|
80 ปี หลวงพ่อพระธรรมโมลี
"พระเถระผู้น่ารัก" เห็นทีต้องขอถือวิสาสะตั้งฉายาให้หลวงพ่อพระธรรมโมลีเช่นนั้น ที่กล้ากล่าวเช่นนี้มิใช่ว่าผู้เขียนอุตริคิดละลาบละล้วงหลวงพ่อพระธรรมโมลีเหมือนเป็นเพื่อนเล่นเช่นนั้นดอก หากแต่มีเหตุปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ผู้เขียนนึกได้เช่นนั้น นั่นเพราะว่า ผู้เขียนก็เคยผ่านครูบาอาจารย์ผู้หลักมักใหญ่ในระดับสูงๆ มาไม่น้อย คอยสังเกตบุคลิกลักษณะและอุปนิสัยใจคอของแต่ละรูปแต่ละองค์ว่าท่านมีดีมีเด่นไปทางใดกันบ้าง บางรูปนั้นก็จริงจังเกินไป จนลูกศิษย์ลูกหาของท่านนั้น "กลัว" ไม่กล้าเข้าใกล้ บางรูปบางองค์ก็ "อ่อนเกินไป" ไม่มีใครเกรงใจ นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ แบบที่ท่านว่า "ข้ามหัวข้ามเกล้า" นั่นเอง แต่สำหรับหลวงพ่อพระธรรมโมลีนั้นท่านแตกต่างไปจากสองบุคลิก คือจะว่าอ่อนก็ไม่ใช่ จะว่าแข็งก็ไม่เชิง พูดถึงลักษณะท่าทางของท่านแล้ว หากใครได้เข้าใกล้ก็จะทราบดีว่า หลวงพ่อเป็นพระที่มีเมตตาธรรมสูงส่งยิ่ง มิใช่แค่ไม่ถือเนื้อถือตัว แต่ยังไม่ถือทิฐิอีกต่างหาก เรื่อง "ทิฐิ" สำหรับพระนั้นอย่าได้คิดว่ากระจอก หากแต่ต้องบอกว่าเป็นตัว "อันตราย" นัมเบอร์วันกันเลยทีเดียว โบราณจึงกล่าวว่า "ทิฐิพระ มานะกษัตริย์" หลายเรื่องหลายราวที่เป็นจริงเป็นจังระดับที่ว่าต้องทะเลาะให้แตกหักกันไปข้าง แต่สำหรับหลวงพ่อพระธรรมโมลีแล้ว ท่านสามารถแปรกระแสให้กลายเป็นเรื่องขบขันได้ภายในพริบตา จะว่าท่านเป็นพระที่มีลูกเล่นแพรวพราวมากที่สุดรูปหนึ่งของเมืองไทยก็ว่าได้ แต่ก็ดังว่า หลวงพ่อพระธรรมโมลีนั้นมิใช่มีแต่เมตตาเพียงอย่างเดียว เพราะประเดี๋ยวจะเข้าตำรา “เมตตาเกินประมาณ คนพาลเต็มเมือง” เข้าไปอีก ความที่ท่านมีความรู้คู่คุณธรรม มีหลักการ วิธีการ ในการทำงานและในวิถีชีวิตประจำวัน แถมยังมีเทคนิคที่ละมุนละม่อมเป็นการเฉพาะ ส่งผลให้คนที่เข้าหาท่านทุกคนนั้นต่าง “เกรงใจ” มิใช่ “เกรงกลัว” ความเกรงใจนี้ถ้าดูให้ดีก็คือความ “เคารพนับถือ” ดีๆ นี่เองแหละ
หลวงพ่อพระธรรมโมลี
เจ้าคณะจังหวัดสุรินทร์
