วิสาขบูชา 2554

ประสูติ-ตรัสรู้-ปรินิพพาน
หลักฐานจากพระไตรปิฎก

 

วันนี้เป็นวันวิสาขบูชา ซึ่งชาวพุทธในสายเถรวาท "เชื่อกันว่า" เป็นวันตรัสรู้ของพระโคดมพุทธเจ้า ซึ่งก่อตั้งพระพุทธศาสนาขึ้นมาเมื่อประมาณ 2544+45 ปีก่อน ซึ่งคำว่า "เชื่อกันว่า" นั้น เป็นความเชื่อของชาวพุทธซึ่งเชื่อตามความเห็นของพระอรรถกถาจารย์สายศรีลังกา ซึ่งมีพระพุทธโฆษาจารย์เป็นหัวหน้า โดยความเชื่อนั้นเชื่อกันว่าวันตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 หรือเดือนวิสาขะ ซึ่งเป็นชื่อของดาวฤกษ์กลุ่มหนึ่ง เมื่อพระอาทิตย์โคจรไปในนภากาศ (มองจากโลก) ประมาณเดือนพฤษภาคม พระอาทิตย์จะโคจรไปอยู่ในดาวฤกษ์กลุ่มนี้ มีระยะโคจรประมาณ 27 วัน ระยะนั้นท่านเรียกว่า เดือนวิสาขะ ตามชื่อของดาวฤกษ์ที่พระอาทิตย์ไปเสวยฤกษ์

นอกจากจะเชื่อว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนวิสาขะแล้ว นักปราชญ์สายเถรวาทลังกาวงศ์ยังเชื่อด้วยว่า พระโคดมพุทธเจ้าทรงประสูติในวันขึ้น 15 ค่ำ และสิ้นพระชนม์ (ปรินิพพาน) ในวันขึ้น 15 ค่ำ เหมือนกันอีกด้วย จึงรวมว่า วันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ของพระโคดมพุทธเจ้าเป็นวันเดียวกัน ดังนั้น การทำกิจกรรมในวันขึ้นเดือน 6 จึงเป็นกิจกรรมที่ทำพร้อมกันทีเดียว 3 อย่างรวด คือ ฉลองวันประสูติ ฉลองวันตรัสรู้ และไว้อาลัยให้แก่การจากไปของพระพุทธองค์ (สิ้นพระชนม์) เป็นการรวมเอางานมงคลและอวมงคลมาไว้ในวันเดียว เป็นเรื่องมหัศจรรย์

เรื่องเหล่านี้พูดกันแบบวิทยาศาสตร์แล้วถามว่า เป็นไปได้ไหม ? ตอบว่า "เป็นไปได้  แต่..ยากมาก ระดับหนึ่งในล้านทีเดียว" คนบางคนอาจจะเกิดและตายในวันเดียวกัน แต่พระโคดมพุทธเจ้ายังพิเศษกว่านั้น คือตรัสรู้ในวันเดียวกันอีกด้วย การที่วันทั้งสามวันมาตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำเพียงวันเดียวนั้น ถ้าเป็นเหตุการณ์จริงก็ถือว่ามหัศจรรย์ระดับโลก แต่ถ้าความจริงมิได้เป็นเช่นนั้น ก็ต้องถามว่า แล้วใครเป็นคนจัดให้วันทั้งสามมารวมกันอยู่ในวันเดียว ?

ผู้เขียนก็เขียนยั่วน้ำลายท่านผู้อ่านเล่นเท่านั้นเองดอก ไม่ได้คิดจะขุดคุ้ยว่าใครอยู่เบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรหรอก เพราะถึงจะเขียนไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด เช่นถ้าผู้เขียนสืบค้นแล้วค้านมติของชาวพุทธทั่วไปในปัจจุบัน นอกจากจะถูกประณามเป็นคนนอกคอกแล้ว ยังไงก็ไม่สามารถเปลี่ยนวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานให้เป็นวันอื่นไปได้หรอก เพราะปัจจุบันมันเป็นความเชื่อสากลที่ซึมลึกลงจนเป็นประเพณีไปเสียแล้ว

