่ามานั้น ถ้าผ่านก็คงผ่านตั้งแต่รอบแรกแล้ว แต่ที่ไม่ผ่านก็เพราะขับเหมือนเดิมนั่นแหละ ผู้เขียนจึงเปลี่ยนเป็นการ "หมุนพวงมาลัยซ้าย-ขวา สลับกันไป" แบบว่าซิกแซก ซึ่งเคยเรียนรู้มากจากการ "เดินขึ้นดอย" โดยเฉพาะ "ดอยสุเทพ" และ "ดอยสะเก็ด" ซึ่งพระเณรรุ่นพี่เขาสอนว่า เดินขึ้นเขาอย่าเดินตรง ให้เดินซิกแซกขึ้นไป เพื่อให้แข้งได้เดินเป็นทางยาว ผ่อนคลายและลดความเหนื่อย ปรากฏว่าได้ผล เมื่อพ้นช่วงแรกที่รถติดไปแล้ว พระท่านก็เชียร์กันใหญ่ รถก็วิ่งขึ้นไปจนถึงเนินเขาข้างบน "เราพ้นแล้ว" ดูสีหน้าทุกคนโล่งอกโล่งใจ ถึงเหนื่อยก็ยังยิ้มได้ ! เมื่อพระท่านขึ้นมาบนรถหมดแล้ว ผู้เขียนจึงเร่งความเร็วต่อไปอีก แต่..แต่ไปอีกไม่กี่สิบเมตร ก็ต้องเจอเข้ากับ "เนินเขา" อีกแห่งหนึ่ง ซึ่งมีความสูงกว่าเดิม คราวนี้อาการกลับหนักกว่าเดิม เพราะรถไปติดอยู่ตรงกลางระหว่างซอกหิน คือ มีหินก้อนเขื่องๆ ขนาดเท่ากับโต๊ะอาหาร ขนาบสองข้างทาง เป็นช่องพอรถวิ่งได้คันเดียวเท่านั้น นั่นหมายถึงว่า ถ้ารถวิ่งเฉออกไปจากกลางถนนเพียงแค่ศอกกว่าๆ ก็ต้องชนกับหินทั้งสองก้อนเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นด้านซ้ายหรือขวาก็ตาม แบบว่าจะพลาดไม่ได้เลยเป็นอันขาด ไม่งั้นอาการจะหนักกว่าที่เป็นอยู่
พระท่านจึงเปิดประตูลงไปดู โดยช่วยกันเข็นรถขึ้นจากเนินเขา (แต่ผู้เขียนก็เตือนมิให้ท่านดันอยู่หลังรถ ให้อยู่ข้างๆ เพราะถ้าเกิดรถเดินหน้าไม่ไหวแล้วถอยหลังลงไป ก็อาจจะทับพระท่านได้) พอพระท่านส่งสัญญาณ ผู้เขียนก็เหยียบคันเร่ง ส่งผลให้ล้อรถหมุนวนอยู่ในหลุมทราย และเมื่อล้อหมุนนานเข้าก็เกิดปฏิกิริยา "ยางไหม้" เพราะทรายนั้นเป็นทรายแห้ง เมื่อถูกล้อรถหมุนอย่างแรงหลายสิบรอบก็จึงไหม้ ทรายถูกยางรถปั่นก็ฟุ้งกระเด็นกลบไปทุกทิศทาง กลิ่นยางไหม้เหม็นฟุ้งเข้ามาถึงในรถ จึงต้องหยุดความพยายามเอาไว้ก่อน สังเกตว่าพระท่านทั้งเหนื่อยหอบและถูกทรายฟุ้งซัดใส่จนเนื้อตัวมอมแมมไปหมด หมดหล่อกันเลยเรา คราวนี้ผู้เขียนต้องดับเครื่อง และลงไปดูพื้นที่ให้ชัดเจนอีกครั้ง เพราะเราเป็นคนควงพวงมาลัย ย่อมจะรู้ทิศทางดีกว่าผู้โดยสาร ดูสภาพถนนและบริเวณโดยรอบแล้ว แทบหมดหวังว่ารถจะผ่านไปได้ แต่ก็ไม่มีอะไรจะเสียถ้าไม่พยายามก็คงต้องนอนอยู่กลางทะเลทรายแห่งนี้ ไม่มีทางได้กลับไปแน่นอน เราเจออุปสรรคหนักกว่าเดิม นั่นคือ นอกจากถนนจะชันแล้วยังอ่อนนุ่ม แถมด้วยหินก้อนใหญ่ยังขนาบสองข้างทางไว้ไม่ให้ออกนอกลู่ไปอีก เบื้องแรกจึงต้อง "ถอยรถ" ลงไปให้พ้นจุดที่ติด เพื่อจะเคลียร์พื้นที่ให้มั่นใจที่สุด เพราะตะวันใกล้ตกดินเต็มแก่แล้ว ลมหนาวบนเนินเขากรรโชกแรงมาก แบบว่าหนาวสะท้านเลยทีเดียว นึกไม่ถึงว่าในนรกจะหนาวโหดขนาดนี้ นี่แหละคือความโหดร้ายของทะเลทราย เมื่อถอยรถพ้นมาแล้ว ท่านถาวรกับท่านประดิษฐ์ช่วยกันหาก้อนหินขนาดเขื่องๆ มาอัดพื้นทรายให้แน่น เพื่อให้ล้อรถไม่จม เมื่อพระท่านเกลี่ยพื้นจนมั่นใจว่าไปได้แล้ว ผู้เขียนก็สั่งพระให้ "ถอยออกไปให้ห่างถนน" เพราะเกรงว่าจะถูกรถแฉลบไปถูกเข้า ก็จะเจ็บป่วยโดยไม่ตั้งใจ จากนั้นจึงทำการ "ถอยรถลงไปให้ไกลสุด" แล้วเร่งความเร็วในรูปแบบ "สะเทิ้นบกสะเทิ้นน้ำ" ลดเกียร์ต่ำ (Low) เหยียบคันเร่ง-ถอนคันเร่ง สลับกันไป เพื่อให้รถกึ่งวิ่งกึ่งกระโดดเหมือนกบ เพราะขืนวิ่งเหมือนเดิมคงจมทรายอีกแน่ และแล้วเหมือนโชคช่วย ปรากฏว่าได้ผล รถยนต์สามารถ "กระโดด" ผ่านจุดอันตรายนั้นขึ้นไปจนถึงเนินเขา