|
ก่อนจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ (1)
แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ให้ตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ต้องผ่านการพิจารณาเห็นชอบของมหาเถรสมาคม ก่อนจะเสนอชื่อเพื่อรับพระบรมราชโองการแต่งตั้ง
ฐานข้อมูล 1.พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2535 หมวดที่ 2 มาตรา 13 "ให้ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นเลขาธิการมหาเถรสมาคมโดยตำแหน่ง และให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติทำหน้าที่สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม" 2.กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พ.ศ.2549 ประกาศราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 123 ตอนที่ 25 ก หน้า 11 ลงวันที่ 14 มีนาคม 2549 ได้ปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ข้อ 2 "ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มีภารกิจเกี่ยวกับการดำเนินงานสนองงานคณะสงฆ์และรัฐ โดยการทำนุบำรุง ส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนา ให้การอุปถัมภ์ คุ้มครอง และส่งเสริมพัฒนางานพระพุทธศาสนา ดูแล รักษา จัดการศาสนสมบัติ พัฒนาพุทธมณฑลให้เป็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนา รวมทั้งให้การสนับสนุน ส่งเสริมพัฒนาบุคคลากรทางศาสนา โดยให้มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ (1) ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยคณะสงฆ์ กฎหมายว่าด้วยการกำหนดวิทยฐานะ ผู้สำเร็จวิชาการพระพุทธศาสนา รวมทั้งกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง (2) รับสนองงาน ประสานงาน และถวายการสนับสนุนกิจการ และการบริหารการปกครองคณะสงฆ์ (3) เสนอแนวทางการกำหนดนโยบาย และมาตรการในการคุ้มครองพระพุทธศาสนา (4) ส่งเสริม ดูแล รักษา และทำนุบำรุงศาสนสถาน และศาสนวัตถุทางพระพุทธศาสนา (5) ดูแล รักษ และจัดการวัดร้างและศาสนสมบัติกลาง (6) พัฒนาพุทธมณฑลให้เป็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนา (7) ทำนุบำรุงพุทธศาสนศึกษา เพื่อพัฒนาความรู้คู่คุณธรรม (8) ปฏิบัติการอันใดตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของสำนักงาน หรือตามที่นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย ก่อนอื่นต้องขอพูดถึงเรื่องความพยายามในการบรรจุคำว่า "พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ" ไว้ในรัฐธรรมนูญ ในแต่ละครั้งที่มีการร่างใหม่หรือแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็จะมีพระสงฆ์สามเณรรวมทั้งพุทธศาสนิกชน ออกมาเรียกร้องให้เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญว่า "พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ" รัฐธรรมนูญที่ใกล้ที่สุดก็เห็นจะเป็นปี พ.ศ.2540 และ พ.ศ.2550 แต่ทั้งสองครั้งนั้นปรากฏว่าเป็นหมัน ไม่สำเร็จ จะด้วยสาเหตุก็ตามแต่ และปัจจุบันวันนี้ วันที่มีข่าวว่าจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2550 ก็เริ่มมีเสียงดังขึ้นมาอีกว่า "ต้องเอาพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติให้จงได้" สำหรับผู้เขียนแล้ว กล้าพูดว่า "สนับสนุนให้มีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ" เต็มร้อย ไม่มีตะขิดตะขวางใจ ในระหว่างการอบรมพระธรรมทูต เมื่อปี พ.