แต่วันนี้ผู้เขียนจะพาท่านผู้อ่านไปดูหลักฐานการประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากพระไตรปิฎก ซึ่งถือว่าเป็นเอกสารต้นฉบับ (มาสเตอร์ หรือออริจินอล) ซึ่งชาวพุทธให้ความเชื่อถือมากที่สุดในบรรดาเอกสารทั้งปวง โดยเรียงลำดับนับจากการประสูติเป็นต้นไป

 

เรื่องแรกที่จะนำเสนอก็คือ หลักฐานการประสูติซึ่งมาในพระสุตตันตปิฎก สุตตนิบาต มหาวรรค มีข้อความดังนี้

 


อสิตฤาษีอยู่ในที่พักกลางวัน ได้เห็นท้าวสักกะจอมเทพและเทวดาคณะไตรทส ผู้มีใจชื่นชม มีปีติโสมนัส ยกผ้า ทิพย์ขึ้นเชยชมอยู่อย่างเหลือเกิน ในที่อยู่อันสะอาด ครั้นแล้วจึงกระทำความนอบน้อม แล้วได้ถามเทวดาทั้งหลาย ผู้มีใจเบิกบานบันเทิงในที่นั้นว่า เพราะเหตุไรหมู่เทวดาจึง เป็นผู้ยินดีอย่างเหลือเกิน ท่านทั้งหลายยกผ้าทิพย์ขึ้นแล้ว รื่นรมย์อยู่เพราะอาศัยอะไร แม้คราวใด ได้มีสงครามกับ พวกอสูร พวกเทวดาชนะ พวกอสูรปราชัย แม้คราวนั้น ขนลุกพองเช่นนี้ก็มิได้มี เทวดาทั้งหลายได้เห็นเหตุอะไร ซึ่งไม่เคยมีมา จึงพากันเบิกบาน เปล่งเสียงชมเชย ขับร้อง ประโคม ปรบมือ และฟ้อนรำกันอยู่ เราขอถามท่านทั้งหลายผู้อยู่บนยอดเขาสิเนรุ ดูกรท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลายจงช่วยขจัดความสงสัยของเราโดยเร็วเถิด

เทวดาทั้งหลายกล่าวว่า พระโพธิสัตว์ผู้เป็นรัตนะอันประเสริฐนั้น หาผู้เปรียบมิได้ ได้เกิดแล้วในมนุษย์โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุข ที่ป่าลุมพินีวันในคามชนบทของเจ้าศากยะทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น เราทั้งหลายจึงพากันยินดี เบิกบานอย่างเหลือเกิน พระโพธิสัตว์นั้น เป็นอัครบุคคลผู้สูงสุดกว่าสรรพสัตว์ เป็นผู้องอาจกว่านรชน สูงสุดกว่าหมู่สัตว์ทั้งมวลเหมือนสีหะผู้มีกำลัง ครอบงำหมู่เนื้อบันลืออยู่ จักทรงประกาศธรรมจักรที่ป่าอิสิปตนะ

อสิตฤาษีได้ฟังเสียงที่เทวดาทั้งหลายกล่าวแล้วก็รีบลง (จากชั้นดาวดึงส์) เข้าไปยังที่ประทับของพระเจ้าสุทโธทนะ นั่ง ณ ที่นั้นแล้ว ได้ทูลถามเจ้าศากยะทั้งหลายว่า พระกุมารประทับ ณ ที่ไหน แม้อาตมภาพประสงค์จะเฝ้า ลำดับนั้น เจ้าศากยะทั้งหลายได้ทรงแสดงพระกุมารผู้รุ่งเรือง เหมือนทองคำที่ปากเบ้าซึ่งนายช่างทองผู้เฉลียวฉลาดหลอมดีแล้ว ผู้รุ่งเรืองด้วยศิริ มีวรรณะไม่ทราม แก่อสิตฤาษี อสิตฤาษีได้เห็นพระกุมารผู้รุ่งเรืองเหมือนเปลวไฟ เหมือนพระจันทร์อันบริสุทธิ์ ซึ่งโคจรอยู่ในนภากาศ สว่างไสวกว่าหมู่ดาว เหมือนพระอาทิตย์พ้นแล้วจากเมฆ แผดแสงอยู่ในสรทกาล ก็เกิดความยินดีได้ปีติอันไพบูลย์ เทวดาทั้งหลายกั้นเศวตฉัตร มีซี่เป็นอันมาก และประกอบด้วยมณฑลตั้งพันไว้ในอากาศ จามรด้ามทองทั้งหลายตกลงอยู่ บุคคลผู้ถือจามรและเศวตฉัตร ย่อมไม่ปรากฏ ฤาษีผู้ทรงชฎาชื่อกัณหศิริ ได้เห็นพระกุมารดุจแท่งทองบนผ้ากัมพลแดง และเศวตฉัตรที่กั้นอยู่บนพระเศียร เป็นผู้มีจิตเฟื่องฟู ดีใจ ได้รับเอาด้วยมือทั้งสอง ฯลฯ

