หมายเหตุอะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะ ครั้งที่ 2 กรณีตั้งพระปิฎกโกศลเป็นรองเจ้าคณะภาค 7 |
||||||
จาก.. อ.ย. (อยุธยาโมเดล)
สู่.. ส.พ. (สุพรรณบุรีโมเดล)
จากกรณีที่มหาเถรสมาคม ได้อนุมัติให้ "พระปิฎกโกศล" (นิกร มโนกโร ป.ธ.9) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ขึ้นดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะภาค 7 ตามคำเสนอของพระวิสุทธิวงศาจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ วัดปากน้ำ ซึ่งอะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะ ดอทคอม ได้เสนอหมายเหตุไปครั้งหนึ่งแล้วนั้นแรกนั้น เมื่ออะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะ ท้วงติงการแต่งตั้ง "พระเด็กๆ" อายุเพียง 51 ปี พรรษา 29 ให้เข้าไปดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะภาค 7 ซึ่งต้องบังคับบัญชาพระเถรานุเถระใน 3 จังหวัดใหญ่ในภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่ ลำพูน และแม่ฮ่องสอน ซึ่งมองเห็นว่า วัดปากน้ำใช้นโยบายเมืองขึ้น ส่งพระในวัดเข้ามากินตำแหน่งปกครองจังหวัดต่างๆ ในภาคเหนือ เสมือนหนึ่งว่า หัวเมืองเหนือมีเชียงใหม่เป็นต้นนั้น เป็นเมืองขึ้นของวัดปากน้ำ นึกอยากจะตั้งใครมาเป็นเจ้าเป็นนายก็ได้ วันนี้ ทราบเพิ่มเติมว่า พระปิฎกโกศล หรือพระมหานิกรนั้น เป็นชาวจังหวัดสุพรรณบุรี บ้านเดียวกันกับ "พระวิสุทธิวงศาจารย์" เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ ซึ่งเป็นผู้เสนอแต่งตั้ง อีกโสตหนึ่งด้วย จึงมีข้อสงสัยเพิ่มเติมว่า หรือนี่จะเป็น "สุพรรณบุรีโมเดล" ที่มีการวางแผนใช้พระชาวจังหวัดสุพรรณบุรีให้มีอำนาจบังคับบัญชาปกครองคณะสงฆ์ไทยทั่วประเทศ โดยเฉพาะในเขตจังหวัดภาคเหนือ ซึ่งปัจจุบันนั้น พระพรหมโมลี (สุชาติ ธมฺมรตโน ป.ธ.9) วัดปากน้ำ ก็กินตำแหน่งเจ้าคณะภาค 5 ปกครองภาคเหนือตอนล่าง มีเมืองพิษณุโลกเป็นหลัก ทำให้เห็นว่า ตั้งแต่หัวถึงหาง ของเจ้าคณะผู้ปกครองคณะสงฆ์ในเขตหนเหนือนั้น มีแต่ชาวจังหวัดสุพรรณบุรีเป็นหลัก ทั้งๆ ที่สุพรรณบุรีเป็นเขตภาคกลาง ก่อนหน้านี้ เคยมีคำกล่าวว่า "สาย อ.ย." เป็นคำอธิบายถึงพระสงฆ์กลุ่มหนึ่งจากจังหวัดอยุธยา มีความสามัคคีเหนียวแน่น รักพวกรักพ้องมากกว่าคนจังหวัดอื่น ดำเนินนโยบาย "ให้พระสายอยุธยา" เข้าครองอำนาจในเขตภาคกลางทั้งสิ้น ซึ่งปรากฏในปัจจุบันว่า ตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่หนกลาง ก็ตกเป็นของสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ วัดพิชัยญาติ ชาวอยุธยา ตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 ก็ตกเป็นของพระราชวิสุทธิเวที (สายชล) วัดชนะสงคราม ชาวอยุธยา และตำแหน่งเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร ก็ตกเป็นของพระพรหมดิลก วัดสามพระยา ชาวอยุธยาเช่นกัน อ.ย.กินตำแหน่ง หน-ภาค และ กทม. ไว้ถึง 3 ชั้น 3 ระดับด้วยกัน แถมรองเจ้าคณะ กทม. ก็ยังมีสายอยุธยาเสริมอยู่อีก 1 รูปด้วย เรื่อง "อ.