พระพรหมวํโส โมฆบุรุษ

 

 

      

    ไม่น่าเชื่อว่า โลกหมุนไปไม่ถึงรอบ ก็เกิดเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ไทยขึ้นมาจนได้ นั่นคือกรณีที่พระสงฆ์วัดโพธิญาณ เมืองเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย ถูกสมัชชาสงฆ์วัดหนองป่าพง ซึ่งมีสาขาอยู่ทั่วโลก ขับไล่ออกจากคณะ (อเปหิ) ไปในวันที่  1 พฤศจิกายน พ.ศ.2552 และรับรองโดยมหาเถรสมาคม ในการประชุมครั้งที่ 26/2552 วันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ.2552 ประชุมที่หอประชุมสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ พุทธมณฑล มี สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อุปเสณมหาเถร) เป็นประธานการประชุม

     มีเงื่อนงำและเหตุการณ์หลากหลายเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ถ้าจะเขียนจริงๆ ก็คงเป็นหนังเรื่องยาวระดับมหากาพย์เลยเชียวล่ะ แต่วันนี้มีเวลาน้อย จะขอพูดถึงเฉพาะประเด็นสำคัญเกี่ยวกับพระธรรมวินัยที่พระพรหมวังโส หัวหน้าสงฆ์วัดโพธิญาณ อ้างอิงเป็นความชอบธรรมนำไปใช้บวช สตรีให้เป็นพระภิกษุณีที่วัดของตนเท่านั้น

     อย่างไรก็ตาม แม้ไม่อยากจะพูดมากเขียนมาก แต่ก็ต้องขอเขียนเรียนต่อท่านผู้อ่านนิดหนึ่ง โดยเฉพาะท่านสุภาพสตรีซึ่งตกเป็นจำเลยในคดีนี้ด้วย คือถ้าอ่านเพียงผิวเผินแล้ว ท่านสุภาพสตรีทั่วไปก็อาจจะเข้าใจว่า "พระสงฆ์ไทยแอนตี้สตรีไม่ยอมให้บวชเป็นภิกษุณี" ซึ่งเรื่องนี้ผู้เขียนเคยเขียนไว้นานแล้ว

@ อ่านเรื่อง ภิกษุณี ข้อเขียนของพระมหานรินทร์

   ขออธิบายให้ทราบอีกนิดว่า พระสงฆ์ไทยเรานั้น โดยเฉพาะ พระวัดไทย ลาสเวกัส มีความยินดีและเต็มใจอย่างยิ่งที่จะบวชให้แก่สตรีเพศได้เป็นพระภิกษุณี แต่มีปัญหาว่าบวชให้ไม่ได้ เพราะพระวินัยบังคับไว้ว่า "สตรีที่จะบวชเป็นพระภิกษุณีนั้น ต้องผ่านการบวชจากภิกษุณีสงฆ์ก่อน และต้องไดรับการรับรองจากภิกษุสงฆ์อีกรอบหนึ่ง จึงจะถือว่าเป็นภิกษุณีที่สมบูรณ์"

  ตามข้อความเบื้องต้นนั้น พระสงฆ์ผู้ชายนั้นมีพร้อมแล้วที่จะรับรอง แต่พระสงฆ์ภิกษุณีที่จะบวชให้นั้นยังไม่มี เพราะขาดหายไปเฉยๆ เมื่อพันกว่าปีก่อน ไม่รู้ว่าสาเหตุอันใด ในประเทศไทยเรานั้นนับตั้งแต่สมัยหริภุญชัยเป็นต้นมา นับได้พันกว่าปี ก็ยังไม่เคยมีประวัติว่าเคยมีพระภิกษุณีมาก่อน ทีนี้เมื่อไม่มีภิกษุณีสงฆ์ แต่จะให้พระสงฆ์ไทย (พระผู้ชาย) เปิดโบสถ์บวชให้แก่สตรีเพศเลยนั้น ทำไม่ได้ เพราะผิดขั้นตอนพระวินัย เข้าใจหรือยัง

   มีบางคนต่อรองว่า "เอางี้ได้ไหม ไปขอพระภิกษุณีจากประเทศไต้หวันบ้าง ญี่ปุ่นบ้าง หรือประเทศอื่นที่เขามี เอามาเป็นภิกษุณีสงฆ์ แล้วให้คณะสงฆ์ไทยรับรอง ก็จะได้พระภิกษุณีเต็มขั้น คือผ่านการบวชจากสงฆ์สองฝ่ายตามพระวินัย"

   ข้อนี้ถ้าดูให้ง่ายก็คงง่าย แต่ว่าไม่ง่ายอย่างนั้นนะสิ เพราะการที่คณะสงฆ์จะบวชให้แก่ใครนั้น ต้องใช้พระสงฆ์ที่อยู่ในสังกัดหรือนิกายเดียวกันเท่านั้น จึงจะถือว่าถูกต้องตามพระวินัย หมายถึงว่า ถ้าหากใช้พระภิกษุหรือภิกษุณีในนิกายอื่นมาร่วมสังฆกรรมด้วย สังฆกรรมนั้นก็ทำไม่ขึ้น คือเป็นโมฆะ แม้ว่าจะสวดนานเป็นปีก็ไม่มีผล (ภิกษุณีในประเทศไต้หวันก็ดี ญี่ปุ่นก็ดี เป็นคนละนิกายกับพระสงฆ์ไทย จึงร่วมสังฆกรรมกันไม่ได้)

นี่ไงเห็นไหม ที่ พระเดชพระคุณพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ ปยุตฺโต ป.ธ.9) ท่านกล่าวว่า

"..ความจริงก็เป็นเรื่องชัดเจนง่ายๆ ผู้หญิงเคยมีสิทธิบวชในสมัยพุทธกาลอย่างไร ปัจจุบันผู้หญิงก็ยังมีสิทธิบวชเป็นภิกษุณีอยู่เช่นนั้น แต่ความติดขัดอยู่ที่ไม่มีคนที่มีสิทธิบวชให้ หรือคนที่มีสิทธิบวชสตรีให้เป็นภิกษุณีนั้น เวลานี้ไม่มี

     การยกเอารัฐธรรมนูญมาอ้างว่า สตรีต้องมีสิทธิบวชเป็นภิกษุณีนั้น ไม่มีสาระอะไรเลย เพราะผู้หญิงมีสิทธิบวชอยู่แล้ว ปัญหาอยู่ที่ว่าไม่มีผู้มีสิทธิบวชให้แก่สตรีนั้น.."

