90 ปี หลวงพ่อพระราชภาวนาวิมล เจ้าอาวาสวัดพุทธปทีป ประธานองค์กรธรรมทูตไทยในสหราชอาณาจักร
นับเป็นสิริมงคลอย่างยิ่ง เมื่อได้ทราบข่าวว่า หลวงพ่อพระราชภาวนาวิมล เจ้าอาวาสวัดพุทธปทีป กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ จะมีอายุยืนถึง 90 ปี ในวันที่ 10 เดือนธันวาคม พ.ศ.2559 นี้
วัดพุทธปทีป สร้างขึ้นมาโดยชาวไทยทั้งประเทศ เพราะรัฐบาลไทยเป็นผู้ดำเนินการสร้าง อย่างเป็นทางการ มีวัตถุประสงค์สำคัญ 3 ข้อใหญ่ ได้แก่ 1. เพื่อประดิษฐานพระพุทธศาสนาลงในประเทศอังกฤษ 2. เพื่อสงเคราะห์คนไทยในทางศาสนกิจ 3. เพื่อเผยแผ่เกียรติคุณของคณะสงฆ์ไทยและประเทศไทย
ทั้งสามข้อนี้อ่านเพียง 1 นาทีก็จบแล้ว แต่ทว่า "ความหมาย" นั้นยาวหลายพันไมล์ เพราะถ้าไล่เรียงความหมายของวัตถุประสงค์แต่ละข้อแล้ว ไม่มีวันจะอธิบายได้หมดสิ้น ทำได้อย่างเก่งก็เพียง..ย่อความ เท่านั้น
ข้อแรก เพื่อประดิษฐานพระพุทธศาสนาลงในประเทศอังกฤษ คำว่า "ประดิษฐานพระพุทธศาสนา" ถือว่าเป็นภารกิจอันยิ่งใหญ่ระดับ "ล้มแชมป์" เพราะอังกฤษนั้นเป็นอภิมหาอำนาจ มีเมืองขึ้นอยู่ทั่วโลก ถึงกับมีคำกล่าวว่าเป็น "ดินแดนที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน" ขนาดมหาอำนาจของโลก เช่น จีน อินเดีย ล้วนตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ มิต้องนับประเทศ "บริวาร" อย่างไทยเรา การจะนำเอาพระพุทธศาสนาเข้าไปประดิษฐานในประเทศอังกฤษ อันเป็นอภิมหาอำนาจ มีความเจริญทางด้านวิทยาการ แถมยังเป็น "เขตแดน" หรือ "อาณาจักร" ของศาสนาอื่นอีกด้วยนั้น ถ้าไม่ดีจริงก็อย่าหวังเลยว่าจะสำเร็จ ที่ผู้เขียนกล่าวเช่นนี้เพราะมีความเห็นว่า ว่าโดยสามัญสำนึกของคนในแต่ละชาติ หากชนชาติที่ด้อยพัฒนากว่า ไม่ว่าด้านใดๆ ก็ตาม ก็ย่อมจะถูก "ดูหมิ่นเหยียดหยาม" จากคนต่างชาติที่เจริญกว่า ไม่ว่าเขาว่าเรา การประกาศนำเอาพระพุทธศาสนา "แบบไทยๆ" ไปประดิษฐานในมหานครลอนดอน อันเป็นเสมือน "เมืองหลวง" ของโลก ในยุคนั้น จึงเป็นการประกาศ "CIVILIZATION-ความเจริญ-การพัฒนา อย่างสูงสุด หรืออารยธรรม" ของประเทศไทย อันหมายรวมทั้งรัฐบาลไทย ประชาชนคนไทย และคณะสงฆ์ไทย ที่จะไปอวดชาวโลก มิใช่โชว์ธรรมดาเหมือนในงานวัด แต่เป็น "โชว์เวทีสากล" ของฝรั่งมังค่า ถ้าเป็นนักมวยก็ต้องเรียกว่า "แบกน้ำหนัก" มหาศาล เพราะเราเสียเปรียบเขาแทบทุกประตู ผลงานที่ทำ ถ้าได้แค่ "เสมอ" ก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว ถ้าได้คะแนนบวกเพียงนิดก็ยิ่งกว่า..