ว.วชิรเมธี ศรีธนญชัย

 

คำว่า เสีย มีความหมายหลายนัย ถ้าใช้กับสิ่งที่มีชีวิต เช่น คน สัตว์ ก็จะเป็น "เสียชีวิต =ตาย"  ถ้าใช้กับสิ่งไร้ชีวิต เช่นอาหารการกิน ก็จะเป็น บูดเน่า แต่รวมแล้วก็เป็นของเสีย ใช้ไม่ได้ ใช้แล้วก็จะเป็นอันตราย แต่ยังมีสำนวนอีกว่า "เสียผู้เสียคน" คือยังไม่ตาย แต่ก็เหมือนตายไปแล้ว เสียแล้ว ใช้ไม่ได้ ไม่เป็นผู้เป็นคนอีกต่อไป ไม่บ้าก็ล้มละลาย อะไรประมาณนั้น วันนี้ มีประเด็นสำคัญที่จะนำเสนอต่อท่านผู้อ่านให้ได้รับทราบ ทั้งๆ ที่ผู้เขียนก็แทบจะไม่ได้แวะเวียนมาเขียนทางคอลัมน์นี้นานหลายเดือนแล้ว ยอมรับว่าเหนื่อย !

 

ถามว่า ทำไมต้องเขียนเรื่อง ว.วชิรเมธี ในวันนี้

ก็ตอบว่า เพราะเห็นเป็นเรื่องสำคัญของสังคมสงฆ์ไทย ณ วันนี้ ว.วชิรเมธี ยังหนุ่ม มีอิทธิพลต่อสังคมไทยสูง มีชื่อเสียงระดับพระดารา แต่ยังกล้าตระบัดสัตย์ได้ ถ้าปล่อยไว้ให้เติบใหญ่ ก็อาจจะกลายเป็นธัมมชโย คือโตเกินไป ไม่ตรวจสอบเสียแต่ต้น ปล่อยปละละเลยกัน เพราะเห็นว่าคงไม่อันตราย ถึงวันนั้นก็สายเกินไป ทั้งที่แต่ไหนแต่ไรมานั้น ผู้เขียนไม่เคยรู้จักมักจี่กับ ว.วชิรเมธี และไม่เคยแตะหรือยุ่งกับเรื่องของ ว.วชิรเมธี ไม่ว่าดีหรือเลว เพราะถือว่าคนเรานั้น "ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน" ที่แก้ไขได้ก็ต้องให้โอกาส เว้นเสียแต่มีเรื่องคอขาดบาดตายเช่นวันนี้ จึงต้องยอมเขียนถึง ว.วชิรเมธี ซักครั้ง


 

 

"คนโกหก มักจะจำคำพูดของตัวเองไม่ได้"

 

 

โบราณว่า..พลั้งปากเสียศีล พลั้งตีนตกต้นไม้ !

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้ มีพระหนุ่มรูปหนึ่ง มีชื่อเสียงโด่งดังระดับประเทศ เป็นกระแสนิยม เป็นเทรนด์ หรือแทบจะเรียกว่าเป็นแบรนด์ที่ชาวไทย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่นิยมชมชอบ เป็นพระดาราที่มีค่าตัวสูงมากๆ เรียกเป็นภาษาปากว่า ซุปตาร์ ซึ่งย่อมาจากคำว่า ซุปเปอร์สตาร์ นั่นเอง พระหนุ่มรูปนั้นมีนามกรว่า ว.วชิรเมธี

ว.วชิรเมธี มีชื่อเต็มว่า พระมหาวุฒิชัย วชิเมธี นามสกุล บุญถึง ชาวจังหวัดเชียงราย ศิษย์เก่าวัดพระสิงห์และวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เรียนจบนักธรรมชั้นเอกและเปรียญธรรม 9 ประโยค จากสำนักวัดเบญจมบพิตร ในปี พ.ศ.2543 และจบปริญญาพุทธศาสตร์มหาบัณฑิต (พธ.ม.) ซึ่งเป็นปริญญาโท จากมหาวิทยาลัยสงฆ์ มจร. ในปี พ.ศ.2546

หลังจากเรียนจบแล้ว ว.วชิรเมธี หรือพระมหาวอ เริ่มเดินสาย แสดงความรู้ความสามารถของตนเองต่อสาธารณชน จนไปเข้าตา "สื่อ" กลุ่มใหญ่ในประเทศไทย อาทิ เครืออมรินทร์ เนชั่น ผู้จัดการ เป็นต้น จนมีชื่อเสียงโด่งดัง หนังสือที่สร้างชื่อให้แก่พระมหาวอก็คือ "ธรรมะติดปีก" เป็นหนังสือธรรมะแนวใหม่ๆ คิ้วๆ คมๆ สำนวนนิยมเพียบ ซึ่งเป็นแนวทางเฉพาะตัวของพระมหาวอ จนมีคำเรียกขานว่าเป็น..วาทกรรม อาทิ

อย่างมงายในวิทยาศาสตร์, ฆ่าเวลาบาปไม่น้อยกว่าฆ่าคน, อร่อยจนลืมกลับวัด เป็นต้น ซึ่งสร้างกระแสทั้งสนับสนุนและโต้แย้งอย่างแรงทางสื่อ จนกระทั่งบางครั้ง พระมหาวอเองถึงกับต้องออกหนังสืออธิบายวาทกรรมของตัวเอง เป็นอรรถกถาจารย์ที่ออกคำอธิบายหนังสือของตัวเองที่แปลกประหลาดที่สุดในโลก นั่นแสดงว่า คำพูด หรือวาทกรรม ของพระมหาวอ มีปัญหาว่าด้วยความชัดเจน เป็นคำพูดกำกวม สองง่ามสามแง่ คาบลูกคาบดอก ทีเล่นทีจริง หรือหมาหยอกไก่ อะไรทำนองนั้น คนที่ฟังเพราะเห็นเป็นพระภิกษุพูดก็ย่อมเชื่อว่า "เป็นธรรมะ" แต่คนที่มองทะลุผ้าเหลือง แล้วใช้สติปัญญาไตร่ตรอง ก็ย่อมจะมองทำนองว่า "หมิ่นเหม่" ถ้าเพลินลิ้นเพลินปากเล่นไปนานๆ ก็อาจจะกลายเป็นสำนวนอันตราย ดังเช่นพระดังในอดีตเคยกล่าวไว้ในเหตุการณ์ 14 ตุลา 2519 ว่า "ฆ่าคอมมูนิสต์ไม่บาป" นั่นเอง บาดแผลจากการใช้ "วาทกรรมสีเหลือง" ยังคงเรื้อรังอยู่ในสังคมไทยตราบเท่าทุกวันนี้ หลายคนยังหาศพไม่เจอ !

ในช่วงที่พระมหาวอกำลังจะแจ้งเกิดในวงการดาราผ้าเหลืองนั้น ประมาณ พ.ศ.2542 เป็นต้นมา บังเอิญมีปัญหาทางการเมืองเรื่อง "สี" คือสีแดงกับสีเหลือง ซึ่งสีหนึ่งอ้างว่าเป็นตัวแทนประชาธิปไตย อีกสีหนึ่งอ้างว่าเป็นตัวแทนแห่งความจงรักภักดีในสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมทั้งความซื่อสัตย์สุจริต ไม่โกงทั้งต่อหน้าและลับหลัง รวมทั้งเป็นสีที่มีคุณธรรม ตัวหัวหน้าของสองสีนั้น ว่าโดยเจาะจงก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย เจ้าลัทธิประชานิยม และเจ้าของอมตะวาจา "รวยแล้วไม่โกง" และ "บกพร่องโดยสุจริต" นั่นเอง และ นายสนธิ ลิ้มทองกุล เจ้าของสื่อในเครือผู้จัดการ เจ้าของลัทธิ "การเมืองสีขาว" ไม่เอาสีเทา ไม่เอาการโกงกินไม่ว่ารูปแบบใดๆ ทั้งบนโต๊ะ ใต้โต๊ะ ทวนน้ำ ตามน้ำ ฯลฯ รวมทั้งการใช้ธรรมะนำหน้าการเมือง นายสนธิอ้างตัวเองเป็นศิษย์ของพระกรรมฐานสายพระอาจารย์มั่นผู้โด่งดัง คือ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน แห่งวัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี ซึ่งมีเกียรติคุณเกริกไกร

สนธิเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่า "พ่อแม่ครูบาอาจารย์" และเป็นหลวงตามหาบัวองค์เดียวกับที่ออกเที่ยวบิณฑบาตช่วยชาติ หลังเกิดวิกฤติการ "ลดค่าเงินบาท" ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ในปี พ.ศ.2540 นั่นเอง หลวงตาบัวก็ดังขึ้นมาจากกรณีนั้น มันเหมือนอมตะมหานิยาย "สามก๊ก" ที่แต่ละเหล่าแต่ละคนโคจรมาเจอกันโดยบังเอิญ แต่เหมือนฟ้าลิขิต เล่นไปเล่นมาปรากฏว่า ประเทศชาติพัง แต่ละผู้แต่ละคน "เสียผู้เสียคน" ไปกันคนละทิศละทาง ทักษิณไปนอกกลับไทยไม่ได้ สนธิไปฮ่องกงออกมาไม่ได้ ทั้งสองโดนข้อหาเดียวกัน นั่นคือ โกง ทำการซิกแซ๊กซื้อขายหรือทำธุรกรรมผ่านตลาดหลักทรัพย์ หรือตลาดหุ้น ซึ่งพูดให้ตายชาวไร่ชาวนาซึ่งเกิดจากท้องพ่อท้องแม่มาก็ยังไม่รู้ว่า มันอยู่ไหน ไอ้ตลาดหุ้นน่ะ มีพริก กะปิ น้ำปลา โหระพา มะนาว หรือผัดกะเพรา ขายหรือเปล่า ฯลฯ

พระมหาวอ ก็เป็นอีกหนึ่งรูป ที่สังคมไทยในสมัยนั้นจับตา บ้างต้องการให้เป็นสีเหลือง เพราะเชื่อว่าเป็นผู้มีความรู้คู่คุณธรรม บ้างต้องการให้เป็นสีแดง เพราะเชื่อว่าเป็นลูกชาวไร่ชาวนา คงจะไม่ลืมกำพืดตัวเอง ถึงจะได้ดีปานใดก็ตาม แต่พื้นฐานทางครอบครัวของพระมหาวอนั้น เป็นชาวรากหญ้า

 

 

ปรากฏว่า พระมหาวอ เลือกที่จะเดิน "ทางสายสูง" คือสายไฮโซ คบกับดารา คนเด่นคนดัง ชอบเข้าหาผู้มีชื่อเสียงเรียงนามไม่ว่าด้านใด ทั้งในและต่างประเทศ ว.วชิรเมธี ก็จะไปเยี่ยมเยือน สร้างสัมพันธไมตรี ถ่ายรูปถ่ายร่าง เหมือนคุณแม่ชีศันสนีย์ แห่งเสถียรธรรมสถาน เคยเดินทางมาก่อนนั่นเอง รูปภาพเกี่ยวกับคนดังๆ ทั้งในและต่างประเทศ จะถูกเก็บบันทึกไว้เป็นกรุ แล้วค่อยนำมารวมเล่มเป็นประสบการณ์ในภายหลัง หนึ่งในคนดังที่วอไปหา ถึงกับฝากเนื้อฝากตัวเป็นศิษย์ก็คือ ท่านติช นัท ฮันห์ พระอาวุโสชาวเวียตนาม แห่งหมู่บ้านพลัม ประเทศฝรั่งเศส