ศ.2540 นั้น ผู้เขียนยังเคยเป็นแกนนำในการขอลายเซ็นพระธรรมทูตและพระสงฆ์เถรานุเถระที่มาร่วมในพิธีปิดการอบรม จนกระทั่งได้รายชื่อหลายร้อย นำส่งที่เปรียญธรรมสมาคม วัดสามพระยา ซึ่งเวลานั้นได้ตั้งเป็นศูนย์รวบรวมรายชื่อผู้สนับสนุนให้บัญญัติว่า "พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ" ในรัฐธรรมนูญ (ฉบับ พ.ศ.2540) แม้ว่าครั้งนั้นจะไม่สำเร็จ ในครั้งถัดมา คือรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ผู้เขียนแม้จะอยู่ในสหรัฐอเมริกา ก็ได้รวมกับพระธรรมทูตหลายท่าน ผลักดันให้สมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกา ลงมติ "สนับสนุนให้มีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ" แม้ว่าจะล้มเหลวอีกครั้งก็ตาม ไม่ว่าผู้เขียนจะอยู่ที่ไหนในโลกนี้ ถ้ามีกิจกรรมเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเช่นนี้ ก็ไม่เคยรีรอที่จะเข้าไปสนับสนุนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ถึงกระนั้น คือว่า แม้ว่าผู้เขียนจะเห็นด้วยที่จะให้มีการบัญญัติให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่ผู้เขียนก็ใคร่จะขอเสนอความเห็นเป็นเชิงตั้งคำถามต่อคนกันเอง ว่าเรามีวัตถุประสงค์สิ่งใดในการรณรงให้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ มีเพื่อนๆ บอกว่า "ถ้าเราไม่เอาพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ก็จะถูกศาสนาอื่นบีบคั้น บั่นรอน ในทุกวิถีทาง เพราะว่าเราอ่อนแอ" ผู้เขียนจึงถามว่า "ที่ว่าเราอ่อนแอนั้น เพราะเราไม่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติกระนั้นหรือ" เพื่อนๆ ก็ตอบว่า "หามิได้ แต่เพราะเราอ่อนแออยู่แล้ว ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกรุกรานจากศาสนาอื่นซึ่งเข้มแข็ง จึงต้องบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ" ผู้เขียนก็ถามต่อไปอีกว่า "แล้วศาสนาอื่นที่ว่านั้น เป็นศาสนาประจำชาติไทยเราหรือเปล่า" เพื่อนก็ตอบว่า "เปล่า" "อ้าว แล้วเหตุไฉน ในเมื่อเมืองไทยเรานี้ มีประชาชนกว่า 90 เปอร์เซ็นเป็นชาวพุทธ และคนไทยที่นับถือศาสนาอื่นมีไม่ถึง 10 เปอร์เซ็น แต่ทำไมเขาจึงเข้มแข็ง แถมยังรังแกเราได้ ทั้งๆ ที่ศาสนาอื่นนั้นก็มิใช่ศาสนาประจำชาติ" ผู้เขียนซักไซ้ เห็นเพื่อนนิ่งไป ผู้เขียนจึงอธิบายว่า ความจริงแล้ว มิใช่ว่าจะมาขัดคอคนกันเองหรอก เพียงแต่อยากจะหาเหตุผลให้กระจ่าง ว่าที่พวกเรามารณรงค์กันนั้น เป็นจุดสำคัญจริงหรือไม่ หรือว่ามีจุดอื่นที่สำคัญกว่า จุดที่ว่านั้นเป็นจุดเร่งด่วนหรือเปล่า หรือยังมีจุดอื่นที่เร่งด่วนกว่า เพราะในความเป็นจริงแล้ว เราได้รณรงค์มาถึง 2 ครั้งใหญ่ แต่ก็ล้มเหลวทุกครั้ง นั่นแสดงว่าชาวพุทธไทยเรายังไม่เข้มแข็ง ยังไม่พร้อมเพรียง ดังนั้น ต่อให้รณรงค์อีกนับร้อยครั้งก็คงล้มเหลวร้อยครั้ง แถมรณรงค์แต่ละครั้งก็ยังมีชาวพุทธด้วยกันเองออกมาแสดงทัศนะว่าไม่เห็นด้วยเสียอีก แบบนี้แหละที่อยากจะให้ไปดูว่ามันขาดตกบกพร่องตรงไหน ไม่อยากให้คำว่า "เป็นพุทธฯแต่ในทะเบียนบ้าน" กลายเป็น "เป็นพุทธฯแต่ในรัฐธรรมนูญ" เพราะผู้เขียนเข้าใจว่า การจะยกฐานะศาสนาใดศาสนาหนึ่งให้เป็นศาสนาประจำรัฐประจำชาตินั้น ถ้าจะทำให้สำเร็จ ก็ต้องทำในตอนที่ศาสนานั้นกำลังเจริญรุ่งเรือง มีประชาชนในชาตินั้นเป็นศาสนิกที่ดี มีความรู้ความเข้าใจในศาสนาของตน รวมทั้งมีความสมัครสมานสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ถ้ามีความพร้อมดังว่ามานี้ เรื่องยกฐานะพระพุทธศาสนาให้เป็นศาสนาประจำชาติก็มิใช่เรื่องใหญ่ ง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือด้วยซ้ำไป