 

 

   นั่นแหละคือประเด็น ส่วนการตั้งคำถามอย่างง่ายๆ เช่นว่า ก็แล้วทำไมไม่แก้พระธรรมวินัยให้สอดคล้องกับโลกยุคปัจจุบัน เช่น ถ้าอยากมีสตรีบวชพระก็แก้พระวินัยแล้วบวชให้ เป็นต้น คำตอบก็คือ ถ้าทำอย่างนั้นได้ ต่อไปก็ไม่มีพระพุทธศาสนา เพราะที่ผ่านมานั้น พระสงฆ์เถรวาทพยายามรักษาพระธรรมวินัยอย่างยิ่งยวด จึงสามารถสืบทอดพระพุทธศาสนาแท้และดั้งเดิมมาจนกระทั่งบัดนี้ นับเป็นเวลากว่า 2552 ปีเข้าไปแล้ว เพราะถ้าเราแก้ไขพระธรรมวินัยตามใจฉัน เช่น แก้ไขให้พระสงฆ์เท่านั้นสามารถบวชภิกษุณีได้ ต่อไปถ้ามีกะเทยเรียกร้องอยากบวช เราก็แก้ให้กะเทยบวชได้ มันก็เละกับเละนะสิ นี่ลองคิดดูให้ดีนา

จริงๆ แล้วเรื่องพระธรรมวินัยก็คล้ายกับกฎหมายนั่นแหละ อาจจะไม่ถูกใจหลายคน แต่ก็จำเป็นต้องเข้มงวดกวดขันไว้ เพราะถ้าแก้ไขเรื่อยเปื่อย บ้านเมืองก็ไร้ขื่อแป เพราะถ้ายกเว้นให้แก่คนที่หนึ่ง ก็จะมีคนที่สองมาขอรับข้อยกเว้น และก็จะเป็นคนที่ 3-4-5-6-7-8-9 ไปไม่มีที่สิ้นสุด คนที่เรียกร้องกับคนที่รักษาพระธรรมวินัยจึงเหมือนยืนอยู่คนละฝั่ง ทั้งๆ ที่ต่างคนต่างก็มีหน้าที่เพื่อพิทักษ์รักษาพระพุทธศาสนาเหมือนกัน

ดังนั้น จึงขอให้ท่านสุภาพสตรีเข้าใจให้ถ่องแท้ว่า คณะสงฆ์ไทยมิได้มีเจตนาจะกลั่นแกล้งหรือกีดกันสตรีเพศมิให้บวชเป็นภิกษุณี แต่เพราะคณะสงฆ์ไทยไม่มีอำนาจในการสร้างพระวินัยขึ้นมาใช้เอง เราใช้ของพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าทรงตั้งพระวินัยไว้อย่างไร เรามีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามและรักษาไว้ เราไม่มีหน้าที่แก้ไขไปตามใจ เพราะถ้าคิดแก้ไขแล้ว พระพุทธศาสนาไม่ยืนยาวมาถึงทุกวันนี้หรอก มันเละไปนานแล้ว

ซึ่งถ้าจะให้แก้ไขพระธรรมวินัยกันจริงๆ แล้ว ก็มีนิกายสงฆ์ซึ่งท่านนิยมแก้ไขอยู่แล้ว นั่นคือมหายาน ทั้งจีน ญวน เกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน ในปัจจุบันประเทศเหล่านี้ก็มีภิกษุณีอยู่มากมาย ง่ายๆ แค่ซื้อตั๋วเครื่องบินไม่กี่พันบาท บินไปบวชแล้วก็บินกลับ ก็ได้เป็นภิกษุณีสมใจแล้ว เพียงแต่ว่าเป็นมหายานเท่านั้น แต่หากจะให้เถรวาทเช่นพระสงฆ์ไทยเราแก้ไขพระธรรมวินัยให้เหมือนมหายาน ก็หมายถึงว่าจะทำเถรวาทให้เป็นมหายาน ซึ่งมันไม่เห็นจำเป็นอะไร ในเมื่อมันมีอยู่แล้ว ทำไมไม่ไปใช้ มากฎเกณฑ์เอาอะไรกับพระสงฆ์ไทยว่า "อีฉันจะบวชวัดนี้ อยากเป็นภิกษุณีเถรวาท" อย่างนั้นซะให้ได้ เห็นแล้วก็ปวดหัวใจเพราะไม่ฟังเหตุผล พูดมากไปประเดี๋ยวโยมจะมาวัดไทยลาสเวกัสน้อยลงไปอีก เศรษฐกิจก็ยิ่งแย่อยู่ด้วยสิ เฮ้อ !


 

เอาละ จะเข้าประเด็นที่จะเขียนถึงในวันนี้กันเสียที ประเด็นที่ว่านี้ก็มาจากที่ประชุมคณะสงฆ์วัดหนองป่าพงและวัดในสาขาทั่วโลก นับสมาชิกได้ 160 รูป ที่ประชุมแห่งนั้นประกอบด้วยสมาชิก ได้แก่ พระราชภาวนาวิกรม หรือ หลวงพ่อเลี่ยม ฐิตธมฺโม เจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง เป็นประธานสงฆ์ พระราชสุเมธาจารย์ หรือหลวงพ่อโรเบิร์ต สุเมโธ เจ้าอาวาสวัดอมราวดี ประเทศอังกฤษ ในฐานะประธานสาขาต่างประเทศในสายวัดหนองป่าพงทั้งหมด พระวิสุทธิสังวรเถร หรือพระพรหมวังโส เจ้าอาวาสวัดโพธิญาณ ประเทศออสเตรเลีย เป็นต้น