เหตุการณ์ "100 ศพสีแดง" ล้อมปราบม็อบ นปช. ที่ราชประสงค์ ในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หรือมาร์ก ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2553 ก่อนหน้าการเริ่มล้อมปราบม็อบ นปช. ไม่กี่วัน โดยในวันที่ 9 เมษายน 2553 พระมหาวอได้แสดงวาทกรรมอันโด่งดังว่า "ฆ่าเวลาบาปไม่น้อยกว่าฆ่าคน" จนกระทั่งเกิดการสูญเสียในเหตุการณ์ราชประสงค์ สังคมไทยได้นำเอาสำนวนของพระมหาวอไปพูดให้กระชับเป็น "ฆ่าเวลาบาปกว่าฆ่าคน" และยังมีภาพของพระมหาวอพบปะสนทนากับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในสมัยนั้น ซึ่งนายอภิสิทธิ์เป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดทางการเมือง ในช่วงเกิดเหตุการณ์ราชประสงค์ หรือ 100 ศพ อีกด้วย

โดยทั้งนี้ ภาพของพระมหาวอ จึงถูกนำไปโยงหรือเทียบกับภาพของ "พระกิตติวุฑโฒ" แห่งสำนักจิตตภาวัน ในอดีต ซึ่งเคยกล่าวไว้ว่า "ฆ่าคอมมูนิสต์ไม่บาป" ก่อนการล้อมปราบนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่เรียกว่าเหตุการณ์ "6 ตุลา มหาวิปโยค" ปลายปี 2519 นั่นเอง

นอกจากเหตุการณ์หรือสถานการณ์จะ "ตรงกัน" แบบบังเอิญแล้ว คำพูดหรือวาทกรรมแบบ "สองง่ามสามแง่" ของทั้งกิตติวุฑโฒและ ว.วชิรเมธี ถือเป็นเชื้อไฟชั้นดีที่เร่งให้สถานการณ์สุกงอม เพราะเหมือนมีการ "รับรอง" จากคนในผ้าเหลือง ที่สังคมไทยให้การเชื่อถือ ถึงในภายหลัง ท่านกิตติวุฑฺโฒ จะอธิบายขยายคำพูดของตัวเองว่า "ฆ่าคอมมิวนิสต์ในใจ เหมือนฆ่ากิเลส ย่อมไม่บาป" ไปแล้วก็ตาม แต่ถึงอย่างไรก็ไม่เคลียร์ เพราะนิสิตนักศึกษาและประชาชนที่ถูกต้อนและฆ่ายังกะสัตว์ป่ากลางมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และท้องสนามหลวงติดกับวัดพระแก้วนั้น "ถูกยัดข้อหาเป็นคอมมูนิสต์" ไปแล้ว แล้วไหนล่ะที่ว่า "ฆ่าคอมมูนิสต์แค่ในใจ"  ทำไมฆ่าในใจ แต่ตายไปไม่รู้กี่สิบศพ ?

กิตติวุฑโฒนั้น ว่ากันว่าเป็นปรมาจารย์ด้านพระอภิธรรมของสำนักวัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ รวมทั้งเป็นนักเทศน์ฝีปากเอกผู้โด่งดังที่สุดในสมัยนั้น ดังนั้น จึงสามารถใช้สำนวน "อภิธรรม" ได้อย่างแคล่วคล่องว่องไว ยังไม่นับถึงสายสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับ "จอมพลถนอม กิตติขจร" ซึ่งกุมอำนาจรัฐไว้ในสมัยนั้นด้วย แบบว่านอกจากจะแยก "คอมมูนิสต์" ออกจาก "ศพประชาชน" ในเหตุการณ์ตุลามหาวิปโยคไม่ออกแล้ว ก็ยังไม่สามารถ "แยกความสัมพันธ์ส่วนตัว" ออกไปจากผู้มีอำนาจได้อีกด้วย ส่วน ว.วชิรเมธีนั้น ไม่ยอมอธิบายอะไร กล่าวเพียงแต่ว่า ผู้ที่นำเอาคำพูดไปขยายความโดยไม่มองดูบริบทของคำพูดนั้น ย่อมวิปริต แต่ก็ไม่ยอมรับเช่นกันว่า การพูดในช่วงเหตุการณ์บ้านเมืองสุกงอมถึงขั้นร่ำๆ จะฆ่ากันนั้น มันเป็นบริบทสมควรไหม หรือว่าจงใจจะให้มันเกิด !

แต่ที่แน่ๆ มีคนถูกฆ่าตายไปมากมายก่ายกองในสองเหตุการณ์ดังกล่าว และวาทกรรมของสองนักบวชต่างทศวรรษ ก็ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ "ตุลา-พฤษภา" ของการเมืองไทยไปแล้ว มีคำเปรียบเทียบว่า "ลูกกระสุนจากปลายปืนของเพชฌฆาต ยังไม่อำมหิตเท่ากับวาทกรรมจากปลายลิ้นของนักบวชสอพลอ" เพราะประการหลังนี้ "ฆ่าคน" ได้เนียนกว่า !

 



 

 

วอ..กลับเชียงราย !

หลังเหตุการณ์พฤษภามหาวิปโยค 100 ศพ นปช. คราวนั้น พระมหาวอเลือกที่จะ "กลับบ้าน" ไปตั้งหลักแหล่งที่ไร่เชิญตะวัน จังหวัดเชียงราย โดยก่อนหน้านั้นก็ดูเหมือนว่าจะตั้งศูนย์ใหญ่อยู่ที่ปทุมธานี แต่ไม่รู้ว่าสาเหตุใดถึงไม่เอา แถมยังมีกระแสข่าวว่า เมื่อวัดพุทธิ ชิโน่ ฮิลส์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ว่างเจ้าอาวาสลงในช่วงนั้น ชื่อของ ว.วชิรเมธี ก็ถูกทาบทามจากกรรมการวัดบางท่านให้มาเป็นเจ้าอาวาส แต่ก็บังเอิญว่า "วอ" อยากจะไปอยู่นิวยอร์คมากกว่า ก็เลยสองจิตสองใจ สุดท้ายก็ไม่เอาทั้งสองแห่ง แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีกระแสข่าว "วอปลีกวิเวกไปพักในต่างประเทศ" เป็นระยะ ก็สรุปว่า ณ บัดนี้ ว.วชิรเมธี อยู่ที่ไร่เชิญตะวัน อย่างถาวร

การลาวัดเบญจมบพิตร พระอารามหลวงชั้นเอก กลางกรุง กลับไปไร่เชิญตะวันบ้านนอกของ ว.วชิรเมธี นั้น บางคนอาจจะเข้าใจว่า วอเข้าป่า แต่หารู้ไม่ ถ้าใครสนใจเรื่อง "ฮวงจุ้ย" ก็จะดูออกว่า ในสมัยปัจจุบัน การเดินทางของผู้คนนั้นจะสะดวกสบายที่สุดก็ทางเครื่องบิน ที่เชียงรายนั้นมีสนามบินอินเตอร์อยู่ จากสนามบินไปไร่เชิญตะวันไม่กี่นาที ถ้าจะเข้ากรุงเทพก็..ไม่กี่นาที เช่นกัน ดังมหาเศรษฐีผู้มีกะตังค์ทั้งหลาย ปลายสัปดาห์ก็จะบินออกไปพักผ่อนที่..เชียงใหม่ เชียงราย อุดร ขอนแก่น หรือปักษ์ใต้ ครั้นวันอาทิตย์ตอนเย็น หรือเช้าวันจันทร์ ก็จะตีเครื่องเข้าเมืองกรุง สั่งกาแฟกับครัวซองต์ไว้รอท่า ถ้าจะเอาให้ไกลกว่านั้น จากสนามบินเชียงรายมาสุวรรณภูมิ แค่ 1 ชั่วโมง จากนั้นก็ต่อเครื่องไปไต้หวัน ฮ่องกง ปักกิ่ง นาริตะ แอลเอ-เวกัส นิวยอร์ค ลอนดอน อัมสเตอร์ดัม ปารีส หรือไหนต่อไหนได้สะดวก ขากลับก็ไม่ต่างกัน เดี๋ยวนี้ยังมีเที่ยวบินตรงจากแอลเอ-โซล-เชียงใหม่ แล้วด้วย โดยไม่ต้องแวะกรุงเทพเลย

 

 

เมื่ออยู่ที่ไร่เชิญตะวัน ว.วชิรเมธี มิได้เก็บเนื้อเก็บตัวปฏิบัติธรรมกรรมฐานเข้าป่าเข้าเขา เหมือนครูบาอาจารย์ในอดีตเคยปฏิบัติจนเป็นแบบแผน แต่ ว.วชิรเมธี กลับมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนด้วยการ "เดินสาย" ออกจากไร่ก็วิ่งเข้าสนามบิน เวียนๆ วนๆ อยู่บนเส้นทาง "เชียงราย-กรุงเทพ-ต่างประเทศ" ไปๆ กลับๆ นับร้อยนับพันเที่ยว ถ้าคิดรายจ่ายระหว่าง "สุวรรณภูมิ-เชียงราย-สุวรรณภูมิ" ของมหาวอ ก็ย่อมจะสูงเป็นหลักล้าน ! สุดแต่ว่าใครจะเป็นคนจ่าย เท่านั้นเอง เพราะในโลกใบนี้ไม่มีของฟรี !

กิจกรรมสำคัญของไร่เชิญตะวันก็คือ "ศูนย์วิปัสสนาสากล" ซึ่งมีหลักสูตรตั้งแต่ 3 วัน 5 วัน 7 วัน 9 วัน อันถือเป็นจบหลักสูตรแล้ว ใครผ่านก็ได้ปริญญากลับไปใช้ชีวิตอย่างประสบความสำเร็จ ปรากฏว่าขายดี เพราะมีคนชอบอะไรที่มัน "สั้นๆ ง่ายๆ" แบบชีวิตดี๊ดี Easylife อะไรทำนองนี้ ของที่มันยาก มันยาวนาน ก็อึดอัด อดรนทนอยู่ไม่ไหว สู้ใช้สไตล์ 7-11 ไม่ได้ "หิวเมื่อไหร่ให้มาหา" เปิดไมโครเวฟเพียง 30 วิ. ก็อิ่มทน อิ่มนาน ได้แล้ว ถึงหิวก็กลับไปใหม่

 

 

พระมหาวอยังเป็นดาราของซีพีออลล์ ในโครงการ "ดึงคนออกจากวัด" มีชื่อเต็มๆ ว่า "ยกว้ดมาไว้ในเซเว่น" สร้างค่านิยมใหม่ให้ชาวไทย โดยเฉพาะเยาวชน ได้เข้าวัดผ่านห้างดัง "เซเว่น-อีเลฟเว่น" ปรากฏว่าประสบผลสำเร็จล้นหลาม ไม่กี่ปีเอง ทางสำนักพุทธได้ออกมาประกาศว่า "วัดสูญเสียความเป็นศูนย์กลางของชุมชนชาวไทยไปทุกด้าน" เพราะชาวไทยส่วนใหญ่หันไปเข้า เซเว่น-อีเลฟเว่น กันหมด ตามนโยบาย "เข้าวัด-เข้าห้าง-เข้าที่เดียวกัน" นั่นเอง

ศูนย์วิปัสสนาสากลไร่เชิญตะวัน ของมหาวอ จึงเป็นศูนย์กิจกรรมนานาชนิด ทั้งนั่งสมาธิครอสสั้นๆ ร้องรำทำเพลง ทำกิจกรรมชุมชน สาธิตทั้งขนบธรรมเนียมประเพณี ไปจนถึงพระนิพพาน !

