70 ปี อาจารย์ สุลักษณ์ ศิวลักษณ์
 


 

    ถ้าใครอยู่ในวงการการศึกษาบ้านเราแล้วไม่รู้จักชื่อ "สุลักษณ์ ศิวลักษณ์" เขาว่าเช้ยเชย ยิ่งพระสงฆ์องค์เณรด้วยแล้ว ถ้าไม่รู้จักก็ยิ่งเชยแหลก นี่ต้องว่ากันอย่างนี้ เพราะขึ้นเวทีแต่ละครั้งนั้น อาจารย์ ส.ศิวลักษณ์ จะมีเอกลักษณ์ที่ "ด่าขากรรไกรคมกริบ" ขนาดว่าอดีตนายกชวน หลีกภัย ยังไม่ยอมตอแยด้วย ทั้งนี้เพราะอาจารย์สุลักษณ์แกแม่นข้อมูลมาก พระธรรมทูตหลายองค์ก็เคยแสดงความเป็นขี้ทูตให้เห็นต่อหน้าอาจารย์แกมาแล้ว เพราะอาจารย์แกรู้เรื่องพระเรื่องเจ้าดีเหลือเกิน หลาย ๆ องค์ยังร่ำ ๆ จะอาราธนาอาจารย์แกกลับมาบวชอีกสักรอบ จะได้เทศน์กันให้สนั่นเมืองไปเลย
    
     ปีนี้ อาจารย์สุลักษณ์ท่านมีอายุพรรษาครบ 70 ปี มีข่าวจากหนังสือพิมพ์ "คม ชัด ลึก" วันอาทิตย์ ที่ 9 พฤศจิกายน 2546 มาเสนอในงานวันเกิดของอาจารย์สุลักษณ์ดังนี้

    

70 ปี ส.ศิวรักษ์ ปัญญาชนนอกระบบ ยังกล้าแกร่ง

     ปราชญ์ในชุดชาวนาผู้สื่อความคิดเปลี่ยนแปลงมา สู่สังคมไทยอย่างไม่เกรงกลัวผู้ใด ต้องนึกถึง สุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส.ศิวรักษ์ ซึ่งในโอกาสที่เขามีอายุครบ 70 ปีบริบูรณ์ เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ได้จัดงานแสดงมุทิตาจิต ขึ้นที่โรงเรียนรุ่งอรุณ ย่านบางมด เพื่อสังสรรค์กันในแบบบูรณาวิชาการ ท่ามกลางกัลยาณมิตรในแวดวงนักเขียนและ นักวิชาการหลายท่าน ไม่ว่าจะเป็น ดร.อัมมาร สยามวาลา, อังคาร กัลยาณพงศ์, ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, เกจินู้ด-นิวัติ กองเพียร ฯลฯ

     ภายในงานยังมีการแสดงปาฐกถาพิเศษโดย อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ และเจ้าของวันเกิดด้วย โดย อ.นิธิ ออกตัวไว้ก่อนว่า

     "ไม่ค่อยสบายใจเท่าไรนักที่ต้องมาพูดถึง ส.ศิวรักษ์ ต่อหน้า คุณสุลักษณ์" เรียกเสียงหัวเราะจากนักวิชาการได้พอประมาณ

     สำหรับเนื้อหา อ.นิธิ กล่าวเปรียบเทียบ ส.ศิวรักษ์กับปัญญาชน ในช่วงกว่าร้อยปีที่ผ่านมา จึงได้เห็นว่าปัญญาชนไทย ที่ไม่เข้าสู่ระบบแบบ ส.ศิวรักษ์ นั้นมีน้อยมาก และแม้ว่าเขาจะประกาศไม่เข้า สู่ระบบทั้งระบบราชการหรือระบบการเมือง ด้วยเห็นว่าราชการไทยไม่มีสมรรถภาพและ ไม่อยากรับใช้เผด็จการ แต่ ส.ศิวรักษ์ ก็ยังคงเป็นปัญญาชนนอกระบบ ที่ประสบความสำเร็จ เพราะไม่มีครั้งใดที่เขาจะถูกขจัดออกไปจากสังคมไทยได้เลย