เอบวก เหมือนประกวดนางงามจักรวาลนั่นแหละ สาวไทยถึงจะงามอย่างไทย (ยิ้มสวย-ไหว้สวย) เพียงใด แต่ไปประกวดเวทีโลกทีไรก็ "เตี้ยกว่าเขา" ไปแทบทุกครั้ง สาวไทยได้นางงามจักรวาลทีไร ยิ่งกว่านักมวยโนเนมคว่ำแชมป์สามสถาบัน คนไทยทั้งชาติ ทั้งดีใจ ทั้งภาคภูมิใจ ถึงไม่รู้จักตัว แต่ก็พูดได้เต็มปากเต็มคำว่า "เป็นคนไทย" นี่ไงที่เรียกว่า ชาติไทย
ที่น่าอัศจรรย์ใจก็คือ รัฐบาลไทย เลือกที่จะนำเอา "พระพุทธศาสนาแบบไทย" ไปโชว์ชาวต่างชาติ จึงได้ประกาศสร้างวัดพุทธปทีปขึ้นมาแสดงให้เห็นว่า พระพุทธศาสนา คือ ของดี ที่ล้ำค่าและน่าโชว์มากที่สุดในบรรดาสมบัติทั้งปวงของชาติไทย
แต่..การสอนคนนั้นมิใช่เรื่องง่าย พระพุทธองค์จึงทรง "ห้ามสอน" เพราะคนเราไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ก็ไม่ชอบให้ใครสอน จึงทรงให้พระสงฆ์ไป "บอกข่าว" แก่ชาวโลก ให้เขาได้รับรู้รับทราบ "สิ่งที่ดีๆ" จากเรา หากเขาเห็นว่าดีและปรารถนาจะ "รับ" เอาข่าวสารนั้นไปประพฤติปฏิบัติ ก็นับเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเขา แต่ถ้าหากเขาไม่ยอมรับนับถือด้วยประการใดๆ ก็อย่าเซ้าซี้ เพราะเรามีหน้าที่เพียง..บอกข่าว เท่านั้น ซึ่งข้อนี้มีพระบาลียืนยัน นั่นคือ "อกฺขาตาโร ตถาคตา แปลว่า พระตถาคตพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็นเพียงผู้บอก"
และพระบาลีข้างต้นนี่เอง ที่เป็นเสมือน "หัวใจ" ของพระธรรมทูต เป็นจิตวิญญาณ เป็นหลักการ และเป็นนโยบายทางการทูตอันลึกซึ้ง จะคอยเตือนใจให้เหล่าพระธรรมทูตต้องสำนึกสำเหนียกอยู่เสมอว่า "พวกเรามิใช่พวกกระหายศาสนิก เรามิได้มาเพื่อล่าเมืองขึ้นทางศาสนา แต่เรามาเพื่อทำหน้าที่ของพระธรรมทูต ในการบอกกล่าวสารธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ไม่มีแม้แต่นโยบายเปลี่ยนคนศาสนาอื่นให้เป็นพุทธศาสนิกชน" ถ้าตั้งค่าในการทำงานผิดเพียงนิดเดียว กลายเป็นสงครามศาสนาทันทีเลย เพราะโลภ !
