สักการะสรีระ

หลวงพ่อพระครูอมรธรรมประยุต

อดีตเจ้าคณะอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่

 

 

 

บ่ายวันที่ 16 มกราคม 2554 ที่ผ่านมา หลวงพ่อพระเทพวรสิทธาจารย์ วัดพระธาตุดอยสุเทพ บอกกับผู้เขียนว่า มารดาของท่านเจ้าคุณพระโสภณธรรมสาร เจ้าอาวาสวัดป่าดาราภิรมย์ ถึงแก่กรรม คืนนั้น ผู้เขียนจึงขอโอกาสเดินทางไปร่วมงานศพที่วัดป่าดาราภิรมย์ อำเภอแม่ริม ทั้งนี้เพราะท่านเจ้าคุณพระโสภณธรรมสารกับผู้เขียนนั้นรู้จักชอบพอกันมานาน ตั้งแต่ พ.ศ.2539 สมัยที่ท่านยังเป็นพระครูปลัดธรรมจริยวัตร ฐานานุกรมในหลวงพ่อพระธรรมดิลก (พระพุทธพจนวราภรณ์ จันทร์ กุสโล) อดีตเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวง

แรกนั้นท่านเจ้าคุณ (ตอนยังเป็นพระครู) ทราบข่าวว่าผู้เขียนกำลังสร้างพระเครื่องครูบาศรีวิไชยให้แก่วัดเสาหิน ท่านสนใจจึงให้โยมพาไปเยี่ยมถึงวัดเสาหินอำเภอฝางอันไกลแสนไกล ทั้งๆ ที่ท่านเป็นพระธรรมยุต แต่ไม่ถือทิฐิเรื่องนิกาย เมื่อพูดคุยปราศรัยด้วย ก็ทำให้รู้ว่าท่านมีเมตตาธรรม ผู้เขียนจึงไปมาหาสู่กับท่านมาตลอด (ไหนใครว่ามหานรินทร์แอนตี้พระธรรมยุต ผู้เขียนแอนตี้เฉพาะพระธรรมยุตตอแหลเท่านั้นแหละ พระธรรมยุตดีๆ ก็มีมาก อย่างหลวงปู่โส (สุวัฒน์ อาจาโร) วัดดงป่ารัน (วัดป่าวัฒนาราม) อำเภอแม่อาย นั้น ท่านเป็นพระธรรมยุต ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ไม่แอบอ้างสวรรค์นิพพานมาขายกิน ไม่ยกตนข่มท่าน มีแต่ข่มตัวเอง ผู้เขียนเมื่อยังอยู่ประเทศไทยก็เวียนไปกราบไหว้ท่านบ่อยๆ)   ในพิธีพุทธาภิเษกเหรียญครูบาเจ้าศรีวิไชย ที่วัดพระธาตุดอยสุเทพ พ.ศ.2539 นั้น จึงได้ท่านเจ้าคุณเป็นเจ้าพิธี ท่านพาพระสงฆ์สามเณรวัดป่าดาราภิรมย์ไปช่วยงานอย่างมากมาย เห็นพูดทีเล่นทีจริงว่า "เรานี่ไม่รู้ว่าติดหนี้มหานรินทร์มาแต่ชาติก่อนหรือเปล่า ชาตินี้จึงต้องยอมช่วยมหานรินทร์ไม่รู้กี่อย่าง" ซึ่งก็จริงๆ เพราะอะไรๆ ที่ผู้เขียนไม่ถนัดก็จะยกมือสิบนิ้วแล้วถวายเป็นธุระภาระของท่านเจ้าคุณ โดยที่ท่านไม่กล้าปฏิเสธเป็นงั้นไป

