ลูกพี่ใคร ?

ไม่จับธัมมชโยสึก !

 

 

 


 

 

TIMELINE

 

วัน-เวลา เหตุการณ์
5 เมษายน 2542 สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงมีพระลิขิตเกี่ยวกับพระธัมมชโย กรณีมีคนร้องเรียนว่าได้เบียดบังเอาทรัพย์สินของวัดพระธรรมกายไปเป็นจำนวนมาก รวมทั้งการกล่าวหาว่าพระไตรปิฎกบกพร่อง (สอนว่าพระนิพพานเป็นอัตตา)
26 เมษายน 2542 มีพระวินิจฉัย ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ว่าพระธัมมชโย ได้สิ้นสุดความเป็นพระภิกษุ เนื่องเพราะไม่ยินยอมคืนทรัพย์สินที่ได้นำไปใช้ในนามของตนเอง
10 พฤษภาคม 2542 สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงงดเข้าประชุมมหาเถรสมาคม โดยมิได้ทรงตั้งให้กรรมการมหาเถรสมาคมรูปใดเป็นประธานแทน และทางมหาเถรสมาคมได้เลือกให้ "สมเด็จพระพุฒาจารย์ - เกี่ยว อุปเสโณ" วัดสระเกศ ผู้มีอาวุโสสูงสูดโดยสมณศักดิ์ ตาม พรบ.คณะสงฆ์ 2505 ให้เป็นประธาน
10 พฤษภาคม 2542 มหาเถรสมาคม มีสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) เป็นประธาน ได้ลงมติให้มีการลงนิคหกรรมแก่ พระไชยบูลย์ ธมฺมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ในข้อหายักยอกทรัพย์สินของวัดพระธรรมกายไปใช้เป็นการส่วนตัว เพื่อสนองต่อพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
10 กุมภาพันธ์ 2543 สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม ฐานิสฺสโร ป.ธ.9) เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ได้เสนอต่อมหาเถรสมาคมให้ปลด พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.9) วัดยานนาวา เจ้าคณะภาค 1 ประธานผู้พิจารณาคดีพระธัมมชโย ออกจากตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 เพราะดื้อดึงไม่ยอมรับฟ้องจากฆราวาสตามมติมหาเถรสมาคม พร้อมกับได้ตั้งให้ พระเทพสุธี (เอื้อน หาสธมฺโม ป.ธ.9) วัดสามพระยา รองเจ้าคณะภาค 1 ให้ดำรงตำแหน่งรักษาการเจ้าคณะภาค 1 พร้อมกับตำแหน่งประธานศาลสงฆ์ในคดีธรรมกาย ต่อมาพระเทพสุธีได้ขอลาออก สมเด็จพระมหาธีราจารย์ จึงได้แต่งตั้งให้ "พระธรรมโมลี - สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.9" วัดพิชยญาติการาม เจ้าคณะภาค 15 ให้มาดำรงตำแหน่ง "รักษาการเจ้าคณะภาค 1" พร้อมกับเป็นประธานศาลสงฆ์ ในคดีธรรมกายอีกด้วย
13 มกราคม 2547 มีประกาศสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ลงนามโดย นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เรื่องแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช มีสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกียว อุปเสโณ) วัดสระเกศ เป็นประธาน พร้อมด้วยกรรมการอีก 5 รูป รวมเป็น 6 รูปด้วยกัน
22 สิงหาคม 2549 ศาลอาญาได้อนุญาตให้อัยการสูงสุด "ถอนฟ้อง" พระธัมมชโย และศาลสงฆ์ซึ่งมีพระพรหมโมลี (พระธรรมโมลี สมศักดิ์ อุปสโม) วัดพิชยญาติการาม เป็นประธาน ได้ทำการ "ยกฟ้อง" พระธัมมชโย ตามศาลฎีกาไปด้วย
11 มีนาคม 2554 สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม ฐานิสฺสโร ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม เจ้าคณะใหญ่หนกลาง มรณภาพ

 

นับตั้งแต่ผู้เขียนเริ่มทำงานด้านนี้ มาตั้งแต่ ปี พ.ศ.2542 ถึงปัจจุบันก็ย่างเข้าปีที่ 17 แล้ว แน่นอนว่า การทำงานด้านนี้มีทั้งคนชอบและไม่ชอบ หรือมีทั้งรักทั้งเกลียด พวกที่ได้ประโยชน์ก็ย่อมชอบใจ พวกที่ถูกกระทบและสูญเสียผลประโยชน์ รวมทั้งชื่อเสียงเกียรติยศ ก็ย่อมจะไม่ถูกใจ ไม่พอใจ ซึ่งผู้เขียนก็ทำใจมาตั้งแต่เริ่มแรกเช่นกัน มิเช่นนั้นก็คงทำงานนี้ไม่ได้