ประเด็นสำคัญในการประชุมสมัชชาวัดหนองป่าพงในครั้งนี้ก็คือ มีการพิจารณาถึง กรณีที่คณะสงฆ์วัดโพธิญาณ เมืองเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย นำโดยพระวิสุทธิสังวรเถร ได้กระทำการอุปสมบทให้แก่สตรี จำนวน 4 คน อย่างเงียบๆ เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ.2552 โดยมี พระวิสุทธิสังวรเถร เป็นพระกรรมวาจาจารย์

ภายหลังจากการทำอุปสมบทกรรมครั้งนี้ผ่านไปหลายวัน จึงมีกระแสข่าวออกมาว่า พระสงฆ์วัดโพธิญาณ ออสเตรเลีย แอบทำสังฆกรรม บวชพระภิกษุณีโดยไม่แจ้งให้แก่คณะสงฆ์ไทยทราบ ทั้งๆ ที่วัดโพธิญาณนั้นเป็นสาขาของวัดหนองป่าพง และวัดหนองป่าพงก็เป็นวัดในสังกัดคณะสงฆ์ไทย ภายใต้พระบรมราชูปถัมภ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และการคุ้มครองของรัฐบาลไทย ซึ่งรัฐบาลไทยได้ตราพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ขึ้นไว้ในปี พ.ศ.2505 และใช้บังคับมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้

เมื่อข่าวนี้ดังออกไป คณะสงฆ์วัดหนองป่าพงและสาขาจากทั่วโลก จึงนัดหมายประชุมกันในวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ.2552 โดยนิมนต์ พระวิสุทธิสังวรเถร (พระพรหมวังโส) เจ้าอาวาสวัดโพธิญาณ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดที่ใช้ทำสังฆกรรมลึกลับครั้งนี้เข้าร่วมประชุมด้วย

 

ที่ประชุมสอบถามจากพระพรหมวังโสว่า ได้จัดทำสังฆกรรมดังกล่าวขึ้นจริงหรือไม่

พระพรหมวังโส ก็ยอมรับว่า ได้จัดทำสังฆกรรมดังกล่าวขึ้นจริง โดยพระพรหมวังโสได้อ้างด้วยว่า มีการตกลงใจจะทำสังฆกรรมครั้งนี้มาตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน พ.ศ.2552 แล้ว และเห็นว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน จึงต้องปกปิดไว้เป็นความลับ

ที่ประชุมก็ขอให้พระพรหมวังโสรำลึกนึกถึงปฏิญญา ซึ่งคณะสงฆ์ในสายวัดหนองป่าพงพร้อมใจกันกระทำขึ้นเมื่อ พ.ศ.2549 โดยมีสาระว่า พระสงฆ์ในสายหรือสาขาวัดหนองป่าพงทั้งในและต่างประเทศ จะไม่กระทำการใดๆ โดยลำพัง อันมีผลสำคัญกระทบถึงคณะสงฆ์ส่วนใหญ่ของวัดหนองป่าพง ซึ่งพระพรหมวังโสก็ยอมรับว่า รับทราบ และยังรำลึกได้อยู่

เมื่อถามต่อไปว่า เมื่อรู้และจำได้ดีอยู่เช่นนี้ การที่พรพรหมวังโสพร้อมด้วยพระสงฆ์วัดโพธิญาณ แอบกระทำสังฆกรรมบวชภิกษุณี โดยไม่มีการแจ้งให้แก่คณะสงฆ์ส่วนใหญ่ในสายวัดหนองป่าพงทราบนั้นหมายความว่าอย่างไร

พระพรหมวังโสก็อธิบายว่า ท่านเข้าใจว่า ปฏิญญาที่ว่านั้นหมายถึงว่า พระสงฆ์วัดหนองป่าพงรวมทั้งสาขาทั่วโลก ยินยอมพร้อมใจจะปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ไทย และเข้าไปใจไปถึงว่า การบวชภิกษุณีที่ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นคนละราชอาณาจักรกับราชอาณาจักรไทยนั้น ไม่ผิด

พระพรหมวังโสไม่ได้ตอบคำถามเกี่ยวกับการละเมิดปฏิญญาของวัดหนองป่าพงในปี 2549 แต่ตอบเป็นสำนวนโวหารโดยใช้คำว่า "ผมเข้าใจว่า" มาเป็นตัวอธิบาย ซึ่งคำอธิบายของท่านนั้นมีความหมายว่า ตนเองรู้และเข้าใจว่าพระสงฆ์สายวัดหนองป่าพงทั้งหมด ยินยอมพร้อมใจจะปฏิบัติตามกฎหมายและขนบธรรมเนียมของคณะสงฆ์ไทย ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดๆ ในโลก แต่สำหรับตนเองแล้วไม่เห็นด้วยและไม่ขอทำตาม จึงเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น

พระพรหมวังโสยังอธิบายต่อไปด้วยว่า ความเข้าใจของท่านนั้นมิได้เข้าใจแบบพูดเองเออเอง หากแต่ท่านได้ทดสอบความเข้าใจกับผู้หลักผู้ใหญ่ในคณะสงฆ์ไทยแล้ว นั่นคือท่านอ้างว่า เคยเข้าไปกราบเรียนถาม เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร องค์ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ในปัจจุบัน

 

 

คำถามที่ท่านกราบเรียนถามเจ้าประคุณสมเด็จฯก็คือ การบวชภิกษุณีนอกประเทศไทยนั้นผิดกฎหมายคณะสงฆ์ไทยไหม

คำตอบที่ได้จากเจ้าประคุณสมเด็จฯ ก็คือ กฎหมายคณะสงฆ์ไทยไม่ครอบคลุมนอกเหนือเขตประเทศไทย

 

 

อีกประเด็นหนึ่งซึ่งพระพรหมวังโสได้นำมาอ้างอิงก็คือ การได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ จาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ดำรงฐานันดรศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระวิสุทธิสังวรเถร เป็นกรณีพิเศษ เนื่องในมหามงคลสมัย ทรงเสวยราชสมบัติครบ 60 ปี เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2549