นาลกสูตร
สุตตนิบาต มหาวรรค

 

นั่นคือเหตุการณ์ตอนที่พระพุทธเจ้าประสูติที่สวนลุมพินีชายแดนระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์กับเมืองเทวทหะ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตประเทศเนปาล สรุปเรื่องว่า อสิตฤษีได้ทราบข่าวจากเทวดาว่าพระสิทธัตราชกุมารมาประสูติ จึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าสุทโธทนะและขอดูตัวพระราชกุมาร หลักฐานสำคัญจากพระสูตรนี้ก็คือสถานที่ประสูติซึ่งระบุว่าเป็นป่าลุมพินี

 

ส่วนเรื่องที่สองด้านล่างนี้ เป็นเหตุการณ์ตอนผจญมารและได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ

 


     สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ เภสกฬามิคทายวัน เขตนครสุงสุมารคิระ ในภัคคชนบท (ทรงตรัสกับโพธิราชกุมารว่า)

ดูกรราชกุมาร เมื่ออาตมภาพแสวงหาอยู่ว่าอะไรเป็นกุศล ค้นคว้าสันติวรบทอันไม่มีสิ่งอื่นยิ่งขึ้นไปกว่า เที่ยวจาริกไปในมคธชนบทโดยลำดับ บรรลุถึงอุรุเวลาเสนานิคม

ณ ที่นั้น อาตมภาพได้เห็นภาคพื้นน่ารื่นรมย์ มีไพรสณฑ์น่าเลื่อมใส มีแม่น้ำไหลอยู่ น้ำเย็นจืดสนิท มีท่าน้ำราบเรียบ น่ารื่นรมย์ และมีโคจรคามโดยรอบ

อาตมภาพได้มีความคิดเห็นว่า ภาคพื้นน่ารื่นรมย์หนอ ไพรสณฑ์ก็น่าเลื่อมใส แม่น้ำก็ไหล น้ำเย็นจืดสนิท ท่าน้ำก็ราบเรียบน่ารื่นรมย์ และโคจรคามก็โดยรอบ สถานที่เช่นนี้สมควรเป็นที่ตั้งความเพียรของกุลบุตรผู้ต้องการความเพียรหนอ

ดูกรราชกุมาร อาตมภาพนั่งอยู่ ณ ที่นั้นนั่นเอง ด้วยคิดเห็นว่า สถานที่เช่นนี้สมควรเป็นที่ทำความเพียร

ฯลฯ

ดูกรราชกุมาร อาตมภาพได้มีความคิดเห็นว่า เราจำได้อยู่ เมื่องานวัปปมงคลของท้าวศากยะผู้พระบิดา เรานั่งอยู่ที่ร่มไม้หว้าอันเยือกเย็น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ ทางนี้แลหนอ พึงเป็นทางเพื่อตรัสรู้

