อีกหกปีจะไม่มีคนจนในเมืองไทย
 


 

    ขอออกตัวว่า นี่มิใช่คอลัมน์การเมือง แม้จะพาดพิงถึงการเมืองบ้าง แต่ก็ขอยืนยันว่า ไม่มีเจตนาจะวิพากษ์การเมือง เพราะผู้เขียนเป็นนักการศาสนา มองปัญหาบ้านเมืองในแง่ของพระ มิใช่นักการเมืองที่มุ่งคะแนนเสียงเป็นสำคัญ

     ปัญหาสำคัญสำหรับทุกบ้านเมือง ย้ำ ! ทุกบ้านเมือง ไม่ใช่เฉพาะเมืองไทยอย่างเดียว ก็คือ ปัญหาเรื่องปากท้อง และถ้าพูดอีกสำนวนหนึ่งก็คือว่า ปัญหาความยากจนของคนส่วนใหญ่ ถ้าเรียกแบบภาษาปัจจุบันก็เห็นจะเป็น "คนไทยระดับรากหญ้าของแผ่นดิน" นั่นเอง

     นั่นเป็นเรื่องเบสิก ๆ คือพรรคการเมืองทุกพรรค ทุกนักการเมือง เมื่อถือไมค์โครโฟนตะโกนขอคะแนนเสียงชาวบ้าน ก็ย่อมท่องคาถา "จะช่วยให้พ่อแม่พี่น้องชาวประชา ได้อยู่ดีกินดีกว่าที่เป็นอยู่" แปลอีกความหมายหนึ่งก็คือ "จะทำให้ทุกท่านเป็นคนรวย ไม่ยากจนต่อไป" ดูเหมือนว่า ปี พ.ศ. 2475 จะเป็นปีแรกที่เริ่มมีคำว่า "รวย" เข้ามาสู่สังคมไทยในเวลาที่เราเริ่มมีรัฐธรรมนูญฉบับแรก แทนระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

     จากปี พ.ศ. 2475 ถึงปัจจุบัน ปี พ.ศ. 2547 ก็เป็นเวลา 72 ปี พอดี ไม่ขาดไม่เกิน คาถา "จะทำให้ทุกท่านอยู่ดีกินดี" ยังคงเป็นอมตะที่ท่องได้ทุกยุค ใครไม่รู้จักคาถานี้สิ รับรองว่าสอบตก ส.ส. แน่ ๆ แปลว่า ความจนยังไม่สิ้นไปจากผืนแผ่นดินไทย

     แต่นักการเมืองไทยในสมัยที่ผ่านมาทุกยุคนั้น ก็ท่องกันแบบงู ๆ ปลา ๆ คือท่องคาถาแต่ลืมใส่น้ำมนต์ลงไปด้วย ทำให้คนไทยไม่เชื่อน้ำมนต์พวก ส.ส. เท่าไหร่ ผ่านมากี่รัฐบาลก็งั้น ๆ มันไม่แตกต่างกัน อ้างโน่นอ้างนี่ ผลัดผ่อนกันไปเรื่อย ๆ พอรัฐบาลเก่าล้มแล้วก็ได้รัฐบาลใหม่อีก เพิ่งจะมามีก็ครั้งนี้ ในรัฐบาลของ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย ที่อาจหาญประกาศว่า "จะทำประเทศไทยให้ปราศจากคนจนภายใน 6 ปี" นับจากปี พ.ศ. 2545 ก็คือว่า ขีดเส้นตาย ภายในปี พ.ศ. 2552 ต้องไม่มีคนจนในเมืองไทยแม้แต่คนเดียว ไม่งั้นขัดนโยบายของรัฐบาล

     ผู้เขียนจะไม่ถามว่า "รัฐบาลจะทำได้หรือไม่" เพราะไม่ใช่หน้าที่ เพียงแต่อาศัยสดับรับฟังข่าวคราวจากนโยบายของรัฐบาลที่ออกมารองรับกับเป้าหมาย "หกปี" ดังกล่าวแล้ว ก็ยังสงสัย สงสัยว่า คำว่า "จะไม่มีคนจนในอีกหกปี" นั้น ท่านนายกรัฐมนตรีหมายถึงอะไร อะไรคือความจน ??