มีสิ่งหนึ่งซึ่งต้องตั้งเป็น "หลักการ" ของการทำงานเอาไว้เลยก็คือ ถ้าเป็นใบปลิวหรือหนังสือสนเท่ห์ กล่าวหาใครก็ตาม เราจะไม่นำมาพิจารณาและนำเสนอ เพราะถือว่า "ไม่มีตัวตน" ใครจะทำก็ได้ แต่ถ้าเป็นหนังสือที่มีหลักฐาน พยาน หรือมีตัวบุคคลรับรอง (รวมทั้งผู้ส่งมา) เราก็จะนำมาพิจารณา ถ้าว่าจะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน เราก็ต้องนำเสนอ แต่ถ้าเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย สามารถเจรจาว่ากล่าวกันได้ และไม่เสียหายต่อพระศาสนาหรือคณะสงฆ์โดยส่วนรวม ก็จะเก็บเรื่องไว้เสีย

อีกเรื่องก็คือ ถ้ามีคนมากล่าวโทษหรือกล่าวหาผู้เขียนซึ่งทำงานด้านนี้ หากเป็นใบปลิวหรือหนังสือสนเท่ห์ คนเขียนไม่ยอมลงชื่อ แบบนี้ก็จะปล่อยผ่านไปเช่นกัน ทั้งๆ ที่ถ้าจะใช้กฎหมายสืบสวนหาตัวผู้ทำก็ย่อมกระทำได้ แต่ในฐานะที่เรา "อาสา" มาทำงานด้านนี้ บางทีเขาอาจจะด่าเราด้วยอารมณ์โกรธแค้นไปบ้าง ก็ต้องนำมาพิจารณาว่า "การทำงานของเราคงจะไปกระทบกระทั่งเขา ทำให้เขาไม่พอใจ" ซึ่งก็ควรจะระมัดระวังในการทำงานต่อไป หมายถึงว่า ถ้อยคำสำนวนบางอย่าง หากจะเล่นกันรุนแรงไป เราก็ควร..เพลาๆ ลง

แต่..ถ้าหากว่า มีบุคคลใดบุคคลหนึ่งเขียนถึงเรา ในทางกล่าวโทษ กล่าวหา ทั้งด้านกฎหมายและพระธรรมวินัย นั่นเป็นสิ่งที่ "เลี่ยงไม่ได้" จำเป็นที่เราจะต้อง "ชี้แจง" แสดงความบริสุทธิ์ของตัวเอง มิเช่นนั้นก็แสดงว่า..เรายอมรับ ตามที่เขากล่าวหา

กรณีที่ "พระสุวิทย์ ธีรธมฺโม" หรือพุทธะอิสระ แห่งวัดอ้อน้อย จังหวัดนครปฐม ได้เขียนลงบนเฟสบุ๊คของตัวเอง เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2558 ที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมาย "ตอบโต้" ข้อเขียนของผู้เขียน ที่พาดพิงถึงพระสุวิทย์ โดยนำเอาพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 และฉบับแก้ไข พ.ศ.2535 มาเปรียบเทียบกัน และชี้ว่า "หากพระสุวิทย์ เคารพนับถือ ในสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ก็ต้องยอมรับ พรบ.คณะสงฆ์ ฉบับปัจจุบัน เพราะ พรบ.คณะสงฆ์ฉบับนี้ ตราออกมาใช้ในสมัยสมเด็จพระญาณสังวร ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช"

กรณีนี้ ถ้าพระสุวิทย์จะชี้แจงเฉพาะเรื่องที่ผู้เขียนพาดพิงถึง ก็ควรแก่การสรรเสริญ ถึงจะใช้วาจาหยาบคายอย่างไรก็ฟังได้ทั้งนั้นแหละ เพราะถ้อยคำสารพัดในโลกนี้มันก็มีอยู่ในสื่ออยู่แล้ว แต่พระสุวิทย์กลับทำการ "บิดเบือน" โดยกล่าวหาว่า "พระมหานรินทร์ นรินฺโท เขียนออกมาปกป้องยกหางอุปัชฌาย์อลัชชีว่าเหมาะสม เป็นไปตาม พรบ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2535 กำหนดว่า ผู้ที่จะได้รับการเสนอชื่อให้ทรงลงพระปรมาภิไธยแต่งตั้ง จะต้องเป็นผู้อาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์" ทั้งๆ ที่ผู้เขียนไม่ได้เขียนถึงเลย

