ปลงอาบัติให้สังฆราช

 

 

"ฝ่าพระบาท หม่อมฉันได้ทำสำเร็จแล้ว หม่อมฉันได้ช่วยเปลื้องมลทินในอาบัติสังฆาทิเสส ที่พระองค์ทรงต้องมาเป็นเวลา 17 ปีแล้ว บัดนี้พระองค์ได้ทรงพ้นมลทินนี้แล้ว"

 

เป็นถ้อยคำของ พระสุวิทย์ ธีรธมฺโม หรือที่เรียกว่า พุทธะอิสระ แห่งวัดอ้อน้อย จังหวัดนครปฐม เขียนลงบนเฟสบุ๊คของตัวเอง เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2558 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ พุทธะอิสระ ได้เท้าความไปถึงจุดเริ่มต้นของ "กรณีธรรมกาย" และพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ในปี พ.ศ.2542 ซึ่งสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงมีพระลิขิตออกมาหลายฉบับ เกี่ยวกับกรณีดังกล่าว และทางมหาเถรสมาคมได้เข้ารับสนองพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช ตั้งกรรมการพิจารณาอธิกรณ์ของพระธัมมชโย จนกระทั่งอัยการสูงสุด ได้สั่งไม่ฟ้องพระธัมมชโยไปในวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ.2549 ทางศาลสงฆ์โดยสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม) ในฐานะเจ้าคณะภาค 1 ในขณะนั้น ก็ปิดศาลสงฆ์ตามไปด้วย ด้วยเหตุผลว่า "ทางคณะสงฆ์ยึดถือมาตรฐานการสอบสวนของรัฐบาลเป็นหลัก เมื่อทางรัฐบาลไม่เอาความ ทางคณะสงฆ์ก็อนุโลมตาม"

คดีเก่าของธัมมชโยสิ้นสุดไปในวันที่ 22 สิงหาคม 49 ดังกล่าว ส่วนคดีใหม่เกี่ยวกับการรับเงินจากสหกรณ์คลองจั่นอะไรนั้น เพิ่งจะมาเริ่มต้นในปี พ.ศ.2556 หรือเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมานี่เอง ซึ่งคดีหลังนี้ไม่เกี่ยวกับสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช เลย

ดังนั้น การที่พุทธะอิสระ นำเอาคำสั่งฟ้องของดีเอสไอซึ่งชงให้อัยการ ในคดีสหกรณ์คลองจั่น มาพัวพันกับสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช นั้น จึงถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะไม่เกี่ยวกัน

นั่นเป็นเรื่องของ 2 คดีที่เกิดขึ้นต่างกรรมต่างวาระกับพระธัมมชโย คดีแรก "เกี่ยว" กับสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ส่วนคดีที่สองนั้น "ไม่เกี่ยว" เข้าใจตรงกันนะ

 

เรื่องต่อไปก็คือ "หลักการของพระธรรมวินัย" ซึ่งมีข้ออ้างอิงอยู่ 2 ประการ ได้แก่

 

1. หลักของพระธรรมข้อที่ว่า สุทฺธิ อสุทฺธิ ปตฺจตฺตํ แปลว่า ความบริสุทธิ์ หรือความไม่บริสุทธิ์ เป็นของเฉพาะตัว ไม่มีใครสามารถทำใครให้สกปรกหรือสะอาดได้ มีเพียงเจ้าตัวเท่านั้นที่ทำได้

2. หลักของพระวินัยเกี่ยวกับการต้องอาบัติของพระภิกษุและการพ้นจากอาบัติ ซึ่งก็เป็นเรื่อง "เฉพาะตัว" อีก หมายถึงว่า พระภิกษุรูปใดต้องอาบัติแล้ว หากจะพ้นจากอาบัติก็ต้อง "ปลงอาบัติ" ด้วยตนเอง คนอื่นปลงให้ไม่ได้

 

เกี่ยวกับสมเด็จพระญาณสังวรนั้น ว่าโดยคุณสมบัติแล้ว พระองค์ทรงศึกษาจนจบนักธรรมชั้นเอก และเปรียญธรรม 9 ประโยค แถมทรงมีตำแหน่งสูงสุดเป็นถึงสมเด็จพระสังฆราช ย่อมจะการันตีได้ว่า พระองค์ย่อมจะไม่ทรงกระทำอะไรไปในทางล่วงละเมิดพระธรรมวินัย จนถึงกับต้องอาบัติ หรือถึงแม้ว่าจะทรงพลั้งเผลอต้องอาบัติเล็กน้อยไปบ้าง ก็ย่อมจะทรงมีพระสติ "เปลื้องอาบัติ" นั้น ในขณะยังมีพระชนม์อยู่ คงไม่รอให้ใครมาปลงอาบัติให้ในขณะสิ้นใจไปแล้ว เพราะถึงแม้จะปลงก็ปลงไม่ได้ ปลงศพกับปลงอาบัติเป็นคนละเรื่องกัน