ย." นี้ ไม่มีการเขียนเป็นรูปธรรม แต่เป็นคำบอกเล่า ว่าพระสงฆ์สายอยุธยามีพฤติกรรมเช่นนี้ ซึ่งพฤติกรรมที่ว่านี้ วันนี้ไปตรงกับพฤติกรรมของพระสงฆ์สายสุพรรณบุรี ซึ่งกินรวบอำนาจการปกครองในเขตหนเหนือ ไล่ตั้งแต่ เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ เจ้าคณะภาค 5 และรองเจ้าคณะภาค 7 ซึ่งล้วนแต่เป็นชาวสุพรรณทั้งสิ้น พฤติกรรมเช่นนี้ ทำให้เห็นว่า ในบรรดาพระสงฆ์ในเขตหนเหนือ โดยเฉพาะภาค 7 นั้น ไม่มีพระเถรานุเถระผู้มีสติปัญญาสามารถจะบริหารปกครองคณะสงฆ์เองได้ จึงต้องให้พระจากจังหวัดสุพรรณบุรีมาปกครองแทน ทั้งๆ ที่ไม่จริง เรื่องจริงก็คือว่า บรรดาพระสงฆ์เถรานุเถระในเขตหนเหนือ โดยเฉพาะในภาค 7 นั้น หลายรูปมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ในระดับ "อาจารย์-ศิษย์" และเคยได้รับการอุปการะเกื้อกูลกันมานาน จนสายสัมพันธ์แนบแน่น ไม่รังเกียจเดียดฉันท์ ถึงสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ อดีตเจ้าคณะภาค 7 และอดีตเจ้าคณะใหญ่หนเหนือ จะมิใช่ชาวเหนือ หากแต่เป็นชาวจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งตลอดเวลาที่สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ได้บริหารปกครองในเขตหนเหนือนั้น ได้สร้างคุณูปการไว้มากมาย โดยเฉพาะด้านการศึกษาภาษาบาลี ดังนั้น เมื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ได้เลื่อนขึ้นดำรงตำแหน่งจากเจ้าคณะภาค 7 เป็นเจ้าคณะใหญ่หนเหนือ และเสนอให้พระวิสุทธิวงศาจารย์ (วิเชียร อโนมคุโณ) วัดปากน้ำ เข้ามาดำรงตำแหน่งเจ้าคณะภาค 7 แทน จึงไม่มีใครต่อต้าน แม้ครั้งล่าสุด สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ขอลาออกจากตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่หนเหนือ แล้วเสนอให้เลื่อนพระวิสุทธิวงศาจารย์ขึ้นเป็นแทน ก็ไร้เสียงต่อต้านอีก ทั้งนี้ก็เพราะคุณงามความดีที่สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ได้สร้างไว้มากมายนั่นเอง และเจ้าคุณวิเชียรก็มีคุณสมบัติเหมาะสมกับการดำรงตำแหน่ง แต่ครั้งนี้ เมื่อพระวิสุทธิวงศาจารย์ เสนอให้พระปิฎกโกศล (นิกร มโนกโร ป.ธ.9) ซึ่งเป็นพระเลขาของตัวเอง ขึ้นเป็น "รองเจ้าคณะภาค 7" ซึ่งว่างลง ทั้งๆ ที่ในเขตภาค 7 นั้น ก็ยังมีพระเถรานุเถระผู้มีอายุพรรษาปูนเถระและมีสติปัญญาสามารถจะปกครองดูแลคณะสงฆ์ในภาค 7 ได้ตั้งหลายสิบรูป ก็หาได้รับการพิจารณาไม่ ทำให้เห็นว่า พระวิสุทธิวงศาจารย์ เจาะจงหรือวางแผน ให้พระปิฎกโกศล ได้เป็นรองเจ้าคณะภาค 7 แต่เพียงผู้เดียว จึงเกิดคำถามว่า "ในบรรดาพระสงฆ์จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน และแม่ฮ่องสอน ไม่มีพระสงฆ์แม้แต่เพียงรูปเดียวหรือไร ที่มีความรู้ความสามารถจะดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะภาค 7 ได้ ถึงกับต้องไปเอาพระมหานิกร ชาวจังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นพระเด็กๆ ให้มาเป็นเจ้านายปกครองตนเอง" จริงอยู่ ในพระธรรมวินัยนั้น มิได้อนุญาตให้พระภิกษุสามเณรเคารพนับถือกันตามภูมิลำเนา แบบว่าจะต้องไหว้หรือเคารพนับถือเฉพาะพระสงฆ์ในถิ่นเกิดของตนเท่านั้น แต่ท่านให้ถือเอา "พระธรรมวินัย" เป็นหลัก อันรวมทั้งอายุพรรษาและสติปัญญาความสามารถด้วย แต่การแต่งตั้งพระต่างถิ่นเช่นพระมหานิกร ชาวสุพรรณ ไปเป็นรองเจ้าคณะภาค 7 ครั้งนี้ ถามว่า วัดปากน้ำมีเหตุผลพิเศษอันใด หาไม่แล้วจะให้พระสงฆ์ในภาค 7 ยอมรับนับถือได้อย่างไร ในเมื่อมันไม่มีเหตุผลอันสมควร จริงอยู่ วัดปากน้ำอาจจะอ้างเหตุผลว่า กรณีที่พระต่างถิ่นได้รับการแต่งตั้งให้ไปดำรงตำแหน่งอีกถิ่นหนึ่ง ก็มีให้เห็นมากมาย ทั้งในอดีตและปัจจุบัน เช่น สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) วัดสระเกศ ชาวจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้เป็นเจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก ปกครองพระสงฆ์ในภาคอีสานทั้งหมด สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) วัดปากน้ำ ชาวจังหวัดสมุทรปราการ ได้เป็นเจ้าคณะใหญ่หนเหนือ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (สนิท ชวนปญฺโญ) วัดไตรมิตร ชาวจังหวัดฉะเชิงเทรา ได้เป็นเจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก ปกครองภาคอีสาน หรือในระดับภาคต่างๆ ก็มีถมเถไป พระเชียงใหม่-เชียงรายได้เป็นเจ้าคณะปกครองในจังหวัดอื่นในภาคอื่น เช่น พระเทพกิตติเวที (ฉ่ำ ปุญฺญชโย) เจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตร ได้เป็นเจ้าคณะภาค 17 ปกครองจังหวัดภูเก็ต ตรัง กระบี่ พังงา ระนอง เป็นต้น แล้วเหตุใดจึงมาจำเพาะเจาะจงที่ "พระปิฎกโกศล-นิกร" ว่าเป็นชาวต่างถิ่น ไม่สมควรจะดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะภาค 7 แสดงว่าเรา-อะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะ ดอทคอม มีอคติกับพระวัดปากน้ำและพระสายสุพรรณใช่หรือไม่ ? ตรงนี้ก็ขอเรียนว่า ว่าโดยหลักการแล้ว การแต่งตั้งเช่นนี้ เป็นผลเสียมากกว่าผลดี เพราะพระต่างถิ่นย่อมไม่รู้จักขนบธรรมเนียมประเพณีของท้องถิ่นนั้นเท่ากับเจ้าถิ่น การได้เจ้าถิ่นปกครองท้องถิ่น ย่อมจะดีกว่าได้คนต่างถิ่นแน่นอน แต่หากมีเงื่อนไขจำเพาะ เช่น กรณีเจ้าคุณฉ่ำ (พระเทพกิตติเวที) ซึ่งอดีตเคยเป็นเลขานุการเจ้าคณะใหญ่หนใต้ (พระพรหมจริยาจารย์) ก็สามารถทำได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องได้รับการยอมรับจากพระสงฆ์ในท้องถิ่นเป็นปราการสุดท้าย ในอดีตนั้น หัวเมืองต่างๆ ทุกภาคของไทย นอกจากกรุงเทพมหานครออกไปแล้ว ก็ถือว่าเป็นบ้านนอกทั้งสิ้น พระกรุงเทพเชื่อว่าพระบ้านนอกมีความรู้ด้อยกว่าตัวเอง แถมยังมีระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่ต้องการผูกขาดอำนาจไว้ในส่วนกลางเป็นแกนนำอีก ทำให้มีการใช้พระราชอำนาจสั่งตั้งเจ้าคณะผู้ปกครองจากส่วนกลาง ให้ไปกินตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่ในหัวเมืองต่างๆ แบ่งประเทศไทยออกเป็น หนกลาง หนเหนือ หนตะวันออก และหนใต้ สืบเนื่องมาจนถึงสมัยปัจจุบัน ซึ่งก็คิดว่า พระสงฆ์ไทยน่าจะปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ของโลก คือกระจายอำนาจการปกครองสู่ท้องถิ่น เพื่อให้คนในท้องถิ่นได้ปกครองกันเอง แต่มหาเถรสมาคมกลับทำตัวสวนกระแสโลก โดยการรวบอำนาจไว้แต่ส่วนกลาง มิยอมให้พระสงฆ์ในต่างจังหวัดได้มีโอกาสในการพิจารณาหาผู้นำของตนเอง แถมยังเอาเด็กก้นกุฏิ เลขาหน้าห้อง