คนจะงาม งามน้ำใจ ใช่ใบหน้า

คนจะสวย สวยจรรยา ใช่ตาหวาน

คนจะแก่ แก่ความรู้ ใช่อยู่นาน

คนจะรวย รวยศีลทาน ใช่บ้านโต

     สุภาษิตไทยบทนี้ คิดว่าท่านผู้อ่านทุกท่านคงเคยผ่านตามากมากต่อมาก เป็นคำนิยาม ความงาม ความสวย ความรู้ และความรวย ของคนไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณ หากแต่ในปี พ.ศ. นี้ ถ้าตีความหมายตามคำประกาศของท่านนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตรแล้ว ก็เห็นทีว่าคงต้องเปลี่ยนความหมายสุภาษิตบทนี้กันใหม่หมด

     "แปลงทรัพย์สินให้เป็นทุน" ดูเหมือนจะเป็นนโยบายแบ็กอัพแรก ๆ ที่ท่านนายกรัฐมนตรีดำเนินการตามพันธสัญญาที่ประกาศไว้ โดยเริ่มที่การ "ขึ้นทะเบียนคนจน" ใครมีปัญหาเรื่องเงินทองของใช้สิ่งใด หรือรู้ตัวเองว่า "จน" ก็ขอให้ไปจดทะเบียนจากเจ้าหน้าที่ของทางการ เพื่อรัฐบาลจะได้พิจารณาช่วยเหลือ ให้พ้นจากความยากจน

     แต่...แต่หลังจากนั้นแล้ว เราก็ยังไม่รู้ว่า หลวงหรือรัฐบาลท่าน จะทำอย่างไร เพื่อให้คนไทยที่ขึ้นทะเบียนทั้งหมดนั้น "หายจน" ภายใน 6 ปี มียาดีอะไรเล่าเอ่ย ?

     กลับไปที่คำถาม อะไรคือความจน ? กันอีกที ปัญหานี้ถ้าตอบแบบพื้น ๆ ก็อาจจะแปลว่า ก็คือคนที่ยังลำบากลำบนเรื่องสัมมาอาชีพ ยังพึ่งพาตัวเองไม่ได้ เรียกว่ายังอัตคัตขัดสน จะกู้ยืมเงินทองใครก็ไม่มีเครดิต ทำให้ต้องจนซ้ำซาก คนเหล่านี้เรียกว่า คนจน และรัฐบาลจะช่วยเหลือคนจนเหล่านี้โดยวิธีการ "มีอะไรก็ให้เอาไปจำนองจำนำ เพื่อจะได้มีเครดิต รู้จักทำมาค้าขาย ไม่งอมืองอเท้า ถึงแม้จะมีหนี้สิน แต่จะถือว่าหนี้สินนั้นเป็น "เครดิต" ไม่ใช่ความยากจน" ก็ไม่รู้ว่าแปลความหมายผิดไปหรือเปล่านะ

     คำว่า "เครดิต" นี้ รู้สึกว่าจะตีความหมายแตกต่างไปจากที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่า "อิณาทานํ ทุกฺขํ โลเก" แปลว่า เป็นหนี้เป็นทุกข์ในโลก มีหลายคนที่เป็นหนี้แล้วหนีหนี้หรือหนีความทุกข์ด้วยการ "ฆ่าตัวตายพ้นโลก" จึงจะพ้นหนี้ เพราะยังไม่มีการตามทวงหนี้ในปรโลก เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสว่า หนี้คือทุกข์ แต่รัฐบาลนี้กลับตีความหมายของคำว่า "หนี้" เป็น "เครดิต" แม้จะไม่แปลว่า "ความสุข" โดยตรง แต่ก็เหมือนจะไม่ตรงตามความหมายของพระพุทธพจน์