เมื่อผู้เขียนมาอเมริกา และเริ่มสร้างวัดไทย ลาสเวกัส ขึ้นมาใน พ.ศ.2542 นั้น ท่านเจ้าคุณพระโสภณธรรมสารก็เมตตามอบพระบูชา ภปร. หน้าตัก 9 นิ้ว ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จกฐินต้นวัดเทวสังฆาราม จังหวัดกาญจนบุรี ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช พ.ศ.2508 ซึ่งแพงและหากยาก ให้มาเป็นพระประธานองค์แรกด้วย และไปหาท่านแต่ละครั้ง ท่านก็เมตตาหยิบโน่นยกนี่ถวายมาตลอด ผู้เขียนจึงเคารพนับถือท่านเสมือนพี่ชาย แต่เมื่อท่านพบผู้เขียนในงานบำเพ็ญกุศลให้มารดาของท่านคืนนั้น ท่านกลับประกาศต่อพระสงฆ์และญาติโยมเต็มวิหารว่า "มหานรินทร์เป็นเพื่อนอาตมา" แหมผู้เขียนไม่กล้ารับหรอก พบท่านต้องยกมือไหว้หรือก้มกราบท่านตลอด เพราะท่านอาวุโสกว่าด้วยอายุพรรษา เป็นพระราชาคณะ ทั้งยังเป็นเจ้าอาวาสพระอารามหลวงอีกต่างหากด้วย

ท่านขอให้มาร่วมในวันฌาปนกิจ แต่กราบขออภัยที่ไปไม่ได้ ฟังเทศน์ ฟังสวด เสร็จ ราว 2 ทุ่ม จึงกราบลา วิ่งรถออกมาทางถนนใหญ่ (ขาไปนั้นเลียบคลอง) ก็เห็นผ้าขาว-ดำ คาดอยู่บนกำแพงวัดแม่ริมเต็มไปหมด ตกใจว่าหลวงพ่อพระครูอมรธรรมประยุตมรณภาพแล้วหรือ พอสอบถามก็ทราบว่า ท่านมรณภาพได้ 7 วันแล้ว วันพรุ่งนี้จะเป็นวันปิดศพไว้รอพระราชทานเพลิงศพต่อไป วันที่ 17 มกราคม ผู้เขียนจึงตั้งใจว่าต้องไปสักการะศพหลวงพ่อพระครูอมรธรรมประยุตให้ได้

 

 

หลวงพ่อพระครูอมรธรรมประยุตนั้น เป็นพระมหาเถระอาวุโสระดับต้นๆ ของจังหวัดเชียงใหม่ มีเกียรติคุณเกริกไกรในการเทศน์มหาชาติกัณฑ์มัทรี เพราะท่านมีน้ำเสียงไพเราะและลีลาเป็นเลิศ ยกย่องกันว่าเป็นนักเทศน์มหาชาติกัณฑ์มัทรีอันดับหนึ่งของล้านนาไทยในสมัยก่อน แต่หลวงพ่อก็หยุดเทศน์มาหลายสิบปีแล้ว ด้วยกิตติศัพท์ดังว่ามานี้ ปีนั้นผู้เขียนสอบได้เปรียญ 5 ประโยคแล้ว สอบเข้า มจร. วัดสวนดอกเชียงใหม่ได้ แต่ไม่อยากเรียน ระเหเร่ร่อนออกไปอยู่ที่วัดสันโค้ง อำเภอสันกำแพง คุยกับหลวงตาทองดำ ท่านก็แนะนำว่า "เณรอยากมีหม้อแก๋งตองกิ๋นบ่เสี้ยงก่อ ถ้าใคร่ได้ก็หื้อหัดเฮียนเทศน์มัทรี" ผู้เขียนก็ถามหาครูบาอาจารย์ว่าในลานนาไทยเรานี้มีใครที่ได้รับยกย่องว่าเป็นสุดยอด ท่านก็บอกชื่อ "พระครูอมรธรรมประยุตแห่งวัดแม่ริม" ให้ จากนั้นผู้เขียนจึงนั่งรถโดยสารจากสันกำแพงมายังวัดแม่ริม เข้าไปกราบและขอเรียนกับท่าน แม้ว่าจะไม่ได้เทศน์เป็นจริงเป็นจัง แต่การได้ศึกษากับท่านตัวต่อตัวก็นับว่าเป็นประสบการณ์ที่หายาก แบบว่าพระเณรสมัยนี้ไม่เคยมีใครเรียนกันแล้ว