พอพ้นเขตอันตรายแล้ว ผู้เขียนจึงจอดรถไว้ แล้วลงไปหาพระที่กำลังเดินขึ้นมาจากเบื้องล่าง ซึ่งแต่ละรูปแต่ละองค์นั้น ดูเหนื่อยล้าอย่างสาหัส เพราะเข็นรถกันนานเกือบชั่วโมง น้ำดื่มในรถมีเท่าไหร่ใช้เกลี้ยง ! ในช่วงที่กำลังเข็นรถขึ้นเขานั้น มีความวิตกกังวลหลายอย่างผุดขึ้น นั่นคือว่า ทางที่เราเข้ามานี้ เป็นทางแยก และไม่มีผู้ใช้สอยมานานแล้ว แบบว่าไม่มีใครเข้ามา แต่เราหลงเข้ามา อีกอย่างก็ไม่มีป้ายอะไรบอกไว้ด้วย เราเข้าใจเองว่าน่าจะไปถึงหินเดินได้เหล่านั้น ถ้าหากว่ารถของเราขึ้นจากเขาเบื้องล่างมาไม่ได้ แล้วจะทำอย่างไร คงมิต้องทิ้งรถไว้ตรงนี้ดอกหรือ ? ยิ่งดูสภาพเส้นทางรวมทั้งความลาดชันแล้ว แทบมองไม่ออกว่า รถเก๋งผู้ดีที่เก่งแต่วิ่งบนถนนเรียบในตัวเมืองนั้น จะปีนเขาสูงขึ้นไปได้อย่างไร ? การเข็นรถขึ้นเขา ท่ามกลางฝุ่นทรายที่ถูกล้อรถปัดปลิวใส่จนเนื้อตัวมอมแมม แถมด้วยลมกรรโชกแรงที่เนินเขา ทั้งหนาวทั้งร้อน เสื้อผ้าก็ไม่ได้เตรียมไป เพราะคิดไม่ถึงว่าจะมาเจอกับสภาพอันเลวร้ายที่เห็น เป็นสิ่งที่เรียกว่า "ทั้งแจกทั้งแถม" จากแดนนรก ! ผู้เขียนเห็นสภาพของพระที่ท่านช่วยเข็นรถแล้วก็สงสาร แต่สถานการณ์ตอนนั้นจะอ่อนแอไม่ได้ ถึงแทบจะไร้ความหวังว่าจะรอดมาได้ แต่ในเวลาวิกฤต ในฐานะผู้นำ ต้องสร้างความเชื่อมั่น ว่าเราจะสามารถ "ผ่าน" ด่านอันตรายไปได้ สิ่งที่รำพึงทั้งหมดจึงอยู่ภายในใจเท่านั้น ! เมื่อรถผ่านจุดนั้นมาได้ เราถึงกับนั่งรำพึงรำพันกันในรถ แต่..แต่มันก็เป็นไปได้ไม่นาน นึกว่าเราพ้นหล่มแล้ว ที่ไหนได้ กลับเจอโจทย์ใหญ่กว่าเดิม นั่นก็คือว่า เมื่อรถของเราก็วิ่งมาถึง "ทางเส้นเดิม" ที่วิ่งเข้ามาจากปากทางใหญ่ ตรงนี้เป็นสามแยก มี 2 ทิศทางให้เลือก คือ 1.ถ้าเลี้ยวขวากลับทางเดิม อีกประมาณชั่วโมงครึ่ง เราก็จะกลับไปถึง "ทางสาย 190" ซึ่งเป็นทางลาดยางอย่างดี ทางเส้นนี้เราผ่านมาแล้ว มั่นใจว่าวิ่งไปได้ ถึงอันตรายก็พอประคองตัวให้ผ่าน 2. ถ้าเลี้ยวซ้าย ก็จะวิ่งไปในหุบเขาลึก ผ่านไปทางก้อนหินเหล่านั้น เส้นทางนี้ยังไม่เคยไป ถ้าเลือกทางนี้ก็หมายถึง..วัดดวง ! พระท่านก็ชี้ว่า "ถ้าจะกลับทางเดิมก็จะช้า แต่ถ้าเดินหน้าต่อไป ก็จะถึงไวกว่า" ตรงนี้ท่านอ่านแผนที่ให้ฟัง ผู้เขียนก็ถามความเห็นหมดทั้งรถ ก็ตกลงว่า "เดินหน้าต่อไป ไม่กลับหลัง" เมื่อประชาธิปไตยเป็นใหญ่ เราก็ต้องเคารพเสียงส่วนใหญ่ จึงจะปลอดภัยที่สุด เวลาขณะนั้น (จำได้จนตาย) ใกล้ๆ 6 โมงเย็นแล้ว ตะวันหน้าหนาวนั้นตกเร็ว ลับเหลี่ยมเขาเหมือนจะบอกพวกเราว่า "เราแยกกันตรงนี้นะ" ประมาณนั้น รถเก๋งคันงามเริ่มวิ่งเข้าสู่เส้นทางที่เรียกว่า Offroad อย่างเต็มตัว ซึ่งตั้งแต่เกิดมา ผู้เขียนก็ยังไม่เคยเจอสภาพอะไรที่เรียกว่า "นรก" ดังที่ปรากฏต่อหน้าในเวลาหลังจากนั้น รถวิ่งเข้าหุบเขาไปเรื่อยๆ สภาพที่เห็นต่อหน้า เราพบว่า เส้นทางขรุขระมากขึ้น สูงๆ ต่ำๆ ลดเลี้ยวเคี้ยวโค้ง ผิวจราจรเป็นลอนๆ เหมือนคลื่น หินก้อนเท่าบาตรกระจายเต็มถนน ซึ่งบางแห่งก็ลึกเพราะถูกน้ำป่ากัดเซาะ ต้องควงพวงมาลัยหลบซ้ายป่ายขวาไปตลอด วิ่งเร็วหน่อย แค่ 15-20 รถก็จะสั่นไปทั้งคัน พวงร้อยห้อยหน้ารถก็โยกโคลงเหวี่ยงสะบัด ต้องให้พระท่านจับเอาไว้ นานไปก็เมื่อยมือ จึงให้ปลดออกเสีย จนกว่าจะพ้นทางสายนี้ไป ก้อนหินโผล่ออกมากลางถนนมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ถึงจะไม่ทั้งหมด แต่ก็มีเป็นระยะๆ บางก้อนก็พอหลบได้ บางก้อนก็หลบไม่ได้ เพราะรถเตี้ยมาก ต้องจำใจ "ขับผ่าน" แล้วเสียงดัง "ครืดๆ ตุ๊บ" จากใต้ท้องรถ ก็ดังมากระทบหูของพวกเรา จนหวั่นใจว่า "ถังน้ำมัน" จะเป็นอันตรายไปหรือเปล่า เพราะถ้าถังน้ำมันโดนก้อนหินชนจนรั่วซึม ก็จะอันตรายที่สุด ถ้ามีสะเก็ดไฟจากหินและเหล็กขูดสีกัน ก็อาจจะเผารถให้ไหม้ได้ นั่นหมายถึงเราอาจจะถูกย่างสดในรถคันนี้ (ถ้าหนีไม่ทัน) หรืออย่างเลว ถ้าถังน้ำมันแตก น้ำมันก็จะรั่วออกหมด รถก็วิ่งไปไม่ได้ เพราะแถวนี้ไม่มีปั๊มน้ำมัน ! วิ่งไปสักครู่ใหญ่ มองไปทางกระจกหลัง ก็พบว่า มีแผ่นอะไรใหญ่ๆ หลุดไปกองอยู่กลางทาง จึงจอดรถลงไปดู ก็พบว่า เป็นแผงยางขนาดใหญ่ที่ใช้คลุมใต้ท้องตรงบริเวณเครื่องยนต์ ถูกครูดหลุดไปกองอยู่กลางทางดังกล่าว จึงจอดรถให้พระท่านลงไปเก็บใส่ในที่เก็บของด้านหลัง แล้วเดินทางกันต่อไป โดยไม่รู้อะไรจะหลุดอีก ต้องลุ้นอย่างระทึกใจกันไปตลอดทาง จะกลับทางเดิมก็ไกล จะไปข้างหน้าก็ไม่รู้ว่าเส้นทางจะสิ้นสุดลงตรงไหน เพราะไม่มีป้ายบอกทางอะไรเลย วิ่งไปได้สักพัก เจอหินอีกหลายก้อน ส่งผลให้เกิดเสียงสั่นดัง "กังๆๆ" อยู่ใต้ท้องรถ ผู้เขียนตัดสินใจ "จอดรถ" ลงไปดูใต้ท้องรถ ก็พบว่า ตัวยึดท่อไอเสียหลุดไปช่วงหนึ่ง จึงไม่ถึงกับหลุดออกนอกตัวรถ แต่เมื่อรถสั่นมากๆ ท่อก็เด้งขึ้นลงกระทบกับพื้นรถเป็นเสียง "กังๆๆ" ไปตลอดทาง นึกสภาพดูแล้ว รถวิ่งไปบนทางอันขรุขระและมืดมิด มีเพียงแสงไฟหน้ารถส่องเป็นช่องทางระหว่างหุบเขา เห็นเงาต้นตะบองเพชรทะมึนอยู่บนยอดเขา เหมือนเงาปีศาจยืนตระหง่านอยู่สองข้างทางไปตลอด บางช่วงลมแรง พัดเอากอหญ้ากลางทะเลทรายซึ่งแห้งและถูกลมตีถอนรากออกวิ่งเป็นม้วนกลมๆ ตัดผ่านหน้ารถให้ตกใจเข้าไปอีก ใต้ท้องรถก็ส่งเสียง "กังๆๆ" ให้ได้ยินเป็นระยะๆ เหมือนเรานอนฟังอะไรใต้ถุนกุฏิอย่างนั้นแหละ และสภาพของรถที่ทั้ง "ตกเหว" ทั้งถูกหินขูดขีดจนแผงใต้ท้องรถหลุด และอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย สามชีวิตบนรถคันนั้นจึงเหมือน "ถูกผีหลอก" กลางหุบเขาแห่งความตาย ลากลู่ถูกังไปกันแบบหวาดผวา พูดได้ว่า "นรกชัดๆ" ! ดังที่บอกว่า เส้นทาง Offroad ซึ่งบรรดานักผจญภัยเขานิยมใช้กัน โดยเอารถ "ตีนตะขาบ-ยกล้อสูง" เข้าไปวิ่ง เป็นเส้นทางมหาวิบาก แต่เรากลับเอารถเก๋งเตี้ยๆ ไปวิ่ง ตลอดเส้นทางนั้นก็เป็นหลุมเป็นบ่อ มีหินก้อนโตๆ โผล่ขึ้นมากลางถนนเป็นระยะๆ จะขับกลางถนนก็ต้องชนกับก้อนหิน ดังนั้นจึงต้อง "ขับชิดขวา" บ้าง "ชิดซ้าย" บ้าง เพื่อเลี่ยงหลบหินและทางอันขรุขระเหล่านั้นไปตลอดทาง แต่บางช่วงก็หวาดเสียว เพราะเป็นไหล่เขาชัน หากพลาดพลั้งยั้งพวงมาลัยไม่อยู่ ก็อาจจะพลัดตกลงไปนอนที่ "ก้นเขา" ก็รับรองว่าไม่มีทางจะรอดกลับมาได้ ไม่ว่ารถหรือคน ! ที่น่าประหลาดก็คือว่า ตลอดเวลาที่วิ่งอยู่ในหุบเขาลึกราวๆ 6-7 ชั่วโมงนั้น ไม่มีรถยนต์ตามหลังหรือสวนทางผ่านไปเลยแม้แต่คันเดียว เหมือนกับว่า โลกทั้งใบมีเราเพียงคันเดียว เดินเดี่ยวอยู่กลางหุบเขาแห่งความตาย The Death Valley ! น้ำมันในถังก็ลดระดับลงเรื่อยๆ ถ้ารถตายด้วยสาเหตุใดก็ตาม เราก็คงเหมือนตายไปด้วย ก็โน่นแหละ คงต้องนอนกันในรถ เสื้อผ้าอาหารก็ไม่ได้เอามา เพราะไม่ได้วางแผนกันว่าจะมา มากันแบบสุ่มสี่สุ่มห้า นึกไปก็สงสารรถ จะว่าวิ่งก็คงไม่เชิง มันเหมือนคลานอย่างทุลักทุเลเสียมากกว่า และในทะเลทรายนั้น ที่น่ากลัวก็คือ งูหางกระดิ่ง ซึ่งไม่รู้ว่าจะโผล่มาจากไหน