นี่แหละคือการบิดเบือนและกล่าวหาของพระสุวิทย์ เป็นประเด็นที่หนึ่ง และมีอีกหลายประเด็น ถ้าจะเอาขึ้นโรงขึ้นศาลก็บานตะไท แต่ผู้เขียนไม่ติดใจในเรื่องอื่นๆ ขอบอกแต่เพียงว่า "ถ้ามีพยาน หลักฐาน ว่าพระมหานรินทร์ทำผิดพระธรรมวินัยในข้อใดเรื่องใด ก็อย่าเกรงใจเลย ขอให้รีบๆ ดำเนินการฟ้องร้องกล่าวหาเพื่อพิสูจน์ความจริงกัน อย่าใช้วิธีที่ว่า ฉันรู้นะ-แต่ถ้าไม่มาแตะฉัน ฉันก็เก็บไว้ แตะฉันวันใด ฉันแฉคุณแน่" อะไรทำนองนี้ ซึ่งมันมิใช่วิสัยของสุจริตชนเขาทำกัน

ประเด็นสำคัญวันนี้ที่ผู้เขียนขอนำเสนอ ก็คือข้อความที่นำเสนอข้างต้นนั่นแหละ พระสุวิทย์แกเขียนว่า

 

 

ตรงนี้มีหลายประเด็นให้ต้องวินิจฉัย ได้แก่

1. ใครเป็น "ลูกพี่" ของพระมหานรินทร์ ซึ่งผู้เขียนเข้าใจว่า พระสุวิทย์หมายถึง "สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ - ช่วง วรปุญฺโญ" วัดปากน้ำ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งมีคุณสมบัติต้องตาม พรบ.คณะสงฆ์ ที่จะได้รับการเสนอชื่อเพื่อทรงโปรดสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เพราะมีอาวุโสสุดในบรรดากรรมการมหาเถรสมาคมชุดปัจจุบัน

2. กรณีที่ว่า สมเด็จพระสังฆราชทรงมีพระบัญชาให้พระธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิกและต้องถูกจับสึกนั้น ผู้เขียนได้เขียนไปในวันก่อนแล้ว

3. คำถามของพระสุวิทย์ที่ว่า "แล้วทำไมลูกพี่ท่านไม่ทำตามพระบัญชาล่ะ" ก็คงหมายถึงว่า ทำไมสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) วัดปากน้ำ ซึ่งพระสุวิทย์อุปโลกน์ให้เป็น "ลูกพี่" ของพระมหานรินทร์ ไม่ยอมจับพระธัมมชโยสึก ตามพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช

 


 

แต่ผู้เขียนจะขอสรุปประเด็นอยู่ตรงว่า "ใครเป็นลูกพี่ใคร" และ "ใครที่มีอำนาจในการจับพระธัมมชโยสึกตามพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช"

 

1. ลูกพี่

เรื่องลูกพี่นั้น ถ้าหากพระสุวิทย์จะคิดเห็นว่า "พระมหานรินทร์เขียนอ้างกฎหมายคณะสงฆ์ เป็นหลักในการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งผู้ที่จะได้รับประโยชน์ก็คือ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ๆ จึงเป็นลูกพี่ของพระมหานรินทร์" ข้อนี้ผู้เขียนไม่ขอรับและไม่ขอปฏิเสธ เพราะสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ท่านมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย อายุพรรษาก็สูงส่ง คงไม่เหมาะที่ผู้เขียนจะบังอาจไปยกตนเป็น "ลูกน้อง" ของท่าน แต่ในเมื่อพระสุวิทย์จะ "ใช้สำนวน" ดังกล่าว ก็ไม่ว่ากัน ดังนั้น ถ้าตรงนี้พระสุวิทย์จะทำการ "อุปโลกน์" ให้สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์เป็น "ลูกพี่" ของพระมหานรินทร์ พระมหานรินทร์ก็จะ "อุปโลกน์" บ้างว่า ในฐานะที่พระสุวิทย์ ได้เคยเปิดเผยความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับ "สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม ฐานิสฺสโร)" วัดชนะสงคราม ก็คงจะพอประมาณการได้ดอกกระมังว่า "สมเด็จพระมหาธีราจารย์" เป็น "ลูกพี่" ของพระสุวิทย์

 

2. ใครที่มีอำนาจในการ "จับ" พระธัมมชโยสึก

เอาละ เมื่อเราได้ "ลูกพี่" กันทั้งสองฝ่ายแล้ว คราวนี้ก็จะมาหา "อำนาจหน้าที่" ในการจับพระธัมมชโยสึก ตามที่พระสุวิทย์กล่าวหาว่า "ทำไมลูกพี่ท่านไม่จับธัมมชโยสึก" ใครจะจับแพะหรือจับแกะก็ขอดูให้ดีๆ มีแจ๊กพ็อตแน่