กรณีพระภิกษุพยายามทำอัตตวินิบาตฆ่าตัวตาย ท่านปรับอาบัติทุกกฎ ซึ่งเป็นโทษเล็กน้อย ส่วนว่าภิกษุรูปใดฆ่าตัวตายสำเร็จ ก็เสร็จไป หมายถึงว่าไม่สามารถปรับอาบัติคนตายได้ ส่วนความเชื่อที่ว่าจะเป็นมลทินติดตัวไปในชาติหน้านั้น ก็ถือว่าเป็นเพียงความเชื่อ ในทางพระวินัยถือว่าไม่มีผล

ทีนี้ว่า ถ้าสมมุติว่า สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ทรงต้องอาบัติสังฆาทิเสส ด้วยเหตุคือการโจทย์ฟ้องพระธัมมชโย ในอาบัติปาราชิก (อมูลกสิกขาบท ที่ 8 และอัญญภาคิยสิกขาบท ที่ 9 แห่งหมวดสังฆาทิเสส) ถ้าการโจทย์นั้น "มีมูล" ข้อนี้ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ไม่ทรงต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ถ้าการโจทย์อาบัตินั้น "ไม่มีมูล" เป็นการโจทย์ด้วยโลภะ โทสะ หรือโมหะ อย่างใดอย่างหนึ่ง ข้อนี้จึงถือว่า ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส ข้อใดข้อหนึ่ง

ซึ่งกรณีพระธัมมชโยนั้น ว่าโดยพยานหลักฐานและการวินิจฉัยทางอรรถคดี ที่ทางอัยการสูงสุด ได้วินิจฉัยแล้ว ปรากฏว่า มีการยอมรับจากจำเลย (พระธัมมชโย) ว่าได้รับเอาเงินของวัดพระธรรมกายไปจริง แต่ได้คืนให้แก่ทางวัดไปหมดสิ้นแล้ว จึงถือว่าสามารถรอมชอมทางกฎหมายได้ และศาลอาญาได้พิจารณาให้ถอนฟ้องได้ ซึ่งเรื่องการยินยอมให้ถอนฟ้องของศาลอาญานี้ จะมีผลต่อพระธรรมวินัยหรือไม่อย่างใด ก็ต้องวินิจฉัยกันต่อไปอีก

แต่ตรงนี้ชี้ได้ว่า สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช มิได้ทรงต้องอาบัติสังฆาทิเสสแต่อย่างใด และเมื่อไม่ต้องอาบัติ ก็ไม่จำเป็นต้องแสดงอาบัติ

 

ถามต่อไปว่า ถ้าสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ทรงต้องอาบัติสังฆาทิเสส ในกรณีที่ไปโจทย์อาบัติปาราชิกต่อพระธัมมชโย การจะเปลื้องอาบัตินั้นทำอย่างไร และใครทำ ? ซึ่งอาบัติสังฆาทิเสสนั้นมีวิธีการเปลื้องอาบัติโดยคร่าวๆ ก็คือ

 

1. ต้องสารภาพต่อหน้าสงฆ์ ว่าตนเองได้ต้องอาบัตินั้นๆ

2. ให้สงฆ์กำหนดวิธีการออกจากอาบัติ โดยการอยู่ปริวาสกรรม รวมทั้งมานัตหรือการนับราตรี

3. เมื่ออยู่กรรมจนครบตามกำหนดแล้ว พระสงฆ์จำนวน 20 รูปขึ้นไป สวดอัพภาณ รับรองความบริสุทธิ์ของพระภิกษุรูปนั้น

 

นี้ว่าโดยคร่าวๆ ซึ่งเห็นได้ว่า พุทธะอิสระไม่สามารถอยู่ปริวาสกรรมแทนสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช เพื่อปลดเปลื้องอาบัติแทนพระองค์ได้ ถึงแม้ว่าสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช จะทรงพระชนม์อยู่ก็ทำไม่ได้ ยิ่งสิ้นพระชนม์แล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง

จึงต้องถามกันให้ตรงตามหลักพระธรรมวินัยว่า พุทธะอิสระทำไปเพื่ออะไร ?

