เปิดโผว่าที่ "สมเด็จใหม่" ในมหานิกาย

 

 

ข่าวสารล่าสุด ณ วันนี้ (14 มกราคม 2559) ที่เมืองไทย มีข่าวว่า มหาเถรสมาคมได้ส่งมติการประชุม มส. ครั้งพิเศษ ที่เรียกว่า ประชุมลับ เมื่อวันที่ 5 มกราคม ที่ผ่านมา ไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ในฐานะ "กองธุรการ" ของมหาเถรสมาคม เพื่อให้ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ทำเรื่องแจ้งมติไปยังสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อให้สำนักนายกรัฐมนตรีนำความขึ้นกราบบังคมทูล เพื่อโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จพระราชาคณะ "ผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์" ขึ้นดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตามบทบัญญัติใน พรบ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2535 ซึ่งมาตราใน พรบ.คณะสงฆ์นี้ "ล็อคสเปก" ให้ "สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์-ช่วง วรปุญฺโญ ป.ธ.9" เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ได้ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช โดยไร้คู่แข่ง

 

นั่นก็ว่ากันไป..ตามขบวนการ หรือตามสถานการณ์

 

สิ่งหนึ่งซึ่งผู้เขียนมองเห็น หากว่ามีการสถาปนาสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช จริง นั่นแสดงว่า จะมีสมณศักดิ์ระดับสมเด็จพระราชาคณะ "ว่างลง" อีก 1 ตำแหน่ง เป็นตำแหน่งสูงสุดของพระสงฆ์ไทยอีกด้วย ดังนั้น จะไม่เขียนถึงได้หรือ ?

 

ต้องขอเรียนท่านผู้อ่านว่า คณะสงฆ์ไทยเรานั้น ถึงจะแยกนิกายออกเป็น 2 คือ มหานิกายและธรรมยุต แต่ในการปกครองนั้น กลับให้มีการ "รวมศูนย์" เอามหานิกายและธรรมยุต จำนวนฝ่ายละ 10 รูป มาเป็นรัฐบาลของคณะสงฆ์ ที่เรียกว่า "มหาเถรสมาคม"

โดยกรรมการมหาเถรสมาคมนั้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

1. กรรมการมหาเถรสมาคม โดยสมณศักดิ์ ได้แก่พระภิกษุที่ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น "สมเด็จพระราชาคณะ" พรบ.คณะสงฆ์ กำหนดให้เป็นกรรมการมหาเถรสมาคม โดยตำแหน่ง แบบว่าได้รับโปรดเกล้าเป็นสมเด็จวันไหน ก็เริ่มเป็นกรรมการมหาเถรสมาคมวันนั้นเลย ไม่มีเกษียณอายุ เจ็บป่วยไข้ไม่สบายก็ยังเป็นไปจนตาย จะลาออกก็ไม่ได้ ทำได้ประการเดียวคือ ลาสิกขา กรรมการมหาเถรสมาคมระดับสมเด็จพระราชาคณะนั้น พรบ.คณะสงฆ์ กำหนดโควต้าไว้ที่นิกายละ 4 รูป รวมเป็น 8 รูปด้วยกัน

2. กรรมการมหาเถรสมาคม โดยแต่งตั้ง ซึ่งจะแต่งตั้งพระราชาคณะจากทางฝ่ายมหานิกายและธรรมยุต ฝ่ายละ 6 รูป รวมเป็น 12 รูป ด้วยกัน สำหรับคุณสมบัติของกรรมการมหาเถรสมาคมประเภทนี้นั้น ท่านระบุว่า "เป็นพระราชาคณะ" ถ้าตีความง่ายๆ ก็คือ เป็นเจ้าคุณชั้นสามัญขึ้นไปจนถึงชั้น "รองสมเด็จ" แต่ความจริงแล้ว กรรมการมหาเถรสมาคมนั้น ท่านจะตั้งพระราชาคณะชั้น "ธรรม" ขึ้นไป ซึ่งกรรมการ มส. ประเภทนี้นั้น จะมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 2 ปี และมีโอกาสได้รับแต่งตั้งต่อไปไม่จำกัดเทอม ครั้นพอได้เป็นสมเด็จแล้ว ก็ถือว่าพ้นเกณฑ์ถูกแต่งตั้ง แต่ได้เป็นโดยตำแหน่ง ก็จะเปิดโอกาสให้มีการ "เลื่อน" พระราชาคณะรูปอื่นๆ ในชั้นธรรม เข้ามาเป็นกรรมการ มส.  กรรมการประเภทที่สองนี้ ท่านชี้ว่า จะพ้นจากตำแหน่งเพราะ 1.ลาสิกขา 2.ลาออก 3.มรณภาพ 4.สมเด็จพระสังฆราชมีพระบัญชาให้ออก (ถูกปลด)