     ในด้านหนึ่งนั้น รัฐบาลโหมโรงเรียกหาความชอบธรรมในการสร้างแหล่งอบายมุขขนาดใหญ่ขึ้นในประเทศไทย ในนามว่า เอ็นเตอร์เทนเม้น คอมเพล็กซ์ หรือศูนย์แห่งความบันเทิงนั่นแหละ ก็แปลงมาจากคำว่า คาสิโน ของเมืองลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา ซึ่งดูเหมือนว่าจะถูกชูเป็นเมืองตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จจากคาสิโน่ เพราะว่าเป็นเมืองที่พัฒนาไวที่สุดในสหรัฐอเมริกาในรอบทศวรรษนี้

     รัฐบาลไทยสมัยนี้ เริ่มจะทำสิ่งที่ผิดกฎหมายให้ถูกกฎหมาย โดยการ ยกระดับหวยเถื่อนให้เป็นหวยถูก จากหวยใต้ดินให้เป็นหวยบนดิน โสเภณีก็จะให้ตีทะเบียนเสียภาษี แล้วนำเงินจาก "อบายมุข" พวกนี้ ไปพัฒนาประเทศ ทั้งนี้เพราะมองด้วยสายตาของพ่อค้าที่ว่า ไม่ว่าเงินดำหรือเงินขาว ก็เงินเหมือนกัน ล้างแฟ๊บเสียนิดหน่อยก็ใช้ได้แล้ว

     "การมีเงินคือความรวย" อาจจะเป็นความคิดของนายกรัฐมนตรีท่านนี้ ที่คิดจะยกระดับคนจนคนไทยให้ "รวย" ด้วยการ "ต้องมีเงินในมือ" เสียก่อน ตอนนี้ผู้เขียนก็เห็นว่า "ถูก" หากแต่ที่ยังสะกิดใจ "ไม่ใช่คัดค้าน" ก็คือ เรื่องที่ไปที่มาของเงิน และวิธีการใช้จ่าย นั่นต่างหาก

     เงินไม่ว่าจะดำหรือขาว ก็คือเงิน นั่นก็ถูก แต่คุณค่าของเงินมันต่างกันแน่ เพราะไม่งั้นคำว่า "ศีลธรรม-จริยธรรม" ก็ไม่จำเป็นต้องมีในโลกนี้ เพราะศีลธรรมเป็นคำจำกัดความถึง "วิธีการได้มา" ก่อนจะว่ากันถึง "เป้าหมายปลายทางของความสำเร็จ" เช่นคำว่า ประชาธิปไตย แปลง่าย ๆ ก็คือ อำนาจของปวงชนที่ยินยอมให้ผู้ใดผู้หนึ่งหรือคณะบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เช่น พรรคการเมือง ได้ไปเป็นตัวแทนของตน ในการใช้อำนาจบริหารประเทศ แต่นั่นก็เป็นเพียงคำนิยามเท่านั้น หากแต่ลึกลงในเนื้อหาของคำว่า "ประชาธิปไตย" แล้ว เราจะพบว่า มีรากเหง้าแห่งระบอบนี้อย่างสร้างสรรค์-ดีงาม ไม่ใช่ทำลายและเลวร้ายหรือโกงแหลกราญ อย่างที่นักการเมืองมักอ้างกันว่า "ผมได้รับการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงเท่านั้นเท่านี้ ไม่เคยมีใครได้รับมากกว่าผม ผมจึงมีความชอบธรรมที่จะทำอย่างไรก็ได้"

      มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เป็นคำนิยามเบื้องต้นของคำว่า ประชาธิปไตย คือไม่ว่าใครก็ไม่สามารถอยู่คนเดียวเดี่ยวโดดในโลกนี้ได้ ดังนั้น เราจำต้องมีครอบครัว มีชุมชน เป็นสังคม และการอยู่ร่วมกันนั่นเองที่เป็นบ่อเกิดแห่งประชาธิปไตย

     สิทธิและเสรีภาพ สองคำนี้มีคำนิยามที่ควบคู่ ทั้งให้และห้าม  มีความหมายว่า มนุษย์แต่ละคนบนโลกนี้ ที่เกิดขึ้นมาแล้ว เมื่อเป็นคนก็ย่อมมีสิทธิและเสรีภาพที่จะทำอะไรก็ได้ และได้รับสิทธิเหมือนคนอื่น ๆ หากแต่ว่า ก็ยังมีคำจำกัดความอีกว่า "ทั้งนี้ การใช้สิทธิและเสรีภาพนั้น ต้องไม่เป็นการก้าวก่าย หรือล่วงละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น หรือเป็นการขัดต่อกฎหมายบ้านเมือง หรือต่อศีลธรรมอันดีงาม"