ทั้งนี้ ไม่ต้องพาดพิงถึงคดีของพระธัมมชโยเลยว่าจะออกหัวหรือออกก้อย ถูกหรือผิด เพราะไม่มีผลต่อองค์สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช เลย (ถึงมีก็มีเป็นการเฉพาะพระองค์ ไม่เกี่ยวข้องกับพระภิกษุรูปอื่นใด)

 

ดังนั้น การที่พระพุทธะอิสระ นำเอาหลักฐานการฟ้องร้องพระธัมมชโยที่ยื่นต่ออัยการ มาประกาศว่า "ตนเองสามารถเปลื้องสมเด็จพระญาณสังวร ให้พ้นจากมลทิน คือต้องอาบัติสังฆาทิเสส ที่ติดพระองค์มานานถึง 17 ปี ได้แล้ว" นั้น จึงถือว่าเป็นการกล่าวตู่ต่อสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช !

 

ถามว่า พระพุทธะอิสระมีเหตุผลกลใดในการกระทำไปเช่นนั้น ?

คำตอบก็น่าจะเป็นว่า เพราะว่าตนเองเคยลั่นวาจาไว้ว่า ถ้าไม่สามารถสึกพระธัมมชโยได้ ก็จะยอมลาสิกขาสึกไปเอง !

 

ซึ่งการประกาศเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นการ "เอาตัวเอง" เข้าไปเป็นคู่กรณีกับพระธัมมชโย โดยมีกระบวนการยุติธรรมเป็นตัวตัดสิน ซึ่งนั่นหมายถึงด้วยว่า พุทธะอิสระล้ำเส้นกฎหมาย ไม่ยอมรับกฎหมายเสียเอง โดยพุทธะอิสระจะแสดงออกใน 2 ทาง คือ

 

1. ถ้าศาลตัดสินว่าพระธัมมชโยผิด พระพุทธะอิสระก็ยอมรับคำตัดสิน และอยู่เป็นพระต่อไป

2. แต่ถ้าศาลตัดสินว่าพระธัมมชโยไม่ผิด พระพุทธะอิสระก็จะประท้วงคำตัดสิน โดยการลาสิกขา

ถามว่า พระพุทธะอิสระทำถูกตรงไหน ในเมื่อคำตัดสินนั้นมาจากศาลเดียวกัน

 

ดังนั้น การที่อัยการยังไม่ฟ้อง ศาลยังไม่ได้รับสำนวนฟ้อง แต่พุทธะอิสระกลับ "ชิงจังหวะ" ประกาศว่าสมเด็จพระญาณสังวรพ้นมลทินแล้วนั้น จึงมิใช่เจตนาในการปกป้องสมเด็จพระสังฆราชให้พ้นมลทิน หากแต่เป็นการ "เปลื้องมลทิน" ให้แก่ตัวพุทธะอิสระเสียเอง เพราะตัวเองไปลั่นเดิมพันกับพระธัมมชโยไว้

ปัญญาชน สุจริตชน เมื่อได้เห็น "เกม" ทางการศาสนาและการเมือง ของพระสุวิทย์ ธีรธมฺโม ต่อกรณีดังกล่าว จึงรู้สึกสมเพชสังเวชใจ รวมทั้งขบขันต่อท่าทีของพุทธะอิสระ ซึ่งอ้างตัวเองว่าเป็นถึงพญาราชสีห์ แต่สุดท้ายก็กลายเป็นแค่..เสือเห่า พราะเอาเข้าจริงๆ กลับไม่มีอะไรเป็นสาระเลย ไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม !

จึงเป็นที่น่าเสียดายว่า พระพุทธะอิสระ ประกาศจะทำการเมืองและการศาสนา ให้บริสุทธิ์หมดจด เพื่อเป็นบรรทัดฐานของบ้านเมืองต่อไป จึงสู้ออกมาขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รวมทั้งออกมาต่อต้านวัดพระธรรมกาย ในการประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัย หรืออื่นใดที่เชื่อว่าจะเป็นอันตรายต่อพระศาสนาก็ตาม แต่พระพุทธะอิสระกลับไม่ยอมใช้ "บรรทัดฐานทางกฎหมายและพระธรรมวินัย" มาเป็นหลักดำเนินการอย่างสุจริต โดยวางตัวให้เป็นกลางทางกฎหมาย ไร้อคติ สมกับสมณเพศที่ตนเองดำรงอยู่  ถ้าหากว่าตัวพุทธะอิสระมีหลักฐานหรือพยานอื่นใด ก็สมควรมอบให้แก่ทางเจ้าหน้าที่ได้นำไปพิจารณา มิใช่การออกมาชี้นำกฎหมาย หรือการนำเอาตัวเองไปเป็นตัวประกัน ประหนึ่งเป็นคู่กรณีเสียเอง ดังที่เห็น

 

สรุปว่า พุทธะอิสระ มั่วทั้งหลักการ มั่วทั้งวิธีการ !