 

ตามหลักฐานที่ปรากฏนั้น ในช่วงที่เกิดกรณีธรรมกาย คือตั้งแต่ต้นปี พ.ศ.2542 จนถึงวันที่ศาลอาญาได้อนุญาต "ให้ถอนฟ้องพระธัมมชโยได้" ในเดือนสิงหาคม 2549 มีพระภิกษุที่มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้

1. สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน ป.ธ.9) วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชและประธานกรรมการมหาเถรสมาคม ทรงทำการโจทย์ฟ้องพระธัมมชโยในข้อหาปาราชิกสิกขาบท ที่ 2 (อทินนาทาน-ลักทรัพย์) และต่อมาในวันที่ 10 พฤษภาคม 2542 สมเด็จพระญาณสังวร ทรงประกาศ "งดเข้าประชุมมหาเถรสมาคม" ไปจนกระทั่งคดีธัมมชโยสิ้นสุด และจนกระทั่งสิ้นพระชนม์ ตรงนี้ขอวินิจฉัยว่า เมื่อสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ทรงมีพระลิขิต "โจทย์ฟ้อง" พระธัมมชโย ในข้อหาปาราชิก จึงถือว่าสมเด็จพระญาณสังวร ทรงอยู่ในฐานะ "คู่กรณี" คือเป็นโจทย์ ขณะที่พระธัมมชโยตกเป็น "จำเลย" ขณะเดียวกัน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชนั้น ทรงดำรงตำแหน่ง "ประธานมหาเถรสมาคม" อีกด้วย และมหาเถรสมาคมเป็นผู้แต่งตั้ง "ศาลสงฆ์" เพื่อพิจารณาคดีธัมมชโย หากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช จะทรงเข้าร่วมประชุมมหาเถรสมาคม เพื่อพิจารณาปัญหาพระธัมมชโยด้วย ก็ย่อมจะเกิดความกดดันต่อมหาเถรสมาคมได้ จะกลายเป็นข้อครหาว่าไม่เป็นธรรม ดังนั้น การที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ทรงประกาศ "ไม่เข้าร่วมประชุมมหาเถรสมาคม" ซึ่งถือว่าถูกต้องอย่างยิ่งแล้ว (สาธุ)

 

2. เมื่อสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ไม่เสด็จเข้าเป็นประธานการประชุมมหาเถรสมาคมๆ จึงได้เลือกให้ "สมเด็จพระพุฒาจารย์ เกี่ยว อุปเสโณ ป.ธ.9" วัดสระเกศ ในฐานะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ ให้เป็นประธานการประชุม ตามความในมาตราที่ 16 แห่ง พรบ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2535) แสดงว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์ได้เป็นประธานการประชุมมหาเถรสมาคมแทน แต่สมเด็จพระพุฒาจารย์มิได้เป็นสมเด็จพระสังฆราช ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชยังคงเป็นของ สมเด็จพระญาณสังวร อยู่เช่นเดิม (สมเด็จเกี่ยวเป็นประธานเฉพาะในการประชุม ประชุมเสร็จก็มีตำแหน่งเป็นเพียงกรรมการมหาเถรสมาคมเช่นกับกรรมการรูปอื่นๆ การจะแต่งตั้งหรือออกคำสั่ง มติมหาเถรสมาคมอะไรต่างๆ ในช่วงนี้ ก็ยังต้องนำไปถวายสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ทรงลงพระนามและประทับตราเพื่อบังคับใช้ตามกฎหมายเช่นเดิม สมเด็จเกี่ยวไม่สามารถลงนามเองได้)

3. ต่อมา วันที่ 13 มกราคม 2547 สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้ประกาศตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช มีสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) วัดสระเกศ เป็นประธาน ตรงนี้ สมเด็จพระพุฒาจารย์ ได้เป็นประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช มิใช่ผู้ปฏิบัติหน้าที่โดยลำพัง ดังนั้น ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ก็ยังคงเป็นของ สมเด็จพระญาณสังวร อยู่เช่นเดิม