และคนบ้านเดียวกันเข้าไปกินตำแหน่งอีก ถือว่าน่าเกลียดกว่านักการเมืองมากมายนัก ขนาด สนช. ซึ่งตั้งคนสนิทเข้าไปเป็นคณะทำงาน ก็ยังถูกต่อต้าน และยินยอมถอนตัวลาออกทั้งกระบิมาแล้ว ทั้งๆ ที่มาจากคณะปฏิวัติแท้ๆ เขายังไม่ฝืนกระแสเหมือนกรณีวัดปากน้ำทำในครั้งนี้เลย กรณีพระปิฎกโกศลได้รับแต่งตั้งเป็นรองเจ้าคณะภาค 7 ในครั้งนี้ พิจารณาด้วยเหตุและผลแล้ว หาความชอบธรรมไม่ได้เลยแม้แต่ข้อเดียว ถึงจะอ้างว่า "เคยเป็นเลขานุการเจ้าคณะภาค 7 มานาน รู้งานในภาค 7 ดีก็ตาม" ก็ไม่มีความชอบธรรมที่จะมาดำรงตำแหน่ง เพราะถ้าจะเอาอดีตเลขาเจ้าคณะภาค 7 มาเป็นรองภาค ก็สู้เอาเจ้าคุณเจ้าอาวาสวัดต่างๆ ในสามจังหวัดเชียงใหม่มาเป็นไม่ดีกว่าหรือ มีมากมายด้วย เช่น วัดพระสิงห์ วัดสวนดอก วัดพระธาตุศรีจอมทอง วัดท่าตอน วัดเจดีย์งาม วัดดอยสะเก็ด วัดพระธาตุหริภุญไชย วัดพระพุทธบาทตากผ้า เป็นต้น คนเหนือไม่สิ้นไร้ถึงกับต้องให้พระสุพรรณมาปกครองหรอกจะบอกให้ เหตุผลเพียงข้อเดียวที่หาได้ก็คือ เจ้าคุณวิเชียรต้องการให้พระมหานิกร ได้เป็นรองเจ้าคณะภาค 7 ซึ่งพระมหานิกรนั้นเป็นชาวจังหวัดสุพรรณบ้านเดียวกับเจ้าคุณวิเชียร ก็เลยเป็นที่มาของคำว่า "สาย ส.พ." หรือ สุพรรณบุรีคอนเน็คชั่นนั่นเอง ความจริงแล้ว ปัจจุบันวันนี้ อำนาจบังคับบัญชาคณะสงฆ์ทั้งประเทศไทย ล้วนตกอยู่ในมือสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์และพระวัดปากน้ำทั้งสิ้น ตั้งแต่สมเด็จพระสังฆราช เจ้าคณะหน เจ้าคณะภาค รองภาค และกรรมการมหาเถรสมาคม การจะสลับตำแหน่งของพระเจ้าคณะแต่ละรูปแต่ละองค์ให้เหมาะสมลงตัวกับท้องถิ่นและความชำนาญจึงมิใช่เรื่องยาก เช่น พระราชสุตาภรณ์ (ประชัน ฐิตปญฺโญ ป.ธ.5) ชาวเชียงใหม่ อดีตเลขาเจ้าคณะใหญ่หนเหนือ (สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์) ปัจจุบันเป็นรองเจ้าคณะภาค 4 พระราชปัญญาภรณ์ (สิงห์คำ ชยวํโส ป.ธ.9) วัดนางชี ชาวเชียงใหม่ ปัจจุบันเป็นรองเจ้าคณะภาค 6 เป็นต้น วัดปากน้ำสามารถจะสลับตำแหน่งให้ไปดำรงตำแหน่งในถิ่นเกิด คือภาค 7 ได้ ง่ายๆ เหมือนสลับไพ่ในมือ แต่ถามว่า ทำไมไม่ทำ และเมื่อไม่ยอมสะสางตำแหน่งต่างๆ ซึ่งลักลั่นกันมานานแสนนานนั้น หนำซ้ำ กลับยังแต่งตั้งซ้ำกับรอยเดิมอีก แสดงว่าสมเด็จวัดปากน้ำไม่มีวิสัยทัศน์ใหม่ๆ ในการบริหารปกครองคณะสงฆ์ไทย แต่ยังคงใช้ระบบขุนน้ำขุนนางแบบเดิมๆ ที่เคยเป็นมาในอดีตนานหลายร้อยปี เสียดาย ได้เป็นใหญ่เป็นโตทั้งที น่าจะใช้โอกาสทองนั้นให้เป็นประโยชน์ หยุดวงจรอุบาทว์แล้วจัดวางระบบเสียใหม่ให้ดีกว่าเดิม สร้างเกียรติประวัติประดับไว้ในโลกาตราบนานเท่านาน แต่วัดปากน้ำกลับเล่นเกมเดิมๆ ใช้วิธีการเดิมๆ เหมือนวัดอื่นๆ ที่เคยเป็นมา แล้วถามว่า แล้วจะมาเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช และเจ้าคณะใหญ่หนเหนือไปทำไม ในเมื่อมันไม่มีอะไรใหม่อยู่แล้ว เป็นหรือไม่เป็นมันก็ค่าเท่ากัน !
อะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะ ดอทคอม |
E-Mail
To BK.
peesang2555@hotmail.com
ALITTLEBUDDH.COM HOMEPAGE WAT THAI LAS VEGAS 2920 MCLEOD DRIVE LAS VEGAS NEVADA 89121 U.S.A. (702) 384-2264 |