แบบนี้นี่จึงมิใช่วิธีการแก้ปัญหา "อันถูกต้องและยั่งยืน" ให้แก่ประเทศชาติพระศาสนาได้ ซ้ำร้าย จะยิ่งซ้ำเติมให้เกิดความเกลียดชังระหว่างชาวพุทธไทยด้วยกัน ซึ่งไม่มีวันจบ ถามว่า เราอยากเห็น "การบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ" หรืออยากเห็น "การใช้กฎหมู่อย่างมีประสิทธิภาพ" กันแน่ !

ปัญญาชน เมื่อได้ฟังคำประกาศของพระพุทธะอิสระข้างต้นนั้น ก็ย่อมจะเห็นเป็นเรื่องตลกขบขัน เหมือนกับว่า มีลิเกคณะใหญ่ไปเล่นมหรสพในงานพระศพ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ที่ผ่านมา ซึ่งพุทธะอิสระนำเอาชาวพุทธจำนวนหนึ่งไปวัดบวรนิเวศวิหาร เพื่อถวายสักการะพระศพสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช

 

เขาเห็นเป็น "จำอวด" ไปทั้งนั้น !

 

 

 

 

มีข่าวดีมาบอก
4 ธันวาคม 2558

 

ปี 42 สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ทรงโจทก์ภิกษุธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายต้องอาบัติปาราชิก ข้อหาอวดอุตริมนุสธรรมและยักยอกทรัพย์

 

ด้วยทรงมีพระวินิจฉัยให้เจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบกระทำ 2 เรื่อง


เรื่องแรกให้คืนทรัพย์

เรื่องที่สองให้จับสึก

 

ต่อมา นายอาคม เอ่งฉ้วน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ทำหน้าที่กำกับดูแลกรมการศาสนา ได้รับคำสั่งจาก นายชวน หลีกภัย ให้เข้าไปสนองพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช ด้วยการควบคุมเร่งรัดเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบให้ดำเนินการตามพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช

จนสามารถนำคดีขึ้นสู่ในชั้นอัยการ หลักฐานเพียงพอที่จะมีคำสั่งให้ฟ้องเอาผิดธัมมชโยได้

ส่วนในด้านมหาเถรสมาคม ได้มีการตั้งศาลสงฆ์มารับเรื่องตามกฎนิคหกรรม แต่ก็รับเรื่องร้องเรียนเอาไว้อย่างเสียไม่ได้ นั่นก็คือรับแล้วเก็บใส่ลิ้นชักด้วยข้ออ้างที่ว่า เมื่อคดีอยู่ในขั้นการพิจารณาของอัยการ ควรจะต้องให้จบเรื่องทางคดีโลกเสียก่อน ศาลสงฆ์ถึงจะได้ลงมือพิจารณา

เวลาต่อมา นายทักษิณ ชินวัตร ได้เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว มีคำสั่งแต่งตั้งอัยการสูงสุด

ซึ่งผู้ที่ถูกแต่งตั้งก็คืออัยการผู้ลงความเห็นสั่งฟ้องธัมมชโยในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์

เมื่อได้รับตำแหน่งอัยการสูงสุด กลับลำสั่งไม่ฟ้องคดีของธัมมชโยเสียงั้น

มิใยที่สมเด็จพระสังฆราชและสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม จะพยายามบังคับใช้คำสั่งทางคณะสงฆ์เพื่อปกป้องพระธรรมวินัย

แต่ก็ถูกสมเด็จเกี่ยวแห่งวัดสระเกศและเจ้าคณะภาค 1 แห่งวัดยานนาวา ขัดขวางการดำเนินคดีกับธัมมชโยอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู จนมีคำพูดหรูๆ ออกมาจากปากสมเด็จเกี่ยวว่า แมลงวันไม่ตอมแมลงวัน

สมเด็จพระสังฆราช เมื่อมิอาจเอาผิดกับธัมมชโยได้ทั้งที่มีพยานหลักฐานชัดเจน คือหลักฐานการยักยอกเงินและทรัพย์สินของวัดมาเป็นชื่อของตน เป็นจำนวนเงินถึง 900 กว่าล้าน

แม้คำสอนที่บิดเบือนต่อหลักธรรมวินัย จาบจ้วงพระไตรปิฎก เจ้าประคุณสมเด็จก็ทรงมีหลักฐานครบถ้วนสมบูรณ์

แต่ไม่สามารถเอาผิดกับธัมมชโยได้ จึงทรงปรารภให้ฉันได้รับรู้ !