ในเมื่อเป็นถิ่นของมัน ขอโทษเถิด แม้แต่จะจอดรถลงไปปัสสาวะข้างทางยังไม่กล้า ! จับเวลา เราเริ่มคลานเข้าสู่ Death Valley ตั้งแต่ 3 โมงเย็น ไปจนถึง 4 ทุ่ม ในรถมีทั้งไอโฟน ทั้งซัมซุง ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องมือสื่อสารทันสมัยที่สุดในโลก แต่เชื่อไหมว่า เข้าสู่เส้นทางนั้นได้ไม่กี่นาที่ก็ "ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์" แล้ว ทั้งไอโฟน ทั้งซัมซุง กลายสภาพเป็นสากกระเบือดีๆ นี่เอง เอาไว้ทำอะไรก็ไม่ได้ ต้องหันไปอ่านแผนที่ซึ่งซื้อมาจากร้านค้าเมื่อเช้าที่ผ่านมา และก็เพราะดูจากแผนที่ จึงมีสภาพเช่นนี้
เราออกจากทางแยกแรกมาร่วมๆ 3 ชั่วโมง เกือบๆ จะ 4 ทุ่มแล้ว จึงมาถึงสามแยกอีกแห่งหนึ่ง (ภายหลังทราบว่า คือ Teakettle Junction) ซึ่งตามแผนที่นั้นระบุว่า "ถ้าเลี้ยวซ้ายไปอีก 8 ไมล์ ก็จะถึง The Racetrack Praya ตรงบริเวณที่เรียกว่า Grand View แต่ถ้าเลี้ยวขวาไปอีก 20 ไมล์ ก็จะถึงหลุมอุกกาบาตที่ชื่อ Ubehebe Crater และตรงนั้นถนนจะเริ่มต้นลาดยางอย่างดี ! มีคำถามอีกว่า "เราจะเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา" พระท่านก็บอกว่า น่าจะเลี้ยวซ้าย เพราะไปอีก 8 ไมล์ ก็จะพบอีกเส้นทางหนึ่ง จึงตกลงว่า "เลี้ยวซ้าย" วิ่งไปได้ระยะทาง 8-9 ไมล์ ก็พบว่า "ไปไม่ได้" เส้นทางชันขึ้นเขา รถของเราไปไม่ได้แน่ แต่ว่าโชคดี มีคนเอารถมาจอดตั้งแคมป์อยู่ด้านซ้ายมือจำนวน 3-4 คัน ดูท่าว่ากำลังทานอาหารกัน ผู้เขียนตัดสินใจ "จอดรถ" ลงไปถามว่า ถ้าจะกลับออกจาก Death Valley ไปทางลาสเวกัสนั้น ไปทางไหน นักผจญภัยธรรมชาติเหล่านั้นก็ใจดี นำเอาแผนที่มากาง ฉายไฟให้ดู พร้อมกับอธิบายให้ฟัง ท่านบอกว่า "ยูต้องหันหลังกลับ และไม่ต้องเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวาใดๆ ทั้งสิ้น ให้จับทางเส้นนี้ไปเรื่อยๆ ราวๆ 2 ชั่วโมง ก็จะถึงทางเรียบไปลาสเวกัส" ผู้เขียนถามย้ำว่า "ตรงนี้ที่ไหน" เขาก็ตอบว่า "นี่ไงคือ The Racetrack" แสดงว่า เราเดินทางมาถึงหินเดินได้แล้ว แต่ขณะนั้นเกือบ 4 ทุ่มกว่าแล้ว มืดมิดมองไม่เห็นเพราะเดือนแรม ถึงเห็นก็คงไม่มีใครมีกะใจจะดูแล้ว คิดถึงวัด อยากออกจากนรกแห่งนี้ไปใจจะขาด เราจึงกล่าวขอบคุณและอำลานักผจญภัยเหล่านั้นออกมา เขายังมีน้ำใจให้น้ำดื่มมาคนละขวดด้วย อีก 2 ชั่วโมงกว่าๆ เราจึงมาถึงจุดที่เขาบอก คือสิ้นสุดทาง Offroad วิ่งขึ้นทางลาดยางได้ไม่กี่ร้อยเมตร ก็พบกับกลุ่มรถอีกหลายคันจอดเรียงรายอยู่ จึงจอดรถเข้าไปทักทาย พวกพากันมามุงดูรถของเรา เห็นสภาพคลุกฝุ่นมอมแมมจึงถามว่า "พวกยูไปพลาย่ามาหรือ" เราก็ตอบว่า "เยส" แต่เจออะไรบ้างก็ไม่ได้บอก แค่พบเพื่อนแปลกหน้ากลางทะเลทรายในเวลาวิกาลก็อบอุ่นใจแล้ว เราวิ่งออกมาทางสาย 190 ตัดเข้าเส้น 374 มาที่เมือง Beatty ดูเกน้ำมันที่หน้าปัดเหลือวิ่งได้อีกเพียง 30 ไมล์ ก็หมดถังแล้ว แต่เมื่อถึงเมืองเบตตี้แล้ว ก็เหมือนขึ้นสวรรค์ เพราะที่นั่นเป็นเมืองใหญ่ ปากทางเข้า Death Valley ผู้เขียนอัดน้ำมันจนเต็มถัง พักผ่อนสักครู่ใหญ่ หายใจให้เต็มปอด ก่อนจะนำรถวิ่งขึ้นสู่ไฮเวย์สาย 95 ตัดเข้าเมืองลาสเวกัสในทิศใต้ เกือบๆ ตีสาม จึงถึงวัดไทยลาสเวกัสโดยปลอดภัย แต่ก็..แสนสาหัส
คืนนั้นฝันว่า ตกนรก เป็นฝันร้ายที่ยังจำติดตามาจนทุกวันนี้ ทุกวันนี้ก็ยังไม่อยากเชื่อ ว่าเราไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร ?