     นั่นจึงเป็นสาเหตุให้กลับไปวิเคราะห์หาสาระสำคัญในงานเขียนของปราชญ์สยามผู้นี้ ที่ได้พยายามสื่อสู่สังคมมาโดยตลอดตั้งแต่พ.ศ.2505 เป็นต้นมา เช่น ให้รู้จักความเป็นไทยของตนด้วยความเรียบง่าย หรือจะเป็นเนื้อหาสำคัญเกี่ยวกับคุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม ตลอดจนกระทั่งถึงวิธีการบรรลุสู่สังคมที่ดีในกาลปัจจุบัน

     จากนั้น อังคาร กัลยาณพงศ์ ออกมาร่ายบทกวี ตามสไตล์เฉพาะตัว สร้างบรรยากาศให้คึกคักได้อีกช่วงหนึ่ง

     ได้จังหวะที่ว่างเว้นจากแขกเหรื่อ จึงเข้ามาถามไถ่ถึงสุขภาพและงานบ้าง ซึ่ง ส.ศิวรักษ์ กล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า สำหรับคนวัยเจ็ดสิบก็นับว่าใช้ได้ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บให้น่าเป็นห่วง และถึงวันนี้นับได้ว่ายังเป็นนักเดินทางที่แทบไม่มีเวลาว่างเว้น ล่าสุดเพิ่งกลับมาจากการไปทอดกฐินที่วัดสารคาม แขวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งเขาได้บอกถึงสาเหตุที่นำกองกฐินไปทอดถึงวัดต่างบ้านต่างเมืองว่า

     "ผมรู้สึกว่าเราไปทำบาปกับลาวไว้เยอะ ไทยเป็นฐานทัพให้อเมริกาเมื่อคราวสงครามเวียดนาม แล้วก่อนกองทัพจะออกจากเวียดนาม ระเบิดเหล่านี้ก็นำไปทิ้งที่ลาว ตัวเลขออกมาเลยว่าระเบิด ที่ทิ้งในลาวมากกว่าระเบิดที่สหรัฐทิ้งในญี่ปุ่น เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เสียอีก

     ลาวเป็นประเทศเล็กเราไปดูถูกว่าเขาเป็นเมืองน้องเราเป็นพี่ สื่อมวลชนของไทยที่ข้ามไปฝั่งลาวได้ก็ไปทำลายวัฒนธรรมของเขาอย่างมาก ร้อยแปดนาประการที่เราทำ ผมจึงเห็นว่าคนไทยน่าจะมีจิตสำนึกในการขอขมาบาปต่อคนลาวบ้าง แล้วจากนี้ไปเราควรเรียนรู้จากเขาด้วย เพราะลาวยังมีวัฒนธรรมที่ดีมากอีกหลายเรื่อง เช่น วิถีชีวิตที่เรียบง่าย อย่างผมได้เงินไปทอดกฐินคราวนี้ราว 3 ล้านบาท พระท่านนำไปแบ่งกันถึง 7 วัด เงินจะถูกนำไปสร้างเฉพาะสิ่งสำคัญต่อศาสนาเท่านั้น ผิดกับพระไทยที่จะเอาเงินไปสร้างอะไรใหญ่โต"

     ฟังแค่เริ่มต้น ก็จะรู้ว่านี่คือตัวจริงเสียงจริงของ ส.ศิวรักษ์ แน่แล้ว หันมาถามถึงงานเขียนที่อยากสื่อให้สังคมมากที่สุดในเวลานี้ ส.ศิวรักษ์ กล่าวว่า

     "ผมอยากให้คนไทยกลับไปหารากเดิม เรากำลังถูกถอนรากถอนโคน นับถือฝรั่งอย่างหลับหูหลับตา รัฐบาลเป็นสัญลักษณ์ที่ชัดเจนเลยว่าเราต้องร่ำรวย ทุ่มเงินมหาศาลรับใช้ประธานาธิบดีสหรัฐ ประธานาธิบดีจีน ต้อนรับผู้นำเอเปคโดยไม่มีจุดยืนใดๆ ทั้งสิ้น แสดงให้เห็นว่านับถือเงินเป็นอำนาจ ไม่นับถือธรรมะเป็นอำนาจ การเห็นอำนาจเป็นธรรมนั้นผมถือว่าเป็นความผิดพลาดร้ายแรง"