4. กรรมการมหาเถรสมาคมรูปอื่นๆ ทั้งธรรมยุตและมหานิกายนั้น ก็เหมือนรัฐมนตรีร่วมคณะรัฐบาล ไม่มีอำนาจหน้าที่โดยตรง เป็นแต่เพียงรอรับรายงานจากศาลสงฆ์เท่านั้น หากศาลสงฆ์วินิจฉัยประการใด มหาเถรสมาคมก็ต้องบังคับให้เป็นไปตามนั้น ไม่งั้นมหาเถรสมาคมก็จะถูกฟ้องร้องได้ว่าทำผิดกฎหมายได้ ดังนั้น ความรับผิดชอบในชั้นนี้ก็ยังถือว่ามีอยู่ แต่อยู่ในฐานะ "มหาเถรสมาคม" ซึ่งมีสมาชิกทั้งฝ่ายธรรมยุตและมหานิกายนั่นแหละ ที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน จะอ้างให้ฝ่ายมหานิกายรับผิดชอบไปฝ่ายเดียวไม่ได้

5. คดีธรรมกาย สิ้นสุดลงตามอนุญาตให้ถอนฟ้องของศาลฎีกา ในวันที่ 22 สิงหาคม 2549 พระพรหมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม) ปัจจุบันคือ สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ วัดพิชยญาติการาม เจ้าคณะภาค 1 ซึ่งมีตำแหน่งเป็น "ประธานศาลสงฆ์" ก็ยกเลิกการพิจารณาคดีของพระธัมมชโยตามไปด้วย

 

ตรงนั้นว่ากันด้วย "ตำแหน่ง" ในมหาเถรสมาคม ในช่วงที่กรณีธรรมกายดำเนินไป ซึ่งยังมีอีกหลายตำแหน่งที่สำคัญต่อคดีนี้ ตำแหน่งเหล่านี้ได้แก่

1. เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ซึ่งในช่วงที่เกิดกรณีธรรมกายในปี พ.ศ.2542-2549 นั้น ตำแหน่งนี้เป็นของ "สมเด็จพระมหาธีราจารย์ - นิยม ฐานิสฺสโร" วัดชนะสงคราม ในฐานะผู้ปกครองสูงสุดตามหลักของการ "แบ่งเขตการปกครอง" ของคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ที่แบ่งออกเป็น หนกลาง หนเหนือ หนใต้ และหนตะวันออก และให้มีเจ้าคณะใหญ่ปกครอง "แยกกัน" ดังกล่าว ทั้งนี้เพราะมหานิกายมีพระเณรจำนวนมากมายถึง 300,000 รูป/องค์ ขณะที่ฝ่ายธรรมยุตทั่วประเทศมีสมาชิกเพียง 30,000 รูป/องค์ เท่านั้น ดังนั้น ธรรมยุตจึงมีเจ้าคณะใหญ่เพียงคณะเดียว ปกครองพระเณรทั้งประเทศ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง คือผู้มีอำนาจสูงสุดในการดูแลคดีธัมมชโย ซึ่งเมื่อมีการขัดขืนต่อมติมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่หนกลางก็ทำการ "สั่งปลด" เจ้าคณะภาค 1 และตั้งพระภิกษุรูปใหม่ให้เข้ามาเป็นแทน

2. เจ้าคณะภาค 1 เมื่อสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ดำเนินการปลด "พระพรหมโมลี - วิลาศ ญาณวโร" วัดยานนาวา เจ้าคณะภาค 1 ออกจากตำแหน่ง (ข้อหาขัดขืนมติมหาเถรสมาคมที่ให้คฤหัสถ์สามารถฟ้องพระภิกษุได้) แล้วแต่งตั้งให้ "พระธรรมโมลี - สมศักดิ์ อุปสโม" เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการาม เจ้าคณะภาค 15 ให้มาดำรงตำแหน่งรักษาการเจ้าคณะภาค 1 แทน เพื่อเป็นประธานศาลสงฆ์คุมคดีธัมมชโยให้เดินหน้าต่อไป และต่อมาก็แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 เต็มตัว แถมพระธรรมโมลียังได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นเป็น "พระพรหมโมลี" แทนที่ของอดีตพระพรหมโมลีวัดยานนาวาอีกด้วย และในปี พ.ศ.2554 พระพรหมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม) ก็ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น "สมเด็จพระพุทธชินวงศ์" จนกระทั่งปัจจุบัน

แต่..แต่เดิมนั้น พระธรรมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม) หรือสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ ก่อนจะย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการามนั้น ท่านสังกัดวัดชนะสงคราม เป็นศิษย์เอกของสมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม ฐานิสฺสโร) เจ้าคณะใหญ่หนกลาง "ลูกพี่" ของพุทธะอิสระนี่แหละ คนเดียวกันเลยครับท่าน