ตกรุ่งเช้า เอารถไปตรวจสภาพที่ศูนย์ เขาให้จอดไว้ 2 วัน รวมค่าอะไหล่และค่าช่าง หมดตังค์ไป 3 พันกว่าเหรียญ คิดเป็นเงินไทยก็เกินแสน มันเจ็บปวดเกินบรรยาย แต่รอดตายมาได้ก็บุญโขแล้ว ในโลกนี้อะไรจะสำคัญเท่ากับ..ชีวิต ! นี่คือประสบการณ์จริงที่เจอมากับตัว และมีสักขีพยานอยู่ด้วยอีก 2 ท่าน เราเหมือนผ่านสงครามมาด้วยกัน ไม่มีใครโทษใครว่าพาไปผิดทิศผิดทาง เราต่างคิดว่า เป็นชะตากรรมของพวกเรา ที่ผ่านมาได้ก็เพราะบุญยังช่วย ไม่ตายเสียกลางทางใน Death Valley ! แต่ในอีกมุมหนึ่ง มันคือประสบการณ์ที่หาซื้อไม่ได้ในโลกใบนี้ โชคดีกับโชคร้าย บางทีมันก็อยู่ห่างกันแค่..คนละด้าน ของเหรียญ ! บทสรุปในใจที่ได้ก็คือว่า ฉายา "Death Valley : หุบเขาแห่งความตาย" นั้น มิใช่ได้มาโดยง่าย หากแต่มีความตายของผู้คนมากมายเป็นสิ่งทดสอบ ผู้เขียนและคณะก็เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดในหุบเขาแห่งนี้แล้ว ครั้งหนึ่งในชีวิต !
นั่นเป็นอะไรที่เรียกว่า "ค้างใจ" ในใจของผู้เขียนมาเป็นเดือนเป็นปี ทั่วสหรัฐอเมริกา (ยกเว้นฮาวาย) ผู้เขียนขับรถไปมาหมดแล้ว ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่แอลเอถึงฟลอริด้า จากฟลอริด้าถึงรัฐเมน ตั้งแต่นิวยอร์คถึงซานฟราน ขับจากลาสเวกัส ผ่านออเรกอน เข้าซีแอ๊ตเติ้ล ผ่านด่านพรมแดนแคนาดา แล้ววกเอารถลงเรือข้ามทะเลมาทางซีแอ๊ตเติ้ลอีกรอบ ก็ไปมาหมดแล้ว แต่มันคาใจที่ว่า "ไปหลงอยู่ในหุบเขาแห่งความตาย อันอยู่ใกล้แค่เอื้อมนี้ได้อย่างไร" แน่นอนว่า งานนี้ต้องมีการแก้มือ ไม่งั้นไม่ยอม นรกก็นรกเถอะ ! จากวันนั้น (24 ต.ค.57) มาจนถึงวันนี้ (7 พ.ย.59) จะว่าเป็นเวลาเรียนหนักเพื่อสอบซ่อมของผู้เขียนก็ว่าได้ ความจริงแล้วมันเป็นเรื่องของ "เหตุปัจจัย" เสียมากกว่า เพราะว่า Death Valley นั้น อากาศจะหนาวมากในหน้าหนาว และจะ "ร้อนอย่างวิปริต" ในหน้าแล้ง แบบว่าต้องบวก 15-20 จากอูณหภูมิในเมืองลาสเวกัส ถ้าลาสเวกัสร้อน 120 องศา (ฟาเรนไฮต์) ใน Death Valley ก็ต้องเป็น 135-140 ประมาณนั้น บางวันอาจจะทะลุถึง 150 องศา อากาศขนาดนั้นใครเข้าไปก็..ตาย ดังนั้น ฤดูหนาวกับฤดูร้อนจึงเป็นฤดูต้องห้ามเข้า Death Valley แบบว่าไม่มีใครไป ส่วนช่วงที่อากาศแถวนี้ (ลาสเวกัส-Death Valley) จะอบอุ่นแบบสบายๆ ก็ในช่วง "เปลี่ยนฤดู" คือจากร้อนไปหนาว หรือจากหนาวไปร้อน ราวๆ เดือนเมษายน-พฤษภาคม และ กันยายน-ตุลาคม ของทุกปี พ้นจากนี้ไปก็หมดเขตเข้า Death Valley แล้ว ปีกลายไม่ลงตัว เพราะคณะไม่พร้อม รถตีนตะขาบก็ไม่มี ปีนี้ ตลอดพรรษาที่ผ่านมา ผู้เขียนไปจำพรรษาที่วัดมหาธาตุ เมืองเคมบริจด์ ประเทศอังกฤษ ออกพรรษากลับมาลาสเวกัสในวันที่ 20 ตุลาคม หลังจากนั้นก็ต้องวิ่งไปร่วมงานบุญกฐินที่ยูท่าห์-นิวแม๊กซิโก และบรรดาวัดต่างๆ ในเมืองลาสเวกัสอีกหลายวัด จนแทบไม่มีเวลาจะไปไหนต่อไหน เพราะยังอยู่ในฤดูกฐิน จนสิ้นเดือนตุลา ลมหนาวก็พัดมาแล้วสิ จะเข้า Death Valley ได้อย่างไร ถ้าไม่ไปในช่วงนี้ พลาดปีนี้ก็คงต้องรอ..