แต่..แต่ยังมีกรรมการมหาเถรสมาคม "พิเศษ" อยู่อีกรูปหนึ่ง คือ สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งจะทรงดำรงตำแหน่ง "ประธาน" กรรมการมหาเถรสมาคม โดยสมณศักดิ์

สรุปตรงนี้คือ มหาเถรสมาคมมีสมาชิกทั้งสิ้น 21 รูป แบ่งโควต้าออกเป็นฝ่ายละ 10 ส่วนหัวหรือตำแหน่งประธานกรรมการมหาเถรสมาคมนั้น คือ สมเด็จพระสังฆราช

ทีนี้ว่า สมเด็จพระสังฆราชนั้นมีเพียง 1 ตำแหน่ง สุดแต่ว่าพระในนิกายไหนจะได้เป็น เช่น สมเด็จพระญาณสังวร วัดบวรนิเวศวิหาร ได้รับการสถาปนาขึ้นดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ก็ทรงดำรงตำแหน่งประธานมหาเถรสมาคมโดยอัตโนมัติ ครั้นนำเอาจำนวนของกรรมการมหาเถรสมาคม-ฝ่ายธรรมยุต ซึ่งมี 10 บวกกับตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ก็เป็น 11 รูป ขณะที่ฝ่ายมหานิกายยังคงมีเพียง 10 รูปเช่นเดิม

การได้ขึ้นดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ไม่ว่าของนิกายใด ก็จะส่งผลให้ "นิกายนั้น" ได้ครองเสียงข้างมากในมหาเถรสมาคม..โดยอัตโนมัติ !

เรื่องนี้พระสงฆ์องค์เณรทั่วไปไม่รู้หรอก แต่บรรดากรรมการมหาเถรสมาคมนั้นรู้และจ้องกันตาเป็นมันเชียว !

เพราะอะไรหรือ ? ก็เพราะว่า ถ้ามีการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชในฝ่ายใด ฝ่ายนั้นก็จะมีตำแหน่ง "เพิ่มขึ้น" อีก 1 เก้าอี้

ณ วันนี้ วันที่ยังไม่มีการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 20 สมเด็จพระราชาคณะทั้งมหานิกายและธรรมยุต ยังมีเท่ากัน คือ 4/4 ไม่มีใครได้เปรียบ

แต่ถ้าสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชวันใด จำนวน"พระสมเด็จ" ฝ่ายมหานิกาย จะมากกว่าฝ่ายธรรมยุต คือตัวเลขจะออกมาเป็น 5/4 ทันที

เรื่องนี้ในสมัยที่สมเด็จพระญาณสังวร ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ตั้งแต่ พ.ศ.2532 ถึง 2556 ฝ่ายธรรมยุตก็มีจำนวนเหนือกว่ามหานิกายมาโดยตลอด เช่นกัน !

แต่เรื่องนี้ก็เอาไว้ก่อน เพราะยังไม่มันส์เท่ากับเรื่องที่จะเขียนต่อไปอีก เพราะตรงนี้เป็นเพียง "ตัวเลข" หรือสัดส่วนระหว่างนิกายเท่านั้น

ที่ต้องโฟกัสลงไปก็คือว่า ถ้าว่าสมเด็จวัดปากน้ำได้เป็นสังฆราช ก็จะส่งผลให้สมณศักดิ์ชั้นสุพรรณบัฏ หรือสมเด็จพระราชาคณะ ฝ่ายมหานิกาย "ว่างลง" อีก 1 ตำแหน่ง (ความจริงคือเพิ่มขึ้น เพราะได้โควต้าจากสมเด็จพระญาณสังวรมาเป็นของวัดปากน้ำ แต่เพราะสมเด็จวัดปากน้ำได้เป็นสังฆราช จึงทำให้ตำแหน่งเดิมว่างลง)

เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ต้องมีการ "สถาปนา" หรือตั้งสมเด็จพระราชาคณะฝ่ายมหานิกายเพิ่มขึ้นอีก 1 ตำแหน่ง แทนสมเด็จวัดปากน้ำที่ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช

ซึ่งพระที่จะได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะนั้น ก็ต้องเป็นระดับ "รองสมเด็จ" ต่ำกว่านั้นไม่มีสิทธิ์

สำหรับรองสมเด็จพระราชาคณะฝ่ายมหานิกายในปัจจุบันนั้น ที่เป็นกรรมการมหาเถรสมาคม มีทั้งหมด 6 รูปด้วยกัน เรียงตามลำดับอาวุโสโดยสมณศักดิ์ ได้แก่

1. พระพรหมวชิรญาณ (ประสิทธิ์ เขมงฺกโร ป.ธ.3) เจ้าอาวาสวัดยานนาวา กรรมการมหาเถรสมาคม เป็นรองสมเด็จในปี 2544

2. พระวิสุทธิวงศาจารย์ (วิเชียร อโนมคุโณ ป.ธ.9) รองเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ กรรมการมหาเถรสมาคม เป็นรองสมเด็จในปี 2549

3. พระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดสามพระยา เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร กรรมการมหาเถรสมาคม เป็นรองสมเด็จในปี 2553

4. พระพรหมโมลี (สุชาติ ธมฺมรตโน ป.ธ.9) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ เจ้าคณะภาค 5 แม่กองบาลีสนามหลวง และกรรมการมหาเถรสมาคม ได้เป็นรองสมเด็จในปี 2554

5. พระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ พธ.บ.) เจ้าอาวาสวัดสระเกศ เจ้าคณะภาค 10 ประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ และกรรมการมหาเถรสมาคม เป็นรองสมเด็จในปี 2554

6. พระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมฺมจิตฺโต ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาส เจ้าคณะภาค 2 อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงฆ์ มจร. และกรรมการมหาเถรสมาคม ได้เป็นรองสมเด็จในปี 2555

ตามลำดับข้างต้นนี้ จะเห็นว่า พระพรหมวชิรญาณ (หลวงพ่อประสิทธิ์) วัดยานนาวา มีอาวุโสสูงสุดทางสมณศักดิ์ ย่อมจะได้เปรียบในด้านอาวุโส แต่พระพรหมวชิรญาณนั้นเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม "ลอย" เหมือนรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ไม่มีเก้าอี้เจ้าคณะภาคหรือเจ้าคณะหนรองรับ เลยถูก "พระพรหมเวที" วัดไตรมิตร ซึ่งอายุพรรษาน้อยกว่า แต่ได้รับการสถาปนาเป็นรองสมเด็จในปีเดียวกัน "แซงหน้า" ขึ้นเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ ทั้งนี้เพราะวัดไตรมิตรมีตำแหน่งใหญ่เป็นถึง "เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก" สืบต่อจากสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ ป.ธ.9) วัดสระเกศ นั่นเอง แต่คราวนี้ คิดว่าโอกาสน่าจะเป็นของพระพรหมวชิรญาณมากที่สุด เพราะอาวุโสสูงสุดแล้ว

อันดับที่ 2 พระวิสุทธิวงศาจารย์ หรือหลวงพ่อวิเชียร วัดปากน้ำ มีอาวุโสรองลงมา อายุพรรษาเท่ากับพระพรหมวชิรญาณ หลวงพ่อวิเชียรได้เปรียบตรงที่มีตำแหน่ง "เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ" แต่ติดตรงที่ว่า "ไม่ใช่เจ้าอาวาส" เป็นเพียง "รองเจ้าอาวาส" วัดปากน้ำ ของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ วันนี้ยังไม่ต้องพูดถึงพัดยศสมเด็จของตัวเอง ลุ้นกันแต่เพียงให้เจ้าอาวาสได้เป็นสังฆราชก่อน แล้วอย่างอื่นจึงจะตามมา