พระพรหมวังโสกล่าวว่า การที่เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์เมตตาให้ยศเจ้าคุณแก่ตนเองนั้น มิได้เป็นข้อผูกพันไปถึงว่า ตนเองจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายไทยหรือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับประเทศไทย (ตรงนี้พูดผิด เพราะสมเด็จพระพุฒาจารย์เป็นเพียงผู้เสนอในฐานะประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชเท่านั้น เพราะอำนาจในการพระราชทานยศนั้นเป็นของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มิใช่เป็นของสมเด็จพระพุฒาจารย์ พระพรหมวังโสไม่รู้เรื่องนี้ จึงเข้าใจไขว้เขวไปว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์เป็นผู้มอบยศให้แก่ตน)

โดยพระพรหมวังโสได้ยกเอาข้อความในสัญญาบัตรแต่งตั้งพระราชาคณะของตนเองมาอ้างอิงว่า ในสัญญาบัตรนั้นมีข้อความบอกไว้เพียงว่า "พระพรหมวังโส จากวัดโพธิญาณ ในประเทศออสเตรเลีย เป็นพระระดับราชาคณะ มีตำแหน่งคือ พระวิสุทธิสังวรเถร ขอให้ท่านรับหน้าที่ในการเผยแพร่คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จัดการธุระของสงฆ์ และดูแลพระภิกษุสามเณร ในวัดของท่านอย่างเหมาะสม และพัฒนาความสุขและความเจริญในคำสนอของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" เท่านั้น

พระพรหมวังโสย้ำว่า ไม่มีข้อความใดๆ ในสัญญาบัตรข้างต้นที่ระบุให้ตนเองต้องปฏิบัติตามกฎหมายคณะสงฆ์ไทยในขณะไปปฏิบัติศาสนกิจคือทำงานในต่างประเทศ โดยเฉพาะก็คือประเทศออสเตรเลีย อันเป็นประเทศที่ใหญ่กว่าประเทศไทย

ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ เป็นพื้นฐานแห่งการตัดสินใจแห่งการบวชสตรีให้เป็นภิกษุณีของพระพรหมวังโส

 

 

ยังมีเหตุผลเพิ่มเติมด้วยว่า "เมื่อที่ประชุมให้ผมตกลงเลือกระหว่าง ยอมประกาศว่าสตรี 4 คนที่ผ่านสังฆกรรมครั้งนั้นไม่ใช่ภิกษุณี คือเป็นโมฆะ กับการถูกถอดถอนออกจากความเป็นสาขาของวัดหนองป่าพง ผมก็ตกลงเลือกเอาความปรารถนาของคณะสงฆ์วัดโพธิญาณและโยมจำนวนพันที่สนับสนุนผมให้บวชภิกษุณี"

แต่สมาชิกในที่ประชุมได้โต้แย้งว่า ในเมื่อท่านพระพรหมวังโสกระทำการบวชแบบเงียบๆ โดยปกปิดเป็นความลับก่อนหน้านั้นมาเป็นเดือนๆ แล้วจะอ้างได้อย่างไรว่ามีพระสงฆ์และญาติโยมนับพันสนับสนุน เพราะถ้าญาติโยมนับพันทราบเรื่องและสนับสนุนจริงดังอ้าง เรื่องดังกล่าวก็คงไม่เป็นความลับ การอ้างว่าพระสงฆ์และญาติโยมนับพันสนับสนุนตนเองให้บวชภิกษุณีนั้น สงสัยว่าจะเป็นการสมอ้างหรือโกหกของพระพรหมวังโสเสียเอง

ซึ่งตรงนี้พระพรหมวังโสหมดภูมิจะแก้ตัว ต้องจำนนต่อเหตุผล เพราะถ้ามีการแจ้งขอรับการสนับสนุนจากญาติโยมซึ่งเป็นสมาชิกในพุทธสมาคมออสเตรเลียตะวันตกจริง ก็ต้องมีวาระการประชุมเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เมื่อเช็คดูวาระการประชุมของพุทธสมาคมออสเตรเลียตะวันตกในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา ก็ไม่ปรากฏว่ามีวาระการประชุมเกี่ยวกับเรื่องการบวชภิกษุณีแต่อย่างใด

 

ที่ประชุมจึงสรุปว่า พระพรหมวังโสดำเนินการในเรื่องนี้คนเดียว ทุกคนที่เกี่ยวข้องนั้นล้วนถูกพระพรหมวังโสแอบอ้างเอาชื่อมาบังหน้าเท่านั้น

นอกจากนั้น ที่ประชุมยังได้นำเอาคำพูดของพระพรหมวังโส ซึ่งได้กล่าวภายหลังจากเสร็จการทำสังฆกรรมบวชภิกษุณีครั้งนั้นว่า "นี่เป็นผลงานอีกชิ้นหนึ่งของอาตมา ซึ่งได้บรรลุตามจุดมุ่งหมายที่ตั้งใจไว้ ตลอดระยะเวลาในการดำเนินงานเป็นเวลา 9 ปี ที่ผ่านมา"

ความหมายก็คือว่า การบวชภิกษุณีในครั้งนี้ มีการวางแผนอย่างแยบยลเป็นเวลานานถึง 9 ปี โดยพระพรหมวังโสนอกจากจะเก็บเป็นความลับแล้ว หลายครั้งหลายหนยังออกมาโกหกมาอีกด้วยว่า "ไม่มีแผนจะทำการบวชภิกษุณี"

เรื่องนี้มีหลักฐานยืนยันเป็นเอกสารที่พระพรหมวังโสเขียนเป็นลายมือส่งไปถึงท่านอาจารย์เกวลี มีข้อความเป็นภาษาอังกฤษ ดังต่อไปนี้

 

 

คำแปลบางส่วนจากที่ป้ายด้วยปากกาแดงได้ข้อความดังนี้

 

 