ถ้าเอาคำว่า "สากล" ซึ่งยืดมาจากคำว่า "สกล" ที่แปลว่า ทั้งสิ้น ทั้งปวง หรือทุกอย่าง ไร่เชิญตะวันก็มาถูกทางแล้ว เพราะมีทุกอย่าง เป็นห้างสรรพสินค้าทางพุทธพาณิชย์ แต่ต้องแปลให้ลงตัวกับคำว่า "สกล" ในภาษาถิ่นของเชียงรายด้วย คือต้องแปลว่า "ศูนย์แกงโฮะ" จะมั่ว จะตั้ว ขนาดไหน ก็เชิญชม !

ถามว่า ทำศูนย์แบบนี้ดีไหม ? คำตอบแบบหนึ่งก็คือ ดีฮ่ะ เพราะว่ามันได้ลูกค้าทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย แต่จะเป็นศูนย์อะไรก็อย่าไปสน กิจกรรมมันสำคัญกว่าพฤติกรรม !

อย่าลืมว่าการจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่องและยาวนานนั้น ต้องใช้ 2 อย่างเป็นหลักสำคัญ นั่นคือ คนและเงิน หรือรวมความแล้วก็อยู่ที่..เงิน เพราะใช้เงินเป็นก็ใช้คนได้ มีเงินและใช้เงินเสียอย่าง ผู้คนก็ล้นหลามเอง แต่ถ้าไม่มีเงินก็ใช้คนไม่ได้ หรือได้ก็จำกัดจำเขี่ยอย่างยิ่ง นี่ประการหนึ่ง

ซึ่งถ้าเราเทียบกับกิจกรรมของวัดพระธรรมกายแล้ว ก็จะเห็นว่า "ไม่ต่างกัน" แถมวัดพระธรรมกายยังไปไกลถึงต่างประเทศ เรียกว่าล้ำหน้ามากกว่า แต่ศูนย์ของมหาวอมาทีหลังก็ดังได้ เพราะเมื่อวัดพระธรรมกายมีปัญหา ชุมชนไทยส่วนใหญ่ก็หาทางไปทางอื่น เมื่อได้ไร่เชิญตะวันของมหาวอมารองรับ แล้วจะไม่ไปได้อย่างไร

 



 

ก็ดูสิ ประวัติพระมหาวอนั้น ดีเด่นขนาดไหน เป็นทั้งมหาเปรียญ 9 เป็นมหาบัณฑิต ได้รับรางวัลมากมายก่ายกองจนล้นตู้ อายุอานามก็ยังเด็ก แค่ 40 ต้นๆ สั่งสมบารมีอีกนิดเผลอๆ อาจจะแซงท่านพุทธทาสเสียด้วยซ้ำ พูดง่ายๆ ว่า ยังไปได้อีกไกล ที่สำคัญก็คือ เพราะเป็นเปรียญเก้า ผู้คนเขาเชื่อว่า จะไม่นอกลู่นอกทางนอกพระธรรมวินัย คือไม่สอนวิปริตผิดเพี้ยนจากพระไตรปิฎก เหมือนพระธัมมชโยและพระคึกฤทธิ์กำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน (รวมทั้งโพธิรักษ์แห่งสันติอโศกในอดีต)

ซึ่งแน่นอนว่า การทำกิจกรรมชุมชนแบบนี้ก็เป็นที่น่าชื่นชม เพราะจะได้เด็ก เยาวชน และชุมชนไว้ ไม่ถูกลัทธิธรรมกายยึดครองล้างสมองไปจนหมดบ้านหมดเมือง

มีคำกล่าวว่า "คนพูดน่ะ เคยทำคุณงามความดีอะไรหรือเปล่า หรือเอาแต่ด่าเอามันอย่างเดียว" นี่ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งซึ่งน่าคิดว่า เมื่อเราไม่ทำ เอาแต่ด่า สุดท้ายก็สู้เขาไม่ได้ มันจะเข้าในสำนวน "ดีแต่พูด" นั่นเอง ซึ่งความจริงแล้ว ศูนย์กิจกรรมแบบไร่เชิญตะวันนั้น ควรจะมีทุกจังหวัด หรือทุกอำเภอด้วยซ้ำไป ให้อยู่ในความดูแลของคณะกรรมการฝ่ายสงฆ์และฝ่ายฆราวาส และมีบุคคลากรจากส่วนกลางหมุนเวียนเดินสาย ไปเชื่อมสัมพันธ์ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เชื่อมโยงกันและกัน ตามตำรา "พี่รู้สอง น้องรู้หนึ่ง" รวมกันก็เป็น 3 อะไรทำนองนั้น คือควรจะกระจาย ไม่ให้กระจุก เพราะพระเณรทั่วประเทศก็มีตั้ง 300000 กว่ารูป ยุวชน-เยาวชน รวมทั้งคนทั่วไปอีกมากมายหลายสิบล้าน ลำพังไร่เชิญตะวันอีกพันไร่ก็ไม่พอรองรับหรอก

 

สรุปว่า พระมหาวอ น่าจะ มาถูกทางแล้ว !

 

 

แต่..แต่ก็มีข่าวสะดุดหู เมื่อหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ.2559 (ต้นปีนี้) ได้นำเสนอ "สกู๊ปพิเศษ" เป็นเรื่องของ ว.วชิรเมธี ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับ จุดยืน หรืออุดมการณ์ ของตัวเอง มีข้อความว่า

 

ชีวิตสงฆ์ควรปราศจาก ยศ ทรัพย์ อำนาจ ว.วชิรเมธี วันที่ตั้งใจตกจากจุดสูงสุด

'เป็นบทสัมภาษณ์ที่ผมกับท่าน ว.วชิรเมธี คุยกันในรถตู้ระหว่างท่านกำลังเดินทางไปงานต่อ ดูก็รู้ว่าไม่ว่าอยู่ที่ไหนกรุงเทพฯ หรือ ไร่เชิญตะวัน จ.เชียงราย กระทั่งอยู่ไกลสุดสายตา

พูดเป็นภาษาเข้าการตลาดแบรนด์ ว.วชิรเมธี ยังฮอตฮิตติดตลาดอยู่เสมอ ไม่ว่าจะอยู่จุดศูนย์กลางของประเทศ หรือ อยู่ ณ ที่ไหน

ในวันที่วงการสงฆ์ เต็มไปด้วยเรื่อง ยศ ทรัพย์ อำนาจ สั่นคลอนศรัทธา ไทยรัฐออนไลน์ได้มีโอกาส พูดคุยกับ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ว.วชิรเมธี หลังจากที่คนมองว่าหนีหายไปจากหน้าสื่อกระแสหลักหลายปี ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้หน้าสื่อเต็มไปด้วยทัศนะและการวิพากษ์วิจารณ์ของท่านมากมาย  

 

เราถามมากกว่า 'การหายไปไหน' แพ้พ่าย หนีหาย เพราะแพ้ภูมิกรุงเทพฯ แพ้คนกรุงเทพฯใช่ไหม มากกว่านั้นการที่ขึ้นจุดสูงสุดแล้วลงมาอย่างกะทันหันแบบนี้ เตรียมรับมืออย่างไรและคำถามที่แทงใจ (ทั้งๆ ที่คุยเรื่องชีวิตท่าน ไม่ได้ตั้งใจหรือคิดว่าอนาคตจะมีเรื่องสงครามสงฆ์) เข้ากับสถานการณ์ 'สงครามช่วงชิงอำนาจ' กับความหมายของ 'พระสงฆ์' ที่ดีคืออะไร!! 

และนี่เป็นที่มาของวรรคทองที่ยิ่งฟัง ยิ่งเสียดแทงหัวใจบนสถานการณ์ที่ว่า ชีวิตสงฆ์ ควร ปราศจาก ยศ ทรัพย์และอำนาจ คำนี้วนอยู่ในหัวผมซ้ำๆ ขณะรถตู้สีดำที่เรานั่งกำลังวิ่งไปข้างหน้า แต่หลายคำตอบที่ได้ราวกับว่า 'วงการสงฆ์' กำลังถอยหลังเข้าคลอง 

Q : การหายออกจากหน้าสื่อ เป็นความตั้งใจใช่ไหม สรุปท่านหายไปไหนมา

เป็นความตั้งใจ เพราะคิดว่าเป็นเวลานับเป็นสิบปีแล้วที่อาตมาอยู่หน้าสื่อมาก ใครนิมนต์ไปไหนก็ไปให้เกือบทั้งหมด ด้วยความสงสารและเอ็นดูญาติโยม แต่สิ่งหนึ่งที่หายไป ก็คือ ความลุ่มลึกและสุขภาพในตัวเอง รู้สึกว่าจะเหนื่อยง่ายขึ้นมาก พอได้บทสรุปแบบนี้ หลังอายุ 35 ปี จึงคิดว่าคงต้องกลับมาใส่ใจในรายละเอียดการใช้ชีวิตให้มากขึ้น และเน้นการฝึกสมาธิภาวนา ซึ่งเป็นมิติทางปัญญาที่ลุ่มลึกมากขึ้น นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เราตั้งศูนย์วิปัสสนาสากลไร่เชิญตะวันเพื่อฝึกวิปัสสนาทั้งของตัวเองและแบ่งปันให้กับชาวไทย ชาวต่างชาติ นอกจากนั้นเพื่อฟื้นฟูสุขภาพให้แข็งแรง และผลจากการถอยหลังเข้าคลองกลับมาอยู่ท่ามกลางหุบเขาแบบนั้น

ปรากฏว่า 1.ทำให้เราได้ทั้งงานดีๆ เกิดขึ้น มีเวลาที่จะเขียนงานดีๆ ให้กับพุทธบริษัท ญาติโยมแปลออกไปสู่ภาษาต่างๆ มากขึ้น 2.สุขภาพของเราที่เหนื่อยง่ายเพลียง่าย ร้อนในบ่อยมาก (เน้นเสียง) เพราะพักผ่อนน้อย พอมาอยู่ที่นี่สิ่งต่างๆ หายไปหมดเลย สุขภาพกาย สุขภาพจิตดี มีเวลาให้กับตัวเองได้นักคิด-ค้น-เขียนงานที่จะฝากเอาเป็นมรดกปัญญาให้กับโลกต่อไป

Q : ไม่ได้หมดสิ่งที่จะสื่อสารกับสังคม

ไม่หมด เพียงแต่ว่า 10 ปีที่เราสื่อสารออกมามันเปลี่ยนสังคมได้น้อย เราเชื่อว่าอย่างนั้นเพราะว่าสังคมฉาบฉวย เวลาที่ให้สัมภาษณ์ไป เวลาที่มีให้คิดให้ถี่ถ้วน มีน้อย แต่การถอยมานั่งคิดค้น ทำให้เราได้ละเมียดละไมกับพุทธธรรมคำสอน ได้ทำงานที่ยั่งยืนมากขึ้น ตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญกว่า เพราะฉะนั้นประเด็นของเราสนใจการทำงานในเชิงคุณภาพมากกว่าการมุ่งเน้นงานปริมาณเยอะๆ แล้วก็สนใจการฟื้นฟูดูแลสุขภาพให้เข้มแข็งทั้งกายและใจ

Q : ปัจจุบันสิ่งที่ท่านสนใจคืออะไร?