แต่เมืองไทยทุกวันนี้ เพราะพระพุทธศาสนาอ่อนแอ ไม่ว่าจะเป็นภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ดังนั้น แม้ว่าเราจะนับสำมะโนประชากรแล้วอ้างสถิติว่า ประชาชนไทยกว่า 90 เปอร์เซ็นต์นับถือพระพุทธศาสนา ดังนี้ก็ตาม แต่พอขอลายเซ็นสนับสนุนให้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ปรากฏว่ามีคนร่วมลงชื่อกันไม่ถึง 3 ล้าน ส่วนอีก 70 ล้านนั้นหายไปไหน นี่ไงที่ต้องถามใจพวกเดียวกัน ว่าเราทำงานกันถูกทางหรือเปล่า ผู้เขียนเคยพูดในที่ประชุมใหญ่ สมัชชาสงฆ์ไทย ที่วัดมงคลรัตนาราม เมืองแทมป้า รัฐฟลอริดา เมื่อ พ.ศ.2550 ว่า "การรณรงค์ให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติเช่นที่กำลังทำกันอยู่นี้ มันผิดยุทธวิธี เปรียบไปก็เหมือนการสร้างพระอุโบสถโดยการเอาช่อฟ้าขึ้นแขวนในอากาศไว้ก่อน แล้วจึงค่อยสร้างหลังคารองรับช่อฟ้า ก่อฝาผนังและเทเสารองรับหลังคา เทพื้นรับฝา แล้วขุดหลุมก่อรากเป็นลำดับสุดท้าย ซึ่งไม่มีใครเขาทำกัน นอกจากคนปัญญาอ่อน"แต่ถึงกระนั้น เมื่อเสียงส่วนใหญ่ในที่ประชุมลงมติให้สนับสนุนการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ผู้เขียนก็ยกมือสนับสนุน จะขอเสียงซักสิบรอบก็ยินดียกมือให้ เพราะผู้เขียนเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย ถ้าเราไม่ไปในทิศทางเดียวกัน (แม้ว่าจะไม่เห็นด้วยในบางจุด แต่ก็มิใช่ทุกจุด) มันก็จะเสียความสามัคคี ทำนอง "มือไม่พาย แต่เอาเท้าราน้ำ" แต่ครั้งนี้ ที่กำลังมีการรณรงค์อยู่ในปัจจุบัน ผู้เขียนก็เว้นไว้ไม่กล่าวถึง เพราะดังที่บอกว่า อยากเห็นการปรับปรุงองค์กรทางพระพุทธศาสนาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เป็นระดับ "ปฏิรูป" แต่ไม่ต้องถึงกับ "ปฏิวัติ" และสิ่งที่จะนำเสนอในวันนี้ ก็เป็นหนึ่งในจุดที่ผู้เขียนสนใจและอยากจะนำเสนอต่อท่านผู้อ่าน จุดที่ว่านี้ก็มาจากกฎหมาย 2 ฉบับที่นำเสนอข้างต้น คือจากพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2535 และ2.กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พ.ศ.2549 ถ้าท่านผู้อ่านอ่านบทบัญญัติในกฎหมายทั้งสองฉบับดูแล้ว ก็คงจะเห็นว่า "มีเนื้อหาสาระแตกต่างกัน" คือ ในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์นั้น ระบุเกี่ยวกับตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติว่า "ต้องเป็นเลขาธิการมหาเถรสมาคมและสำนักงานเลขาธิการมหาเถรสมาคม โดยตำแหน่ง" แล้วก็จบแค่นั้น ส่วนในกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พ.ศ.2549 นั้น กลับมีข้อความเพิ่มเติมว่า (1) ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยคณะสงฆ์ กฎหมายว่าด้วยการกำหนดวิทยฐานะ ผู้สำเร็จวิชาการพระพุทธศาสนา รวมทั้งกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง (2) รับสนองงาน ประสานงาน และถวายการสนับสนุนกิจการ และการบริหารการปกครองคณะสงฆ์ (3) เสนอแนวทางการกำหนดนโยบาย และมาตรการในการคุ้มครองพระพุทธศาสนา (4) ส่งเสริม ดูแล รักษา และทำนุบำรุงศาสนสถาน และศาสนวัตถุทางพระพุทธศาสนา (5) ดูแล รักษา และจัดการวัดร้าง และศาสนสมบัติกลาง (6) พัฒนาพุทธมณฑลให้เป็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนา (7) ทำนุบำรุงพุทธศาสนศึกษา เพื่อพัฒนาความรู้คู่คุณธรรม (8) ปฏิบัติการอันใดตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของสำนักงาน หรือตามที่นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย
เมื่อพิจารณาดู "อำนาจหน้าที่" ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติตามกฎกระทรวงนี้ ก็จะเห็นว่า "กว้างขวางกว่า" อำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505/2535 ที่ว่ากว้างขวางกว่านั้นก็เพราะมีมาตราและเนื้อหาที่เยอะกว่า หรือมีรายละเอียดมากกว่า จะว่ากฎกระทรวงฉบับนี้เป็นกฎหมายลูกของพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505/2535 ก็คงว่าได้ แต่เมื่อมองดูอีกทีก็จะเห็นว่า "ไม่ใช่" เพราะถ้าเป็นกฎหมายลูก ก็ต้องไม่มีเนื้อหาที่ "กว้างกว่า" กฎหมายแม่ เพราะกฎหมายแม่ (พรบ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505/2535) ได้ให้คำจำกัดความไว้แต่เพียงว่า "ให้ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นเลขาธิการมหาเถรสมาคมโดยตำแหน่ง และให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติทำหน้าที่สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม" เท่านั้น แต่ดูในกฎกระทรวงฉบับนี้สิ ข้อแรกนั้น "ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยคณะสงฆ์ กฎหมายว่าด้วยการกำหนดวิทยฐานะ ผู้สำเร็จวิชาการพระพุทธศาสนา รวมทั้งกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง" แค่นี้ก็แทบครอบจักรวาลแล้ว เพราะคำว่า "ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยคณะสงฆ์" นั้น กินความหมายครอบคลุมกฎหมายว่าด้วยคณะสงฆ์ทุกฉบับ นับตั้งแต่พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505/2535 ซึ่งใช้เป็นแม่บทในการปกครองคณะสงฆ์ไทยในปัจจุบัน และกฎหมายอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับคณะสงฆ์ ผู้อำนวยการสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติมีอำนาจให้ดำเนินการให้เป็นไปตามที่กฎหมายเหล่านั้นบัญญัติไว้เต็มๆ ถ้าเทียบกับพระราชบัญญัติคณะสงฆ์แล้ว ก็จะเห็นว่า "ให้อำนาจไว้แคบมาก" แค่เป็นเลขาธิการมหาเถรสมาคมเท่านั้น นอกนั้นไม่มีอะไร แต่ในกฎกระทรวงฉบับนี้ได้ขยายวงอำนาจออกไปกว้างไกลเสียจนแบบว่า "แม้แต่พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ก็ถูกรวมไว้ในอำนาจกฎกระทรวงฉบับนี้ด้วย" ต่อไปก็คือ ข้อที่ 2 ที่ระบุว่า "รับสนองงาน ประสานงาน และถวายการสนับสนุนกิจการ และการบริหารการปกครองคณะสงฆ์" ตรงนี้ระบุไว้ตรงๆ ว่า "สนอง ประสาน และสนับสนุนการบริหารการปกครองของคณะสงฆ์" มองตรงๆ ก็คืออำนาจหน้าที่ที่ชัดเจนของเลขาธิการมหาเถรสมาคม ก็ไม่มีอะไรมาก มันเหมือนกันอธิบายคำว่า "เลขาธิการมหาเถรสมาคม" เท่านั้น ข้อที่ 3 ข้อนี้พิเศษมาก เพราะระบุว่า "เสนอแนวทางการกำหนดนโยบาย และมาตรการในการคุ้มครองพระพุทธศาสนา" นี่เป็นอำนาจใหม่ของผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ที่สามารถจะ "เสนอแนวทางการกำหนดนโยบายและมาตรการคุ้มครองพระพุทธศาสนา" ให้แก่ "มหาเถรสมาคม" ได้ พิเศษตรงไหน ก็ตรงที่ว่า ฐานะเดิมของผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาตินั้น เป็นเพียง "เลขาธิการมหาเถรสมาคม" คือมีหน้าที่สนองงานอย่างเดียว แต่ตรงนี้กลับให้มีอำนาจ "เสนอนโยบายได้" ก็เลยกลายเป็นว่า "เลขาธิการ" มีอำนาจทั้งเสนอและสนองงาน เห็นไหมล่ะว่าตำแหน่ง "ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ" นั้นไม่ธรรมดาซะแล้ว จากลูกศิษย์กลายเป็นอาจารย์เลย บทบาทตามกฎกระทรวงข้อนี้ กลายเป็นกรณีพิพาทระหว่างมหาเถรสมาคมกับ นายแพทย์จักรธรรม ธรรมศักดิ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ คนที่ 3 (ดำรงตำแหน่งระหว่าง 5 ธ.