เอกสารเหล่านี้ พระพรหมวังโสเขียนยืนยันความบริสุทธิ์ใจของตนเองมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2551 ซึ่งเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับคำพูดในวันทำการบวชภิกษุณีที่พระพรหมวังโสกล่าวว่า "วางแผนมา 9 ปี" แสดงว่า จดหมายทั้งสองฉบับเป็นจดหมายโกหก หลอกอาจารย์เกวลีว่าตนเอง (พระพรหมวังโส) ไม่มีแผนใดๆ เกี่ยวกับการบวชภิกษุณีเลย หนำซ้ำ ที่มีคนสงสัยว่าพระพรหมวังโสจะทำการบวชภิกษุณีมาก่อนหน้านั้น ยังถูกพระพรหมวังโสตราหน้าว่า "ใส่ร้าย"

แต่วันนี้ความจริงก็ได้พิสูจน์ทุกขั้นตอนแล้วว่า คนที่ ใส่ร้าย โกหก ตอแหล หลอกหลวง เพื่อนสหธรรมิก และคณะสงฆ์ทั้งปวง นั้นก็คือ ตัวพระพรหมวังโส นั่นเอง

 

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ คนโกหกนั้นไม่กระทำชั่วอย่างอื่นไม่มีหรอก

 

เมื่อหลักฐานทุกอย่างประจักษ์ชัด พระพรหมวังโสทำเป็นยินยอมรับผิดด้วยวาจาต่อหน้าพระสงฆ์ถึง 3 ครั้ง แต่พระเถระบางท่านตั้งข้อแม้ว่า แค่ยอมรับผิดนั้นยังไม่เพียงพอหรอก เพราะนี่มิใช่กรณีเณรน้อยชกต่อยกัน แต่พระพรหมวังโสเป็นถึงพระราชาคณะและเป็นเจ้าอาวาส วางแผนทำงานใหญ่ระดับโลก ทำสำเร็จไปแล้ว จะมาพูดแค่ว่า "เสียใจ" มันไม่ง่ายเกินไปหรือ ไม่งั้นต่อไปใครต่อใครก็ไปทำความผิดบ้าง แล้วค่อยมาขอขมาโดยไม่มีโทษทัณฑ์อะไรเลย ดังนั้นจึงต้องมีมาตรการ ได้แก่

1. ลงโทษพระพรหมวังโส แต่จะลงอย่างไรก็ก็ให้สงฆ์พิจารณา ซึ่งหนึ่งในวิธีการนั้นได้แก่ ให้สาขาวัดโพธิญาณเริ่มต้นความเป็นสาขาใหม่ โดยอาจจะมีเงื่อนไขให้ต้องปฏิบัติตามเป็นกรณีพิเศษ ไม่ใช่การเป็นสาขาปกติเช่นที่เคยเป็นมา

2. ให้พระพรหมวังโสยอมรับว่า สังฆกรรมที่ทำไปนั้นเป็นโมฆะ และสตรีที่เข้ารับการบวชนั้นไม่ใช่พระภิกษุณี

3. ให้พระพรหมวังโสลงลายมือในหนังสือยินยอมรับความผิด โดยหนังสือฉบับนี้จะถูกส่งไปยังสาขาของวัดหนองป่าพงทั่วโลก

ทั้ง 3 ข้อนี้ พระพรหมวังโสยอมปฏิบัติตามข้อแรกเพียงข้อเดียว ส่วนอีกสองข้อนั้นยันกรานไม่ยอมทำตามเด็ดขาด แม้ว่าจะต้องขาดจากความเป็นสาขาของวัดหนองป่าพงไปเลยก็ตาม

 

แต่อย่างไรก็ตาม สุดท้าย พระพรหมวังโส ก็ตัดสินใจเลือกเอาวัดโพธิญาณที่ตนเองดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสอยู่ รวมทั้งศรัทธาญาติโยมอีกนับพันคน ยอมที่จะตัดขาดจากวัดหนองป่าพงและสาขาทั่วโลก ซึ่งเป็นวัดที่ตนเองขอบวช โดยเฉพาะก็คือเป็นวัดของหลวงพ่อชา สุภัทโท ซึ่งพระพรหมวังโสเคารพนับถือเป็นครูบาอาจารย์ แต่นับแต่วันนี้ วัดแห่งนี้ไม่มีศิษย์ชื่อ พระพรหมวังโส อีกต่อไปแล้ว

การตัดขาดจากวัดหนองป่าพงและสาขาทั่วโลกของพระพรหมวังโสครั้งนี้ ย่อมหมายถึงว่า เป็นการตัดขาดจากคณะสงฆ์ไทยอันปกครองโดยมหาเถรสมาคมไปโดยปริยาย หมายถึงว่า พระพรหมวังโส ได้ประกาศตนเองเป็นอิสระ ไม่ขึ้นต่อคณะสงฆ์ไทยอีกต่อไปแล้ว เป็นการลาออกจากคณะสงฆ์ไทย เหมือนกรณีสันติอโศกเมื่อหลายปีที่ผ่านมานั่นเอง

 

สาเหตุเพราะ พระสงฆ์ไทย (รวมทั้งวัดหนองป่าพงและสาขาทั้งสิ้น) ไม่ยอมรับนับถือ และไม่สามารถร่วมสังฆกรรมกับพระวัดโพธิญาณ ออสเตรเลีย อีกต่อไปแล้ว

ประเด็นที่ผู้เขียนขอวิเคราะห์เสนอต่อท่านผู้อ่านก็คือ เหตุผลที่พระพรหมวังโสอ้างอิงเป็นความชอบธรรมในการทำสังฆกรรมนอกประเทศไทยของตนเองและคณะวัดโพธิญาณ คือ ท่านอ้างว่า...

กฎหมายคณะสงฆ์ไทยไม่ครอบคลุมถึงออสเตรเลีย ดังนั้น การให้อุปสมบทภิกษุณีของตนเองและคณะสงฆ์วัดโพธิญาณ จึงถือว่าถูกต้อง แต่ถามว่าถูกต้องอะไร พระพรหมวังโสก็ให้ความหมายไม่ได้ว่าถูกตามกฎหมายขอประเทศไหน ประเทศออสเตรเลียมีกฎหมายคณะสงฆ์ในพระพุทธศาสนารับรองความชอบธรรมของพระพรหมวังโสอย่างนั้นหรือ ?