ปีหน้า ถามว่ารอไหวไหม ? ตอนบ่ายวันที่ 5 พฤศจิกายน ผู้เขียนตัดสินใจ "ไปดูลาดเลา" ทางเข้า The Racetrack Praya โดยเริ่มจับเวลา รถวิ่งจากลาสเวกัส ขึ้นไปตามไฮเวย์สาย 95 North ถึงเมือง Beatty จากนั้นจึงวิ่งเข้าสู่ Death Valley ทางประตูนรก (Hell Gate) ไปจนถึง Scotty Casttle ซึ่งขณะนี้ถนนปิด เพราะน้ำป่าซัดเสียหาย แต่ทางไป The Racetrack ยังคงใช้ได้ เราไปถึงปากทางเข้าในเวลาที่ค่อนข้างตรง คือห่างจากที่คำนวณไว้ไม่กี่นาที นี่แสดงว่า ถ้าการเดินทางไม่เกิดอุปสรรคใดๆ เราก็จะสามารถ ไป-กลับ ตามแผนการที่วางไว้ ไปถึงตรงนี้แล้วก็กลับมา เพราะว่าเป็นการดูลาดเลาดังกล่าว ส่วนวันเดินทางจริงนั้น "ดีเดย์" ในวันที่ 7 พฤศจิกา 2559 ! แรกนั้น เรากะจะออกเดินทางในเวลาตีห้า แต่เห็นว่า ถ้าไปถึงเช้าเกินไปก็จะไม่ลงตัว ทั้งเวลาเพลและการถ่ายภาพ เพราะภาพที่ดีนั้นต้องถ่ายในเวลาเช้ากับบ่ายๆ เท่านั้น ดังนั้นจึงเปลี่ยนเป็น 8 โมงเช้าแทน จากลาสเวกัสถึงเมืองเบตตี้ (Beatty) ระยะทาง 115 ไมล์ คงใช้เวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง (เผื่อเข้าห้องน้ำ) และจากเบตตี้ไปถึงปากทางเข้า The Racetrack อีกราวๆ 70 ไมล์ คงใช้เวลาอีกไม่เกินชั่วโมงครึ่ง และจากปากทางซึ่งเป็นทาง Offroad เข้าไปถึงตัว The Racetrack เป็นระยะทาง 27 ไมล์ ถ้าวิ่ง 10-MPH (10 ไมล์ ต่อ 1 ชั่วโมง หรือ 60 นาที) ก็คงใช้เวลาร่วมๆ 2 ชั่วโมงครึ่ง ถ้าเราสามารถเริ่มต้น "27 ไมล์ Offroad" ได้ในเวลาเที่ยงวัน เชื่อมั่นว่า ไม่เกินบ่าย 3 โมง เราจะไปยืนอยู่ตรงจุดสำคัญของโลกที่ชื่อว่า The Racetrack !
นี่คือ การเตรียมความพร้อม-ตกนรก เป็นครั้งแรก !
สำหรับรถที่จะใช้ในการ "บุกนรก" ในครั้งนี้ ไม่มีทางจะเอารถเก๋งไปวิ่งอีกเป็นอันขาด เพราะเคยโดนสอนมวยจนเสียศูนย์มาแล้ว โบราณว่า "เจ็บต้องจำ จนต้องเจียม" ถ้าเจ็บแล้วไม่จำก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร ต้องรอสมน้ำหน้าสถานเดียว ทางเราได้รับการเอื้อเฟื้อจากพี่ทิดมหาโอ่ง ให้รถกระบะ Toyota-Tacoma ซึ่งมีแคปด้านหลัง นั่งได้ 4 คน ถือว่ารถพร้อม สำหรับคนที่จะไปนั้น นอกจากพระทั้ง 3 รูปแล้ว ทิดมหาเกรียงไกรก็จะขอไปด้วย แต่เกี่ยงขอให้รอวันว่าง คือวันจันทร์ที่ 7 ครั้นพอจะถึงเวลาไป ทิดเกรียงไกรเกิดเปลี่ยนใจกะทันหัน พระมหาเก่งเลยโทรชวนทิดมหาหนุ่ม-วิทวัส ไปด้วย แบบว่าสลับตัวผู้เล่นกะทันหัน ก็ตกลงว่าคณะพระมาลัยไปนรกของเราครั้งนี้มี 4 ชีวิตด้วยกัน จะรุ่งหรือร่วงก็ยังไม่รู้ รู้แต่ว่า..ต้องไป ใช่แต่เท่านั้น ท่านพระมหาไชยคุปต์ ยังนำหลักการทหารเข้ามาเสริม ด้วยสโลแกนที่ว่า "กองทัพเดินด้วยท้อง" จัดการ "หม่าข้าวเหนียว" นึ่งแบ่งเป็น 4 กระติบขนาดเขื่อง ให้ฉันกันทั้งเช้าทั้งเพล แบบว่าไม่ต้องแย่งกัน นอกนั้นมีหมูทอดกระเทียมพริกไทย น้ำพริกเผาจากเฟรสโน่ น้ำพริกปลาร้าสูตรสกลนคร มีแตงกวาอีก 2-3 ลูก บรรจุในหีบห่ออย่างดี น้ำดื่มอีกแพ๊กใหญ่ (30 ขวด) ส่วนกล้องถ่ายรูปนั้น ท่านพระมหาเก่งจัดเต็ม ทั้งกล้องเลนฟิก (ถ่ายภาพคน) ตัวหนึ่ง และกล้องสำหรับถ่ายภาพวิวธรรมชาติอีกตัวหนึ่ง ซึ่งทิดหนุ่มนั้นก็เป็นช่างภาพระดับมือโปร พูดได้คำเดียวว่างานนี้มีได้มีเสีย ถ้าจอไม่ดับก็ต้อง...เต็มจอ ! 08:00 น. ตรง รถเริ่มหมุนล้อออกจากวัดไทยลาสเวกัส จับไฮเวย์ 95 North ในอัตราความเร็ว 80 ไมล์ต่อชั่วโมง (80MPH) 09:30 น. เราอยู่ที่เมือง Beatty ปากทางเข้า Death valley 10:00 น. เราออกจากเมือง Beatty มุ่งหน้าเข้า Death Valley ทางประตูนรก (Hell Gate) 10:10 น. เราอยู่ตรงหน้าป้าย Hell Gate (8 ไมล์จากเบตตี้) ซึ่งเป็นประตูเข้า Death Valley ทางด้านนี้ 11:30 น. เรามาถึงปากทางเข้า The Racetrack (พักฉันเพลที่หน้าป้าย) 12:00 น. เราเริ่มเดินทางเข้าสู่เส้นทาง Offroad มุ่งหน้าสู่ The Racetrack ระยะทาง 27 ไมล์ 14:00 น. เรามาถึงบริเวณทางแยกที่เรียกว่า Teakettle Junction 14:30 น. เรามาถึงจุดที่เรียกว่า The Grand View 15:00 น. เรามาถึงเชิงเขา ตรงจุดที่เรียกว่า Moving Rocks 17:00 น. เราสิ้นสุดภารกิจในทุ่งหินไหล ตัดสินใจเดินทางกลับลาสเวกัส 20:30 น. เรากลับมาถึงเมือง Beatty เข้าห้องน้ำ พักผ่อน 30 นาที 21:00 น. เราออกจากเมือง Beatty มุ่งหน้าสู่เมืองลาสเวกัส โดยไฮเวย์สาย 95 South ระยะทาง 115 ไมล์ 22:30 น. เราเดินทางถึงวัดไทยลาสเวกัส โดยปลอดภัย