ครั้นสมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม ฐานิสฺสโร) มรณภาพลงในเดือนมีนาคม พ.ศ.2554 พระพรหมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม) หรือสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะใหญ่หนกลางแทน พร้อมกับการดึง "หลาน" ของสมเด็จพระมหาธีราจารย์ คือพระโสภณปริยัติเวที (สายชล ฐานวุฑฺโฒ ป.ธ.9) วัดชนะสงคราม รองเจ้าคณะภาค 1 ให้ขึ้นมาเป็นเจ้าคณะภาค 1 สืบทอดอำนาจกันในสายอยุธยา (อย.) อีกด้วย ปัจจุบันทั้งสองรูปก็ยังอยู่ดีกินดี ไม่มีความอนาทรร้อนใจอะไร เพราะคนหันไปด่าวัดสระเกศกับวัดปากน้ำกันหมด วัดชนะสงครามเลยรอดตัวไป..สบาย

 

 

ตามที่ลำดับมานี้จะเห็นว่า

อำนาจในการปกครองคณะสงฆ์หนกลาง คือภาคกลางของประเทศไทยทั้งหมด ตกอยู่ในมือของสมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม ฐานิสฺสโร) วัดชนะสงคราม

อำนาจในการปกครองคณะสงฆ์ ภาค 1 ซึ่งอยู่ในหนกลาง และปกครองคณะสงฆ์ในระดับภาค ประกอบด้วย 4 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ ตกอยู่ในมือของสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ วัดพิชยญาติการาม (สายวัดชนะสงคราม)

ซึ่งเมื่อสมเด็จพระมหาธีราจารย์มรณภาพ ก็มีการเลื่อนพระในสายวัดชนะสงครามเข้ามากินตำแหน่งอย่างต่อเนื่องถึงปัจจุบัน

 

สมเด็จพระมหาธีราจารย์-ลูกพี่ของพุทธะอิสระ และพระสงฆ์สายวัดชนะสงคราม นี่เอง ที่เป็นผู้คุมคดีธรรมกาย คือ เป็นศาลสงฆ์ พิจารณาคดี ตัวจริง !

 

 

ในวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ.2549 ซึ่งศาลอาญาได้อนุญาต "ถอนฟ้อง" พระธัมมชโยนั้น เวลานั้น สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม ฐานิสฺสโร) วัดชนะสงคราม ก็ยังดำรงตำแหน่งอยู่ พูดง่ายๆ ว่า ยังไม่ตาย !

และขณะนั้น สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม) วัดพิชยญาติการาม ก็ยังเป็น "ประธานศาลสงฆ์" ในคดีธัมมชโย ถึงทุกวันนี้ก็ยังมีชีวิตอยู่ คือยังไม่ตาย !

ทุกวันนี้ สำนวนสอบสวนคดีธัมมชโย ก็ยังอยู่มือของสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ หรืออยู่ในความดูแลของ..สายวัดชนะสงคราม

 

กลับกัน ในระยะเวลาดังกล่าวมานั้น สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) วัดสระเกศ ก็มีตำแหน่งเป็นเพียง "ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช" มิได้เป็นประธานศาลสงฆ์ และมิได้มีอำนาจในการปกครองคณะสงฆ์ส่วนกลาง โดยท่านดำรงตำแหน่งเป็น "เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก" ปกครองภาคอีสานตลอดชีวิต ถ้าหากสมเด็จวัดสระเกศซึ่งเป็นเพียง "ประธานผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช" สามารถช่วยเหลือธัมมชโยได้จริงแล้ว สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งทรงมีพระอำนาจมากกว่า ก็ย่อมจะจัดการกับพระธัมมชโยไปก่อนหน้านั้นแล้ว

กลับกัน ระยะเวลาที่ว่านั้น สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) วัดปากน้ำ ถึงจะเป็นพระอุปัชฌาย์ของพระธัมมชโย แต่ว่าโดยตำแหน่งหน้าที่แล้ว ท่านเป็นเพียง "กรรมการมหาเถรสมาคม" และไม่ได้มีอำนาจในการปกครองคณะสงฆ์ส่วนกลาง เพราะท่านดำรงตำแหน่ง "เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ" กว่าสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์จะได้ดำรงตำแหน่งประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ก็ต่อเมื่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว) มรณภาพ ในวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ.2556 และเมื่อสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สิ้นพระชนม์ลงไปในปีเดียวกัน (วันที่ 24 ตุลาคม 2556) สมเด็จวัดปากน้ำถึงจะได้ขึ้นเป็น "ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช" เพียงรูปเดียว

 

ขอหมายเหตุไว้ด้วยว่า วันที่สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำ ได้ขึ้นเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชนั้น คดีธัมมชโยได้สิ้นสุดลงไปนานแล้วตั้ง 6 ปี

 

แล้วถามว่า สมเด็จวัดปากน้ำ จะเอาอำนาจอะไรไปช่วยเหลือธัมมชโย ?