อันดับที่ 3 พระพรหมดิลก หรือเจ้าคุณเอื้อน เจ้าคณะ กทม. เจ้าอาวาสวัดสามพระยา ถ้าเป็นทางการเมืองก็ต้องเรียกว่า "นายกน้อย" เพราะคุมเมืองหลวงไว้ในอำนาจ จึงมีบทบาทมากมาย อาจารย์เอื้อนรั้งอาวุโสมาเป็นที่สาม แต่มี "กทม" อยู่ในมือ ถือเป็นฐานอำนาจชั้นเอก แค่ กทม. ก็เหลือกินเหลือใช้ สามารถส่งให้ไปถึงดวงดาวในฐานันดรที่ "สมเด็จ" ได้ไม่ยาก อาจารย์เอื้อนวันนี้มีสถานะเป็น "คีย์แมน" ของสายอยุธยา "อ.ย." หลังจาก "เจ้าคุณเสนาะ" วัดสระเกศหมดอำนาจลง สมเด็จวัดพิชัยญาติก็ป่วย เทียวเข้าเทียวออกโรงพยาบาล งานทุกอย่างจึงมากองอยู่ที่วัดสามพระยาๆ จึงกลับมามีบทบาทสำคัญ เหมือนสมัย "สมเด็จฟื้น-พุทธโฆษาจารย์" ยังมีชีวิตอยู่อีกครั้ง ครั้งนี้ ถ้าพระพรหมวชิรญาณพลาด พระวิสุทธิวงศาจารย์ก็ติดที่ไม่ได้เป็นเจ้าอาวาส หวยอาจจะออกที่วัดสามพระยา และเมื่อนั้น พุทธะอิสระก็คงได้ออกมายืดเส้นยืดสาย..อีกรอบ !

อันดับที่ 4 พระพรหมโมลี หรือเจ้าคุณสุชาติ วัดปากน้ำ ทายาทรุ่นต่อไปของสมเด็จช่วง เจ้าคุณสุชาติถึงจะมีอาวุโสเป็นอันดับ 4 ในปัจจุบัน แต่เพราะมีตำแหน่งเป็นเพียง "ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ" ซึ่งยังมีหลวงพ่อวิเชียรนั่งสูงกว่าในตำแหน่ง "รองเจ้าอาวาส" อีกชั้นหนึ่ง จึงยังไม่ต้องดิ้นรนอะไร รักษาเนื้อรักษาตัวเอาไว้ให้ดี เผลอๆ ทุกตำแหน่งในวัดปากน้ำจะเป็นของ "ท่านสุชาติ" ไม่ยากเย็น ช่วงนี้บำเพ็ญเพียรภาวนาไปก่อน

อันดับที่ 5 พระพรหมสิทธิ หรือเจ้าคุณธงชัย ซึ่งถือว่ามาแรงมากในยุคนี้ เพราะจู่ๆ หลวงพี่เหนาะก็ออกอาการงอแง ทำตาขวาง ท่าทางขมึงตึงตังเหมือนเสพยาบ้า ท้าตีท้าต่อย เลยโดนสอยร่วงกรรมการไม่ยอมนับ ต้องจับคางงัดฟันปลอมออกอย่างเดียว ทุกวันนี้พี่เหนาะซ่อนเนื้อซ่อนตัวอยู่แต่ในกุฎิยิ่งกว่าสาวพรหมจารี ไม่มีใครเห็นทั้งกลางวันกลางคืน เจ้าคุณเสนาะถูกปลดระนาว ตั้งแต่เจ้าคณะภาค 12 เจ้าอาวาสวัดสระเกศ กรรมการมหาเถรสมาคม และประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ ทั้งสามตำแหน่งหลังสุดนี้ ถูกโยกมาอยู่บนหน้าตัก "พระพรหมสิทธิ" ทั้งสิ้น ยิ่งกว่าโอนมรดก แถมเจ้าคณะภาค 12 ก็ยังอยู่ในวัดสระเกศ ซึ่งก็อยู่ในอำนาจของพระพรหมสิทธินั่นเอง ว่ากันว่า สมเด็จวัดปากน้ำ โปรดปรานท่านเจ้าคุณธงชัยมาก เพราะสนองงานได้ถึงลูกถึงคน ถึงแม้กระทั่งในโรงพยาบาล นับตั้งแต่เหตุการณ์แผ่นดินไหวในเนปาล โครงการหมู่บ้านศีลห้า ซึ่งกำลังขับเคลื่อนไปถึงระดับที่ 3 แข่งกับยานอพอลโล และอีกสารพัด ที่สำคัญก็คือ การเชื่อมพระธรรมทูตทั้งสหรัฐอเมริกา ยุโรป สหราชอาณาจักร นิวซีแลนด์ และอินเดีย-เนปาล เข้ามาทำงานเป็นทีม มีอะไรก็ถึงกันอย่างรวดเร็ว "5 ธันวา" ปลายปีที่ผ่านมา ท่านเจ้าคุณธงชัยกุมบัญชีสมณศักดิ์ไว้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด สามารถขอโควต้าเจ้าคุณมาได้ตั้ง "10" กว่ารูป มากมายเป็นประวัติการณ์ ขนาดเจ้าคณะหนต่างๆ ยังมองตาค้าง ถามว่า "วันนี้" ของท่านธงชัยมาถึงแล้วหรือยัง ? คงไม่มีใครให้คำตอบได้ นอกจาก "หลวงพ่อใหญ่" วัดปากน้ำ คนเดียวเท่านั้น แต่บอกได้คำเดียวว่า "มีลุ้น" !