อาตมภาพได้มีความรู้สึกอันแล่นไปตามสติว่าทางนี้แหละ เป็นทางเพื่อตรัสรู้ อาตมภาพได้มีความคิดเห็นว่า เราจะกลัวแต่สุขซึ่งเป็นสุขเว้นจากกาม เว้นจากอกุศลธรรมหรือ และมีความคิดเห็นต่อไปว่า เราไม่กลัวแต่สุขซึ่งเป็นสุขเว้นจากกาม เว้นจากอกุศลธรรมละ การที่บุคคลผู้มีกายผอมเหลือเกินอย่างนี้ จะถึงความสุขนั้น ไม่ใช่ทำได้ง่าย ถ้ากระไร เราพึงบริโภคอาหารหยาบ คือข้าวสุก ขนมสดเถิด. อาตมภาพจึงบริโภคอาหารหยาบ คือข้าวสุก ขนมสด

ก็สมัยนั้น ปัญจวัคคีย์ภิกษุ บำรุงอาตมภาพอยู่ด้วยหวังว่า พระสมณโคดมจักบรรลุธรรมใด ก็จักบอกธรรมนั้นแก่เราทั้งหลาย นับแต่อาตมภาพบริโภคอาหารหยาบคือข้าวสุก ขนมสด ปัญจวัคคีย์ภิกษุก็พากันเบื่อหน่ายจากอาตมภาพหลีกไปด้วยความเข้าใจว่า พระสมณโคดมเป็นผู้มักมาก คลายความเพียรเวียนมาเพื่อความเป็นผู้มักมากไปเสียแล้ว

ครั้นอาตมภาพบริโภคอาหารหยาบมีกำลังขึ้นแล้ว ก็สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตกไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขผู้ได้ฌานเกิดแต่สมาธิอยู่
 

มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ และเสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ตติยฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข

บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ
ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่

อาตมภาพนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ได้โน้มน้อมจิตไปเพื่อปุพเพนิวาสานุสสติญาณ

อาตมภาพนั้นย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง ฯลฯ อาตมภาพนั้น ย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วย
ประการฉะนี้

ดูกรราชกุมาร นี้เป็นวิชชาที่หนึ่งที่อาตมภาพได้บรรลุแล้ว ในปฐมยามแห่งราตรี อวิชชาถูกกำจัดแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ความมืดถูกกำจัดแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว แก่อาตมภาพผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้วอยู่

อาตมภาพนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ได้โน้มน้อมจิตไปเพื่อรู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย

อาตมภาพนั้นย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ฯลฯ ย่อมรู้ชัด ซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้

ดูกรราชกุมาร นี้เป็นวิชชาที่สองที่อาตมภาพ ได้บรรลุแล้วในมัชฌิมยามแห่งราตรี อวิชชาถูกกำจัดแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ความมืดถูกกำจัดแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว แก่อาตมภาพผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้วอยู่

อาตมภาพนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ได้โน้มน้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ ได้รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหล่านี้อาสวะ นี้อาสวสมุทัย นี้อาสวนิโรธ นี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา

เมื่ออาตมภาพนั้นรู้เห็นอย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้น แม้จากกามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ


เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี

ดูกรราชกุมาร นี้เป็นวิชชาที่สาม ที่อาตมภาพได้บรรลุแล้วในปัจฉิมยามแห่งราตรี อวิชชาถูกกำจัดแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ความมืดถูกกำจัดแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว แก่อาตมภาพผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้วอยู่

โพธิราชกุมารสูตร
มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์

 

ขออธิบายนิดหนึ่งว่า ตอนที่สองนี้เป็นเหตุการณ์ตอนที่ทรงพบสถานที่เหมาะแก่การบำเพ็ญจิตภาวนา ซึ่งระบุสถานที่ไว้อย่างชัดเจนว่า คือตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ซึ่งปัจจุบันคือตำบลพุทธคยา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย ส่วนท้ายนั้นเป็นคำบรรยายว่าด้วยการบรรลุโมกษะของพระพุทธองค์ จะเห็นว่าพญามารมาหลอกเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่มีนางตัณหา นางราคา และนางอรดีเลย รวมทั้งนางธรณีก็ไม่มีอีกด้วย น้ำมิได้ท่วมแม้แต่เพียงนิด ทรงเล่าเรื่องจิตภาวนาล้วนๆ

 