ค. 2547 ถึง 17 ต.ค. 2548) โดยในเวลานั้น นายแพทย์จักรธรรมได้ทำตัวเป็น "คนกลาง" สร้างความสมานฉันท์ ระหว่างพระป่ากับพระบ้าน โดยได้ไปถวายสักการะพระธรรมวิสุทธมงคล (หลวงตามหาบัว) ถึงวัดป่าบ้านตาด อุดรธานี ขณะเดียวกันก็นำเสนอนโยบายให้แก่มหาเถรสมาคม นานวันเข้าก็เลยกลายเป็นทั้ง "ผู้เสนอ" และ "สนองงาน" สร้างความสับสน จนถูกมหาเถรสมาคม "บีบออก" ไปในที่สุด ถามว่า นายแพทย์จักรธรรม ทำผิดตรงไหน ? คำตอบก็คือว่า ถ้าว่าตามตัวบทกฎหมายแล้วไม่มีผิดเลย เพราะกฎกระทรวงได้ให้อำนาจแก่ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาไว้เช่นนั้น แต่ถ้าถามถึงเรื่องของมารยาทก็ดี บรรยากาศการทำงานร่วมกันระหว่างผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติกับมหาเถรสมาคม ก็ต้องบอกว่า "มีปัญหาแล้ว" เพราะถ้าความเห็นไม่ตรงกัน มันก็ทำงานร่วมกันยาก ขนาดว่ามีพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งยกมือคัดค้านในที่ประชุมสงฆ์ อปโลกนกรรมที่ตั้งขึ้นนั้นก็ต้องเป็นหมันทันที นี่คือระบบที่พระสงฆ์ไทยใช้กันอยู่ มิใช่ระบบสภาผู้แทนที่เถียงแล้วโหวตเอาชนะกันด้วยคะแนน และสุดท้ายนายแพทย์จักรธรรมจำต้อง "เป็นฝ่ายไป" ดังที่ทราบ ก็ลองจำลองภาพเหตุการณ์มาดูกันสิ เช่นว่า มีปัญหาหนึ่งเกิดขึ้น แล้วผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอให้มหาเถรสมาคมทำแบบนี้ แต่มหาเถรสมาคมไม่เห็นด้วย โดยเห็นต่างไปจากที่ ผอ.สำนักพุทธฯเสนอ ซึ่งถ้าแค่เพียงเสนอแล้วมหาเถรสมาคมไม่เอา มันคงไม่เกิดปัญหา แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า "ผอ.สำนักพุทธฯต้องสนองงานมหาเถรสมาคม" อีกตำแหน่งหนึ่ง ดังนั้น เรื่องที่ ผอ.สำนักพุทธฯไม่เห็นด้วย แต่กฎหมายบังคับให้จำต้องสนองงานมหาเถรสมาคม ในฐานะเลขามหาเถร ถามว่ามันพะอืดพะอมไหม สุดท้ายก็ต่างคนต่างไปดังกล่าว จะว่ากฎกระทรวงข้อนี้สร้างปัญหาเรื่อง "สัมพันธภาพ" ระหว่างมหาเถรสมาคมกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติก็คงว่าได้ ข้อที่ 4-5-6-7 นั้นจะไม่พูดถึง เพราะเห็นว่าเป็นเพียงอำนาจหน้าที่หรือโครงการธรรมดา ข้อที่น่าสนใจจึงเป็นข้อสุดท้าย ที่ระบุว่า "ปฏิบัติการอันใดตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของสำนักงาน หรือตามที่นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย" ที่ไฮไลต์เป็นตัวหนังสือสีแดงไว้นั่นแหละ ที่ขอบอกว่า "สำคัญที่สุด" ของกฎกระทรวงฉบับนี้ เพราะกฎกระทรวงข้อนี้ได้สร้างเจ้านายคนใหม่ของผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติขึ้นมา นั่นก็คือ นายกรัฐมนตรี หรือคณะรัฐมนตรี จากเดิมที่มีเจ้านายคือ "มหาเถรสมาคม" เพียงเจ้าเดียว ไม่รู้สินะว่าใครเป็นคนเขียนกฎกระทรวงฉบับนี้ และมหาเถรสมาคมได้อ่านก่อนออกมาใช้หรือเปล่า ถ้าอ่านแล้วแต่ปล่อยผ่าน ก็แสดงว่าตาถั่วแล้ว มีอยู่หรือให้เขาเข้ามาแบ่งอำนาจของตนเองไปครึ่งหนึ่ง กฎกระทรวงที่บอกว่า "แบ่งส่วนราชการ" กลับกลายมาเป็น "แบ่งอำนาจมหาเถรสมาคม" ไปเสียฉิบ จากกฎกระทรวงที่ว่านี้ ทำให้ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติมีเจ้านาย 2 คน ได้แก่ 1.มหาเถรสมาคม และ 2.นายกรัฐมนตรี หรือคณะรัฐมนตรี แต่น่าจะจำกัดไว้เพียง "นายกรัฐมนตรี" คนเดียว เพราะนายกรัฐมนตรีนั้นเป็นประธานคณะรัฐมนตรีอยู่แล้ว แต่ที่ท่านเขียนไว้เช่นนั้นเพราะเปิดกว้างการใช้อำนาจไว้ 2 ทาง คือ 1.คณะรัฐมนตรีสามารถออกมติแล้วสั่งการให้ ผอ.สำนักพุทธฯปฏิบัติตามได้ และ 2.