     นั่นเป็นคำนิยามในวงกว้างในนามของ "รัฐธรรมนูญ" ซึ่งต่อมาก็ย่อลงเป็นเรื่องของศาสนาและกฎหมาย ซึ่งใช้เป็นตัวเดินตามรัฐธรรมนูญ

     แต่ส่วนลึกจริง ๆ แล้ว ประชาธิปไตยนั้น มาจาก "จิตสำนึกในความเป็นมนุษย์" ของแต่ละคนในสังคม ซึ่งตระหนักถึงสิทธิและเสรีภาพด้วยสติปัญญาอย่างรอบด้านว่า ทั้งเราและเขา คือทุกคนในสังคมนี้ มีสิทธิ์และเสรีภาพอย่างไร ในการแสวงหาความสุขใส่ตัว โดยจะต้องไม่เป็นการล่วงละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น ซึ่งหลักการนี้สามารถนำมาวินิจฉัยทั้งตัวเขาและตัวเรา ในกรณีที่มีข้อพิพาทกันขึ้น และเมื่อมองไปในวงกว้าง แต่ละสังคมก็ย่อมมีทิศทางแตกต่างกัน ทั้งนี้เพราะมนุษย์มีพื้นเพแตกต่างกัน ทำให้อุปนิสัยใจคอ ระเบียบประเพณี ไปจนถึงความเลื่อมใสในศาสนาแตกต่างกัน แต่จะทำอย่างไรให้แต่ละชุมชน "ต่างคนต่างอยู่" หรือ "อยู่ร่วมกัน" อย่างไม่ต้องกระทบกระทั่งกันจนเป็นสงครามขึ้น

     ประชาธิปไตยเป็นการมองจากตนเองไปสู่โลกทั้งใบในแบบนี้ มิใช่แบบที่ว่า "ใคร ๆ ก็มีอิสระจะตีความพระธรรมวินัยใช้อย่างไรก็ได้ ขอเพียงให้ถูกใจ ได้รับผลเป็นความสุขส่วนตนเท่านั้นก็เพียงพอ เพราะว่ารัฐธรรมนูญให้สิทธิและเสรีภาพในการนับถือศาสนาไว้แล้ว" ว่าแล้วก็ประกาศอาจหาญว่า พระนิพพานเป็นอัตตา สามารถพาคนไปเฝ้าพระพุทธเจ้าในอายตนนิพพานได้ บวชได้ไม่กี่พรรษาก็ไม่จำเป็นต้องเรียนนักธรรมชั้นตรี โท เอก หรือเรียบบาลีให้รู้เรื่องภาษาอะไร ไปหาหนังสือพระไตรปิฎกมาอ่านก็วิพากษ์วิจารณ์ไปตามความเข้าใจของตน จนกลายเป็นปัญหาระดับบ้านเมืองขึ้นมาในอีกระดับหนึ่ง ซึ่งขอเรียกว่า ระดับมวลชน

     ความละเอียดลึกซึ้งในเรื่องของ "สิทธิและเสรีภาพ" ไปจนถึงคำว่า "ประชาธิปไตย" นี้ ท้าได้เลยว่าจะมีประชาชนคนไทยในจำนวน 62 ล้านคนนั้น ซักกี่คนจะรู้แจ้งและรู้จริง แม้แต่กรรมการร่างรัฐธรรมนูญก็เถอะ นี่ไม่ได้ดูถูก หากแต่ต้องถามกันตามมารยาท

     ถามว่า ใคร ๆ ที่คิดว่าประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยมาตั้งแต่ พ.ศ. 247 นั้น เป็นจริงหรือ ? หรือว่า เป็นประชาธิปไตยแบบไหน ? และตั้งแต่  เป็นประชาธิปไตย 70 กว่าปีมานี้ เคยมีวิชาประชาธิปไตยสอนในโรงเรียนไหม ระดับไหนบ้าง ???