ถามว่า สอนอย่างไร เรียนอย่างไร

ตอบว่า ตกค่ำ ราว 1 ทุ่ม หลวงพ่อพระครูอมรธรรมประยุตก็จะพาผู้เขียนขึ้นไปบนพระวิหาร จากนั้นก็สั่งให้ผู้เขียนนำใบลานขึ้นไปนั่งอยู่บนธรรมาสน์ ส่วนหลวงพ่อท่านก็มีหมอนสามเหลี่ยมเอกเขนกอยู่ด้านล่างตรงที่ท่านนั่งประจำ จากนั้นจึงให้ผู้เขียนเทศน์ให้ฟัง เมื่อติดขัดตรงไหนอย่างไร หรือมีตรงไหนที่ยังไม่ถูกต้อง ท่านก็จะตะโกนบอกขึ้นมาว่าตรงนั้นเป็นอย่างนี้ หรือตรงนี้ให้เอาแบบนี้ โดยท่านจะเทศน์ให้ฟังเป็นตัวอย่างด้วย แบบนี้แหละที่เรียกว่า มุขปาฐะ คือเรียนเอาจากปากของครูบาอาจารย์ ซึ่งต้องอาศัยความจำสถานเดียว

สมัยผู้เขียนไปอยู่ที่วัดแม่ริมนั้น หลวงพ่อยังขยัน ตี 4 ครึ่ง ท่านจะลุกขึ้นมาเคาะระฆังทำวัดเองทุกเช้า และที่น่าประหลาดก็คือ ท่านเอาแบบหลวงพ่อพระเทพวรสิทธาจารย์ วัดสำเภา อดีตเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นอาจารย์ของท่าน นั่นคือสวดมนต์ไม่ว่าเจ็ดตำนาน สิบสองตำนาน มีกี่บทกี่ตอนก็สวดหมด ไม่เว้นแม้แต่คำเดียว แสดงว่าต้องมีความจำดีเป็นเลิศ

หลวงพ่อชอบกวาดลานวัดเป็นกิจวัตร ไม่ว่าจะเป็นเวลาเช้า สาย บ่าย หรือเย็น มีเวลาว่างท่านก็จะออกมาจับไม้กวาดๆ ไปทั่วทุกซอกมุมของวัด เคยมีคนมาหาเจ้าคณะอำเภอ แต่เห็นหลวงตากวาดลานวัดอยู่ จึงเข้าไปตะโกนถามว่า "ตุ๊ป้อ ท่านพระครูเจ้าคณะอยู่ก่อ - หลวงตา ท่านเจ้าคณะอำเภออยู่ไหม" ท่านก็ใช้ไม้ชี้มือให้ไปทางกุฏิ แขกท่านนั้นต้องรอจนกว่าหลวงพ่อจะกวาดเสร็จโน่นแหละ ช่วงนั้นก็เย็บแผลแตกบนใบหน้าไปพลาง

วัตรปฏิบัติของหลวงพ่อพระครูอมรฯ อีกอย่างหนึ่งก็คือ ฉันอะไรก็ได้ พระเณรวัดแม่ริมสมัยนั้นส่วนมากยังเด็กๆ ออกบิณฑบาตได้อาหารมาแล้วก็เลือกเอาของอร่อยๆ เก็บไว้ฉันส่วนตัว ส่วนที่เหลือก็เทเข้ากองกลาง เณรที่เป็นเวรก็จัดอาหารกองกลางนั้นขึ้นโต๊ะ แล้วเคาะระฆัง หลวงพ่อได้ยินเสียงระฆังก็จะพาหมาคู่ใจชื่อไอ้ตุ๊ด มาที่โรงอาหาร ตั้งปฏิสังขา ให้พรเสร็จ ก็นั่งพิจารณาฉัน ไม่เคยถามหาน้ำปลาหรืออาหารอื่นใดที่อร่อย มีอะไรก็ฉันไปตามนั้น อิ่มแล้วก็เลิกฉัน เป็นวิถีชีวิตที่เรียกว่า "อยู่ง่าย กินง่าย ไม่เป็นภาระให้แก่ใคร" นั่นเป็นเรื่องที่ผู้เขียนได้สัมผัสมากับตัวเอง

 

 

 