 

 

พระพรหมวังโสกล่าวว่า "เห็นได้ว่าพระเถระไทยมีความเข้าใจน้อยมากเกี่ยวกับพระวินัย ในเรื่องของสังฆกรรม ยกตัวอย่างเช่น การที่จะอธิบายจนกว่าเขาจะเข้าใจในเรื่องของสังฆกรรมจากทั้งสองฝ่ายในการบวชภิกษุณีนี้ ใช้เวลานานมาก"

การที่พระพรหมวังโสนิยามความรู้ความเข้าใจในพระวินัยของพระเถระไทยว่า "น้อยมาก" จากการอธิบายอย่างยืดเยื้อยาวนานนั้น มันก็เป็นความเห็นของพระพรหมวังโสเอง โดยท่านสรุปว่า การที่ต้องอธิบายอย่างมากมายให้แก่พระเถระในสายวัดหนองป่าพงทราบถึงวิธีการบวชภิกษุณีนั้น เพราะพระเถระเหล่านั้นไม่รู้พระวินัย ผู้ที่อธิบายจนปากเปียกปากแฉะคือคนเองต่างหากเป็นผู้รู้

ตรงนี้ต้องมองอีกมุมหนึ่ง คือว่า ในเวลาประชุมนั้น มีพระหลายรูปเข้าร่วม ซึ่งแต่ละรูปก็มีคำถามในทัศนะของตน แต่คนตอบมีเพียงพระพรหมวังโสคนเดียว พระพรหมวังโสโดนพระเถระหลายรูปซักถามเป็นเวลานาน ก็เกิดความรำคาญ เลยพาลสรุปเอาว่า พระเถระพวกนี้ไม่มีความเข้าใจในเรื่องพระวินัย ไม่งั้นคงไม่ถามอย่างยืดเยื้อหรอก

แต่ความเป็นจริงแล้ว การซักถามนั้น เป็นเหมือนการสอบสวนจำเลยในท่ามกลางศาลสงฆ์ ซึ่งศาลหรือองค์คณะผู้พิพากษาย่อมจะซักถามในหลายประเด็น ประเด็นละหลายครั้ง เพื่อสอบสวนให้กระจ่าง รวมทั้งการยืนยันข้อเท็จจริงจากจำเลยว่าให้การตามเป็นจริงและไม่วกวน เป็นการทดสอบด้วยว่าจำเลยมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์หรือไม่อีกด้วย

กระบวนการยุติธรรมและเป็นธรรมต้องเป็นไปในทำนองนี้ แต่พระพรหมวังโสกลับรวบรัดตัดความเอาเองว่า "การเซ้าซี้ถามไปถามมาของพระเถระหลายรูปนั้น เป็นเพราะพระเหล่านั้นด้อยความรู้ความเข้าใจในพระวินัย" ซึ่งหมายความด้วยว่า "ตนเองมีความรู้ความเข้าใจในพระวินัยมากกว่าพระเถระในสายวัดหนองป่าพงทั้งหมด" อีกด้วย

เห็นไหมว่าคารมของพระพรหมวังโสรูปนี้ไม่ธรรมดานา ขนาดออกหนังสือธรรมะฉบับโจ๊กหลอกขายคนไทยไฮโซซื้ออ่านทั่วประเทศมาแล้ว

อธิบายอีกนิดนะ ตรงนี้นี่แหละเราจะเห็นวาระซ่อนเร้นอะไรหลายอย่างของพระพรหมวังโส คือว่า การที่พระเถระในสายวัดหนองป่าพงทั่วโลก เปิดประชุมอย่างเป็นทางการนั้น ถ้ามองด้วยใจเป็นกลางก็จะเห็นว่า เป็นการให้โอกาสแก่พระพรหมวังโสได้อธิบายในการกระทำของตนเอง เป็นความเมตตาของคณะสงฆ์วัดหนองป่าพงและสาขาทั่วโลก ไม่รวบรัดตัดสิน แม้ว่าท่านเหล่านั้นจะมีวุฒิภาวะมากกว่าพระพรหมวังโสก็ตาม

แต่การที่พระพรหมวังโสแสดงอาการอัดอัดขัดข้องต่อการถูกซักถามในท่ามกลางสงฆ์นั้น ก็บอกไปในตัวอยู่แล้วว่า พระพรหมวังโสมีเจตนาปกปิดสังฆกรรมอำพราง ซึ่งก็ปกปิดมาตั้งแต่ก่อนจะบวชภิกษุณีแล้ว ยิ่งถูกซักถามมากเท่าไหร่ พระพรหมวังโสหนีไม่ออก จำเป็นต้องบอกต้องอธิบาย เรื่องที่ไม่อยากให้ถามก็ถูกถาม ความลับก็แตก พระพรหมวังโสเลยหาทางลงอย่างทุลักทุเลด้วยการเกทับพระเถรานุเถระ รวมทั้งหลวงพ่อเลี่ยมและหลวงพ่อสุเมโธ ว่า โง่กว่าตน !

 

แสบคูณสามเลยพระฝรั่งรูปนี้

 

 

ทีนี้จะมาพูดเรื่องกฎหมายของคณะสงฆ์ไทยกับเรื่องพระธรรมวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

การที่ สมเด็จพระพุฒาจารย์ ท่านให้คำตอบแก่พระพรหมวังโสว่า "กฎหมายคณะสงฆ์ไทยไม่มีผลบังคับไกลไปถึงออสเตรเลีย" นี้ก็ถือว่าถูกต้อง เพราะพระพรหมวังโสถามเฉพาะเรื่องว่า บวชภิกษุณีที่ต่างประเทศนั้นผิดกฎหมายคณะสงฆ์ไทยไหม ?