เห็นไหมว่าภารกิจ "ประดิษฐานพระพุทธศาสนา" นั้น ยิ่งใหญ่และท้าทายเพียงใด แต่สุดท้ายพระสงฆ์ไทยก็ทำสำเร็จ จึงส่งอานิสงส์ไปถึงวัตถุประสงค์ข้อที่ 2 และข้อที่ 3 สามารถใช้วัดพุทธปทีปเป็นสถานที่สงเคราะห์คนไทยในอังกฤษในทุกๆ ด้าน และเป็นการประกาศเกียรติคุณของพระสงฆ์ไทยและประเทศไทยให้เกริกไกรในสหราชอาณาจักร
นับตั้งแต่ตั้งวัดขึ้นมาในปี พ.ศ.2507 จนถึง พ.ศ.นี้ เป็นเวลา 52 ปี วัดพุทธปทีปมีเจ้าอาวาสผ่านมาถึง 4 รูป คือ 1. พระราชสิทธิมุนี (พระธรรมธีรราชมหามุนี-โชดก ญาณสิทธิ น.ธ.เอก ป.ธ.9) 2. พระโสภณธรรมสุธี (วิจิตร ติสฺสทตฺโต น.ธ.เอก ป.ธ.5) 3. พระเมธีธรรมาจารย์ (เกษม อํสุการี น.ธ.เอก ป.ธ.7) 4. พระราชภาวนาวิมล (ธีรวัฒน์ อมโร น.ธ.เอก)
หลวงพ่อพระราชภาวนาวิมล ได้เริ่มเดินทางมาปฏิบัติศาสนกิจ ณ วัดพุทธปทีป ตั้งแต่ปี พ.ศ.2520 ซึ่งตอนนั้นท่านมีสมณศักดิ์เป็นเพียง "พระปลัดธีรวัฒน์ อมโร" คือเป็นเพียงพระครูฐานาเท่านั้น และตอนนั้น ท่านเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ องค์ปัจจุบัน คือ พระธรรมสุธี (พีร์ สุชาโต น.ธ.เอก ป.ธ.5) ก็ยังเป็นเพียง "พระมหาพีร์ สุชาโต" เท่านั้น อ่อนอาวุโสกว่าหลวงพ่อพระราชภาวนาวิมลด้วยซ้ำไป จนกระทั่งถึงวันนี้ วันที่ "พระปลัดธีรวัฒน์" ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดฯ พระราชทานและเลื่อนสมณศักดิ์เป็นถึง "พระราชภาวนาวิมล" วิ. หรือสายวิปัสสนา อันถือว่าเป็นสายสำคัญสูงสุดในบรรดาสมณศักดิ์ของพระสงฆ์ไทย
"สร้างวัดว่ายากแล้ว แต่เสริมวัดนั้นยากยิ่งกว่า" โบราณว่าไว้เช่นนี้ วัดพุทธปทีปก็เช่นกัน มีประวัติการสร้างที่อลังการที่สุดในบรรดาวัดไทยในต่างแดน ถึงขนาด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ทรงเสด็จเปิดวัดในปี พ.ศ.2509 ด้วยพระองค์เอง ซึ่งไม่เคยมีวัดไทยวัดใดในต่างประเทศได้รับพระมหากรุณาธิคุณเช่นนี้มาก่อน ถึงปัจจุบันก็ยังไม่มี มีแต่วัดพุทธปทีปเพียงวัดเดียว นั่นแสดงถึงความ "สูงส่ง-สูงสุด" ของพระอารามนาม "พุทธปทีป"
แต่ความสูงส่งดังกล่าวนั้น จะคงมั่นยืนยงอยู่ได้อย่างไร ถ้าไม่มีศาสนทายาทที่มีความรู้ความสามารถ อย่างน้อยต้อง "ไม่ด้อย" ไปกว่าบรรพบุรุษที่เคยสร้างวัดมา ดังที่ท่านจำแนกออกเป็น "อภิชาตศิษย์ -อนุชาตศิษย์ และ อวชาตศิษย์" นั่นแหละ ได้ศิษย์หรือทายาทแบบไหน วัดวาอารามจึงจะไปรอด ไม่อยากยกตัวอย่าง วัดใหญ่ วัดดัง มากมาย พอหลวงพ่อเจ้าอาวาสสิ้นไป ก็เหมือนสิ้นใจ ไม่มีใครเข้าวัด เพราะได้เจ้าอาวาสไร้ความสามารถนั่นเอง
หลังจาก พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดพุทธปทีปองค์แรก ได้กลับไปปฏิบัติศาสนกิจที่ประเทศไทย วัดพุทธปทีปก็มีเจ้าอาวาส รูปที่ 2 ที่ 3 รับภาระพระศาสนาเรื่อยมา จนกระทั่งมาถึงหลวงพ่อเจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน คือ พระราชภาวนาวิมล เป็นอันดับที่ 4