หลวงพ่อพระครูอมรธรรมประยุต เป็นนักปราชญ์ นักเทศน์ และนักศึกษา หนังสือหนังหาของท่านมีเต็มห้องสมุด ขนาดว่าอายุ 70-80 แล้ว ท่านก็ยังซื้อหามาเรื่อยๆ ผู้เขียนเคยเรียนถามว่า หลวงพ่อซื้อมาทำไมเยอะแยะครับ ท่านก็ตอบอย่างอารมณ์ดีว่า "หมู่นี้มันฮู้แกว นกขี้ไหนก็ใส่แฮ้วหั้น-พวกรู้แกว เห็นนกขี้ตกลงตรงไหนก็ดักแร้วตรงนั้น" นั่นหมายถึงว่า พวกนักขายหนังสือรู้ว่าหลวงพ่อชอบสะสมหนังสือ จึงไปหามาขายให้หลวงพ่อ และก็ไม่ผิดหวัง มาทีไรก็ได้ขายทุกทีไป ดังภาษิตที่หลวงพ่อพูดไว้ไม่ผิด คร่าวสี่บทพระยาพรหมโวหาร ฉบับอาจารย์สิงฆะ วรรณสัย ผู้เขียนก็ได้มาจากห้องสมุดวัดแม่ริมนี่แหละ นำมาแปลและออนไลน์ในเว็บไซต์แห่งนี้เมื่อหลายปีก่อน เป็นคร่าวออนไลน์ฉบับแรกของโลก นี่กล้าคุย เพราะไปเสิร์ชหาทางอินเตอร์เน็ตแล้ว ไม่เห็นมีใครเอาขึ้นก่อนผู้เขียนเลย

หลวงพ่อมีศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกันองค์หนึ่ง แต่สึกไปนานแล้ว มีชื่อเสียงเกรียงไกรมากเช่นกัน ท่านมีนามว่า ศาสตราจารย์เกียรติคุณ มณี พยอมยงค์ เป็นนักปราชญ์ของล้านนาไทย แต่งคร่าวและหนังสือเก่งเป็นที่หนึ่ง สมัยยังอยู่ในสมณเพศนั้น ว่ากันว่าวัดแม่ริมมีดาวเด่นอยู่ 2 ดวง ดวงแรกชื่อว่า พระมหาบุญจันทร์ ปุณฺณจนฺโท ป.ธ.5 หรือพระครูอมรธรรมประยุต มีเสียงเล็ก เทศน์มหาชาติกัณฑ์มัทรีได้เพราะที่สุด อีกดวงหนึ่งชื่อว่า พระมหามณี กิตฺติวณฺโณ ป.ธ.6 องค์นี้เสียงหลวงหรือเสียงใหญ่ เทศน์มหาชาติกัณฑ์มหาราชได้ดีไม่มีใครเทียม ภายหลังพระมหามณีลาสิกขาออกมาสอนหนังสืออยู่ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แต่มีบ้านอยู่หน้าวัดแม่ริมเยื้องไปทางเหนือนิดหน่อย อยู่ทางตะวันออกของถนน มีป้ายบอกไว้ว่า "บ้านยิ่งมณี" "ยิ่ง" ก็คือคุณแม่บุญยิ่ง ผู้เป็นแม่บ้านของศาสตราจารย์มณี ท่านเป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย ใครๆ ก็เรียกว่าอาจารย์บุญยิ่ง ส่วน "มณี" ก็คือ มณี พยอมยงค์ นั่นเอง