สมเด็จพระพุฒาจารย์ท่านตอบแบบมารยาทที่สุดแล้วว่า กฎหมายคณะสงฆ์ไทยไม่สามารถบังคับใช้ในประเทศเหล่านั้นได้ ท่านไม่ได้บอกว่าผิดหรือถูก เพราะการการที่กฎหมายบังคับไปไม่ถึง จะบอกว่าผิดหรือถูกก็ผิดทั้งคู่ การตอบแบบสมเด็จพระพุฒาจารย์จึงถือว่าถูกต้องที่สุด

แต่พระพรหมวังโสกลับนำเอาคำตอบของสมเด็จพระพุฒาจารย์ไปตีความเสียใหม่ว่า "ในเมื่อกฎหมายคณะสงฆ์ไทยไม่ครอบคลุมไปถึงต่างประเทศ ถ้างั้นก็แสดงว่าเราสามารถทำการบวชภิกษุณีได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายไทย"

เห็นไหมว่าพระพรหมวังโสตั้งโจทย์ผิด โดยใช้กฎหมายไทยมาเป็นตัวตั้ง

แรกๆ ก็ตั้งว่า "กฎหมายไทยไม่มีผลในต่างประเทศ"

ต่อมาก็ตั้งว่า "การบวชในต่างประเทศไม่ผิดกฎหมายไทย"

ก็ถามว่ามันจะผิดได้อย่างไร ในเมื่อมันคนละประเทศกันน่ะ คนมีสติดีเขาถามกันอย่างนี้หรือ

คือความจริงเรื่องนี้น่ะถามได้ และคำตอบที่ถูกต้องก็ต้องเป็นดังที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ท่านตอบ

แต่ท่านไม่รู้ว่า พระพรหมวังโสมีเจตนาแอบแฝง เอาท่านไปแอบอ้างว่า "ท่านให้แนวทางว่า บวชในเมืองไทยไม่ได้ มันผิดกฎหมาย ต้องไปบวชที่ต่างประเทศถึงถูกกฎหมาย" นี่ไงที่เรียกว่าหัวหมอ

 

ขออธิบายอีกนิดว่า คนที่ไม่ละเอียดอ่อนในด้านสำนวนภาษาก็จะเข้าใจไขว้เขว ดังกรณีที่พระพรหมวังโสอ้างเข้าข้างตัวเอง เช่นว่า

 

ไม่ผิดกฎหมายไทย = ถูกกฎหมายไทย

กฎหมายไทยไปไม่ถึงออสเตรเลีย = ถูกต้องตามกฎหมายไทย

ซึ่งมันคนละเรื่อง

คำว่า "ไม่ผิด" มิได้หมายถึงว่า "ถูก"

เพราะผิดก็คือผิด ถูกก็คือถูก ไม่ผิดก็คือไม่ผิด ไม่ถูกก็คือไม่ถูก จะมาบอกว่าไม่ผิดก็คือถูกนั้นมันไม่ถูกหรอก

เพราะถ้าจะตีความว่า "ไม่ผิดก็คือถูก" ก็สามารถตีความได้เช่นกันว่า "ไม่ผิดก็คือไม่ถูก"

เพราะ "ไม่ผิด" กับ "ไม่ถูก" นั้น เป็นกึ่งกลางระหว่าง ผิด-ถูก แต่ไม่ใช่ ผิดหรือถูก

อาจจะ "ผิดก็ได้-ถูกก็ได้" แต่ไม่ใช่ว่าถูกหรือผิดไปข้างใดข้างหนึ่งเลย

เพราะถ้าไม่ผิดก็คือถูก ก็ไม่จำเป็นต้องใช้คำว่า "ไม่ผิด" แทน "ถูก"

แต่ควรใช้ "ถูก" ทุกที่ไปให้สิ้นเรื่อง

เห็นไหมว่าการตีความนั้นมันหลายนัยยะ อย่ามองมุมเดียว ประเดี๋ยวจะหลงกล

 

ทีนี้ก็จะเอาวิธีการตีความของพระพระพรหมวังโสมาประยุกต์เข้ากับกฎหมายข้ออื่นๆ เช่น

ถามอเมริกันชนว่า "การเขียนวิพากษ์วิจารณ์บุคคลในประเทศไทยนั้นผิดกฎหมายสหรัฐอเมริกาไหม"

ตอบว่า "กฎหมายสหรัฐอเมริกาไม่ครอบคลุมถึงประเทศไทย"

พระพรหมวังโสก็ตีความเอาอีกว่า "ถ้างั้นก็แสดงว่าวิพากษ์วิจารณ์ใครก็ได้ในประเทศไทย เพราะไม่ผิดกฎหมายสหรัฐอเมริกา"

การตีความกฎหมายแบบนี้ไม่มีใครเขาทำกันหรอกนอกจาก ศรีธนญชัย !

 

ในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาก็เคยมีกรณีเช่นนี้ นั่นคือ ในมหาปรินิพพานสูตร พระเจ้าอชาติศัตรูส่งวัสสการพราหมณ์ไปทูลถามพระพุทธเจ้าบนยอดเขาคิชฌกูฏ ว่า ถ้าจะโจมตีแคว้นวัชชีให้ชนะนั้นจะทำอย่างไร

พระพุทธเจ้าไม่ตอบโดยตรง แต่ได้หันไปตรัสกับพระอานนท์ว่า ตราบใดที่เจ้าวัชชีทั้งหลายยังรักษาอปริหานิยธรรมอยู่ ตราบนั้น ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถทำร้ายแคว้นวัชชีได้

ซึ่งอปริหานิยธรรมนั้นเป็นหลักธรรมว่าด้วยความสมัครสมานสามัคคีในหมู่คณะ ถ้ายังมีความสามัคคีกันอยู่ตราบใด ใครก็ทำอะไรไม่ได้ นี่คงไม่ใช่แค่แคว้นวัชชีหรอก แม้แต่แคว้นไทยแลนด์นี่ก็ตามเถิด วัสสการพราหมณ์ได้ฟังดังนั้นก็เกิดไอเดียขึ้นว่า ถ้ากระนั้นต้องทำลายความสามัคคีของพวกเจ้าวัชชี และต่อมาก็ทำสำเร็จ โดยการยุยงปลุกปั่นให้กษัตริย์ในราชสำนักพระเจ้าวัชชีแตกคอกัน ตกเป็นฝักเป็นฝ่าย สุดท้ายก็ชักน้ำลึกชักศึกเข้าเมือง เลยเสียเมืองให้แก่พระเจ้าอชาติศัตรู สิ้นชาติวัชชีไปในที่สุด

