|
||||
วิสาขบูชา 2554
ประสูติ-ตรัสรู้-ปรินิพพาน
วันนี้เป็นวันวิสาขบูชา ซึ่งชาวพุทธในสายเถรวาท "เชื่อกันว่า" เป็นวันตรัสรู้ของพระโคดมพุทธเจ้า ซึ่งก่อตั้งพระพุทธศาสนาขึ้นมาเมื่อประมาณ 2544+45 ปีก่อน ซึ่งคำว่า "เชื่อกันว่า" นั้น เป็นความเชื่อของชาวพุทธซึ่งเชื่อตามความเห็นของพระอรรถกถาจารย์สายศรีลังกา ซึ่งมีพระพุทธโฆษาจารย์เป็นหัวหน้า โดยความเชื่อนั้นเชื่อกันว่าวันตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 หรือเดือนวิสาขะ ซึ่งเป็นชื่อของดาวฤกษ์กลุ่มหนึ่ง เมื่อพระอาทิตย์โคจรไปในนภากาศ (มองจากโลก) ประมาณเดือนพฤษภาคม พระอาทิตย์จะโคจรไปอยู่ในดาวฤกษ์กลุ่มนี้ มีระยะโคจรประมาณ 27 วัน ระยะนั้นท่านเรียกว่า เดือนวิสาขะ ตามชื่อของดาวฤกษ์ที่พระอาทิตย์ไปเสวยฤกษ์ นอกจากจะเชื่อว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนวิสาขะแล้ว นักปราชญ์สายเถรวาทลังกาวงศ์ยังเชื่อด้วยว่า พระโคดมพุทธเจ้าทรงประสูติในวันขึ้น 15 ค่ำ และสิ้นพระชนม์ (ปรินิพพาน) ในวันขึ้น 15 ค่ำ เหมือนกันอีกด้วย จึงรวมว่า วันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ของพระโคดมพุทธเจ้าเป็นวันเดียวกัน ดังนั้น การทำกิจกรรมในวันขึ้นเดือน 6 จึงเป็นกิจกรรมที่ทำพร้อมกันทีเดียว 3 อย่างรวด คือ ฉลองวันประสูติ ฉลองวันตรัสรู้ และไว้อาลัยให้แก่การจากไปของพระพุทธองค์ (สิ้นพระชนม์) เป็นการรวมเอางานมงคลและอวมงคลมาไว้ในวันเดียว เป็นเรื่องมหัศจรรย์ เรื่องเหล่านี้พูดกันแบบวิทยาศาสตร์แล้วถามว่า เป็นไปได้ไหม ? ตอบว่า "เป็นไปได้ แต่..ยากมาก ระดับหนึ่งในล้านทีเดียว" คนบางคนอาจจะเกิดและตายในวันเดียวกัน แต่พระโคดมพุทธเจ้ายังพิเศษกว่านั้น คือตรัสรู้ในวันเดียวกันอีกด้วย การที่วันทั้งสามวันมาตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำเพียงวันเดียวนั้น ถ้าเป็นเหตุการณ์จริงก็ถือว่ามหัศจรรย์ระดับโลก แต่ถ้าความจริงมิได้เป็นเช่นนั้น ก็ต้องถามว่า แล้วใครเป็นคนจัดให้วันทั้งสามมารวมกันอยู่ในวันเดียว ? ผู้เขียนก็เขียนยั่วน้ำลายท่านผู้อ่านเล่นเท่านั้นเองดอก ไม่ได้คิดจะขุดคุ้ยว่าใครอยู่เบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรหรอก เพราะถึงจะเขียนไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด เช่นถ้าผู้เขียนสืบค้นแล้วค้านมติของชาวพุทธทั่วไปในปัจจุบัน นอกจากจะถูกประณามเป็นคนนอกคอกแล้ว ยังไงก็ไม่สามารถเปลี่ยนวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานให้เป็นวันอื่นไปได้หรอก เพราะปัจจุบันมันเป็นความเชื่อสากลที่ซึมลึกลงจนเป็นประเพณีไปเสียแล้ว แต่วันนี้ผู้เขียนจะพาท่านผู้อ่านไปดูหลักฐานการประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากพระไตรปิฎก ซึ่งถือว่าเป็นเอกสารต้นฉบับ (มาสเตอร์ หรือออริจินอล) ซึ่งชาวพุทธให้ความเชื่อถือมากที่สุดในบรรดาเอกสารทั้งปวง โดยเรียงลำดับนับจากการประสูติเป็นต้นไป
เรื่องแรกที่จะนำเสนอก็คือ หลักฐานการประสูติซึ่งมาในพระสุตตันตปิฎก สุตตนิบาต มหาวรรค มีข้อความดังนี้
นั่นคือเหตุการณ์ตอนที่พระพุทธเจ้าประสูติที่สวนลุมพินีชายแดนระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์กับเมืองเทวทหะ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตประเทศเนปาล สรุปเรื่องว่า อสิตฤษีได้ทราบข่าวจากเทวดาว่าพระสิทธัตราชกุมารมาประสูติ จึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าสุทโธทนะและขอดูตัวพระราชกุมาร หลักฐานสำคัญจากพระสูตรนี้ก็คือสถานที่ประสูติซึ่งระบุว่าเป็นป่าลุมพินี