อาจารย์มณีเป็นโยมวัดแม่ริม ผู้เขียนจึงถือวิสาสะเดินไปเที่ยวที่บ้านยิ่งมณีบ่อยๆ เรียกว่าแทบจะทุกอาทิตย์ หรืออาทิตย์ละหลายวัน ทำนองแอบอ้างเป็นแขกประจำ เพราะที่นั่นมีกาแฟอร่อยให้ฉันไม่ขาด บ้านยิ่งมณีนั้นมีนักปราชญ์เดินเข้าๆ ออกๆ อยู่ตลอดเวลา น้ำชากาแฟจึงต้องมีต้อนรับไม่ขาดตกบกพร่อง ผู้เขียนเป็นเณรน้อย ไปคอยดูผู้ใหญ่เขาสนทนากัน ตกดึกโน่นแหละ "พ่ออาจ๋ารย์" ชื่อที่ผู้เขียนเรียกศาสตราจารย์มณี จึงมีเวลาว่างมาสนทนากับผู้เขียน เล่าเรื่องสัพเพเหระให้ฟัง เราเป็นเด็กก็ฟังบ้างถามบ้างไปตามประสา บ่อยครั้งก็อาจหาญเถียงท่าน เลยถูกท่านสอนเอาว่า "จะไปเหงี่ยงก้างหง้างเข้าข้างตั๋วเองเน่อเณร-อย่าลำเอียงเข้าข้างตัวเองว่าถูกคนเดียว" ก็ยังจดจำมาถึงทุกวันนี้ ก่อนเข้าห้องสอบบาลี ป.ธ.6 ปลายปีนั้น พ่ออาจารย์มณียังอุตส่าห์เดินมาหาถึงวัดแม่ริม ยื่นซองขาวให้เป็นค่ารถไปสอบที่กรุงเทพฯ ตั้ง 600 บาท และปีนั้นผู้เขียนได้เข้ารับพระราชทานพัดเปรียญธรรม ป.ธ.6 ในพระบรมมหาราชวัง

สมัยนั้น พระครูโสภณบุญญาภรณ์ หรือตุ๊จก วัดโสภณาราม อำเภอแม่ริม เจ้าตำรับการเทศน์ปาฐกถาแบบล้านนาอันลือลั่น ท่านยังเป็นรองเจ้าคณะอำเภอแม่ริม คือเป็นรองจากหลวงพ่อพระครูอมรธรรมประยุต อีกรูปหนึ่งก็คือ พระครูวิรุฬธรรมโกวิท วัดเจดีย์สถาน หรือที่ชาวบ้านนิยมเรียกว่า วัดเหมืองผ่า รูปนี้ท่านชำนาญทางโหราศาสตร์ระดับประเทศ ก็ยังเป็นรองเจ้าคณะอำเภอแม่ริมเช่นกัน โดยพระสงฆ์ในอำเภอแม่ริมจะเรียกเจ้าคณะอำเภอด้วยสรรพนามว่า "หลวงพ่อ" เหมือนกันหมด แสดงว่าทุกวัดให้ความเคารพในหลวงพ่อพระครูอมรธรรมประยุตมาก มีกิจกรรมทางคณะสงฆ์ พระสังฆาธิการทั้งอำเภอก็จะรวมตัวกันมาทำที่วัดแม่ริม ผู้เขียนจึงรู้จักมักคุ้นกับพระเถรานุเถระหลายรูป อย่างหลวงพ่อพระครูโสภณบุญญาภรณ์นั้นท่านเรียกผู้เขียนว่า "เณรมหา" เมื่อน้องเขยของผู้เขียนตายไปในปี พ.ศ.2538 นั้น ผู้เขียนโทรนิมนต์ให้ท่านไปเทศน์ที่เมืองฝาง แต่ท่านติดงานที่อำเภอหางดง ซึ่งอยู่ห่างจากฝางไปราว 200 ก.ม. ผู้เขียนจึงเรียนว่า "เทศน์ที่หางดงเสร็จก็นิมนต์มาเทศน์ที่นี่ต่อเลยได้ก่อ" หลวงพ่อตุ๊จกก็ตอบว่า "แล้วจะหื้อฌาน (ซาน-เหาะ) ไปอย่างใดล่ะ" ผู้เขียนก็ต้องยอมแพ้ เพราะท่านเป็นนักปราชญ์ มีโวหารที่ฉลาดในการปฏิเสธ โดยไม่ให้เจ้าภาพเสียน้ำใจ ทุกวันนี้ยังนึกถึงคำว่า "ฌาน" ของท่านอยู่ไม่ลืม

วัตรปฏิบัติสำคัญอย่างหนึ่งซึ่งผู้เขียนเคยเห็นหลวงพ่อพระครูอมรธรรมประยุตท่านทำ คือการเดินทางไปถวายสักการะ (ภาคเหนือเรียกว่าดำหัว) พระเถระผู้ใหญ่ที่ไปสักการะก็มีพระสุเมธมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดพระธาตุหริภุญไชย จังหวัดลำพูน เป็นต้น ไม่ว่าจะเป็นวันเข้าพรรษา ออกพรรษา เดือนจีปีใหม่ ก็จะไปไม่ขาด เว้นเสียแต่ป่วยหรือใครมรณภาพไปเสียก่อน ก็เป็นอันรู้กันว่ายกเลิก