     สำหรับการปาฐกถาของ ส.ศิวรักษ์ในวันนี้ เขาจึงอยากพูดถึงเรื่องการกลับมาหาความเป็นไทย กลับมาหาความสัจจริงและความเป็นคนดีในสังคมโลก

     "มิติสังคมใหม่เราต้องรู้จักใช้สันติภาวะภายในตน โดยใช้อุบายอันแยบคายเพื่อลดความเห็นแก่ตัวลงไปเรื่อยๆ อย่างน้อยต้องรู้จักมีอารมณ์ขัน รู้จักหัวเราะเยาะตัวเอง และรู้จักยกย่องผู้อื่นอย่างจริงใจ แม้เขาจะตั้งตัวเป็นศัตรู หรือมีความเห็นที่ค้านกับเรา เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเข้าใจโครงสร้างทางสังคมที่อยุติธรรมและ รุนแรงเพื่อทำลายโครงสร้างดังกล่าว โดยสิ่งสำคัญก็คือตัวเราต้องยินดีรับใช้ปวงชนและยินดีร่วมทุกข์อย่างเจริญสติให้เกิดด้วย เมื่อถึงเวลานั้นสันติประชาธรรมก็จะกลับคืนสู่สังคมไทย กลับเข้าหาความเป็นเลิศ ทั้งความงาม ความจริง และความดี"

     ส่วนเรื่องการอ่านก็คงยังสะพรั่งบานในวิถีวัยเจ็ดสิบเช่นเขา

     "หนังสือนอกกระแสหลักที่มีเนื้อหาพยายามนำความสำคัญ ทางจิตวิญญาณมารับใช้สังคม ยังมีเวลาอ่านหนังสืออยู่ครับ"

     คำน้อย ทว่าย้ำถึงชีวิตที่ผูกพันกับตัวอักษรและ ความเป็นนักเดินทาง ซึ่งในเวลาอันใกล้นี้ ชีพจรจะลงเท้าอีกแล้ว "ในวันที่ 15 พ.ย.ต้องเดินทางไปสอนหนังสือ ที่มหาวิทยาลัยชูมัคเกอร์ (Schumacher College) ประเทศอังกฤษ ร่วมกับนักคิดชั้นนำจากอเมริกาและ เนเธอร์แลนด์ สอนกันในเรื่องวิถีชีวิตอันเรียบง่ายนั้นเป็นอย่างไร"

     สุขภาพกายและสุขภาพใจมา พร้อมอุดมการณ์อันเข้มแข็ง แม้วัยก้าวเลยเจ็ดสิบแล้ว ก็ยังเห็น ส.ศิวรักษ์ เปี่ยมไปด้วยพลัง เป็นปราชญ์ที่พร้อมจะสื่อสาระต่อสังคมอย่างไม่ยอมเหน็ดเหนื่อย


    
อะลิตเติ้ล บุ๊ดด่ะ ดอทคอม ก็ขออวยพรให้อาจารย์อยู่กับลูกหลานไปนาน ๆ ถึงแม้พระผู้ใหญ่จะไม่ชอบ แต่พระผู้เด็กเช่นเรากลับยิ่งชอบ เพราะถึงอาจารย์จะเทศน์สอนพระ แต่เพราะอาจารย์ไม่ใช่พระ จึงไม่มีสิทธิ์ถูกปลด หรือลดตำแหน่ง และไม่ต้องพะวงว่าจะได้พระครูหรือเจ้าคุณชั้นไหนแต่อย่างใดทั้งสิ้น
แฮปปี้ เบิธเดย์ นะอาจารย์นะ
 

พระมหานรินทร์ นรินฺโท
วัดไทย ลาสเวกัส รัฐเนวาด้า สหรัฐอเมริกา
9 พฤศจิกายน 2546

 

 

 
E-Mail ถึง บก.
peesang2003@hotmail.com

All Right Reserved @ 2003
This Website Sponsored by

 

www.alittlebuddha.com เจ้าของ : วัดไทย ลาสเวกัส 2920 McLeod Dr. Las Vegas Nevada 89121 USA (702) 384-2264