และต่อไปนี้ คือ The Grand Trip To The Racetrack
ทางหลวงหมายเลข 374 จากเมือง Beatty สู่ Death Valley
THE HELL GATE : ประตูนรก สู่ หุบเขาแห่งความตาย
ผู้เขียนยืนอยู่ที่หน้าประตูนรก !
ด้านหลังคือ Death Valley หุบเขาแห่งความตาย
เขาตั้งชื่อตาม "ความตาย" ของผู้คนมากมายในอดีต ที่พลัดหลงเข้ามาในหุบเขาแห่งนี้ และไม่มีวันได้กลับออกไป ต่างนอนสิ้นใจกันนับร้อยนับพัน
11:30 น. เราวิ่งรถมาถึงหน้าป้ายแห่งนี้ เห็นว่าเป็นเวลาเหมาะสม จึงทำการจอดรถและทำภัตกิจที่ริมทาง กินข้าวเอาแรง ก่อนจะบุกนรกให้ยมบาลสะท้านสะเทือน
ฉันภัตตาหารเพลกันตรงนี้แหละ เสร็จเพลแล้วก็ออกเดินทางเข้านรกกันทันที บางทีอาจจะเป็น..อาหารมื้อสุดท้าย !
ป้ายบอก > The Racetrack 27 ไมล์ โปรดสังเกตคำเตือนบนป้าย ให้ใช้รถ-Offroad เท่านั้น
เส้นทาง 27 ไมล์ หลังป้ายนั้นเข้าไป
รถวิ่งไปได้เกือบๆ 2 ชั่วโมง คำนวณระยะทางตามที่ป้ายบอก ก็น่าจะอยู่ตรง "ไมล์ที่ 20" เราเจอกับทางแยก และบนแยกนั้นมีป้ายประหลาด เพราะมีอุปกรณ์การนอนพักแรมเป็นกาน้ำร้อนประเภทต่างๆ หลากสี ห้อยย้อยอยู่เต็มไปหมด สงสัยจะเป็นของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาปักหลักตั้งแคมป์พักแรมในหุบเขาแห่งนี้ ก่อนกลับจึงประทับร่องรอยเอาไว้ ด้วยการห้อยกาน้ำไว้ให้ดูต่างหน้า แต่ว่าใครจะเป็นคนเริ่มต้นก่อนก็ไม่รู้สิ เสียดายว่าพวกเราไม่รู้มาก่อน จึงไม่ได้เอากาน้ำมาด้วย โอกาสหน้าถ้ามี คงไม่พลาดที่จะนำมาร่วมสมทบกองผ้าป่าในมหานรกแห่งนี้
ดูซี ประหลาดไหม ?
ไหนๆ ก็มาถึงแล้ว ขอจอดรถเก็บภาพไว้เป็นประวัติศาสตร์บ้าง
เส้นทางไปนรก มิใช่ไปกันได้ง่ายๆ ยากพอๆ กับไปสวรรค์เชียว
ระยะทางจากแยกนั้นไปอีก 8 ไมล์ ใช้เวลาร่วมๆ 40 นาที เราจึงมาถึงบริเวณนี้ มีป้ายบอกชื่อไว้ The Racetrack
บริเวณด้านหลังของป้ายดังกล่าว
พื้นโล่ง ผิวเรียบเนียน เดินสบายเท้า
นี่คือพื้นของบริเวณแอ่งกระทะแห่งนี้ ซึ่งเข้าใจว่า เกิดจากกรณีที่มีฝนตก น้ำไหลมารวมกัน พัดเอาฝุ่นทรายมาด้วย รวมกันเป็นตะกอน พอน้ำแห้ง จึงกลายเป็นรอยระแหง เหมือนทุ่งกุลาร้องไห้
แต่..ดูไปแล้ว ก็สวยงามไปอีกแบบ เป็นธรรมชาติสร้างสรรค์อย่างแท้จริง พวกเราเดินหาก้อนหินอยู่นาน แต่..ไม่พบ ไม่รู้ว่ามันอยู่ไหน เห็นอะไรเป็นเงาตะคุ่มๆ ก็เดินดุ่มไปดู แต่ก็ไม่ใช่ เลยชวนกันกลับมาที่รถ ยืนอยู่ตรงหน้าป้าย พอดีมีฝรั่งเด็กหนุ่มจากออเรกอน เอารถมาจอดด้วยกันเป็นคันที่ 3 (อีกคันเป็นของใครไม่รู้) ก็เลยคุยกัน
เขาตั้งข้อสังเกตว่า ถ้ามองจากภาพ (ที่มุมขวาด้านล่าง) ก้อนหินและเหลี่ยมเขาด้านหลัง น่าจะเป็นยอดเขาลูกนั้น (พลางชี้ให้ดู) เราจึงตกลงกันว่า ต้องวิ่งรถไปอีก เพื่อค้นหาก้อนหินวิ่งได้เหล่านั้น มันไม่น่าจะอยู่ไกล
วิ่งไปได้แค่ 2-3 นาที เราก็ดีใจกันยกใหญ่ เมื่อพบป้ายปักไว้อีกแห่งหนึ่ง ซึ่งมีรูปก้อนหินไหลเป็นทางยาว พร้อมกับข้อความ Moving Rocks แสดงว่ามันต้องอยู่แถวนี้แน่ๆ
นี่ไง ป้ายบอกชัดเจน !