 

หลวงพ่อพระครูอมรธรรมประยุต

 

กลางพรรษา พ.ศ.2533 วันหนึ่ง หลวงพ่อพระครูอมรธรรมประยุต บอกกับผู้เขียนว่า "กิ๋นตอนแล้วไปเทศน์ตี้ห้วยทรายตวยกั๋นเน่อ" แปลว่า หลังฉันเพลเสร็จแล้ว นิมนต์ไปเทศน์ที่บ้านห้วยทราย ตำบลห้วยทราย อำเภอแม่ริม ซึ่งอยู่ลึกจากถนนสายเชียงใหม่-ฝาง เข้าไป

แรกนั้นผู้เขียนก็นึกว่าท่านจะให้ไปเป็นลูกหาบ คือไปคอยถือย่าม ตามก้น ยกน้ำฉันน้ำใช้ และยกกัณฑ์เทศน์กลับเมื่อเสร็จงานแล้ว จึงไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจอะไร คอยแต่จะขึ้นรถอยู่ท่าเดียว ทีนี้พอเดินทางไปถึงวัดห้วยทรายแล้ว เห็นพระสงฆ์และญาติโยมมารอฟังเทศน์จากหลวงพ่อพระครูอมรธรรมประยุตอยู่แน่นศาลา คำนวนดูแล้วคงไม่ต่ำกว่า 200 คนเป็นแน่ แต่ก็ไม่เกี่ยวกับเรา เพราะเราไม่ได้มาเทศน์ เรามาส่งหลวงพ่อ ผู้เขียนคิดเช่นนั้น

ครั้นถึงเวลาเทศน์ จู่ๆ หลวงพ่อก็หันหน้ามาสั่งผู้เขียนว่า "เอ้า นิมนต์ขึ้นธรรมาสน์ได้"

ผู้เขียนเหมือนโดนผีหลอกกลางวันเป็นครั้งแรกในชีวิต เพราะหลวงพ่อจะให้ขึ้นเทศน์ต่อหน้าพระสงฆ์และญาติโยมเป็นร้อยๆ โดยที่เราไม่ได้เตรียมอะไรมาเลยแม้แต่นะโม ! แล้วจะเทศน์ได้ยังไงเนี่ย เกิดมาก็ไม่เคยเทศน์ปาฐกถาเสียด้วย เคยก็แต่ท่องใบลานเช่นธรรมมาลัยโผดโลกให้โยมฟังเท่านั้น แล้วเอ้อ..ผู้เขียนประณมมือสั่นๆ ถามหลวงพ่อว่า หลวงพ่อจะหื้อผมเทศน์อะหยังครับ (หลวงพ่อจะให้กระผมเทศน์อะไรครับ)

"อะหยังก่อได้ เทศน์ๆ ไปเต๊อะ" หลวงพ่อตอบง่ายๆ

"อะหยังก่ได้-อะไรก็ได้" แหมฟังดูง่ายดี แต่สำหรับคนไม่เคยเทศน์แล้ว อะไรก็ได้นี่ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ เพราะเป็นคำถามครอบจักรวาล ไม่รู้จะขึ้นบทไหน ยังไง ใครได้เห็นสภาพของผู้เขียนตอนนั้นแล้วก็คงสงสารน่าดู เพราะถูกจับขึ้นเวทียิ่งกว่านายขนมต้ม ถ้าล้มแล้วล้มเหลวแค่คนเดียวก็คงพอทำเนา แต่นี่หลวงพ่อซึ่งเป็นนักเทศน์เอกของล้านนาไทยมาคุมเวทีมวยด้วย ถ้าเทศน์แย่หรือไปไม่รอดท่านจะให้ขึ้นรถกลับวัดแม่ริมด้วยหรือ แล้วญาติโยมที่นั่งจ้องหน้านับร้อยๆ คู่เหล่านี้ล่ะ เราจะเทศน์ให้เขาฟังยังไง ในเมื่อมันไม่เคย