ส่วนตอนที่สามด้านล่างนี้ เป็นอีกตอนหนึ่งซึ่งบรรยายเกี่ยวกับการผจญมารของพระพุทธองค์

 


พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส (เป็นพระคาถา) ว่า

ในขณะที่เราตถาคต กำลังบำเพ็ญเพียรนั่งเพ่งพินิจอยู่ด้วยความบากบั่น เพื่อบรรลุพระนิพพานแดนเกษมจากโยคะ อยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรานั้น

พญามารได้เข้ามาหา แล้วกล่าวถ้อยคำอ่อนหวานว่า ท่านมีร่างการผ่ายผอม มีผิวพรรณซูบซีด ใกล้จะตายอยู่แล้ว

ถ้าขืนทำอย่างนี้ต่อไป ความตายของท่านมีถึงพันส่วน มีโอกาสรอดเพียงส่วนเดียว การที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ดีกว่ามานั่งตายอยู่ตรงนี้ เพราะยังมีโอกาสบำเพ็ญบุญกุศลได้

ท่านประพฤติพรตพรหมจรรย์และบูชาไฟ ยอ่มจะสั่งสมบุญได้มาก การที่ท่านมานั่งบำเพ็ญเพียรทางใจอยู่อย่างนี้ จะได้ประโยชน์อะไร

การบำเพ็ญเพียรทางใจนี้ ประพฤติปฏิบัติได้ยาก น้อยคนนักที่จะทำได้สำเร็จ พญามารได้ยืนกล่าวคาถาเหล่านี้อยู่ใกล้ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้า

เมื่อพญามารยืนกล่าวอย่างนั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสตอบเป็นพระคาถาว่า

แน่ะมารใจบาป ผู้เป็นเผ่าพันธุ์ของคนประมาท ท่านมาที่นี่มีความประสงค์ใด

บุญกุศลตามที่ท่านบอกมานั้นเราไม่ต้องการเลยแม้แต่น้อย ความจริงท่านควรไปบอกบุญกุศลนั้นแก่คนที่เขามีความต้องการจะดีกว่า

เพราะอะไรท่านจึงมาบอกเราผู้มีศรัทธา ตบะ วิริยะ ปัญญา ฝึกฝนตนแล้ว และบำเพ็ญเพียรทางใจอยู่อย่างนี้

แม่น้ำทุกสายลมยังพัดให้เหือดแห้งไปได้ แต่โลหิตแม้เพียงหยดเดียวของเราผู้มีความเพียรอย่างยิ่งยวด ไม่สามารถทำให้เหือดแห้งลงได้เลย

ฯลฯ

พญามารไม่พอใจพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ตนก่อความรำคาญพระหฤทัยให้ถึงปานนี้แล้ว พระองค์ก็ยังไม่ยอมเสด็จลุกหนีไปสักที จึงจำแลงร่างเป็นลมหายลับไป เหมือนกาบินมาถึงไศลบรรพตก็ต้องบินหลบไป

พญามารนั้น มีความโศกเศร้ามาก จนพิณที่หนีบอยู่นั้นตกลงจากรักแร้ ภายหลังยิ่งเกิดความเสียใจหนักขึ้นอีก จึงได้อันตรธานหายไปจากที่นั้น

ปธานสูตร
ขุททกนิกาย สุตตนิบาต

 

เห็นได้ชัดว่าเป็นการเถียงกันของคนสองคนเท่านั้น ไม่มีบุคคลที่สามเข้าไปเกี่ยวข้องเลย และตอนสุดท้ายมีบันทึกอยู่ในมหาปรินิพพานสูตร ทรงเล่าให้แก่สุภัททปริพาชก ซึ่งเข้าไปถามก่อนปรินิพพานไม่กี่นาที มีเนื้อความดังนี้

 


     ดูกรสุภัททะ เราโดยวัยได้ 29 ปี บวชแล้ว ตามแสวงหาว่าอะไรเป็นกุศล ตั้งแต่เราบวชแล้ว นับได้ 51 ปี แม้สมณะผู้เป็นไปในประเทศแห่งธรรมเป็นเครื่องนำออก ไม่มีในภายนอกแต่ธรรมวินัยนี้