อันดับสุดท้าย พระพรหมบัณฑิต ศาสตราจารย์ ดร. ราชบัณฑิต ถ้าเป็นนักมวยก็ต้องบอกว่า ท่านเจ้าคุณประยูรมีอาวุธครบเครื่องที่สุด ทั้งบู๊ทั้งบุ๋น แถมมีกองทัพเป็นกองหนุน ซึ่งก็คือ มจร. มหาวิทยาลัยสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย มีพลนิกาย "นับแสน" สามารถจะเรียกระดมพลเข้ามาเป็นกองหนุนให้ใครก็ได้ ที่สามารถ "สั่ง" ท่านเจ้าคุณประยูรได้ ตำแหน่งอื่นๆ นั้นไม่อายใคร ทั้งเจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาส เจ้าคณะภาค 2 ยศทางโลกหรือก็ระดับ "ศาสตราจารย์ ดร." การศึกษาทางสงฆ์ก็ "ป.9" สูงสุดในระดับที่เรียกว่า "เอกอุ" เสียดายว่า..ท่านมาช้าไปนิด เพิ่งได้เป็นรองสมเด็จและ กก.มส. เมื่อปีสองปีที่ผ่านมา เจ้าคุณประยูรเสียเปรียบแค่เรื่องเดียวคือ "อาวุโส" นอกนั้นแล้วนำลิ่ว

แต่..แต่อย่าลืมว่า อุปสรรคของการขึ้นสู่ตำแหน่ง "สมเด็จพระสังฆราช" ที่สมเด็จวัดปากน้ำกำลังผจญอยู่ในเวลานี้ ถ้าไม่มีเจ้าคุณประยูร "กดปุ่ม" ไปยังบรรดารองอธิการบดีต่างๆ ทั่วราชอาณาจักร ให้นำพระนิสิตนักศึกษาออกมาหนุนอย่างเป็นระบบเหมือนทหาร ก็ยังมองไม่เห็นใครจะทำได้ ยกเว้น..ธรรมกาย สาย มจร. ตั้งแต่ วัดศรีสุดาราม พระมหาโชว์ เจ้าคุณประสาร ฯลฯ ทั้งภาคกลาง อีสาน เหนือ ใต้ ล้วนอยู่ภายใต้การคอนโทรลของอธิการบดี มจร. ดังนั้น ถ้าจะแลกใจซื้อความมั่นคงในตำแหน่ง สมเด็จวัดปากน้ำก็อาจจะ "ตัดสินใจ" ให้..วัดประยูร

ก็ดังที่บอกว่า คณะสงฆ์ไทยนั้น ปกครองในระบอบ "สมบูรณาญา" สมเด็จพระสังฆราช หรือประธานกรรมการมหาเถรสมาคม มีอำนาจสูงสุด ในการชี้เป็นชี้ตายในมหาเถรสมาคม นอกนั้นเป็นเพียง "พระอันดับ" รอฟังสัญญาณแล้วเปล่ง "สาธุ" พร้อมๆ กัน จากนั้นก็..รับซอง กลับ !

สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือหลวงพ่อใหญ่วัดปากน้ำนั้น ทุกวันนี้ก็มีอิทธิพลสูงสุดอยู่แล้ว เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช สามารถดึงโควต้ากรรมการมหาเถรสมาคมมาไว้ที่วัดปากน้ำอีกตั้ง 2 รูป และยศระดับ "รองสมเด็จ" อีก 2 รวมเป็น 4 เป็น 5 ถ้าได้ขึ้นเป็นสังฆราชก็จะยิ่งผูกขาดทุกอย่างไว้ที่วัดปากน้ำ มากกว่าวัดบวรเสียอีก นี่ยังไม่นับเจ้าคณะใหญ่หนเหนือ หนใต้ และหนตะวันออก ที่สายวัดปากน้ำครอบครองทั้งโดยนิตินัยและพฤตินัย

อันตำแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคมก็ดี สมณศักดิ์รองสมเด็จและสมเด็จพระราชาคณะก็ดี ถือกันว่าเป็น "โควต้ากลาง" ผู้มีอำนาจสูงสุดในการชี้เป็นชี้ตายก็คือ "สมเด็จพระสังฆราช" นอกนั้นไม่มีสิทธิ์

ดังนั้น ตำแหน่ง "สมเด็จพระราชาคณะรูปใหม่" ที่จะขึ้นไปแทนสมเด็จวัดปากน้ำนั้น ก็เป็นโควต้าของวัดปากน้ำนั่นเอง ถึงไม่ให้คนในวัด ก็ยังชี้เป็นชี้ตายได้

เห็นไหมล่ะว่า ใช่แต่หลวงพ่อช่วง วัดปากน้ำ เท่านั้น ที่ลุ้นตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช อย่างใจจดใจจ่อ แต่พระในฝ่ายมหานิกาย "ทั้งสิ้นทั้งปวง" ก็ล้วนแต่ลุ้นเช่นกัน ลุ้นให้หลวงพ่อช่วงได้เป็นสังฆราช เพื่อจะเปิดโอกาสให้มีการ "เลื่อน" ขึ้นไป ทีนี้ พอหลวงพ่อช่วงได้เป็นสังฆราช รองสมเด็จฝ่ายมหานิกายก็ได้เป็น "สมเด็จ" พระชั้นธรรมก็เลื่อนขึ้น "รองสมเด็จ" พระชั้นเทพก็เลื่อนขึ้น "ชั้นธรรม" เลื่อนกันตั้งแต่แม่สายยันสุไหงโกลก ถือเป็นมหกรรมการเลื่อนตำแหน่งระดับโลกเลยทีเดียว

แต่..แต่นะ ถ้ากลับกัน หากมีการพลิกผัน แล้วส่งผลให้ฝ่ายธรรมยุต ไม่ว่าจะเป็นสมเด็จวัดราชบพิธหรือวัดบวรนิเวศวิหาร ได้ขึ้นเป็นสังฆราช สัดส่วนในมหาเถรสมาคมและตำแหน่งต่างๆ ก็จะ "เหวี่ยงกลับ" ธรรมยุตจะมีเสียงมากกว่ามหานิกาย รวมทั้งอำนาจที่มากกว่ามาก เพราะเป็น..สมเด็จพระสังฆราช

ถ้า..ปล่อยไว้ไม่ตั้งสังฆราช โดยที่สมเด็จวัดปากน้ำยังเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชอยู่ต่อไป สัดส่วนของตำแหน่งในมหาเถรสมาคม "ระหว่างนิกาย" ก็ก้ำกึ่ง คือ 10/10 แต่เมื่อไรที่ตั้งสังฆราช การกินรวบก็จะตามมา ไม่ว่าฝ่ายใดได้เป็น

 

เห็นอะไรไหมเอ่ย ?

 

พระมหานรินทร์ นรินฺโท
13 มกราคม 2559

 

 

 

E-Mail To BK.

peesang2555@hotmail.com


ALITTLEBUDDH.COM HOMEPAGE WAT THAI LAS VEGAS 2920 MCLEOD DRIVE LAS VEGAS NEVADA 89121 U.S.A. (702) 384-2264