ถ้าหลวงพ่อแนะนำว่า เอาเรื่องนี้นะ เทศน์แบบนี้ๆ บอกใบ้แนะแนวให้ซัก 4-5 นาที ก็คงจะพอมีแนวทางบ้าง แต่ท่านไม่บอกอะไรเลยแม้แต่วินาทีสุดท้ายก็ยังบอกว่า "อะหยังก่ได้" วันนั้นผู้เขียนขาสั่นเป็นเจ้าเข้า เดินตุปัดตุเป๋ขึ้นธรรมาสน์ โชคดีที่ผ้าห่มของพระเณรนั้นหลวมหน่อย อาการสั่นจึงดูไม่แรง และญาติโยมก็อาจจะเข้าใจว่าเป็นอาการเหน็บชาก็เป็นได้ แต่สำหรับสีหน้าของผู้เขียนแล้ว เหมือนฉีดยาชาไปเป็นร้อยๆ เข็ม มองไปทางไหนก็มือแปดด้าน สุดท้ายก็งัดไม้ตายขึ้นมาใช้ นั่นคืออ้างอิงเอาพระพุทธพจน์บท อัตตา หิ อัตตโน นาโถ แปลว่า ตนเป็นที่พึงของตน นั่นแหละมาเป็นตัวตั้งในการเทศน์ และจำไม่ได้ด้วยซีว่าเทศน์ไปอย่างไรบ้าง มองไม่เห็นแม้กระทั่งว่าลงธรรมาสน์มาได้อย่างไร

นั่งรถกลับวัดในการการซึมเซา เหม่อลอย ไม่รู้ว่าหลวงพ่อจะว่าอย่างไรบ้าง ผ่านไปหนึ่งวันก็เงียบ สองวันก็เงียบ สามวันก็เงียบ เกือบๆ อาทิตย์กระมัง ท่านลั่นปากออกมาคำเดียวกลางที่ประชุมว่า "เทศน์ใช้ได้" โหเหมือนถูกหวย

การไปอาศัยสำนักวัดแม่ริมของผู้เขียนดังเรียนมาให้ทราบนี้ แรกนั้นมุ่งหมายจะไปเรียนเอาการเทศน์มหาชาติแบบลานนา อันเป็นทำนองเฉพาะถิ่น ซึ่งหลวงพ่อพระครูอมรธรรมประยุตท่านก็เมตตาสอนสั่งโดยมิได้เอาค่าครูเลยแม้แต่ตังค์เดียว แต่สิ่งที่ท่านให้มากกว่านั้นก็คือการเทศน์โดยปฏิภาณโวหาร ซึ่งท่านได้สอนบทเรียนอย่างยิ่งใหญ่เป็นครั้งแรกในชีวิตของผู้เขียนที่วัดห้วยทรายในวันนั้น วันที่ต้องเรียกว่า จดจำไปจนวันตาย มิใช่จดจำด้วยความแค้น หากแต่เป็นจดจำด้วยความรักเคารพในหลวงพ่อพระครูอมรธรรมประยุต ผู้เมตตาให้บทเรียนอันล้ำค่าแก่ชีวิตของผู้เขียน เพราะถ้าไม่มีการเทศน์ในวันนั้น ก็คงไม่มีพระมหานรินทร์ในวันนี้

หลวงพ่อพระครูอมรธรรมประยุต ได้ถึงแก่มรณภาพลง เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2554 สิริอายุ 89 ปี พรรษา 69 ปิดตำนานปรมาจารย์ลานนาไทยไปอีกองค์หนึ่ง ปุณฺณจนฺโท แปลว่าพระจันทร์เพ็ญคือเต็มดวง เป็นฉายาของหลวงพ่อพระครูอมรธรรมประยุต (บุญจันทร์) ท่านดำรงอายุสังขารอยู่นานถึง 89 ปี ท่ามกลางโลกแห่งการแก่งแย่งแข่งขัน ชิงดีชิงเด่น ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินศฤงคาร หรือยศถาบรรดาศักดิ์ แต่พระครูอมรธรรมประยุตก็ยังคงเป็นพระครูอมรธรรมประยุตไม่เคยเปลี่ยน จนกระทั่งถึงกาลอวสาน ทั้งนี้เพราะท่านเป็นผู้อิ่มแล้วเต็มแล้ว ภาชนะที่เต็มแล้วย่อมไม่ต้องการการเติมอีก ฉันใด ความเป็น "ปุณฺณจนฺโท" ของหลวงพ่อพระครูอมรธรรมประยุตก็ฉันนั้น มีแต่ช่วยเหลือเจือจานผู้อื่น โดยเฉพาะทางด้านการศึกษาอย่างไม่รู้เบื่อ