หลังจากอายุ 35 สิ่งที่สนใจของเราคือ 'วิปัสสนา กรรมฐาน' ไม่ได้สนใจที่จะเป็นข่าวหรืออยู่หน้าสื่อ ไม่ได้สนใจอยู่ในการจับจ้องมองดูของประชาชน หรือสื่อมวลชน เราสนใจที่จะค้นหาความลุ่มลึกในตัวเอง สนใจที่จะหาที่จะค้นหาความเข้าใจชีวิต มากกว่าที่จะค้นหาเกียรติภูมิ ชื่อเสียง ยศ อำนาจ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคนเรา เพราะรู้สึกว่าชื่อเสียงไม่ยั่งยืน ซึ่งเราอยู่ในสถานะของคนมีชื่อเสียงมาแล้ว ขึ้นไปอยู่บนหอคอยเกียรติยศมาแล้ว เรารู้สึกว่ามันไม่ได้ให้ความอิ่ม ลุ่มลึก เต็มอิ่มทางจิตใจแก่เรา สิ่งที่เราต้องกลับมาก็คือ ให้ความลุ่มลึกในใจตัวเองมากกว่า ฉะนั้นสิ่งที่เราสนใจก็คือความเข้าใจชีวิต เพราะว่าเป็นสิ่งที่มันสำคัญที่สุดในชีวิต

Q : แล้วสิ่งที่ท่านหมดความสนใจ ขณะถอยกลับมาในที่ตั้ง คือเรื่องอะไร

สิ่งที่หมดความสนใจไปเลย คือกิจนิมนต์ สมัยก่อนชั่วโมงหนึ่งกว่า 100 งาน เคยเกิดขึ้นมาแล้ว วันหนึ่ง 300 งานก็เกิดขึ้นมาแล้ว ถามว่าทุกวันลดลงไหมยังมากเหมือนเดิม เพราะขณะนี้บวกฝั่งอเมริกา-ยุโรป ที่เข้ามาเยอะมาก แต่เราเลือกที่จะทำงานเชิงคุณภาพเยอะกว่า 'เราอยากทำน้อยๆ แต่อยากให้ได้เนื้องานมากๆ'

อาตมาเขียนเป็นคติบอกลูกศิษย์ไว้เลยว่า 'ทำหนึ่งได้ร้อย ทำน้อยได้มาก' นโยบายตอนนี้คือถอยหลังเข้าคลอง' หรือพูดอีกอย่างคือ 'ถอยไปข้างหน้า' คำว่า 'ถอย' ส่วนใหญ่เราคิดว่าถอยหลังใช่ไหม แต่สำหรับเราถอยคือถอยไปข้างหน้า คือเราถอยกลับมาให้มันลุ่มลึกขึ้น เพื่อที่จะได้มีเวลามากขึ้นลุ่มลึกมากขึ้นจะสามารถสร้างสรรค์งานดีๆ แล้วยังไปทำประโยชน์ให้กับโลกยั่งยืนมากขึ้น อันนี้คือสิ่งที่ต้องการ

Q : ย้ำอีกทีไม่ได้หนี ถอยร่น เพราะแพ้ หรือ ถอยแบบไม่เอาเบื่อ ไม่อยากต่อสู้กับความคิดคน ความขัดแย้งคน กระทั่งแพ้ภูมิกรุงเทพฯ แพ้ภูมิความขัดแย้ง?

เป็นการถอยในเชิงยุทธศาสตร์ เรามองว่าการเผยแผ่พระพุทธศาสตร์มันไม่ควรจะทำเฉพาะคนไทยหรือคนไทย เมืองไทยคือสวนหย่อมในแผนที่โลกเราอยากถอยหลับมาเพื่อจะพัฒนาตัวเองให้มีศักยภาพ ในการที่จะนำธรรมะเพื่อที่จะเอาไปวางโปรยให้ผู้คนทั้งโลก ซึ่งเมื่อเราถอยกลับมาแล้ว ปรากฏว่าเราสามารถจะทำอย่างที่เราต้อง การได้จริง เป็นเวลา 8 ปีที่เราถอยมา แทบทุกปี เราเดินทางไปทั่วยุโรปแล้วอเมริกา ไม่น้อยกว่า 2 เดือนผลก็คือ ฝั่งยุโรป-อเมริกา มีศิษยานุศิษย์ที่มาเรียนภาวนากับกับเราเพิ่มขึ้นทุกปี และมีมากกว่า 100 คนที่สามารถสอนสมาธิภาวนา อยู่ในยุโรป อเมริกา แคนาดาได้ด้วย

พูดตรงๆ 14 ปีในกรุงเทพฯ เราทำประโยชน์ให้แก่สังคมผิวเผินมาก เพราะว่ามันเป็นเพียงการเทศน์ การสอน เขียนหนังสือในแบบพื้นฐานของพระพุทธศาสนา ยังขาดมิติความลุ่มลึกของจิตวิญญาณอีกมาก เราจึงคิดว่า ถ้าเรานำคนมาได้ถึงระดับหนึ่งแล้วช่วยคนได้ไม่มากอย่างที่เราต้องการ ก็ควรต้องกลับมาพิจารณารูปแบบการทำงานของพวกเรา ซึ่งอาตมาแบ่งการทำงานของพวกเราออกเป็น 3 ช่วง

1.ช่วงญาติโยมเริ่มรู้จัก หรือช่วงโรแมนติก

2.ช่วงเรียลลิสติก เน้นการวิพากษ์สังคม เป็นช่วงที่อยู่หน้าสื่อตลอด อ่านหนังสือพิมพ์เจอคนพูดถึงตัวเองทุกวัน

3.ช่วงนี้เป็นช่วงของจิตวิญญาณเป็นช่วงแสวงหาความลุ่มลึก เป็นช่วงของการมองข้ามเปลือกผิว ไปสู่แก่นในชีวิต  ซึ่งช่วงนี้เราเชื่อว่าถ้าพัฒนากันถึงช่วงนี้แล้ว ช่วงนี้เป็นช่วงที่เชื่อมั่นว่า ถ้าเราพัฒนามาถึงเราทุกคน เราจะพบความสุข ซึ่งเป็นสิ่งที่เรามองหามาตลอด ช่วงแสวงหาเนื้อในทางจิตวิญญาณของเราทุกคน เราจะมีชีวิตที่สดชื่นรื่นเย็น โปร่งโล่งเบา เราจะสามารถมีความสุขแล้วใช้ชีวิตได้อย่างเป็นตัวของตัวเอง

Q : การเดินลงจากที่สูงลงมาอย่างรวดเร็วรับมืออย่างไร

การลงจากที่สูงมี 2 อย่าง 1.ลงแบบไม่เต็มลง แบบมีอุบัติเหตุให้ลงมา 2.ลงเพราะตั้งใจที่จะลง เพราะเห็นแล้วว่ายอดเขาไม่มีอะไรที่เรามองหา เราเป็นประเภทที่ 2 ตั้งใจที่จะลงมา เมื่อลงมาแล้วเราจึงมีการเตรียมพร้อม เช่นมีศูนย์วิปัสสนาสากลไร่เชิญตะวันรออยู่แล้ว ตรงนี้เป็นทัพหลวงเพื่อเผยแผ่พุทธศาสตร์ของประเทศของเรา ถ้าลงโดยที่ไม่มีการเตรียมพร้อมมาก่อน อาตมาก็ไม่รู้ว่าจะไปอยู่แห่งหนตำบลไหน แต่เพราะเราตั้งใจที่จะลง

เราถามใจตัวเองก่อนมาตรงนี้ตลอด เป็นเวลา 5 ปี แล้วเราโชคดีได้ไปเรียนรู้กับ 'หลวงปู่ติช นัท ฮันห์' ที่หมู่บ้านพลัม ประเทศฝรั่งเศส 2 อาทิตย์ ยิ่งไปอยู่ใกล้ครูบาร์อาจารย์ ยิ่งสะท้อนให้สิ่งที่เราแสดงมาตลอดว่า ชีวิตพระนั้น ควรเป็นชีวิตทางจิตวิญญาณ ควรเป็นชีวิตที่เป็นชีวิตที่ปราศจากยศ อำนาจ มีความสดชื่น รื่นเย็นในหัวใจ แล้วก็เป็นผู้นำทางจิตและปัญญาอย่างแท้จริง ดัชนีชี้วัดของสงฆ์ ไม่ควรเป็นยศ ทรัพย์อำนาจ แต่ควรจะเป็นอิสรภาพ จากความโลภโกรธหลงมากกว่า ซึ่งถ้าเรามีอิสระภาพมาเท่าไหร่ เราจะทำประโยชน์ได้มากเท่านั้น

Q : ทุกวันนี้ยังมีความต้องการ ยศ ทรัพย์ อำนาจ อยู่ไหมสิ่งที่ท่านว่าอยู่บ้างไหม?

นั่นเป็นเหตุผลที่เรามาชีวิตแบบนี้ ถามว่าทุกวันนี้ยังมีไหม ยังคงมี แต่ว่าบางเบา ไม่ได้หนาแน่น เหมือนปุถุชนคนทั่วไป เพราะว่าเราบวชมา 20 กว่าปีแล้ว เรามองเสมอว่า ถ้าเราบวชมา 20-30 ปีแล้ว รักโลภ โกรธหลง ไม่ได้ลดลง อันนี้ถือว่าเป็นความล้มเหลวของนักบวช ถ้าเราบวช 20-30 ปีแล้วยังอิจฉาตาร้อนอยู่ ยังมักใหญ่ใฝ่สูงอยู่ ยังยึดติดหัวโขนอยู่ ยังอยากจะได้ใครจะมีอยู่ แล้วก็ถือว่ายศ ทรัพย์อำนาจ เป็นความสำเร็จเหมือนชาวโลกอยู่นักบวชคนไหนที่ยึดถือแบบนี้ถือว่าท่านไม่มีพัฒนา การทางจิตวิญญาณอยู่เลย แล้วถือว่าเป็นชีวิตนักบวชที่ล้มเหลว

สำหรับเรายิ่งเราบวชนานขึ้น ยิ่งเป็นอิสระมากที่สุด จนกระทั่งว่า ผูกพันและเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้น้อยที่สุด 

Q : ทุกวันนี้ก็ไม่ได้ยึดติดชื่อเสียง ไม่ยึดติดคนมากมายแห่มารุมล้อม หลายคนขนานนามแกมสัพหยอกเรียกท่านว่า พระเซเลบฯ ไม่มีสิ่งเหล่านี้ท่านก็อยู่ได้