ด้วยเพราะอำนาจเงิน บริวาร และบารมีทางการเมือง บารมีของมหาเถรสมาคมบางคนที่ค้ำชูคุ้มหัวธรรมกาย ธัมมชโย อยู่จวบจนถึงวันนี้เป็นเวลา 17 ปีแล้ว ที่ไม่มีใครสามารถเอาผิดกับธัมมชโยได้

จนเป็นเหตุให้ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ทรงต้องอาบัติสังฆาทิเสส มาตั้งแต่ปี 42 จนถึงปี 58 สิ้นสมเด็จไป 2 สมเด็จ สิ้นรัฐบาลไป 5 รัฐบาล

มาถึงสมัยรัฐบาล คสช. วันพฤหัสบดี ที่ 3 ธันวาคม 2558 ทนายอั๋นได้โทรมาบอกเจ้าเฟิร์ส ในขณะที่ฉันกำลังเจริญพระพุทธมนต์ ถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

หลังจากเจริญมนต์ จุดเทียนชัยถวายพระพรจบลง เจ้าเฟิร์สมาบอกว่า เจ้าหน้าที่ดีเอสไอแจ้งมาว่า อธิบดีดีเอสไอ โดยคณะกรรมการคดีพิเศษ ได้พิจารณาพยานหลักฐานความผิดของธัมมชโยและพวกแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล จึงรับคดีเอาไว้เป็นคดีพิเศษ พร้อมส่งให้อัยการพิจารณาสั่งฟ้องสืบไป

ฉันได้ยินแล้วขนลุกชูชัน น้ำตาไม่รู้มันเอ่อมาจากไหน

ฝ่าพระบาท หม่อมฉันได้ทำสำเร็จแล้ว

หม่อมฉันได้ช่วยเปลื้องมลทินในอาบัติสังฆาทิเสสที่พระองค์ทรงต้องมาเป็นเวลา 17 ปีแล้ว

 

บัดนี้พระองค์ได้ทรงพ้นมลทินนี้แล้ว !

เพราะตามพระวินัยกำหนดไว้ว่า หากมีบุคคลควรเชื่อได้มาชี้มูลว่าต้องอาบัติอะไร ก็ให้ปรับเธอด้วยอาบัตินั้น

 

วันนี้ คณะกรรมการคดีพิเศษ อันมีอธิบดีดีเอสไอเป็นประธาน ได้ชี้ชัดว่าคดีธัมมชโยมีมูล สามารถส่งอัยการสั่งฟ้องดำเนินคดีได้ แม้คดียังไม่ถึงที่สุด อัยการยังมิได้สั่งฟ้องก็ตามที แต่คดีมีมูล เป็นไปตามข้อกำหนดของพระวินัย เป็นการหยุดอาบัติสมเด็จพระสังฆราชได้ชั่วคราวจนกว่าคดีจะถึงที่สุด

ต่อไปเป็นหน้าที่ของหม่อมฉันจะไล่เช็ดถู กวาดล้าง พวกอลัชชีสงฆ์กลุ่มนี้ ให้พ้นจากสังฆมณฑลให้จงได้ ตามที่เคยได้รับปากพระองค์ไว้ เพื่อล้างมลทินของสังฆมณฑลให้หมดสิ้น

หม่อมฉันมีความกล้าพร้อมที่จะเดินทางไปถวายบังคมพระศพของฝ่าพระบาท และร่วมเป็นเจ้าภาพสวดพระศพในวันที่ 11 ธันวาคม ที่จะถึงนี้

จึงขอเชิญชวนพี่น้องผู้มีจิตเลื่อมใสศรัทธาในพระจริยาวัตรของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช เดินทางไปร่วมกันเป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรมบำเพ็ญกุศลพระศพสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ในวันที่ 11 ธ.ค.เวลาบ่าย 2 โมงตรงที่ตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหารกันทุกคน นะจ๊ะ

ขอเชิญทุกท่าน ทุกคนเลย ที่ร่วมต่อสู้เพื่อความถูกต้อง ขอให้มาร่วมกันทุกท่าน

 

พุทธะอิสระ

 

 

พระมหานรินทร์ นรินฺโท
14 ธันวาคม 2558

 

 

 

E-MAIL

peesang2555@hotmail.com

ALITTLEBUDDH.COM HOMEPAGE WAT THAI LAS VEGAS 2920 MCLEOD DRIVE LAS VEGAS NEVADA 89121 U.S.A. (702) 384-2264