นายกรัฐมนตรีสามารถใช้อำนาจสั่งการผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้ โดยไม่ต้องผ่านคณะรัฐมนตรี นี่แหละคือเหตุผลที่เขียนไว้ทั้งสองคำ ทีนี้ว่า ถ้าว่ารัฐบาลไทยอันมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้านั้น เข้ากันได้กับมหาเถรสมาคม ก็จะสั่งงานไปทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้ทำงานสอดคล้องกับมหาเถรสมาคม แต่ถ้าว่านายกรัฐมนตรีมีสัมพันธภาพกับชาวพุทธกลุ่มอื่นที่ไม่ขึ้นต่อมหาเถรสมาคม เช่นสันติอโศก หรือที่ขึ้นแต่เพียงนิตินัย เช่นธรรมกาย ถ้านายกรัฐมนตรีซึ่งมีอำนาจสั่งการผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้ ได้สั่งให้ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติไปสนองงานนายกรัฐมนตรีในงานที่สันติอโศกหรือธรรมกายจัด ถามว่าผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจะขัดคำสั่งได้ไหม ? คำตอบก็คือว่า ไม่ได้ เพราะผิดทั้งนิตินัยและพฤตินัย ที่ว่าผิดนิตินัยก็คือผิดกฎหมาย เพราะกฎหมายระบุว่า "ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติต้องสนองงานนายกรัฐมนตรีด้วย" มิใช่สนองเฉพาะมหาเถรอย่างเดียว ส่วนโดยพฤตินัยนั้น ก็เป็นเรื่องอำนาจของนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหาร ที่สามารถจะใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรี "ปรับเปลี่ยน" ตัวผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติออกจากตำแหน่งได้ อำนาจในการ "ปรับเปลี่ยน" หรือ "ปลด" รวมทั้ง "แต่งตั้ง" ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ นี่แหละ ที่เป็นจุดชี้ขาดว่า ระหว่างมหาเถรสมาคมกับสำนักนายกรัฐมนตรี ใครมีอำนาจมากกว่ากัน บนข้าสองเจ้าบ่าวสองนายที่ชื่อ "ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ" ความขัดแย้งระหว่างมหาเถรสมาคมกับสำนักนายกรัฐมนตรีที่ว่านี้ อาจจะเกิดก็ได้ ไม่เกิดก็ได้ มันอยู่ที่ความลงตัวระหว่างนายกรัฐมนตรีกับมหาเถรสมาคม ถ้าได้นายกรัฐมนตรีที่เป็นพุทธศาสนิกชนธรรมดา แบบว่าเข้าได้ทุกวัด ก็คงจะสนับสนุนมหาเถรสมาคม แต่ถ้านายกรัฐมนตรีเป็นศิษย์ของสำนักอื่นๆ ที่ไม่ค่อยกินเส้นกับมหาเถรสมาคม (ซึ่งมีอยู่จริงๆ) อย่างนี้ก็น่ากลัว เช่น กรณีพระราชบัญญัติส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ พ.ศ.2550 ซึ่งผลักดันจากกลุ่มสันติอโศกผ่านรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ ที่มาจากการรัฐประหารรัฐบาลทักษิณ และกรณีบัญชีเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นกรณีพิเศษ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ซึ่งรัฐบาลไทยในสมัยนั้น ได้จัดทำบัญชีขึ้นมาโดยไม่ผ่านสายงานของมหาเถรสมาคม คือไม่ผ่านการคัดกรองจากเจ้าคณะภาค เจ้าคณะหน แต่รัฐบาลได้ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติไปจัดทำบัญชี แล้วนำเสนอรัฐบาลเพื่อ "แก้ไขเพิ่มเติม" พอได้รายชื่อครบแล้วก็ให้สำนักพุทธฯ นำเข้าสู่ที่ประชุมมหาเถรสมาคมเพื่อ "รับทราบ" ก็ในทำนองมัดมือชกนั่นแหละ แต่มหาเถรสมาคมไม่ยอมเป็นร่างทรงของรัฐบาล จึงลงมติ "วีโต้" บัญชีสมณศักดิ์พิเศษนั้น ในวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ.2550 นี่ยังไม่นับคำสั่ง "ปลดสมเด็จเกี่ยว-ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช" ซึ่งมีข่าวว่าสมเด็จพระสังฆราชทรงมีพระบัญชา และเลขาสมเด็จพระสังฆราชชงเรื่องผ่านรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ ในวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ.2549 