ในความเป็นพระธรรมโมลีนั้น มีองค์ประกอบมากมายหลายประการ อาทิเช่น ความเป็นรัตตัญญู ซึ่งแปลว่า ผู้รู้ราตรีนาน คือเป็นผู้มีประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาวมาโชกโชน มีวัสสายุกาลยืนนานถึง 80 ปี ก็ตีเสียว่าสองเท่าของชีวิตผู้เขียน มีคติธรรมของทางลานนาว่า “บ่นับถือพระ ให้นับถือผ้าเหลือง บ่นับถือเฟือง (ฟาง) ให้นับถือเม็ดข้าว บ่นับถือคนเฒ่า ให้เกรงใจในความชรา” เพราะความชรานั้นเป็นตัวบ่งบอกถึงความมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงไร้โรคภัย ทำให้มีชีวิตอยู่ยืนนาน ทำให้รู้เห็นอะไรในโลกนี้ก่อนคนที่เกิดภายหลัง ดังคำกล่าวว่า “อาบน้ำร้อนมาก่อน” นั่นเอง ดังนั้นจงอย่าดูแคลนผู้เฒ่าว่าไร้น้ำยา ท่านเปรียบคนชราดังมะพร้าว ยิ่งแก่ก็ยิ่งห้าว ยิ่งห้าวก็ยิ่งมัน ใครเคยได้ฟังหลวงพ่อพระธรรมโมลีจับไมค์ใส่สำนวนแล้วจะรู้ว่าท่านห้าวขนาดไหน ในบรรดาจตุรพิธพรชัยทั้ง 4 ประการ ที่พระสงฆ์นิยมสวดเป็นภาษาบาลีให้พรแก่โยมนั้น เริ่มต้นด้วย อายุ วรรณะ สุขะ และ พละ จะเห็นได้ว่าท่านให้พรเรื่อง “อายุ” ก่อนเพื่อน ถ้าไม่มีอายุเสียอย่างเดียว ก็ไม่ต้องให้อย่างอื่น เพราะไร้ความหมาย เหมือนไม่มีชีวิตก็ไม่มีสมบัติอื่นใด ฉันใดก็ฉันนั้น ความเป็นพหูสูต เรื่องนี้เน้นไปทางด้านการศึกษาร่ำเรียน หลวงพ่อพระธรรมโมลีซึ่งเกิดก่อนผู้เขียนนานถึง 40 ปี สามารถสอบได้เปรียญธรรม 9 ประโยค อย่านับถึงยุคของท่านเลย ขนาดยุคของผู้เขียนซึ่งเป็นรุ่นหลานของท่านแท้ๆ มีทั้งตำรับตำราและตัวช่วยมากมาย ยังเรียนกันแทบเอาชีวิตเข้าแลกจึงจะได้เปรียญเก้ากับเขา แล้วรุ่นหลวงปู่พระธรรมโมลีนั้นเล่าจะยากขนาดไหน เมื่อท่านได้เปรียญเก้า พวกเราซึ่งก็เป็นเหล่าเปรียญเก้าเหมือนกัน ก็ต้องยอมซูฮกว่าหลวงปู่องค์นี้ไม่ธรรมดา นั้นเรื่องทางธรรม ส่วนการศึกษาทางโลกนั้น ผู้เขียนได้ยินข่าวทางหนังสือพิมพ์เมื่อหลายปีก่อนว่า ประเทศไทยมีพระผู้ใหญ่เป็นถึงเจ้าคณะจังหวัด และมีอายุมากถึง 70 กว่าปี แต่มีวิริยะอุตสาหะ สามารถสอบผ่านวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอก และได้รับอนุมัติจากสภามหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ให้เป็นผู้สำเร็จการศึกษาปริญญาเอก หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า “ด๊อกเตอร์” เออแหม ได้ยินแล้วก็ใจแป้วสิฮะ เพราะขนาดว่าผู้เขียนซึ่งยังหนุ่มแน่น แต่กลับไม่มีปัญญาเรียนโทเรียนเอกกับเขา ส่วนหลวงปู่ซึ่งอายุแก่กว่าพ่อของผู้เขียนอีก กลับมีความสามารถปานนั้น ก็ต้องยอมรับนับถือว่า "หลวงปู่แน่มาก" ความเป็นพระสังฆาธิการ หรือเป็นนักปกครอง หลวงพ่อพระธรรมโมลี มีตำแหน่งเป็นถึงเจ้าคณะจังหวัด ปกครองพระสงฆ์ทั่วจังหวัดสุรินทร์ ก็ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเรียบร้อยดีงาม ไม่เคยเกิดข้อครหาใดๆ ตลอดเวลาที่ดำรงตำแหน่ง ทั้งๆ ที่ท่านยังดำรงตำแหน่งรองอธิการบดีมหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตสุรินทร์ อีกตำแหน่งด้วย โดยทั้งนี้หมายถึงว่า ท่านรับภาระธุระพระศาสนาทั้งทางด้านการบริหารการปกครองและการศึกษา ก็ต้องนับว่าหาได้ยาก ในความเป็นพระราชาคณะ ส่วนนี้เป็นเรื่องของยศศักดิ์ ยศระดับ "ชั้นธรรม" ของหลวงพ่อพระธรรมโมลีนั้น ถือได้ว่า "สูงมากๆ" เมื่อเทียบกับระดับเจ้าคณะจังหวัดทั่วไป ทั้งนี้เพราะจังหวัดสุรินทร์นั้นมิใช่จังหวัดใหญ่หรือสำคัญระดับจังหวัดเชียงใหม่ นครราชสีมา เป็นต้น ตรงนี้จึงแสดงให้เห็นว่า ตัวบุคคลที่ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดสุรินทร์นั้นมีความสามารถพิเศษ จึงได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเลื่อนยศเป็นถึงชั้นธรรม ยังไม่พอ หลวงพ่อพระธรรมโมลียังมีคุณสมบัติพิเศษหรือเอกอุอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งก็คือ ความเป็นพระเกจิอาจารย์ เพราะท่านให้ความสำคัญกับการเจริญสมาธิทั้งด้านสมถะและวิปัสสนา ซึ่งเมื่อผ่านการปฏิบัติอย่างช่ำชองแล้ว สุดท้ายก็จะกลายเป็น "ความขลัง" หรือ "ศักดิ์สิทธิ์" ลูกศิษย์ลูกหาก็จะเรียกร้องต้องการให้ท่าน "ทำวัตถุมงคล" เพื่อเป็นของที่ยึดมั่นทางจิตใจ เราเรียกพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเหล่านั้นว่า "พระเกจิอาจารย์" หลวงพ่อพระธรรมโมลีมีความสามารถยกระดับจากพระนักศึกษา นักปกครอง และพระราชาคณะ ขึ้นสู่ความเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบหรือพระเกจิอาจารย์ได้อย่างงดงาม วัตถุมงคลของท่านที่นำมาแจกพวกเราเหล่าพระธรรมทูตสายต่างประเทศ ใครๆ ก็อยากได้ ได้มาแล้วก็หวงแหน และถึงกับเอามาอวดกันทีเดียว คุณสมบัติเหล่านี้มีอยู่ในตัวของหลวงพ่อพระธรรมโมลีที่เดียวได้อย่างน่าพิศวง และที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือว่า ท่านสามารถบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์แก่ทุกชนชั้น เขาให้ท่านเป็นพระนักปกครองระดับเจ้าคณะจังหวัดท่านก็ไม่ขัด เขาให้ท่านเป็นพระนักบริหารการศึกษาระดับรองอธิการบดี ท่านก็ยินดีรับใช้ พระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้ท่านเป็นเจ้าคุณชั้นสามัญ แล้วเลื่อนเป็นชั้นราช ชั้นเทพ และชั้นธรรม