เราเป็นคนที่ตั้งใจจะหนีออกจากชื่อเสียง แต่หนีจากชื่อเสียงในเมืองกรุง ชื่อเสียงก็ตามมาที่นี่ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเราจะหนีชื่อเสียงไม่พ้น แต่ว่าเรารู้จักการใช้ชื่อเสียง เราก็จะไม่มีปัญหากับชื่อเสียง ชื่อเสียงเป็นสิ่งสมมติ ชื่อเสียงเหมือนสายลมเย็น ทำให้เราสดชื่นรื่นเย็น แต่ว่าเราครอบครองไม่ได้ ดังนั้นถ้าเราอยากใช้ชื่อเสียงให้เป็นประโยชน์ เช่นคนสนใจเรา ถ้าเราพูดแล้วมีคนฟัง เราก็เปลี่ยนความดัง มาสร้างความดี นี่คือวิธีที่เราใช้ชื่อเสียง แต่เมื่อเราเข้าใจแล้วว่าชื่อเสียงเป็นสิ่งสมมติ

ไม่ใช่แก่นสารของการดำรงชีวิต แต่ไม่ถึงเวลาใช้เราก็วาง ปล่อยได้ ถึงเวลาใช้ก็ใช่ ถึงเวลาวางก็วาง สำหรับเรา ยศทรัพย์อำนาจ ไม่ใช่สิ่งสำคัญมันเป็นเปลือกผิวของชีวิต เรื่องแบบนี้ได้ก็ดีไม่มีก็ได้ ไม่ได้มีปัญหากับชีวิต

Q : ท่านเคยบอกว่า 'สุดมือสอย ก็ปล่อยซะ' ชื่อเสียงก็เช่นกัน อำนาจก็เช่นกัน ความโด่งดังก็เช่นกัน

เจริญพร, การที่อาตมามาอยู่ที่นี่ไม่ได้ทิ้งชื่อเสียงเพราะเราโหยหามัน แต่เราทิ้งเพราะเราลิ้มแล้วรู้ว่าไม่ใช่สิ่งสำคัญของชีวิต เป็นความเดินลงเขาแบบตั้งใจที่จะลง จึงตั้งหลักเพื่อที่จะเร่ิมต้นใหม่ ได้อย่างมีทิศทางที่ชัดเจน ขณะเดียวเมื่อเราอยู่ในโลกเราหนี ได้ลาภเสื่อมลาภ ได้ยศเสื่อมยศ สรรเสริญนินทาสุขทุกข์ไปไม่พ้น เพราะว่าเราอยู่ในโลกธรรมย่อมเจอโลกธรรมเป็นธรรมดา ในเมื่อเราหนีไม้พ้นเราก็หันมาอยู่กับโลก แต่ด้วยความเข้าใจโลก ไม่ใช่คนที่หลงโลก

อยู่ในโลกให้เหมือนปลาอยู่ในน้ำ ปลาอยู่ในน้ำไม่สำลักน้ำ อยู่ในโลก ไม่สำลักเหยื่อ หรือกิเลสของโลก นั่นคือวิธีที่ควรจะใช้ ถ้าเราขวางโลกมันก็ไม่ใช่ ดีที่สุด เราก็อยู่ในโลกแล้วรู้จักใช้ประโยชน์ของโลก เหมือนคนที่ใช้โทรศัพท์ที่เป็นเทคโนโลยีอันหนึ่งของชีวิต ใช้เสร็จก็วาง เราก็ใช้ชื่อเสียงแบบนั้น ใช่กันไม่ได้ยึดติดถือมันอะไร ถ้าโยมบอกมันมีชื่อเสียงมันก็คือสมมติ พอญาติโยมกราบเราก็กลับมาที่เดิม สู่สุดคืนสู่สามัญไม่ได้ยึดติดถือมั่นอะไร เราก็มีความสุข

Q : ช่วงเวลาที่โลดแล่นอยู่ในหน้าสื่อถูกใจก็มี ผิดใจก็มากมีอะไรอยากกลับไปแก้ไขบ้างไหม

ไม่มีอะไรที่อยากจะแก้ไข ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะดีหรือร้าย จะถูกหรือผิด จะสำเร็จหรือล้มเหลว จะถูกชมหรือตำหนิวิจารณ์ ทั้งหมดคือองค์ประกอบของการมีชีวิตที่ดี ไม่มีปัญหา เราได้ใช้ชีวิตแล้วเราได้เรียนรู้ คมหอกคมดาบของโลก เราได้รู้จักเกสรดอกไม้ของโลกแล้ว เห็นโลกมาแล้ว 2 ด้าน ฉะนั้นโลกทั้งสองด้านก็หลอมรวมขึ้นมาเป็นการใช้ชีวิต

ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องไปแก้อะไร สำหรับอาตมาเราเรียนรู้ได้จากอดีต เพื่อที่จะต่อเติมปัจจุบันแล้วก็สร้างสรรค์อนาคต ทุกสิ่งทุกอย่างที่อ่านที่เข้ามาในชีวิตล้วนเป็นองค์ประกอบให้เราเข้าใจชีวิต ที่ดีขึ้น สุกงอมขึ้น ลุ่มลึกขึ้น เราจึงไม่มีปัญหาในการกลับไปแก้อดีตไหม ที่แล้วแล้วกันไป อยากทำให้ดีขึ้น ทำทุกวันนี้ให้ดีกับวันวาน แล้วจะทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่าวันนี้ นี่คือคติของเรา

Q : ตอนนี้สิ่งที่สังคมก็ยังเหมือนเดิมก่อนที่ออกมา คำถามก็คือสังคมเป็นอะไร

นั่นคือเหตุผลหนึ่ง ที่เราถอนตัวออกจากความวุ่นวายในกรุงเทพฯ เพราะรู้สึกว่าเราใช้ชีวิตกันอย่างเปลือกผิว แล้วปฏิสัมพันธ์กับทุกสิ่งทุกอย่างอย่างเปลือกผิว ไม่ว่าจะเป็นยศทรัพย์อำนาจก็ดี เงินตราก็ดี ไม่ว่าจะเป็นระบอบการเมืองก็ดี อาตมาคิดว่าคนไทยสัมผัสเรื่องพวกนี้แบบเปลือกผิว เราหาคนที่สนในสิ่งเหลานี้อย่างลุ่มลึกได้ยากมาก แล้วท่ามกลางการทำอะไรที่เปลือกผิว เราจะเป็นคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตแบบเปลือกผิวแบบเขากระนั้นหรือ จึงถอนตัวแล้วมองกลับเข้าไปเพื่อที่จะแสวงหา อะไรที่มันเป็นแก่นสารของชีวิต แล้วก็คิดว่าการถอนตัวออกมาจากกรุงเทพฯ เป็นการถอนตัวได้ถูกที่ ถูกทาง และถูกจังหวะมากๆ

ถ้าช้ากว่านี้ อาจจะถูกกรุงเทพฯดึงรัดมันตรึง จนถอนตัวไม่ออก คนที่แก้วิกฤติต้องเป็นคนที่อยู่นอกวิกฤติ ถ้าอยู่ในวิกฤติก็เหมือนกับนักมวยที่อยู่บนเวทีคุณมองไม่เห็นหรอกว่าคุณชกอย่างไร เมื่อถอนตัวแล้วมองกลับไป เราก็จะเห็น โอ้...เมืองไทย หลงอยู่ในยศ ทรัพย์ อำนาจ การศึกษาเพื่อเสริมอัตตา ไม่ได้เสริมปัญญา การเมืองก็เพื่อเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูล เงินทองก็มองว่าเป็นการชี้วัดความสำเร็จทั้งๆ ที่สิ่งเหล่านี้เป็นเสื้อนอกของชีวิตไม่ได้เป็นเนื้อในของชีวิต แต่แล้วทำไมคนก็ยังหมกมุ่นอยู่ตรง นี้ติดตรงนี้ แล้วนับวันทุกวงการก็เป็นแบบนี้ วงการสงฆ์ วงการเมือง วงการศึกษา วงการเศรษฐกิจ

เราจะเห็นได้เลยว่า เต็มไปด้วยคนที่ใช้ชีวิตแบบเปลือกผิว หาคนที่เป็นตัวแทนทางปัญญาได้ยาก หาคนที่ลุ่มลึกทางจิตวิญญาณได้น้อย เราจึงต้องถอนตัวออกมา เพื่อแสวงหาสิ่งที่เป็นเนื้อในของชีวิตถ้าหากเป็นไปได้ ถ้าสิ่งนั้นดีจริงเราก็อยากแบ่งปันกับคนทั้งโลก

Q : ถอยกลับมาในสิ่งที่ตั้ง ท่านจะไม่วิพากษ์วิจารณ์ไปทุกอย่าง ไม่เป็นพระครอบจักรวาลพูดถูกไหม

สมัยก่อน การที่เราวิพากษ์วิจารณ์สังคมเยอะมากเพราะว่า 1.เราอยู่ใจกลางประเทศ 2.มันเกิดอะไรขึ้น เราอยู่ตรงนั้นมันกระแทกเราโดนตรงไม่มากก็น้อยเราก็ได้รับ 3.พอเรามีชื่อเสียงคนก็อยากฟังทัศนะ ทำให้เราอยู่หน้าสื่อตลอดเวลา แต่เมื่อเราถอยออกมา เราเห็นว่าหลายเรื่องเราขาดความลุ่มลึกวิพากษ์อย่างผิวเผิน หลายเรื่องเราน่าจะพูดอะไรให้เป็นประโยชน์มากกว่านี้ เมื่อมีการทบทวน เราก็เห็นว่าควรจะเลือกพูดถึงบางเรื่องที่เรารู้จัก พูดถึงประเด็นที่เราพูดบางประเด็นเท่านั้น อะไรเป็นเรื่องที่เราไม่รู้จริง เราก็ไม่จำเป็นต้องพูด บางประเด็นที่เรายังศึกษาไม่มากพอก็ควรเก็บเอาไว้ก่อน ให้ตกผลึก อาการที่อยากเป็นข่าวตอนนี้เรียกได้ว่าไม่เหลือเลย อาการที่อยากจะอยู่ในความสนใจจากประชาชน สื่อมวลชนตอนนี้ น้อยถึงน้อยที่สุด สิ่งเราสนใจตอนนี้คือการแสวงหาความลุ่มลึก 

Q : สิ่งที่ท่านพูดน่าสนใจ คือการไม่พูดสิ่งที่ยังไม่ตกผลึกมากพอ มีเรื่องไหนไหมที่จะไม่วิพากษ์วิจารณ์ ในปัจจุบันขณะนี้ไหม การเมือง?