ลาภยศอันอยู่นอกวัดนั้น แม้ว่าใครต่อใครจะไขว่คว้าวิ่งเต้นหา แต่หลวงพ่อกลับมองผ่านอย่างเฉยเมย ส่วนลาภผลภายในวัด แม้ว่าพระเณรจะขยักอาหารบิณฑบาตไว้กินส่วนตัวก็ตาม หลวงพ่อก็รู้ แต่ท่านก็ยินดีฉันตามมีตามได้ ทั้งนี้เพราะมองเห็นแล้วว่า ลูกหลานเหล่านี้ยังเด็กนัก ยังต้องการอาหารบำรุงร่างกายอีกมาก ท่านจึงไม่ถือสา ไม่ว่ากล่าว ไม่ตำหนิติติง ทั้งๆ ที่สมัยเริ่มเป็นสมภารวัดแม่ริมนั้น ใครๆ ก็ทราบดีว่า พระครูอมรธรรมประยุตนั้นเฮี๊ยบขนาดไหน ถึงทุกวันนี้คนเฒ่าคนแก่ก็ยังเล่าขานเป็นตำนาน มองดูก็แทบดูไม่ออกว่าเป็นไปได้อย่างไร พระเถระผู้เปี่ยมด้วยเมตตาการุณเช่นหลวงพ่อพระครูอมรธรรมประยุตนั้นน่ะหรือ คือพระสุดยอดเฮี๊ยบในอดีต

ครั้งหลังสุด ก็คือเมื่อสองปีก่อน ผู้เขียนกลับเมืองไทย คิดถึงหลวงพ่อ ไม่ได้ไปหาท่านนานนับสิบปี นึกน้อยใจว่าเรานี่เหมือนศิษย์อกตัญญู ครูบาอาจารย์มีก็ไม่ยอมเข้าใกล้ จึงหาโอกาสเข้ากราบหลวงพ่อพระครูอมรธรรมประยุตที่วัดแม่ริม ท่านแก่ลงไปมากจำหน้าเราแทบไม่ได้แล้ว ต้องบอกชื่อท่านถึงร้องอ๋อ เรียนถามเรื่องสุขภาพของท่าน ก่อนจากยกมือขอพระเครื่องของหลวงพ่อฯ ซึ่งท่านก็เมตตาให้มา 2 องค์ เกิดใจอ่อนให้ใครไปแล้วหนึ่งองค์ เหลือติดตัวอยู่เพียงองค์เดียว ก็คงจะมีองค์นี้แหละที่จะบูชาไปตลอด ในฐานะศิษย์วัดแม่ริมคนหนึ่ง

ท้ายที่สุดนี้ ผู้เขียนคงไม่กล้าอวยพรดวงวิญญาณของหลวงพ่อว่าขอให้ไปไหน เพราะจิตวิญญาณของท่านสูงส่งกว่าเรานัก เป็นถึงครูบาอาจารย์ของเรา กราบขอขอมาอภัยที่เคยล่วงเกินท่านแต่สมัยที่อาศัยวัดแม่ริมอยู่ ได้แค่นี้ก็บุญโขแล้ว

 

ด้วยความเคารพอย่างสูงในหลวงพ่อ

 

พระมหานรินทร์ นรินฺโท
วัดไทย ลาสเวกัส รัฐเนวาด้า สหรัฐอเมริกา
9 กุมภาพันธ์
2554
09:00 P.M. Pacific Time.

 

 

 
 

 
E-Mail ถึง บก.
peesang2003@hotmail.com

All Right Reserved @ 2003
 

 

alittlebuddha.com  วัดไทย ลาสเวกัส 2920 McLeod Dr. Las Vegas Nevada 89121 USA (702) 384-2264