ส่วนเรื่องที่สองด้านล่างนี้ เป็นเหตุการณ์ตอนผจญมารและได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ขออธิบายนิดหนึ่งว่า ตอนที่สองนี้เป็นเหตุการณ์ตอนที่ทรงพบสถานที่เหมาะแก่การบำเพ็ญจิตภาวนา ซึ่งระบุสถานที่ไว้อย่างชัดเจนว่า คือตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ซึ่งปัจจุบันคือตำบลพุทธคยา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย ส่วนท้ายนั้นเป็นคำบรรยายว่าด้วยการบรรลุโมกษะของพระพุทธองค์ จะเห็นว่าพญามารมาหลอกเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่มีนางตัณหา นางราคา และนางอรดีเลย รวมทั้งนางธรณีก็ไม่มีอีกด้วย น้ำมิได้ท่วมแม้แต่เพียงนิด ทรงเล่าเรื่องจิตภาวนาล้วนๆ
ส่วนตอนที่สามด้านล่างนี้ เป็นอีกตอนหนึ่งซึ่งบรรยายเกี่ยวกับการผจญมารของพระพุทธองค์
เห็นได้ชัดว่าเป็นการเถียงกันของคนสองคนเท่านั้น ไม่มีบุคคลที่สามเข้าไปเกี่ยวข้องเลย และตอนสุดท้ายมีบันทึกอยู่ในมหาปรินิพพานสูตร ทรงเล่าให้แก่สุภัททปริพาชก ซึ่งเข้าไปถามก่อนปรินิพพานไม่กี่นาที มีเนื้อความดังนี้
ในมหาปรินิพพานสูตรนี้จะระบุตัวเลขที่ชัดเจนว่า ทรงออกบรรพชาแสวงหาโมกษะเมื่อพระชนมายุได้ 29 ปี บวชได้ 51 ปี จึงเสด็จดับขันธปรินิพพาน ที่สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ สิริพระชนมายุทั้งสิ้น 80 ปี และชื่อสาลวโนทยานรวมทั้งเมืองกุสินารานั้นระบุไว้ในพระสูตรนี้หลายแห่ง เพียงแต่ไม่ได้นำมาเสนอเท่านั้น เหล่านี้คือหลักฐานดั้งเดิมในพระไตรปิฎก ซึ่งพระอรรถกถาจารย์ท่านนำมาประติดประต่อ จนได้พุทธประวัติฉบับขยายความว่าพระพุทธองค์ทรงประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานในวันเดียวกัน คือวันนี้ วันวิสาขบูชา แถมยังทรงผจญมารสารพัด เมื่อเราได้อ่านเอกสารต้นฉบับก็ทึ่งใจว่าท่านเก่งเหลือเกิน ที่ไม่มีในพระไตรปิฎกท่านก็หามาเสริมจนได้พุทธประวัติฉบับปาฏิหาริย์เช่นปฐมสมโพธิกถาเป็นต้น ผู้เขียนก็ศึกษาพระพุทธศาสนาในแนวนี้แหละ แกะแคะไปจนถึงรากเหง้า แล้วนำมาศึกษาเทียบเคียงกับปกรณ์ในยุคหลัง สิ่งที่เชื่อได้ก็เชื่อ ไม่เชื่อก็ไม่ได้คัดค้าน เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง ต้นไม้เมื่อมีอายุนานเข้าก็ต้องมีกิ่งก้านมากมาย รวมทั้งเปลือกกระพี้ที่พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ ทุกศาสนาก็เหมือนกัน ย่อมจะมีทั้งเรื่องจริงและนิทานเข้ามาผสม คนที่ศึกษาอย่างเป็นวิชาการก็จะสังเคราะห์ออกว่าส่วนไหนเป็นกิ่ง ส่วนไหนเป็นใบ ส่วนไหนเป็นเปลือก ส่วนไหนเป็นกระพี้ และส่วนไหนเป็นแก่น แต่ทุกส่วนก็มีส่วนสำคัญต่อการดำรงคงอยู่ของต้นไม้ มิใช่ตัดกิ่ง ตัดใบ ถากเปลือกกระพี้ออกแล้วบอกว่า "เป็นพระพุทธศาสนาบริสุทธิ์" ปรากฏว่าไม่กี่วันต้นไม้ก็ตายทั้งยืน ซึ่งคนที่มีวิสัยทัศน์เขาไม่ทำอย่างนั้น
วันนี้ ขอพาท่านผู้อ่านกลับไปอ่านพระไตรปิฎก เกี่ยวกับเหตุการณ์ตอนประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ของพระโคดมพุทธเจ้า พระบรมศาสดาแห่งพระพุทธศาสนา แต่เพียงเท่านี้
|
||||
พระมหานรินทร์ นรินฺโท |
E-Mail
ถึง บก.
peesang2003@hotmail.com
All Right Reserved @
2003
alittlebuddha.com วัดไทย ลาสเวกัส 2920 McLeod Dr. Las Vegas Nevada 89121 USA (702) 384-2264 |