ถ้าดูคุณสมบัติส่วนตัวของหลวงพ่อพระราชภาวนาวิมล จะพบว่าท่านเรียนจบเพียงนักธรรมชั้นเอก ไม่มีวุฒิเปรียญ ขณะที่อดีตเจ้าอาวาสวัดพุทธปทีปทุกรูปที่ผ่านมา ล้วนแต่เป็นมหาเปรียญ สูงสุดก็ ป.9 ต่ำสุดก็ ป.5 ดังนั้น หลวงพ่อพระราชภาวนาวิมล คงจะเรียกได้เพียง "หลวงตา"
แต่หลวงตาองค์นี้ หากพิจารณาให้ดีก็จะพบว่า "ไม่ธรรมดา" เพราะว่าท่านได้อยู่ใกล้ชิดครูบาอาจารย์ระดับ "สมเด็จพระสังฆราช" ลำพังวิชา "ครูพักลักจำ" ก็กินไม่หมดแล้ว สมัยนั้นใครเดินผ่านลานอโศกวัดมหาธาตุ เขาก็เรียกว่า "บัณฑิต" ได้สนิทปาก เพราะอย่านับแต่จะเดินผ่านลานอโศกเลย เด็กบ้านนอกคอกนาติดชายแดนพม่าเช่นผู้เขียนนี้ "กรุงเทพฯอยู่ที่ไหน" ก็ยังไม่ทราบ ถ้าครูบาอาจารย์ไม่พาออกบ้านมาฝากเรียน ก็คงมีอาชีพเลี้ยงควายอยู่แถวๆ ริมน้ำฝางบ้านเกิดนั่นเอง บินสูงพอๆ กับนกเอี้ยงทีเดียว
โบราณว่า "บุญวาสนาของคนเรานั้น แข่งกันไม่ได้" บุญของหลวงพ่อพระราชภาวนาวิมลก็เช่นกัน ท่านเป็นพระสมถะ เรียบง่าย ถ้าจะเทียบว่าวัดพุทธปทีปเป็นวัดใหญ่อยู่ในเมืองสำคัญของโลก ต้องมีพระเปรียญเอก มีสมณศักดิ์ระดับเจ้าคุณ เป็นเจ้าอาวาส วิทยฐานะระดับหลวงพ่อธีรวัฒน์ก็คง "ไม่มีโอกาสได้เป็น" แต่เหนือโอกาสก็คือ "บุญบารมี" ที่หลวงพ่อมีอยู่ ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพุทธปทีป อันเอกอุของบรรดาวัดไทยในต่างแดน จึงลอยมาหาท่านโดยไม่พักต้องขวนขวายเลย แล้วจะมิให้กล่าวว่าเป็นผู้มีบุญได้อย่างไร
ผู้คนอาจจะคิดว่า พระจะต้องมีเปรียญสูงๆ ถึงจะมีดีกรีแรง เหมือนเราอ่านระดับของแอลกอฮอล์ที่ริมขวด แล้วก็คิดถึง "ความเมา" ที่จะเพิ่มขึ้นจากการดื่ม แต่ในโลกนี้มีวิธีการอันหลากหลายในการเปรียบเทียบ คุณสมบัติส่วนตัวของหลวงพ่อพระราชภาวนาวิมลจึงมิสามารถใช้มาตรฐานของแอลกอฮอล์มาวัด หากจะให้ได้คุณค่าที่เป็นจริงก็ต้องใช้..วิชาดนตรีไทย
ดนตรีไทยเรานั้น เราท่านก็ทราบดีว่า มีไม่กี่ชิ้น เช่น ปี่ ขลุ่ย พาทย์ กลอง ระนาดเอก เป็นต้น คนที่จะเล่นดนตรีไทยได้ดีในระดับที่เรียกว่า "ชั้นครู" นั้น จึงต้องมี "ฝีมือ" ที่ไม่ธรรมดา ยิ่งน้อยชิ้นก็ยิ่งลูกเล่นเยอะ ต่างจากดนตรีฝรั่งที่เครื่องมือพะรุงพะรังไปหมด กดตรงไหนก็ได้เสียงโทนนั้น ไม่เชื่อก็ลองเอาเปียโนมาเทียบกับระนาดเอกซี นี่แหละคือ แม่ไม้ดนตรีไทย
เมื่อได้ทัศนาคุณสมบัติอันแสน "ธรรมดา" ของหลวงพ่อพระราชภาวนาวิมล แต่เห็นยศและตำแหน่งของท่านอัน "สูงส่ง" ระดับสังฆราช นักปราชญ์ผู้มีสายตาย่อมจะทราบได้ว่า
"..หลวงตาองค์นี้ ไม่ธรรมดา เป็นเสือซ่อนเล็บ เล่นไม่ระวัง ก็มีสิทธิ์โดนเสือตะปบ ปางตาย.."