 

อย่างไรก็ตาม สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ โดยส่วนตัวจะช่วยเหลือธัมมชโยหรือไม่ก็ไม่รู้ล่ะ เพราะเราไม่มีพยานหลักฐาน แต่ข้อสำคัญมันอยู่ที่ว่า ท่านไม่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาคดีธัมมชโย !

ถ้าสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ทำการช่วยเหลือพระธัมมชโย โดยวิธีใดวิธีหนึ่ง เช่น วิ่งเต้นเจรจาติดสินบนเจ้าหน้าที่คือศาลสงฆ์ ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับของสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม และทำสำเร็จ สามารถช่วยเหลือธัมมชโยได้ นั่นก็แสดงว่า ศาลสงฆ์ของสมเด็จพระมหาธีราจารย์ "ทุจริตต่อหน้าที่" จึงยอมรับการวิ่งเต้นนั้น และปล่อยพระธัมมชโยให้หลุดคดี ถ้าเป็นเช่นนี้จะกล่าวหาสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์เพียงฝ่ายเดียวไม่ได้หรอก มันก็ต้องผิดทั้งสองฝ่ายนั่นแหละ (ตรงนี้เป็นเพียงการสมมุติตามที่พระพุทธะอิสระกล่าวหา ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาจะกล่าวหาว่าสมเด็จพระมหาธีราจารย์หรือสมเด็จพระพุทธชินวงศ์รับสินบนเลย-ขอชี้แจงไว้ตรงนี้ แต่ที่ยกมาทั้งนี้ ก็เพื่อจะแก้คำกล่าวหาของพุทธะอิสระเท่านั้น)

สรุปให้ชัดเลยว่า สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม ฐานิสฺสโร) และสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม) คือผู้ปล่อยให้ "ธัมมชโย" พ้นข้อหา ตามที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงมีพระวินิจฉัยและทรงโจทย์ฟ้องต่อมหาเถรสมาคม !

 

 

 

 เมื่อข้อเท็จจริงมีอยู่เช่นนี้ จึงขอถาม "ท่านพระสุวิทย์ ธีรธมฺโม" หรือท่านพุทธะอิสระ แห่งวัดอ้อน้อย จังหวัดนครปฐม ว่า

ใครกันที่ไม่ทำตามพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช ?

ใครเป็นคนปล่อยให้ธัมมชโยลอยนวล ?

 

 

ท่านพุทธะอิสระ พูดจาฉะฉาน ปานราชสีห์คำรามว่า

 

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช แห่งวัดบวร พระองค์ทรงมีพระบัญชาตั้งแต่ปี 42 ให้ธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิก และต้องโดนจับสึก

แล้วทำไมลูกพี่ท่านไม่ทำตามพระบัญชาล่ะ

ทีพอตนและพวกจะได้ประโยชน์ก็มาอ้างกฎหมาย แต่พอเสียประโยชน์ก็หาว่าสองมาตรฐาน ลำเอียง

เก่งกันนัก พยายามอวดภูมิความรู้ท่วมหัว ทำไมไม่จัดการกับอลัชชีชั่วที่บิดเบือนพระธรรมวินัยดูบ้างล่ะ มัวแต่ซุกหัวหาความสบายอยู่ต่างประเทศ

ท่านไม่รู้จริงๆ หรือว่า ลัทธิธรรมกายทำย่ำยีพระธรรมวินัยอย่างไร

ท่านหูหนวกตาบอดหรืออย่างไร จึงไม่รู้ว่าการที่ลัทธิธรรมกายเอาวัตรปฏิบัติของผู้เคร่งครัดเพื่อความหลุดพ้น เช่น ธุดงค์วิถี มาทำอีเว้นท์หากินหลอกเงินชาวบ้าน

ท่านไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้ ว่าธรรมกายมันสอนผิดเพี้ยนไปจากหลักการของพระธรรมวินัย เช่น นิพพานเป็นอัตตา เป็นต้น

ท่านโง่จริงหรือแกล้งโง่ ที่ไม่รู้ว่าสมเด็จช่วงปกป้องและรับสินบนจากอลัชชีมาตลอดเวลา