อันแสดงให้เห็นว่า สัมพันธภาพระหว่างรัฐบาลกับมหาเถรสมาคมใช่ว่าจะลงรอยกันเสมอไป อย่างกรณีที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติมีชื่อเป็น "ภาคี" จัดงานตักบาตรพระหนึ่งล้านรูปของธรรมกาย ในเดือนมีนาคมนี้ โดยไม่มีมหาเถรสมาคมไปร่วมด้วย ก็เป็นอิทธิฤทธิ์ของกฎกระทรวงว่าด้วยการแบ่งงานของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ข้อที่ 8 อีกนั่นแหละ เพราะทางสำนักพุทธฯอ้างว่า "ต้องไปร่วมงาน เพราะต้องสนองงานสำนักนายกรัฐมนตรี ไว้เสร็จจากสนองงานนายกรัฐมนตรีก่อน จึงค่อยไปสนองงานมหาเถรสมาคม" แบบนี้ก็เรียบร้อยโรงเรียนธัมมชโยสิครับ เพราะธัมมชโยเข้าประกบรัฐบาล ยืมมือสำนักนายกรัฐมนตรีให้สั่งงานผ่านสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เลยกลายเป็นว่า สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติต้องสนองงานทั้งมหาเถรสมาคมและธัมมชโย เพราะธัมมชโยคือผู้อยู่เบื้องหลังการจัดงานตักบาตรล้านรูปตัวจริงเสียงจริง ถ้าเปรียบเทียบฐานะของธัมมชโยวันนี้ก็คงจะสูงพอๆ กับตำแหน่งประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ปานนั้นเลยทีเดียว เสียวไหมครับ การเขียนกฎหมายให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็น "ข้าสองเจ้า บ่าวสองนาย" ดังที่เห็นนี้แหละ ที่เป็นช่องทางเข้าบ่อนทำลายคณะสงฆ์ไทยอย่างแนบเนียน คือไม่ยอมออกเป็นพระราชบัญญัติ แต่กลับหมกเม็ดเพิ่มเติมไว้ในกฎกระทรวง และนานวันเข้า กฎกระทรวงกลับมีอำนาจสูงกว่าพระราชบัญญัติคณะสงฆ์เสียอีก ตรงนี้สิฮะสำคัญ อันตรายกว่าการไม่ได้บรรจุพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไว้ในรัฐธรรมนูญเสียอีก ถามว่า นักกฎหมายของคณะสงฆ์ไทยหายไปไหนหมด ทำไมไม่มองถึงปัญหาที่กำลังเผาตำหนักสมเด็จวัดสระเกศให้ร้อนรุมอยู่ในปัจจุบันนี้ ถามว่า จะแก้ไขอย่างไร ? คำตอบก็คือ ต้องขอแก้กฎกระทรวงเสียใหม่แล้วล่ะครับ ตัดเจ้านายที่สองของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติออกไป ให้เหลือแต่เจ้านายเดียว คือ "มหาเถรสมาคม" หากว่าไม่ได้จริงๆ ก็ต้อง "ขอเพิ่มมาตราว่าด้วยที่มาของผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ" เข้าไปอีกข้อหนึ่ง เพราะอย่าลืมว่า ตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติในปัจจุบันนั้น ใครเป็นคนมีอำนาจเสนอแต่งตั้ง คำตอบก็คือ นายกรัฐมนตรี ทีนี้ว่าเมื่อ ผอ.สำนักพุทธฯ ได้รับการเสนอชื่อแต่งตั้งจากนายกรัฐมนตรี ถามว่าจะจงรักภักดีต่อใคร ระหว่างนายกรัฐมนตรีกับมหาเถรสมาคม แถมนายกรัฐมนตรียังมีอำนาจในการบริหารการปกครองบ้านเมือง มีอำนาจในการปรับย้าย หรือปลดออก หรือสนับสนุนงานของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ทั้งด้านงบประมาณและบุคคลากร ดังนั้น เมื่อได้รับการแต่งตั้งและสนับสนุนจากนายกรัฐมนตรี ถามว่า ผอ.สำนักพุทธฯ จะสนองงานใครมากกว่ากัน ระหว่างนายกรัฐมนตรีกับมหาเถรสมาคม เพราะมหาเถรสมาคมไม่มีอำนาจให้คุณให้โทษแก่ ผอ.สำนักพุทธฯเลย แล้วทีนี้กลับไปดูในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์สิ ไม่มีมาตราว่าด้วย "ที่มา" ของผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเลย มีแต่มาตราที่บอกว่า "ให้ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นเลขาธิการมหาเถรสมาคมโดยตำแหน่ง และให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติทำหน้าที่สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม" เท่านั้น ดังนั้น