เรื่องความขัดแย้ง ของพี่น้องชาวไทย ซึ่งผ่านมา 10 ปี เราถอยออกมา แล้วเราศึกษาเอกสารของทุกฝ่าย ได้เห็นชัดเจนว่า หลายครั้งหลายคนเราก็เป็นเหยื่อ หลายคนเราก็เป็นเครื่องมือ บางฝัก-ฝ่ายโดยไม่รู้ตัว หลายครั้ง เราเองก็ถูกชักลากเข้าไปในใจความของความขัดแย้ง เมื่อถอนตัวออกมา ได้ศึกษามากขึ้นเกิดอาการที่ว่า ตาสว่าง เราได้เข้าในสถานการณ์มากขึ้น ได้เข้าใจหลายสิ่งหลายอย่าง

จากที่เคยมองในระดับปัจเจกบุคคลก็เป็นการมองที่โครงสร้าง บางทีมองเห็นเฉพาะคู่กรณีความขัดแย้งเฉพาะหน้า ก็สามารถมองเห็นเหตุ ตั้งแต่ 2475 จนถึงทุกวันนี้ แล้วพอเราเห็นเหตุ เหตุปัจจัยชัดเจน มันก็เกิดความสงสารประเทศไทย เกิดความสงสารคนที่ยังตกอยู่ในเขาวงกตในความขัดแย้ง นั่นเป็นเหตุที่ทำให้เราอยากพูด เมื่อมีคนอยากฟัง จะให้ความเห็นเมื่อมั่นใจว่ามีความรอบรู้ และลุ่มลึกมากพอ ไม่กระตือรือร้นว่าอยากจะเป็นสื่ออีกต่อไป แต่ยังคงกระตือรือล้นที่จะแก้ปัญหาให้กับประเทศชาติบ้านเมืองต่อไป ยังเป็นอยู่เหมือนเดิม แต่ว่าอยากทำให้ดีกว่าเดิม เป็นนักมวย ไม่ใช่อย่าง 'ไมค์ ไทสัน' เอาแรงเอาหัวเข้าชน เราจะเป็นอย่าง 'ซูการ์เรย์' ใช้สมองในการชกมากกว่า นั่นคือสิ่งที่เราเป็นอยู่ ณ ปัจจุบันขณะนี้

Q : ความตั้งใจในการบวชวันแรกจนถึงวันนี้ยังดำรงอยู่?

เรามีความฝันอันชัดเจนในการบวช คืออยากรู้ในสิ่งที่พระพุทธเจ้ารู้ อยากเข้าใจในสิ่งที่พระพุทธเจ้าเข้าใจ เมื่อรู้แล้วเข้าใจแล้วก็อยากเอาสิ่งเหล่านั้นไปแบ่งปันชาวโลก อันนั้นคือจุดหมายในชีวิตของอาตมาภาพ นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่เราเข้ามาอยู่ที่ยศ ทรัพย์ อำนาจไม่เข้ามาเกี่ยวข้อง โยมสังเกตไหม เรามาอยู่ในจุดที่ไม่ต้องเป็นเจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบล จังหวัด ใดๆ ทั้งสิ้น เราพยายามที่จะเข้าไปอยู่ในจุดที่ไม่มียศ ทรัพย์ อำนาจ เพื่อที่จะได้อุทิศวันเวลาทั้งหมดได้ศึกษา ธรรมวินัยได้ถ่องแท้ ทั้งภาคทฤษฎี มาปฏิบัติ เพื่อนำภูมิธรรมศาสนามาช่วยเหลือชาวโลก เชื่อมั่นว่า ชีวิตพระนั้นเป็นชีวิตที่สงบเย็นและเป็นประโยชน์

Q: ปัจจุบันก็มุ่งมั่นที่จะทำความฝันเหมือนเดิม

ยังเป็นเหมือนเดิม เรายังอ่านหนังสือ เขียนหนังสือ เทศน์ สอนหนังสืออยู่ แต่สิ่งที่เพิ่มเติม เราให้เวลากับการวิปัสสนากรรมฐาน ในสัดส่วนที่มากกว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้ว สิบปีที่แล้วเราใช้สมองมากไปหน่อย โดยไม่ค่อยได้ใช้มิติจิตวิญญาณและหัวใจ สมองยังไม่ค่อยปรองดองกับหัวใจ จะสังเกตได้ว่า บางครั้งมีความก้าวร้าวในข้อเขียน ในเสียงการวิพากษ์วิจารณ์ ขาดความรู้ ความเข้าใจ และขาดเมตตาธรรม แต่เมื่อสมองปรองดองกับหัวใจ น้ำเสียงก้าวร้าวมันลดน้อยลงไป ความกระเหี้ยนกระหือวิพากษ์สังคมลดน้อยลงไป ความเข้าอกเข้าใจความสงสารเพื่อนร่วมชาติก็เข้ามาแทนที่ ตรงนี้เราคิดว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว

เมื่ออายุมากขึ้น ความรู้ต้องมาคู่กับความรัก ความรู้คือปัญญา เมตตาคือความกรุณา 2 สิ่งนี้เป็นคุณสมบัติของพระพุทธองค์ เมื่อใดมีความรู้แล้วมีความรักที่นี่จะน่าอยู่ที่สุด แล้วใครก็ตามถึงแล้วความพร้อมของความรักรู้ความรู้ คนคนนั้นก็ถือว่าเป็นคนที่ใช้ชีวิตที่คุ้มค่ามากที่สุด

Q: ทำไมคนไทยเวลาอธิษฐานชอบขอความร่ำรวยก่อนอย่างอื่น มันสะท้อนว่าอะไร

สะท้อนว่าคนไทยยังปากกัดตีนถีบกันอยู่ 80% ยังยากจน นั้นเป็นสิ่งที่เขาสะท้อนมาในพรความปรารถนาของชีวิต อยากจะมั่นคั่งพรั่งพร้อม 2.สังคมไทยอยู่ในสังคมทุนนิยม บริโภคนิยมที่นิยมวัดกันด้วย ความสำเร็จ กันด้วยยศทรัพย์อำนาจ เมื่อสังคมมีทัศนคติแบบนี้ก็เป็นธรรมดาที่คนอยากได้ยศทรัพย์ อำนาจ ดังนั้น พรที่ขอก็เป็นเรื่องเหล่านี้ ความร่ำรวยเกียรติภูมิทั้งหมด 3. คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตถือว่าเป็นไอดอลของคนไทย ก็ล้วนแล้วแต่มั่งคั่งพรั่งพร้อมในยศอำนาจกันเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นพรที่เขาก็ ก็ไม่หนี มั่งคั่งมั่งมี ขอให้ร่ำรวย

ถ้ามาถามอาตมาอยากให้พรอะไร เราจะให้พร 3 ข้อ 1.ขอให้มีปัญญา 2.ขอให้มีสุขภาพดี 3.ขอให้มีความสุข ปัญญาดี สุขภาพดี และมีความสุขคือพรที่เราอยากจะอวยพรให้คนไทยทุกคน เมื่อเรามีปัญญา เมื่อเราพบกับปัญหาหนักหนาสาหัสแค่ไหนก็ตาม เราก็จะผ่านไปได้ เมื่อเรามีสุขภาพดี เราคิดอะไรดีๆ ได้ เราก็สามารถทำอะไรได้ทุกอย่างที่เราคิด แต่ถ้าสุขภาพแย่เราได้แต่คิดทำไม่ได้ 3.มีความสุข ชีวิตทุกคนล้วนปรารถนาความสุข ถ้าเกิดมาไม่มีความสุข น่าจะเป็นชีวิตที่ขาดทุน ฉะนั้น เราต้องพัฒนาตัวเองให้เป็นคนที่มีความสุขให้ได้ เราตั้งข้อสังเกตว่า คนส่วนใหญ่มักร้องหาความสุข แต่ไม่ถามหาคุณภาพของความสุข

ดังนั้น เมื่อเราพูดถึงความสุข เราหมายความว่า คุณควรจะมีความสุข แล้วความสุขควรจะเป็นความสุขเชิงคุณภาพด้วย พูดง่ายๆ ความสุขเป็นสิ่งสำคัญ แต่คุณภาพความสุขเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า ชีวิตที่มีความสุขเป็นชีวิตที่ประสบความสำเร็จ คำว่านี้หมายความว่า เรามีความรู้ มีความเข้าใจ และมีความลุ่มลึกทางวิญญาณ คุณก็มีความสุข พรที่เราให้ไว้ ถ้ามีข้อ 1-3 ความสุขมาเอง เป็นความสุขเชิงคุณภาพ แต่ความสุขที่ได้มาแบบไม่ชอบธรรม เรามีเงินมียศทรัพย์อำนาจแล้วเราต้องไปเสียศักดิ์ศรี คอรัปชั่นมา ต้องไปประจบเพื่อนที่จะได้มา แบบนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีคุณภาพ ฉะนั้น อย่ามัวแต่มองความสุขจนลืมถามหาคุณภาพของความสุข

Q : อีก 5 ปีเราจะเห็น ว.วชิรเมธี ในรูปแบบไหน

เป็นเรื่องของอนาคต แล้วแต่ญาติโยมเฝ้ามองก็แล้วกัน แต่ถ้าเราก็ยังคงทำในสิ่งที่เรารัก ยังคงมีความเบิกบานในการรับใช้มนุษย์ อย่างที่เป็นมาเป็นอยู่ อย่างที่เป็นไป  

Q : จะกลับมาในแสงสปอตไลต์อีกสักครั้งไหม

เป็นเรื่องเหตุของปัจจุบันที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทุกวันนี้เราก็พยายามที่จะใช้ชีวิตนี้ให้มีประโยชน์ ทั้งต่อตัวเองและผู้อื่นให้มากที่สุดพูดสั้นๆ คือใช้ชีวิตให้มีความรู้ ลุ่มลึกที่สุด ลึกในโลกชีวิตและจิตวิญญาณ แล้วก็มีความรัก คือความเบิกบานในการรับใช้มนุษย์ อาตมาก็คงมี 2 สิ่งนี้ คือมีชีวิตอยู่ด้วยความรู้ แล้วความรัก เราเชื่อมั่นว่า 2 สิ่งนี้ทำให้เรามีความสุขแท้ และจะทำให้เราช่วยเหลือเกื้อกูลเพื่อนมนุษย์ให้ได้มากที่สุด

ในชีวิตของอาตมาการวัดความสำเร็จคือ คนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่รับใช้เพื่อนมนุษย์ได้มากที่สุด ไม่ใช่คนที่มีเงินมากที่สุด การวัดแบบนั้นเป็นการวัดที่เปลือกผิวที่สุดแล้ว เพราะศักยภาพในการหาเงินทองนั้น สิงสาราสัตว์มันก็มี นกตัวหนึ่งมันบินออกจากรังแต่เช้า กลับรังในตอนค่ำด้วยหนอนเต็มปาก มันก็เป็นเศรษฐีแล้ว ถ้าคนออกจากบ้านแล้วกลับมาด้วยเงินแสนล้าน แล้วบอกว่าประสบความสำเร็จ เราไม่ได้ต่างไปจากนกตัวหนึ่ง ศักยภาพในการหาเงิน ทอง เป็นศักยภาพที่คนและสัตว์ก็มี ความสำเร็จของคนควรวัดด้วยความลุ่มลึกในการเข้าใจโลก เข้าใจชีวิต แล้วคุณค่าที่เขาได้ทำให้กับเพื่อนมนุษย์ได้มากกว่า

ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ : 9 มีนาคม 2559

 

 

คำสัมภาษณ์ข้างต้นนี้ มีใจความว่า พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี มีความตั้งใจในการจะแสวงหาสัจธรรมสำหรับชีวิต อันแตกต่างจากเส้นทางที่นักบวชทั่วไปในเมืองไทยเดินอยู่ ซึ่ง ว.วชิรเมธี ให้คำจำกัดความว่า "เป็นเส้นทางแห่งยศ ทรัพย์ และอำนาจ" ว.วชิรเมธี จึงสู้อุตส่าห์ "ลา" จากวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เขตดุสิต ซึ่งถือว่าเป็น "เขตหนึ่ง" ของประเทศไทยในการเลือกตั้ง ไม่เอากับยศถาบรรดาศักดิ์ตำแหน่งแห่งหนต่างๆ หนีกลับไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ณ ไร่เชิญตะวัน ถ้าอ่านประวัติของผู้มีชื่อเสียงในอดีตก็คงไม่ต่างจาก..พระมหาเงื่อม อินทปัญโญ หรือพุทธทาสภิกขุ แห่งสวนโมกขพลาราม อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี

ที่สำคัญก็คือ ในการให้สัมภาษณ์กับสื่อยักษ์ใหญ่ "ไทยรัฐ" ในครั้งนี้ มันเป็นการ "ประกาศจุดยืน" หรือประกาศแนวทางชีวิต ของ ว.วชิรเมธี ว่า ไม่เอากับ ยศ ทรัพย์ และอำนาจ ไม่ว่าด้วยประการใดๆ แต่จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งที่ตัวเองเห็นว่าดีเลิศประเสริฐศรีกว่าบรรดาสิ่งที่ว่านั้น นั่นก็คือ ตายเป็นตาย ยศ ทรัพย์ และอำนาจ ก็ไม่มีวันครอบงำ หรือทำให้คนที่ชื่อ "ว.วชิรเมธี" ยอมสยบได้ ว.วชิรเมธีเดินทางมาไกลแล้ว มันไกลเกินกว่าจะกลับไปเริ่มต้นทางสายเดิมที่เคยเดินจากมา..วอลาแล้ว และไม่มีวันจะกลับไป นี่ถ้ามิใช่การไปตายเอาดาบหน้า ก็แสดงว่า ว.วชิรเมธี มีอุดมคติอันสูงส่ง ระดับ "พุทธทาสภิกขุ" ที่กล้าลาออกจากวัดกลางกรุงเทพ หนีกลับไปอยู่ภุมเรียงบ้านเกิด ใครได้ยินได้ฟัง "อาสภิวาจา" ของมหาวอ ก็ย่อมจะสรรเสริญในความเป็นเลิศทั้งด้านสติปัญญาและสปิริตคือจิตใจอันสูงส่ง มีร้อยก็อยากให้ทั้งร้อย มีล้านก็อยากจะประเคนเป็นล้าน แบบว่าบรรดาพระภิกษุสงฆ์สามเณรทั่วประเทศหรือทั่วโลก กว่า 300,000 รูป ไม่มีใครประเสริฐเท่ากับ ว.วชิรเมธี อีกแล้ว วอเป็นพระระดับเพชร มิใช่กรวดหรือพลอยด้อยค่าในสายตาของชาวไทยอีกต่อไป นี่ไง พระสงฆ์ในอุดมคติของชาวไทยที่ใฝ่ฝันหามาเนิ่นนาน นานจนคิดว่าคงจะหาไม่พบอีกแล้วในสมัยนี้ !

เวลานั้น สังคมไทยได้จดจำวาทะกรรมอันเป็นอมตะ "ชีวิตสงฆ์ควรปราศจาก ยศ ทรัพย์ อำนาจ" อันพระมหาวอได้ประกาศเป็นสัญญาประชาคมไทยแล้ว อย่างเป็นทางการ

แรกนั้น ฟังดูก็หรูนะ ถ้าเทียบกับ "เจ้าชายสิทธัตถะ" ทรงสละราชสมบัติ จากพระบรมมหาราชวัง และสมบัติพัสถานอันเอกอุ เสด็จไปบำเพ็ญพรตอยู่กลางป่ากลางเขาเอาชีวิตเข้าแลก ก่อนจะกลายมาเป็น "พระโคดมพุทธเจ้า" พระบรมศาสดาของพระพุทธศาสนา ถ้าเทียบกับ "พระมหาเงื่อม อินทปัญโญ" วัดปทุมคงคา เขตสัมพันธวงศ์ ที่เบื่อสภาพของกรุงเทพ หนีกลับไปอยู่พุมเรียงบ้านเกิด ปักหลักอยู่ในป่า ใช้ชื่อว่า "สวนโมกขพลาราม" และประสบผลสำเร็จ กลายเป็น "พุทธทาสภิกขุ" ในปัจจุบัน ส่วน ว.วชิรเมธี หนีจากวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กลางกรุงเทพ ไปอยู่บ้านไร่ชายดอย ถ้าเดินตามทางพระอริยเจ้าก็คงไปถึงไม่จุดใดก็จุดหนึ่ง อย่างน้อยก็คงน้องๆ..พุทธทาส !

เห็นอะไรไหมเอ่ย ว่าเส้นทางอันปราศจาก ยศ ทรัพย์ และอำนาจ นั้น อมตะมหานิรันดร์กาลเพียงใด ว.วชิรเมธี ซึ่งบอกกับใครต่อใครว่า "เป็นนักอ่านตัวยง" ย่อมจะผ่านสายตามาหมด ว่าเส้นทางแต่ละเส้นนั้น เขาเดินกันอย่างไร และจุดหมายปลายทางคืออะไร ?

 





 

แต่..แต่หลังจากให้สัมภาษณ์แก่ไทยรัฐไปได้เพียงเดือนเดียว ตกวันที่ 24 เมษายน 2559 ก็ปรากฏภาพทางเฟสบุ๊คของวัดปากน้ำ เป็นภาพของ ว.วชิรเมธี ได้เข้ากราบคารวะ "สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์" เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช นัยยะว่าเป็นการถวายสักการะเนื่องในวันสงกรานต์ โดยมีพระราชวรมุนี (พล อาภากโร ป.ธ.9) รองอธิการบดี มจร. และรองเจ้าคณะภาค 6 เป็นผู้นำเข้าพบ

นั่นก็ชักจะทะแม่งๆ แล้วว่า เส้นทางอันปราศจากยศ ทรัพย์ และอำนาจของมหาวอ มันคืออะไร ทำไมต้องไปวัดปากน้ำ ซึ่งเป็นศูนย์รวมแห่ง "ยศ ทรัพย์ และอำนาจ" ซึ่งเป็นคนละจุดหมายที่มหาวอเคยประกาศก่อนหน้านี้

แต่นั่นก็ยังแค่..ไปคารวะ มิได้ไปรับพัดรับยศศักดิ์หรือตำแหน่งแห่งหนใดๆ วอจะไปเรื่องอะไรไม่มีใครรู้ อาจจะบังเอิญก็เป็นได้ เพราะอะไรๆ ก็เป็นไปได้ คนที่รู้เรื่องนี้มีเพียง วอกับเจ้าคุณพล สองคนนี้เท่านั้น

 




 

 

แต่ครั้นวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ.2559 หลังจากมหาวอประกาศ "ไม่เอายศ ทรัพย์ และอำนาจ" ไปเพียง 6 เดือน แฟนๆ ของ ว.วชิรเมธี ก็ช็อกกันไปทั้งบาง เมื่อพบว่า เฟสบุ๊คของทั้งวัดปากน้ำและของ ว.วชิรเมธี เอง ต่างระดมพลประกาศ "ท่าน ว.วชิรเมธี เข้ารับตราตั้ง ตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง วัดพระสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย จากสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ณ พระอุโบสถวัดปากน้ำ" ตามด้วยภาพถ่ายถี่ยิบ เป็นภาพพระมหาวอทำฮาราคีรีตัวเองที่โบสถ์วัดปากน้ำ  ถ่ายรูปถ่ายร่างอย่างสมยศสมอย่าง ปิดฉากภาพยนตร์ชีวิตของ ว.วชิรเมธี เรื่อง "ชีวิตสงฆ์ควรปราศจาก ยศ ทรัพย์ อำนาจ" แบบไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น พูดเป็นภาษาอังกฤษว่า "No more - No Vor"

 

 

"ก่อนพูด เราเป็นนายของคำพูด หลังพูด คำพูดจะกลับมาเป็นนายของเรา"

พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวคำอมตะไว้เช่นนี้

 

ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2534 เกิดวิกฤติการทางการเมืองไทย เพราะบุคคลสำคัญในคณะ รสช. ขณะนั้น คือ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ผู้เคยอหังการประกาศว่า "ผมไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่ว่ากรณีใดๆ" แต่ครั้นหลังเลือกตั้ง ก็กลับมารับตำแหน่ง โดยพลิกคำพูดว่า "ผมยอมเสียสัตย์เพื่อชาติ" ก่อให้เกิดวิกฤติทางการเมืองจนเกิดการนองเลือด เรียกว่า "พฤษภาทมิฬ" ก็เพราะคำๆ เดียว คือ..เสียสัตย์เพื่อชาติ !

 

ในอดีตนั้น มีพระเคย  "เสียสัตย์" มาแล้วหลายรูป อาทิเช่น

นายนราธิป กาญจนวัฒน์ หัวหน้าวงดนตรี "ชาตรี" อันโด่งดังในเมืองไทยเมื่อ 30 ปีก่อน จู่ๆ ก็ประกาศ "บวชไม่สึกตลอดชีวิต" โดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ อ้างเพียงว่า "ศรัทธาในพระพุทธศาสนา" ชาวประชาก็เชื่อ นราธิปบวชวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ.2532 จนกระทั่งวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ.2548 พระนราธิป สนฺตจิตฺโต ก็ประกาศ "ลาผ้าเหลือง" พร้อมกับวาทกรรมใหม่ "สุดทางบวช แต่ไม่สุดทางธรรม"

พระมิตซูโอะ คเวสโก ซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่น มีประวัติเคยเดินทางอย่างโชกโชกไปทั่วโลก รวมทั้งอินเดีย ก่อนจะมาศรัทธาในสายของหลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง จนกระทั่งได้เข้ารับการอุปสมบท เป็นศิษย์สายต่างประเทศรุ่นแรก ในปี พ.ศ.2518 เป็นศิษย์สายต่างประเทศรุ่นแรกๆ ไล่ๆ กับหลวงพ่อสุเมโธ โดยท่านมิตซูโอะเป็นผู้ก่อตั้งวัดป่าสุนันทวนาราม อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี มีหลักคำสอนสำคัญๆ ของท่านมิตซูโอะก็คือ "หากไม่มีเพื่อนที่ดี อยู่คนเดียวดีกว่า" ซึ่งหมายถึง การใช้ชีวิตในเพศพรหมจรรย์คือเป็นนักบวชนั้น ประเสริฐที่สุด แต่แล้ว วันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ.2556 พระอาจารย์มิตซูโอะ วัย 62 ปี ได้หนีไปสึกกลางดึกที่วัดชนะสงคราม ก่อนจะบินไปญี่ปุ่นอย่างลับๆ กับสตรีสาวนางหนึ่ง ซึ่งปรากฏเป็นข่าวครึกโครมและร้อนแรง จนกระทั่งศิษย์วัดป่าสุนันทวนารามรับไม่ได้ ไม่ยอมให้ทิดมิตซูโอะกลับมาเหยียบวัดป่าที่ตัวเองสร้างมากับมืออีก