หากจะยกหางพวกเดียวกันก็บอกมาตรงๆ อย่ามาทำเป็นแกล้งโง่และอวดฉลาด

หรือคนอย่างพวกท่านนี่มันเห็นแก่ประโยชน์พวกพ้อง มากกว่าพระธรรมวินัย

ฉันจะเป็นพญาราชสีห์หรือสุนัขจิ้งจอก ก็ไม่เคยหลอกแหกตาชาวบ้าน ไม่เคยทะเยอทะยาน หน้าด้านอยากเป็นใหญ่ทั้งที่ไส้เน่าอย่างพวกท่าน

ว่างจากการนั่งนับเงินเก็บเข้าบัญชีธนาคารหรือยังไง ถึงได้ออกมาเขียนด่าฉัน

รวยมากนักระวังจะเป็นโรคเงินลิซึ่มตายนะ

อยู่เมืองนอกคงจะหาเงินได้คล่อง เลยไม่อยากกลับเมืองไทย

อย่ามาเทียบรุ่นตีเสมอกับฉันเลย หากเก่งจริง กล้ามาก มีความสามารถ ก็ไปจัดการเอาตัวไอ้อลัชชีชั่ว ที่พระสังฆราชทรงมีพระวินิจฉัยให้สึกเพราะต้องอาบัติปาราชิก ออกไปจากพระธรรมวินัยดีกว่าไหม

กล้าไหมล่ะ เก่งกันนักไม่ใช่หรอ

หรือเก่งแต่จะเห่าหอนอยู่หน้าจอคอม

 

 

ถามกลับพุทธะอิสระ

 

ถามว่า ลูกพี่ใคร ไม่ทำตามพระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราช ไม่ยอมจับธัมมชโยสึก ?

ถามว่า ใคร ? ทีพอตนและพวกจะได้ประโยชน์ก็มาอ้างกฎหมาย แต่พอเสียประโยชน์ก็หาว่าสองมาตรฐาน ลำเอียง

ถามว่า ใคร-เก่งกันนัก พยายามอวดภูมิความรู้ท่วมหัว ทำไมไม่จัดการกับอลัชชีชั่วที่บิดเบือนพระธรรมวินัย ไม่ยอมวินิจฉัยว่าธัมมชโยผิด ?

ถามว่า ใครที่ทำหูหนวกตาบอด ไม่รู้ว่า "ลูกพี่กู" เป็นคนปล่อยธัมมชโยลอยนวล แต่กลับไปป้ายสีว่าวัดสระเกศบ้าง วัดปากน้ำบ้าง ช่วยเหลือธัมมชโย ทั้งๆ ที่ลูกพี่ของตัวเองมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่ไม่จัดการ

ถามว่า ใครที่โง่จริงหรือแกล้งโง่ ไม่รู้ว่า "สมเด็จนิยม-สมเด็จสมศักดิ์ แห่งวัดชนะสงคราม" เป็นผู้ปล่อยธัมมชโยลอยนวล

ถามว่า ใครที่ยกหางพวกเดียวกัน คนอื่นทำผิด ด่าเขาว่าอลัชชี เป็นอันตรายต่อพระศาสนา แต่พอ "ลูกพี่กูทำ" บ้าง ก็หางหด

ถามว่า ใครที่เห็นแก่ประโยชน์พวกพ้อง มากกว่าพระธรรมวินัย ไปประท้วงทำไมวัดปากน้ำ ทำไมไม่ไปประท้วงที่วัดชนะสงคราม มือปล่อยธัมมชโยตัวจริงเสียงจริง แน่จริงทำไมไม่ไปดำเนินการ "ปลด" สมเด็จวัดชนะสงคราม "ลูกพี่" ของพุทธะอิสระให้ออกจากตำแหน่ง เพราะถ้าธัมมชโยเป็นอลัชชีชั่วช้า คนที่ปล่อยให้คนชั่วลอยนวลก็ต้อง "ชั่วช้า" ไม่ด้อยกว่าแน่ แต่ถามว่า ลูกพี่ใคร ?

ถามว่า ใคร ? แหกตาชาวบ้าน ทะเยอทะยาน และอยากเป็นใหญ่ไส้เน่า เอาตำแหน่งไปครอง แต่ไม่ทำตามบัญชาสมเด็จพระสังฆราช ลูกพี่ใครวะ ?

 

 

ถามว่า ลูกพี่ใคร

ลูกพี่ใครหว่า ?

 

พระมหานรินทร์ นรินฺโท
25 ธันวาคม 2558

 

 

 

E-Mail To BK.

peesang2555@hotmail.com

ALITTLEBUDDH.COM HOMEPAGE WAT THAI LAS VEGAS 2920 MCLEOD DRIVE LAS VEGAS NEVADA 89121 U.S.A. (702) 384-2264