ท่านก็ทำหน้าที่ได้ดีสมตามที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดฯมอบถวายความไว้วางพระราชหฤทัยในการปกครองคณะสงฆ์ ส่วนนี้เรียกว่า “งานหลวง” ส่วนว่า “งานราษฎร์” คืองานทั่วไป ได้แก่ เวลาท่านได้รับอาราธนาให้เทศน์ กล่าวปาฐกถา หรือสัมโมทนียกถา ในงานใดๆ ท่านไม่เคยขัดใจใคร แถมยังทำได้ดีในระดับที่เรียกว่า "ชั้นครู" ทุกวันนี้ไปงานประชุมใหญ่ๆ ที่ไหนก็ตาม ถ้ามีการปาฐกถาหรือว่าสัมโมทนียกถาแล้ว หากหาพระที่จะขึ้นพูดไม่ได้ และถ้ามีหลวงพ่อพระธรรมโมลีนั่งอยู่ตรงนั้นด้วย ก็เป็นอันหมดความกังวลใจในการหาองค์ปาฐก ทั้งนี้เพราะแค่ยกไมค์ถวายหลวงพ่อพระธรรมโมลีเท่านั้น ทุกอย่างก็จะสำเร็จดังเนรมิต
ผู้เขียนนึกถึงหลวงพ่อท่านหนึ่งในอดีต นั้นคือ หลวงพ่อวิเวกานันทะ (สหัส ปริสุทฺโธ Ph.D.) อดีตเจ้าอาวาสวัดพุทธิ ชิโน่ ฮิลส์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งมีอายุพรรษามากถึง 80 ปี มีประวัติการศึกษาทั้งในห้องและนอกห้องเรียนมายาวนาน เวลามีงานใหญ่หรืองานเล็กก็ตาม และหาพระที่จะเทศน์หรือกล่าวสัมโมทนียกถาไม่ได้ แต่ถ้ามีหลวงพ่อวิเวกานันทะร่วมงานอยู่ด้วย งานนี้ทุกคนจะรู้ว่า "รอดตัวแล้วเรา" ไม่ต้องถูกเข็นขึ้นพูดให้คนฟังเบื่อ เพราะหลวงพ่อวิเวกานันทะนั้นท่านเป็นนักพูดที่ครบเครื่อง แถมเรื่องที่จะพูดนั้นมิพักต้องเตรียมตัวเตรียมใจ มือจับไมค์ปุ๊ปก็พูดได้รื่นไหลได้อรรถะสาระ พร้อมกับลูกเล่นลูกฮาแบบว่าครบเครื่อง เป็นเรื่องแปลกแต่จริง ถึงทุกวันนี้พระธรรมทูตไทยในสหรัฐอเมริกาก็น่าจะคิดถึงหลวงพ่อวิเวกานันทะอยู่ แต่กรุงศรีอยุธยามิได้สิ้นคนดี ฉันใด สหรัฐอเมริกาก็มิได้สิ้นพระดี ฉันนั้น หลังจากหลวงพ่อวิเวกานันทะมรณภาพไปเมื่อหลายปีก่อน แรกนั้นก็คิดว่า คงจะหมดพระมหาเถระผู้มากความสามารถเหมือนหลวงพ่อวิเวกานันทะเสียแล้ว แต่แล้วสวรรค์ก็ส่ง "หลวงพ่อพระธรรมโมลี" เข้ามาสู่วงการพระธรรมทูตไทยในสหรัฐอเมริกา ยืนเด่นเป็นสง่าในบรรดาพระธรรมทูตทั้งปวง แม้ว่าโดยฐานะนั้น หลวงพ่อพระธรรมโมลีจะมิใช่พระธรรมทูตสายต่างประเทศที่มาปฏิบัติศาสนกิจประจำในสหรัฐอเมริกาก็ตาม แต่เพราะท่านเดินทางมาร่วมงานของพระธรรมทูตไทยในสหรัฐอเมริกาบ่อยกว่าพระมหาเถระในเมืองไทยทุกรูป พระธรรมทูตไทยในสหรัฐอเมริกาจึงรู้สึกว่า หลวงพ่อพระธรรมโมลีเป็นพระธรรมทูตไทยในสหรัฐอเมริกาด้วยรูปหนึ่ง แบบว่าลงมติแต่งตั้งกลางวงฉันเพลกันเลยทีเดียว แต่กระนั้นก็ตาม