     ก็ลองเอาคำถามนี้ไปถามตั้งแต่นายกรัฐมนตรีลงไปจนถึงแม่ค้าข้าวแกงหรือสามล้อปากซอยดูเถิด จะได้ความรู้ความเข้าใจที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแน่นอน และแน่นอนอีกว่า แต่ละคนก็ย่อมจะยืนยันว่า ความคิดเห็นของตนเองเท่านั้นที่ถูกต้อง เหมือนตาบอดคลำช้าง  คำตอบจึงอาจจะเป็น "ถูกทุกข้อ" หรือ "ผิดทุกข้อ" ก็ได้ ทั้งนี้เพราะไม่มีอะไรเป็นบรรทัดฐานยืนยันได้ อย่านับถึงกรรมการตัดสินเลย

     จากคำถามเรื่องประชาธิปไตย ก็จะลงลึกไปถึงว่า จริงหรือไม่ ในการเลือกตั้งที่ผ่านมามีการซื้อสิทธิ์ขายเสียงอย่างมโหฬาร ? ห้ามโกหกพระนะ จะหลบไปตอบหลังโบสถ์ก็ได้ ถ้ายังยอมรับว่า "มีจริงครับ" มีทั้งผู้ให้และผู้รับ อย่างนี้ก็แสดงว่า ประชาธิปไตยที่ใช้กันอยู่ในป้จจุบันยังไม่ใช่ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง แม้คะแนนเสียงที่ได้จะท่วมท้น แต่ก็ต้องคัดออกว่า "จริง ๆ แล้ว คะแนนที่ได้มาด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม อย่างถูกต้องตามกระบวนการและเป้าประสงค์ของประชาธิปไตยนั้น มีกี่คะแนน" แล้วจึงค่อยประกาศว่า "ข้าพเจ้าได้รับเลือกตั้งมาด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น"

     ทีนี้ก็จะเข้าเรื่องของความจน เพราะถ้ายังมีการซื้อสิทธิ-ขายเสียงกันอยู่ทุกฤดูกาลเลือกตั้ง ก็แสดงว่า ประชาชนยังยากจน โดยอาจจะแยกความจนออกเป็น 3 ระดับ คือ 1. จนเงิน 2. จนปัญญา 3. จนใจ

     จนเงิน เป็นชาวบ้านที่จนปัจจัยใช้สอย อัตคัตข้าวปลาอาหาร หรือแม้แต่หยูกยาในยามเจ็บไข้ ต้องการปัจจัยพื้นฐานในการครองชีพ ซึ่งได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค ปัจจัยพื้นฐานแห่งความจนเหล่านี้ก็คือโชคไม่พาวาสนาไม่ส่ง เกิดในถิ่นทุรกันดาร หรืออะไรก็ตามแต่ แต่ยังถือว่าเป็นความจนทางร่างกาย

     จนปัญญา เหนือกว่าระดับความจนทางด้านความอัตคัตทางด้านร่างกายแล้ว ก็ยังมีสิ่งที่เหนือกว่านั้น นั่นคือการศึกษาหรือภูมิปัญญา เพื่อให้รู้เท่าทันสามารถแข่งขันกับคนอื่น ๆ ในสังคมได้อย่างเท่าเทียม ไม่ด้อยกว่าเขา ซึ่งจะสร้างความร่ำรวยทางด้านนี้ได้นั้น ก็ต้องอาศัยนโยบายของรัฐบาลในการสนับสนุนการศึกษาและพัฒนา โดยเฉพาะก็คืองานวิจัยค้นคว้าอย่างไม่หยุดยั้ง จึงจะก้าวทันโลก