พระเจสัน ยัง บวชกับหลวงพ่อวิริยังค์ วัดธรรมมงคล เมื่อปลายปี พ.ศ.2555 ก่อนบวชนั้นได้หมั้นหมายจะแต่งงานกับฝ่ายเจ้าสาว ครั้นบวชได้ไม่กี่วันก็ประกาศ "บวชไม่มีกำหนดสึก" ส่งผลให้ทางฝ่ายเจ้าสาวต้องออกมาอนุโมทนา ถ้า..บวชจริง โดยสาเหตุที่บวชไม่สึกนั้น ทางพระเจสันอ้างว่า "กำลังอินในรสพระธรรม และกำลังปฏิบัติกรรมฐานชั้นสูง" เรื่องเงียบหายไป เพราะเข้าใจว่าพระเจสันคงจะเข้าป่าเข้าเขาไปปฏิบัติธรรมตามที่มุ่งหวัง แต่ครั้นวันที่ 17 มกราคม พ.ศ.2557 ก็มีข่าวว่า พระเจสันยังได้แอบสึกและไปทำบัตรประชาชนไกลถึงอำเภอปรานบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยการสึกนั้นไม่ได้บอกให้ใครทราบเลย ต่างกันลิบลับกับตอนบวชที่ทำอย่างเอิกเกริก ส่งผลให้ครูบาอาจารย์เสียเครดิตบาน เพราะเหมือนกับการใช้ผ้าเหลืองเพื่อเปลื้องมลทินส่วนตัว ครั้นสมอกสมใจแล้วก็สลัดผ้าเหลืองทิ้งไป

เป็นต้น

ทั้งสามท่านนี้ ถือว่าเป็นกรณีตัวอย่างในทางสังคมพุทธไทย ซึ่งสุดท้ายก็ไปไม่รอดซักคน ซึ่งก็ไม่น่าเชื่อว่า คนมีการศึกษาเป็นถึงเปรียญธรรม 9 ประโยค และดีกรีอื่นๆ อีกมากมายอย่างพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี จะไม่เคยได้ข่าวเหล่านี้ และไม่รู้ว่าการกระทำดังกล่าวมันท้าทายอย่างร้ายแรง ทั้งต่อตัวเองและผู้คนรอบข้าง ถ้า..ทำไม่ได้

แต่..พระมหาวอ ก็ยังกล้าที่จะประกาศว่า "เรามาอยู่ในจุดที่ไม่ต้องเป็นเจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบล จังหวัด ใดๆ ทั้งสิ้น เราพยายามที่จะเข้าไปอยู่ในจุดที่ไม่มียศ ทรัพย์ อำนาจ เพื่อที่จะได้อุทิศวันเวลาทั้งหมดได้ศึกษา ธรรมวินัยได้ถ่องแท้ ทั้งภาคทฤษฎี มาปฏิบัติ เพื่อนำภูมิธรรมศาสนามาช่วยเหลือชาวโลก" วอยืนยันมั่นเหมาะว่า ชีวิตนี้หรือชาตินี้ ไม่มีทางที่คนชื่อ "พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี" เมธีชาวเชียงราย จะยอมรับกับสิ่งที่ตนเองเห็นเป็นของจอมปลอมในทางโลก อันได้แก่ ยศ ทรัพย์ และอำนาจ

หากรับไปไม่ว่ากรณีใดๆ นั่นก็แสดงว่า พระมหา ว. ตระบัดสัตย์ โกหก หลอกลวง กะล่อน ปลิ้นปล้อน ลวงโลก เป็นเด็กเลี้ยงแกะ เป็นเซียงเมี่ยง หรือศรีธนญชัย กลับชาติมาเกิด สำนวนไทยว่า มะนาวสามตะกล้าปาไม่ถูกหัว เมืองเหนือเรียกว่า "คนวอกแลน" พูดจาหาความเชื่อถือไม่ได้  แน่นอนว่า พระมหาวอย่อมจะมิใช่พระที่ดีอีกต่อไป เพราะพระพุทธองค์ทรงตรัสว่า "คนที่พูดโกหก จะไม่ทำความชั่วอย่างอื่นนั้นไม่มี"

หมายความด้วยว่า บรรดาธรรมะธัมโมสังโฆอะไรต่างๆ นานา ที่มหาวอเคยพูด เคยเขียน เคยพิมพ์ ผ่านมาในอดีตน่ะ มันเป็นเรื่องโกหกตอแหล ตวัดลิ้นหากินของคนในผ้าเหลืองที่ชื่อ "ว.วชิรเมธี" เท่านั้นเอง มันมิได้มีคุณธรรมน้ำใจอะไร เพราะถ้าลงกล้า "ลวงโลก" ได้ แล้วความชั่วอื่นๆ ล่ะ มหาวอจะไม่กล้าทำได้อย่างไร ในเมื่อ..ไม่ซื่อตรง !

วอกล้าตระบัดสัตย์ต่อหน้าธารกำนันในครั้งนี้ ทำลายคุณงามความดีที่ตัวเองสั่งสมมาชั่วชีวิตเสียป่นปี้ ชี้ว่าสิ่งที่วอทำมาตลอดชีวิตนั้นเป็นโมฆะ ซึ่งก็คงคล้ายกับบทเรียนที่ ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้สั่งสอนจิตรกรนามอุโฆษ "ถวัลย์ ดัชนี" ไว้นั่นแหละว่า

"ปลาของนายไม่มีกลิ่นคาว นกของนายแหวกว่ายไปในอากาศไม่ได้ ม้าของนายไม่สามารถที่จะควบหรือวิ่งทะยานออกไปได้ นายเป็นเพียงแค่นักลอกรูป มันไม่ใช่งานศิลปะ"

ผลงานต่างๆ ของ ว.วชิรเมธี ในอดีต ก็คงทำนองเดียวกัน มันเป็นงานก็อปปี้ งานลอกเลียน งานจำอวด หรือจำขี้ปาก ของครูบาอาจารย์คนโน้นนิดคนนี้หน่อย มาใส่กล่องขายในนาม "ว.วชิรเมธี" มิใช่ภูมิปัญญาอันเกิดมาจากมันสมองหรือการคิดค้นของตนเองแต่อย่างใด (ถึงเป็นก็เป็นของคนจอมปลอมในคราบผ้าเหลือง มิใช่นักบุญผู้ทรงศีล) เพราะวันนี้ ว.วชิรเมธี ได้เผยสันดานธาตุแท้ให้ชาวโลกเห็นแล้วว่า สิ่งที่ตนเองอ้างว่า "ชีวิตสงฆ์ควรปราศจากยศ ทรัพย์ และอำนาจ" นั้น ก็เป็นเพียงคำหลอกลวงของคนในผ้าเหลืองคนหนึ่ง เท่านั้นเอง

แน่นอนว่า การเสียสัตย์ของมหาวอในครั้งนี้ มิใช่ความผิดรุนแรงในระดับ "ปาราชิก" ของพระภิกษุ แต่ก็ถือว่าเป็น "ปาราชิก" ทางสังคมไทย ไม่ต่างไปจากการประกาศ "บวชไม่สึก" ของอดีตพระบางรูป ที่ภายหลังทำไม่ได้ ก็เสียผู้เสียคน ไปทางไหนก็อายเขา เพราะกลายเป็นคนล้มละลายทางศรัทธาต่อสาธารณชน

นับจากวันที่ พระมหาวุฒิชัย หรือ ว.วชิรเมธี ไปรับตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระสิงห์ พระอารามหลวง จังหวัดเชียงราย ที่วัดปากน้ำ เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2559 ที่ผ่านมา ว.วชิรเมธี ได้กลายเป็นคนล้มละลายทางศรัทธาต่อประชาชนคนไทยแล้ว เพราะเป็นคนทรยศต่ออุดมการณ์ของตนเอง และทรยศต่อญาติโยมที่เขาเลื่อมใสศรัทธา ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า..จะเป็นเรื่องจริง แต่..ก็เป็นไปแล้ว

และขอย้ำว่า ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่มหาวอทำตัวเอง ไม่มีใครไปทำอะไรมหาวอทั้งสิ้น ดังนั้น จะโทษใครในโลกนี้มิได้เลย ผู้เขียนเป็นแต่เพียงนำเอา "คำพูด" และ "พฤติกรรม" ของมหาวอ มาเรียงลำดับให้ท่านผู้อ่านได้ทัศนากันเท่านั้น ตามแนวทางของพระพุทธองค์ที่ทรงเปรียบเทียบ "คำก่อน" กับ "คำหลัง" ว่า "ถ้าไม่ตรงกัน ก็ใช้ไม่ได้" ดังพระบาลีที่ว่า "ยถาวาที ตถาการี" ที่แปลว่า "พูดอย่างไรไป ก็ต้องทำอย่างนั้น" ใครที่พูดกับทำไม่ตรงกัน พระพุทธองค์ก็ทรงจัดเป็น "โมฆบุรุษ" เป็นพวกลวงโลก พรรค์เดียวกัน ไม่ว่าจะจบเปรียญไหน ปริญญาอะไร หรือได้รางวัลดีเด่นอะไรมามากมายก็ตาม ลาที่เอาหนังราชสีห์มาคลุมหลัง ถึงยังไงก็ร้องเป็นเสียงลาอยู่วันยังค่ำ และ ว.วชิรเมธี ก็ร้องเสียงลา ให้ชาวไทยได้ยินกันทั้งประเทศแล้ว ในวันนี้ !

 

นับจากนี้เป็นต้นไป บทบาทใดๆ ของ ว.วชิรเมธี จึงมิใช่บทบาทของพระสงฆ์ผู้ทรงศีล หากแต่เป็นบทบาทของ "คนในผ้าเหลือง" ผู้กล้าโกหกต่อสาธารณชน เป็นคนลวงโลก เชื่อถือไม่ได้ แม้ไม่ถึงกับต้องถูกขับไล่ออกจากผ้าเหลือง แต่ก็ต้องถูกต่อต้าน ไม่ให้คนหน้าด้านคนนี้มาใช้ผ้าเหลืองเป็นที่อาศัย "หลอกลวง" ชาวบ้านหากินอีกต่อไป

แต่ถึงอย่างไรก็ยังคง..เสียดาย และเสียดายมากๆ กับคนในผ้าเหลืองที่ชื่อ "ว.วชิรเมธี" ที่มีดีมากมายหลายอย่าง แต่สุดท้ายก็ทำลายตัวเองด้วยการเสียสัตย์ เพราะถ้านับคุณสมบัติของ ว.วชิรเมธี รวมทั้งความสามารถพิเศษต่างๆ นั้น ก็ถือว่าหายาก หากประคับประคองตัวเองให้ดี ไม่ออกนอกลู่นอกทาง ไม่ชิงสุกก่อนห่าม ไม่กล้าเกินงาม ไม่เก่งเกินไป ก็เชื่อว่า น่าจะเป็นครูบาอาจารย์ เป็นที่ยอมรับนับถือระดับประเทศได้ ถ้าถึงวัยเถระ แต่ก็คงดังที่ท่านเจ้าคุณพระราชกิตติสุนทร หรืออาจารย์บุญเลิศ เจ้าอาวาสวัดเจดีย์งาม อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ เคยกล่าวเอาไว้นั่นแหละว่า "มันมีดีทุกอย่าง เสียอย่างเดียว ไม่รักดี"

 

ถามว่า คนเสียสัตย์ สอพลอ กลอกกลิ้งปลิ้นปล้อน อย่างมหาวอคนนี้น่ะหรือ ที่เหมาะสมจะเข้าไปรับพัดยศเป็นพระราชาคณะ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถึงในรั้วในวัง ?

 

ว.วชิรเมธี เป็นได้อย่างมากก็แค่..ศรีธนญชัย

พระมหานรินทร์ นรินฺโท
10 ตุลาคม 2559

 

 

 

E-Mail To BK.

peesang2555@hotmail.com

 


ALITTLEBUDDHA.COM WAT THAI LAS VEGAS 2920 MCLEOD DR. LAS VEGAS NV 89121 U.S.A. 702-384-2264