ภาพแรกที่ได้ ถ่ายกับก้อนหินบนป้าย
MOVING ROCKS
ถามว่า มันเคลื่อนที่ หรือ เคลื่อนไหว ได้จริงหรือไม่ อีกไม่กี่อึดใจก็จะรู้ เพราะคำตอบมันอยู่ตรงหน้าเราแล้ว
โน่นไง ! อะไรเอ่ย ? เหมือนงูเลื้อยเป็นทางยาว ?
เขาเรียกว่า สิ่งมหัศจรรย์ของโลก
ไม่มีใครเสกสรร แต่เป็นผลงานของ..พระเจ้า !
ฝรั่งพูดว่า My God !
UNBELIEVABLE !
มันค้านสายตา ว่าก้อนหินเดินไปได้ไง ไม่ใช่งู ?
ผู้เขียนตามมาสามปี วันนี้เพิ่งพบตัวเจ้าหินเดินได้เหล่านี้
หนีอะไรหนีได้ แต่หนีความพยายามของคนไปไม่พ้น
เวลา 3 ปี เปลี่ยนรถ 2 คัน จึงมาถึงบริเวณนี้
ดูซี มหัศจรรย์ไหม ?
คู่นี้เป็นดาราใน The Racetrack
เกี่ยวก้อยกันเดินทางไกลใน Death Valley
ไม่รักกันก็คงไม่ไปด้วยกัน
เหนือความเชื่อก็คือ..เหลือเชื่อ !
ไม่ใช่ไม่เชื่อ เชื่อ..แต่ไม่อยากเชื่อ ว่ามันเป็นจริง !
สิ่งที่เหลือเชื่อ จึงเป็นสิ่ง..มหัศจรรย์ !
ใครไม่เชื่อก็เชิญมา..ท้าพิสูจน์ !
ในโลกใบนี้ ยังมีสิ่งที่ท้าทายอีกเยอะ
สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่า ROCKS !
ไม่ไป..ไม่รู้ ไม่ดู..ไม่เห็น
พระมหาเก่งจับภาพหลายมุมมอง
กับคำถามว่า ..เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ?
เต่า กับ กระต่าย ใช้ความเร็วต่างกัน แล้วก้อนหินเหล่านั้นเล่า พวกเขาใช้เวลานานเท่าใด ?
Take a look !
ภาพแรกของผู้เขียนบนดินแดนมหัศจรรย์
ตามหาความลับของธรรมชาติในนรก
The Racetrack Where are you ?
รู้ว่าอยู่บนโลกใบนี้ แต่ไม่รู้ว่า..อยู่ไหน ?
เราใช้เวลาเดินทางนานกว่า 3 ปี จึงมาถึงจุดนี้
แน่นอนว่า ถ้าเดินทางกันจริงๆ ก็ใช้เวลาแค่..วันเดียว แต่ความพร้อม ทั้งของรถของคน และสภาพแวดล้อมต่างๆ ต้องใช้เวลานานมาก ขนาดว่าจะออกรถแล้ว ทิดเกรียงไกรซึ่งวางตัวไว้แต่เดิมยังขอ..ถอนตัว กระทั่งวันนี้ก็ยัง..ไปไม่ถึง !
จึงขอบอกว่า "ไม่ง่าย" สำหรับการเดินทางไกลในแต่ละทริป
คนมากมาย อยู่ถิ่นแถบนี้มาชั่วชีวิต ก็ยัง..ไม่เคยไป
แต่..เรา-อะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะ ถึงช้าไปหน่อย แต่ก็ไปได้
ถ้าจะถามว่าไกลไหม ก็ขอตอบว่า ไกล พ่ะย่ะค่ะ !
และถ้าถามว่า คุ้มค่าไหม ? ก็ขอตอบว่า สุดคุ้มเลยค่ะ
ถึงยาก ลำบาก แต่ก็ยังอยาก..กลับมา
มนตราอะไรมัดเราไว้ในหุบเขานรกแห่งนี้ ? นี่คือสิ่งที่พิศวง !
ไปแกรนด์แคนย่อนเอย เยลโล่สโตนเอย โยสมิตติเอย ฯลฯ หลายร้อยแห่งที่ไป แต่ไม่เร้าใจ ไม่ตื่นเต้น ไม่ลุ้น ไม่เสี่ยง เหมือนไป "นรกบนดิน" นามว่า Death Valley !
พระมหาไชยคุปต์ ปูพรมแดงถวาย
ท่านบอกว่าไปทั้งที ต้องให้สมกับตำแหน่ง "ผู้พิชิตนรก"
วิวโดยรอบ The Racetrack พระมหาเก่งจับภาพก่อนปิดกล้อง
เกือบห้าโมงแล้ว ตะวันใกล้ตกดิน เราต้องโบยบินออกจาก..Death Valley
Bye Bye ! |
พระมหานรินทร์ นรินฺโท |
E-Mail
To BK.
peesang2555@hotmail.com
ALITTLEBUDDHA.COM WAT THAI LAS VEGAS 2920 MCLEOD DR. LAS VEGAS NV 89121 U.S.A. 702-384-2264