เพื่อให้ตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นตำแหน่งสนองงานคณะสงฆ์ล้วนๆ โดยไม่มีการเมืองเข้ามาแทรก ก็จำเป็นที่จะต้อง "แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ว่าด้วยที่มาของตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ" โดยบัญญัติว่า "ให้มหาเถรสมาคม ตั้งกรรมการสรรหาผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ขึ้นมาชุดหนึ่ง และนำเสนอมหาเถรสมาคมเพื่อรับทราบ จากนั้นจึงแจ้งมติมหาเถรสมาคมไปยังสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อนำความขึ้นบังคมทูลเพื่อโปรดฯแต่งตั้งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ" ถ้าเพิ่มเติมดังนี้ได้ ก็จะได้ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติที่ขึ้นตรงต่อมหาเถรสมาคมเต็มร้อย เพราะว่าผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติมีที่มาจากมหาเถรสมาคม เรื่องป้องกันการเมืองแทรกการศาสนานี้ เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่ในประเทศไทย เพราะในปัจจุบันการเมืองพลิกผันเร็วมาก ทั้งนี้มิใช่ว่าผู้เขียนเห็นว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันเป็นปฏิปักษ์ต่อคณะสงฆ์ไทย แต่เพื่อป้องกันความผันผวนในอนาคต จึงต้องป้องกันไว้ก่อน ความจริงแล้วก็ไม่ใช่การป้องกันหรอก แต่เป็นการอุดรูที่รั่วมาหลายปีแล้วมากกว่า เพราะปัญหาเรื่องบทบาทของผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาตินั้น เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อมีการกระกาศกฎกระทรวงฉบับนี้เป็นต้นมา ก่อนหน้านั้น เมื่อไม่มีกฎกระทรวงที่ว่านี้ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร ยกตัวอย่างของการป้องกันการเมืองแทรกก็คือ พรบ.กลาโหม ซึ่งระบุให้มีสภากลาโหม มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาแต่งตั้ง-โยกย้ายนายทหาร แม้ว่าจะกำหนดให้ "รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม" ซึ่งเป็นนักการเมืองเป็นประธานก็ตาม แต่กรรมการส่วนใหญ่ล้วนมาจากสามเหล่าทัพทั้งสิ้น ปัญหาการเมืองไทยในปัจจุบัน แท้จริงแล้วมิใช่การแก้ไขรัฐธรรมนูญหรอก แต่อยู่ที่การแก้ไข พรบ.กลาโหม เพราะทหารคือผู้ถือปืน จึงมีอำนาจมากที่สุดในประเทศไทย สามารถปฏิวัติขับไล่รัฐบาลและฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งได้ ทั้งนี้เพราะมี พรบ.กลาโหม เป็นเกราะกำบัง ทำให้การเมืองไม่สามารถแทรกได้ ถ้าล้วงลูกทหารได้เสียอย่างเดียว จะเอารัฐธรรมนูญอีกซักร้อยฉบับก็ง่ายเหมือนปลอกกล้วย ส่วนปัญหาพระพุทธศาสนาในปัจจุบันก็มิใช่อยู่ที่ว่าพระพุทธศาสนาไม่ได้เป็นศาสนาประจำชาติแต่อย่างใด หากแต่อยู่ที่ว่า "เราไม่มี พรบ.คณะสงฆ์ ที่ให้อำนาจและคุ้มครองมหาเถรสมาคม อย่างเต็มที่ เหมือน พรบ.กลาโหม" นั่นต่างหาก ดังนั้น ก่อนจะร้องแรกแหกกระเฌอสะบัดผ้าเหลืองยกป้ายไปประท้วงที่หน้ารัฐสภากันรอบใหม่ เพื่อเรียกร้องให้บรรจุคำว่า "พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย" ไว้ในรัฐธรรมนูญ ก็ลองกลับมาพิจารณาพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ว่าด้วยที่มาของตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มาตรานี้ กันเป็นปะไร บางทีจะมีผลต่อคณะสงฆ์ไทย มากกว่าเรื่องรัฐธรรมนูญด้วยซ้ำไป
|
พระมหานรินทร์ นรินฺโท |
E-Mail
ถึง บก.
peesang2003@hotmail.com
All Right Reserved @
2003
alittlebuddha.com วัดไทย ลาสเวกัส 2920 McLeod Dr. Las Vegas Nevada 89121 USA (702) 384-2264 |