หลวงพ่อพระธรรมโมลีมิได้มีความเย่อหยิ่งในคุณสมบัติอันเอกอุมากมายหลายประการของท่าน หากแต่ท่านกลับมีความอ่อนน้อมถ่อมตนให้แก่คนทุกระดับชั้น อาทิเช่น พระวิเทศธรรมรังษี หรือหลวงตาชี รูปนี้พระธรรมโมลีท่านจะยกไว้สูงส่ง หรือแม้แต่พระลูกพระหลานดังเช่นผู้เขียน นึกว่าท่านจะมีทีท่าแสดงความเหนือกว่าทั้งด้านวัยวุฒิและคุณวุฒิในทางใดทางหนึ่ง แต่ไม่เลย หลวงพ่อพระธรรมโมลีกลับแสดงท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตน ยกย่องพระลูกพระหลานในระดับครูบาอาจารย์ ดังในวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ.2556 ที่ผ่านมา ซึ่งผู้เขียนเข้าไปกราบตักท่านที่วัดไทย กรุงวอชิงตัน ดีซี ซึ่งมีงานประชุมใหญ่สมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกา ท่านก็เอ่ยกับผู้เขียนว่า "ช่วยเขียนเรื่องของผมไปลงหนังสือให้หน่อยนะ เขาจะพิมพ์ในงานวันเกิด" ผู้เขียนได้ยินก็ถามท่านเป็นทีเล่นทีจริงไปหลายคำ แต่ดูหลวงพ่อพระธรรมโมลีจะไม่ยอมเล่นด้วย ท่านก็ย้ำคำพูดเดิมๆ แต่ไม่ซีเรียส ไอ้เราก็นึกว่าท่านพูดเล่น เลยไม่ได้รับปากท่านเป็นจริงเป็นจังอันใด พอใครเข้ามาไหว้ท่าน ผู้เขียนก็ถือโอกาสเลี่ยงออกมา วันต่อมา ผู้เขียนเข้าไปนั่งคุยกับท่านอีก หลวงพ่อพระธรรมโมลีก็กล่าวอีกว่า "นะ เขียนให้หน่อยนะ" ผู้เขียนก็เรียนถามว่า "เขียนอะไรครับหลวงพ่อ" หลวงพ่อก็กล่าวว่า "เรื่องหนังสือวันเกิดนั่นแหละ นะ เขียนให้หน่อย" ว่าพลางก็ทำหน้าละห้อย ผู้เขียนก็ยังทำไขสือต่อไปอีกว่า "เขียนยังไงครับหลวงพ่อ" หลวงพ่อก็กล่าวว่า "เขียนมาเถอะ ได้ทั้งนั้นแหละ นะ เขียนให้หน่อย" สายตาและวาจาของหลวงพ่อพระธรรมโมลีที่มองและกล่าวมานั้น สร้างความสะดุดใจให้แก่ผู้เขียนอย่างบอกไม่ถูก คือว่าตามตรงนะ ผู้เขียนน่ะไม่ถนัดเรื่องยอวาทีเท่าไหร่ ใครๆ ก็รู้ว่าพระมหานรินทร์น่ะด่าคนเก่ง ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ถ้าเราไม่รู้จริงแล้วไปเขียนยกยอใครเข้า เขาถือว่าเสียหายในสายตาของปัญญาชน แต่สำหรับ "คำขอ" ที่ออกจากปากของหลวงพ่อพระธรรมโมลีนั้น ผู้เขียนต้องก้มหน้าสารภาพว่า "น้อมรับไว้ด้วยใจไม่เสแสร้ง" เพราะพระมหาเถระปูนนี้ มีความสูงส่งกว่าเราปานดอกฟ้า ยังโน้มตัวลงมาขอความเห็นจากดอกหญ้า ถ้าไม่เขียนถวายตามที่ท่านขอ ก็แสดงว่าผู้เขียนเป็นคนที่ใช้ไม่ได้จริงๆ นี่คือความคิดจริงๆ ที่นำมาถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือ ช่วงระยะเวลาในเดือนมิถุนายนปีนี้ ผู้เขียนมีงานรัดตัวมาก มีงานทำบุญวัดไทยลาสเวกัส ครบรอบ 14 ปี รออยู่ตรงหน้าในวันที่ 17-18 มิถุนายน มีกิจนิมนต์อีกหลายวัด แถมยังมีงานด่วนที่เมืองเรดดิ้ง รัฐแคลิฟอร์เนีย ตัดเข้ามาอีก (โทรแจ้งเข้ามาในตอนหัวค่ำวันที่ 7 มิถุนายน ขณะร่วมประชุมอยู่ที่วัดไทยดีซี) จะไม่ไปก็ไม่ได้ เพราะคนเราเกิดครั้งเดียวตายครั้งเดียว ดังนั้น จึงจำเป็นต้องไป ในระยะเวลาดังว่ามานี้ ถามว่าจะเอาเวลาที่ไหนมานั่งเขียนบทความให้หลวงพ่อพระธรรมโมลี คิดเห็นดังนี้ ถ้าเป็นการขอผ่านหนังสือหรือว่ากองงานเลขานุการ ผู้เขียนต้องรีบปฏิเสธทันที แต่นี่เป็นคำขอที่ออกจากปากของหลวงพ่อพระธรรมโมลี ด้วยท่าทีอ่อนน้อมอย่างยิ่ง แล้วจะให้ผู้เขียนกล้าปฏิเสธท่านได้อย่างไร แม้ไม่มีสินจ้างรางวัลใดๆ ผู้เขียนก็ตั้งใจไว้แล้วว่า "ต้องเขียนถวายหลวงพ่อให้จงได้" เมื่อลาออกวงสนทนากับหลวงพ่อพระธรรมโมลีมาแล้ว จึงรีบเข้าไปถามท่านพระมหาพิมล ญาณวิมโล ป.ธ.9 ศิษย์ก้นกุฏิของหลวงพ่อพระธรรมโมลี ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการรวบรวมงานเขียนในครั้งนี้ ท่านชี้แจงว่ายังพอมีเวลา ผู้เขียนจึงต้องเร่งเขียนให้เสร็จ เพราะกลัวเสียคำพูดเมื่อได้รับปากหลวงพ่อพระธรรมโมลีท่านแล้ว โดยเมื่อวาน ผู้เขียนเดินทางมายังเมืองเรดดิ้ง (Redding) รัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อร่วมงานอวมงคลของโยมที่เคยรู้จักกัน ก็นั่งรถทั้งวัน ไม่มีเวลาว่างเขียน วันนี้ได้ที่พักเป็นสัดส่วนแล้ว ก็จึงเห็นว่าน่าจะเป็นโอกาสดีที่จะเขียนถึงหลวงพ่อพระธรรมโมลีแล้ว จึงขอเรียนให้ท่านผู้อ่านทราบว่า ข้อเขียนนี้ผู้เขียนเขียนขึ้นในขณะเดินทางไปอยู่ที่เมืองเรดดิ้ง รัฐแคลิฟอร์เนียตอนเหนือ ใกล้จะถึงรัฐออเรกอนแล้ว ถามว่าจะเพราะอะไรถ้ามิใช่ความเคารพนับถือในหลวงพ่อพระธรรมโมลี พระที่ผู้เขียนได้สัมผัสมาหลายวาระแล้ว กล้าพูดได้ว่า "ท่านเป็นพระที่น่ารัก" มากที่สุดในบรรดาพระมหาเถระไทยในยุคปัจจุบัน
ใครได้อ่านแล้วก็ขอร้องว่า "อย่าเพิ่งเชื่อพระมหานรินทร์" หากมีโอกาสก็จงเข้าไปสัมผัสตัวหลวงพ่อพระธรรมโมลีเองเถิด
ด้วยความเคารพอย่างสูง |
28 มิถุนายน 2556 05:00 P.M. PACIFIC TIME |
E-Mail
ถึง บก.
peesang2003@hotmail.com
All Right Reserved @
2003
alittlebuddha.com วัดไทย ลาสเวกัส 2920 McLeod Dr. Las Vegas Nevada 89121 USA (702) 384-2264 |