เพราะถ้าไม่แน่จริง ก็คงไม่ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดพุทธปทีป และดำรงตำแหน่งหัวหน้าพระธรรมทูตไทยในสหราชอาณาจักร แถมอยู่อย่างคงกระพันมาจนทุกวันนี้ วันที่มีอายุยืนถึง 90 ปี โดยไม่มีใครกล้าท้าชิงตำแหน่ง
ทราบว่า หลวงพ่อพระราชภาวนาวิมลเอง ก็ปรารภความเสื่อมของสังขาร อยากจะกลับไปพักผ่อนที่บ้านที่เมืองไทย แล้วให้พระลูกพระหลานได้บริหารกันต่อไป แต่ปรากฏว่า ไม่มีใครมีบารมีเพียงพอสำหรับการ "รับไม้ต่อ" ในช่วงนี้ จึงต้องกราบวิงวอนขอร้องหลวงพ่อให้อยู่ต่อไป เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ส่วนพระสงฆ์วัดพุทธปทีปและทุกวัดในสหราชอาณาจักรนั้น ก็ยินดีที่จะ "สนองงาน" ถวายหลวงพ่อ มีหลวงพ่ออยู่คู่วัดพุทธปทีป ทำให้อบอุ่นใจ นี่จะเพราะอะไร ถ้ามิใช่ "บุญบารมี" ของหลวงพ่อพระราชภาวนาวิมล
นึกถึงพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงตรัสในคราวเสด็จทรงเปิดวัดพุทธปทีปว่า
นึกถึงความเสียสละอดทนและทุ่มเท ในการนำพานาวาใหญ่ นามว่า "วัดพุทธปทีป" ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้สร้างขึ้นไว้ สืบต่อจากบูรพาจารย์ในอดีต ของหลวงพ่อพระราชภาวนาวิมล ในฐานะประธานสงฆ์ ถึงปีนี้ก็เกิน 50 ปีแล้ว วัดพุทธปทีปยังสง่างาม เป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาแบบไทยในต่างแดนอย่างเป็นอมตะ
หลวงพ่อพระราชภาวนาวิมล สามารถปฏิบัติศาสนกิจได้สมบูรณ์ สมดังที่องค์พระประมุขของชาติไทยทรงตั้งพระมโนปณิธานไว้ว่า "เป็นเกียรติคุณของประเทศ"
เป็นทั้งเกียรติยศ ศักดิ์ศรี เป็นคุณงามความดี ที่ไม่มีวันสิ้นสุด วัดพุทธปทีปมีความสำคัญมาก เจ้าอาวาสวัดพุทธปทีปก็มีความสำคัญมาก ดุจกัน เพราะเป็นของคู่กัน
ขอถวายมุทิตาสักการะ แด่หลวงพ่อพระราชภาวนาวิมล ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง
|
|
พระมหานรินทร์ นรินฺโท |
E-Mail
To BK.
peesang2555@hotmail.com
ALITTLEBUDDH.COM HOMEPAGE WAT THAI LAS VEGAS 2920 MCLEOD DRIVE LAS VEGAS NEVADA 89121 U.S.A. (702) 384-2264