     จนใจ แต่เหนือความจนอื่นใดนั้น ยังมีความจนอีกระดับหนึ่ง ซึ่งขอเรียกว่า "จนใจ" เป็นความจนทางด้านจิตใจ ในใจมีแต่ความโลภโมโทสันต์ โลภจากสิ่งเล็กน้อย เป็นข้าวของเงินทอง สมบัติพัสถาน คู่ครอง การเงิน การงาน ไปจนถึงความโลภอำนาจวาสนา ชื่อเสียง เกียรติยศ อยากเป็นรัฐมนตรีเพื่อชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล ถ้าเป็นพระเจ้าพระสงฆ์ก็คือ โลภอยากได้เจ้าคุณ โลภอยากเป็นพระอรหันต์ จะได้รวยไว ๆ หรือได้เจ้าคุณเพราะเป็นพระวิปัสสนาเป็นต้น คนเหล่านี้ใช้วิชาวิปัสสนาตบตาคนจนได้ดิบได้ดีมานักต่อนักแล้ว ขอเรียกว่า โรคอีโก้ โรคนี้อย่าว่าแต่สามสิบบาทรักษาทุกโรคเลย ต่อให้สามสิบล้านต่อหนึ่งโรคก็ยังรักษาไม่หาย

      ความจนประเภทสุดท้ายนี้ รู้สึกจะมีมากที่สุดในโลก มากกว่าความจนทางกาย และความจนทางปัญญา ศาสนาจึงเป็นตัวกำจัดความจนขั้นสุดท้ายอย่างเด็ดขาด เพราะตราบใดคนยังมีกิเลสตัณหาหน้ามืดตามัว บ้าหอบฟางกันทั้งบ้านทั้งเมืองเช่นนี้แล้ว ปัญหาของประเทศชาติก็ไม่มีทางจะสะสางได้ราบรื่น แม้รัฐบาลโดยท่านนายกรัฐมนตรีจะประกาศให้คนจนหมดไปจากประเทศไทยภายในหกปีก็ตาม ก็คิดว่าทำได้อย่างมากก็ระดับรากหญ้าเท่านั้น เพราะการหาเงินโดยอบายมุข หรือเมื่อยังมีการซื้อสิทธิ์ขายเสียง หรือใช้นโยบายอันไม่สามารถทำให้สำฤทธิ์ผลแบบบูรณาการอันยั่งยืนได้มาหาเสียงหาคะแนนเพื่อขอเป็นรัฐบาลต่อไปอีกสี่ปี สิ่งเหล่านี้ก็แสดงว่า ประเทศไทยยังไม่หมดคนจน เพราะขนาดหัวหน้าพรรคการเมืองยังจนปัญญา จนใจ และจนศีลธรรม แล้วจะนำคนไทยพ้นความจนได้อย่างไร ภายในหกปีนี้

     ปัญหาสังคมนั้นหมกหมมมานานนัก จะแก้ด้วยเวลาเพียงสั้นๆ ก็รู้สึกว่าจะหนักหนาสาหัสจนคนไข้รับไม่ไหว ท้ายข้อเขียนนี้ก็ขอแสดงเจตน์จำนงว่า มีความปรารถนาดีต่อท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลไทย ที่กล้าประกาศล้างหนี้สินและความยากจนให้หมดไปภายในหกปี จะทำได้หรือไม่ได้นั้นไม่ใช่ประเด็นที่จะเอาเป็นเอาตาย หากแต่ว่าถ้ามีความพยายามอยู่ที่ไหน ก็มีความสำเร็จอยู่ที่นั่น ความจนนั้นมีหลายระดับ เราค่อย ๆ เริ่มกันตรงนี้ ตรงที่ความจนทางกาย ต่อไปก็กำจัดความจนทางปัญญาและทางใจต่อไป ขอเพียงให้พร้อมเพรียงกันอย่างจริงจังเท่านั้น ไม่มีอะไรที่เราจะทำไม่ได้
 

พระมหานรินทร์ นรินฺโท
วัดไทย ลาสเวกัส รัฐเนวาด้า สหรัฐอเมริกา
7 มกราคม 2547

 

 

 
E-Mail ถึง บก.
peesang2003@hotmail.com

All Right Reserved @ 2003
This Website Sponsored by

 

www.alittlebuddha.com เจ้าของ : วัดไทย ลาสเวกัส 2920 McLeod Dr. Las Vegas Nevada 89121 USA (702) 384-2264