     สมณะที่ 2 สมณะที่ 3 หรือสมณะที่ 4 ก็มิได้มี ลัทธิอื่นว่างจากสมณะผู้รู้ทั่วถึง

     ก็ภิกษุเหล่านี้พึงอยู่โดยชอบ โลกไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย

มหาปรินิพพานสูตร
ทีฆนิกาย มหาวรรค

 

ในมหาปรินิพพานสูตรนี้จะระบุตัวเลขที่ชัดเจนว่า ทรงออกบรรพชาแสวงหาโมกษะเมื่อพระชนมายุได้ 29 ปี บวชได้ 51 ปี จึงเสด็จดับขันธปรินิพพาน ที่สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ สิริพระชนมายุทั้งสิ้น 80 ปี และชื่อสาลวโนทยานรวมทั้งเมืองกุสินารานั้นระบุไว้ในพระสูตรนี้หลายแห่ง เพียงแต่ไม่ได้นำมาเสนอเท่านั้น

เหล่านี้คือหลักฐานดั้งเดิมในพระไตรปิฎก ซึ่งพระอรรถกถาจารย์ท่านนำมาประติดประต่อ จนได้พุทธประวัติฉบับขยายความว่าพระพุทธองค์ทรงประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานในวันเดียวกัน คือวันนี้ วันวิสาขบูชา แถมยังทรงผจญมารสารพัด เมื่อเราได้อ่านเอกสารต้นฉบับก็ทึ่งใจว่าท่านเก่งเหลือเกิน ที่ไม่มีในพระไตรปิฎกท่านก็หามาเสริมจนได้พุทธประวัติฉบับปาฏิหาริย์เช่นปฐมสมโพธิกถาเป็นต้น

ผู้เขียนก็ศึกษาพระพุทธศาสนาในแนวนี้แหละ แกะแคะไปจนถึงรากเหง้า แล้วนำมาศึกษาเทียบเคียงกับปกรณ์ในยุคหลัง สิ่งที่เชื่อได้ก็เชื่อ ไม่เชื่อก็ไม่ได้คัดค้าน เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง ต้นไม้เมื่อมีอายุนานเข้าก็ต้องมีกิ่งก้านมากมาย รวมทั้งเปลือกกระพี้ที่พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ ทุกศาสนาก็เหมือนกัน ย่อมจะมีทั้งเรื่องจริงและนิทานเข้ามาผสม คนที่ศึกษาอย่างเป็นวิชาการก็จะสังเคราะห์ออกว่าส่วนไหนเป็นกิ่ง ส่วนไหนเป็นใบ ส่วนไหนเป็นเปลือก ส่วนไหนเป็นกระพี้ และส่วนไหนเป็นแก่น แต่ทุกส่วนก็มีส่วนสำคัญต่อการดำรงคงอยู่ของต้นไม้ มิใช่ตัดกิ่ง ตัดใบ ถากเปลือกกระพี้ออกแล้วบอกว่า "เป็นพระพุทธศาสนาบริสุทธิ์" ปรากฏว่าไม่กี่วันต้นไม้ก็ตายทั้งยืน ซึ่งคนที่มีวิสัยทัศน์เขาไม่ทำอย่างนั้น

 

วันนี้ ขอพาท่านผู้อ่านกลับไปอ่านพระไตรปิฎก เกี่ยวกับเหตุการณ์ตอนประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ของพระโคดมพุทธเจ้า พระบรมศาสดาแห่งพระพุทธศาสนา แต่เพียงเท่านี้

 

พระมหานรินทร์ นรินฺโท
วิสาขบูชา 2554

วัดไทย ลาสเวกัส รัฐเนวาด้า สหรัฐอเมริกา
1
7 พฤษภาคม 2554
04
:00 P.M. Pacific Time.

 

 

 
 

 
E-Mail ถึง บก.
peesang2003@hotmail.com

All Right Reserved @ 2003
 

 

alittlebuddha.com  วัดไทย ลาสเวกัส 2920 McLeod Dr. Las Vegas Nevada 89121 USA (702) 384-2264