ตรงนี้มีบางคนออกความเห็นว่า พระพุทธเจ้าทรงให้นัยยะแก่วัสสการพราหมณ์ ว่าต้องทำลายความสามัคคีของกษัตริย์วัชชี ซึ่งถือว่าเป็นการปรักปรำพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธองค์มิได้ตรัสเช่นนั้น และมิได้บอกใบ้ให้ตีความด้วย

การพูดกับการตีความนั้นเป็นคนละเรื่อง

แต่สำหรับความคิดเป็นเรื่องที่ห้ามกันไม่ได้

กรณีพระพรหมวังโสนี้ก็เช่นกัน สมเด็จพระพุฒาจารย์ท่านบอกถึงขอบเขตอำนาจแห่งกฎหมายไทย ซึ่งว่าถ้าอำนาจของกฎหมายแผ่ไปไม่ถึงแล้ว คนที่มีสติปัญญาเขาก็จะไม่ถามว่าถูกหรือผิด

แต่ทีนี้ว่า เมื่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ท่านกล่าวเป็นกลางๆ ไว้เช่นนั้น กลับถูกพระพรหมวังโสนำไปบิดเบือนบอกว่า "การบวชภิกษุณีนอกประเทศไทยนั้น ไม่ขัดแย้งกับกฎของมหาเถรสมาคม"

 

กรณีตีความเข้าข้างตัวเองนี้มีในพระวินัยอีกหลายเรื่อง ยกตัวอย่าง

พระธนิยะ อ้างว่า เมื่อแรกขึ้นครองราชสมบัตินั้น พระเจ้าพิมพิสาร เจ้าเมืองมคธ ทรงประกาศว่า "บรรดาไม้และน้ำ เราได้ถวายแก่สมณพราหมณ์ทั้งหลายแล้ว ของสมณพราหมณ์ทั้งหลายจงบริโภคตามสบายเถิด" จึงนำเอาพระบรมราชโองการนี้ไปเบิกไม้ในคลังหลวงมาทำเป็นกุฏิ ครั้นภายหลังถูกจับได้ จึงนำเอาพระบรมราชโองการข้างต้นมาแก้ตัว พระเจ้าพิมพิสารจึงตรัสว่า ไม้และหญ้าที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงนั้น เป็นไม้ที่ไม่มีเจ้าของและอยู่ในป่าต่างหาก และที่ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนั้นก็เพราะเกรงว่า สมณพราหมณ์ผู้มักรังเกียจจะตะขิดตะขวางใจไม่กล้าใช้สอย จึงต้องบอกกล่าว แต่นี่พระคุณท่านกลับอ้างเลศมาเบิกเอาของหลวงไปใช้ฟรีเช่นนี้ หากเป็นสามัญชนท่านต้องถูกประหารชีวิต แต่นี่เห็นแก่ว่าทรงเพศบรรพชาและผ้าเหลือง นิมนต์พระคุณเจ้ากลับไปได้ แต่ภายหลังอย่าได้กระทำเช่นนี้อีกเป็นอันขาด

โบราณาจารย์ท่านเปรียบว่า พระธนิยะนั้นเหมือนแกะ รอดตายเพราะขน พระธนิยะมีผ้าเหลืองคุ้มหัวจึงรอดตัวไปได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทราบก็ทรงติเตียนและทรงตั้งสิกขาบทไว้ว่า ห้ามมิให้ภิกษุถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้มีราคาตั้งแต่ 5 มาสกขึ้นไป ใครฝ่าฝืนเป็นอาบัติปาราชิก

 

 

เอาละ เรื่องกฎหมายคณะสงฆ์ไทย ผู้เขียนจะขยักไว้ก่อน แต่ตอนนี้ผู้เขียนจะนำเอา "พระธรรมวินัย" มาวินิจฉัยพฤติกรรมของพระพรหมวังโส และคณะสงฆ์วัดโพธิญาณ ออสเตรเลีย

พระพรหมวังโสอ้างว่า "ถึงแม้ว่าผมจะบวชในประเทศไทย ผมเข้าใจว่า ข้อผูกมัดและพันธะของผมขึ้นอยู่กับพระธรรมวินัย ไม่ใช่ประเทศไทย" หมายความว่าไง ?

ก็หมายความว่า พระพรหมวังโสได้ตั้งโจทย์ขึ้นมาเองว่า ประเทศไทยคืออุปสรรคต่อการปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ซึ่งเป็นการตั้งโจทย์ที่ผิดอย่างแรง

เพราะถ้าหากว่าขอบเขตประเทศไทย (โดยเฉพาะก็คือกฎหมายของคณะสงฆ์ไทย) เป็นอุปสรรคต่อพระธรรมวินัยไม่สามารถปฏิบัติตามได้ ดังที่พระพรหมวังโสอ้างไว้ พระพุทธศาสนาก็คงไม่เจริญรุ่งเรืองในประเทศไทย ถึงกับทำให้ชาวอังกฤษมาขอบวชจนได้ชื่อว่า พระพรหมวังโส หรอก กลับกัน เราย่อมจะมองเห็นว่า โดยการทำนุบำรุงของพระมหากษัตริย์ไทย ประชาชนชาวไทย และรัฐบาลไทย จึงทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง และมีชาวต่างประเทศมาขอศึกษาและขอบวชในที่สุด

ประเทศไทย คณะสงฆ์ไทย รัฐบาลไทย และประชาชนชาวไทย ล้วนเกี่ยวพันเป็นหนึ่งเดียว จะแยกจากกันเหมือนพระพรหมวังโสอ้างเองเออเองนั้นหาได้ไม่

พระพรหมวังโสบอกว่า เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาแบบไทย แต่ไม่เคารพกฎหมายไทย ไม่ยอมรับกฎหมายไทย ไม่สามารถปฏิบัติตามกฎหมายไทย พูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร คนที่มาอาศัยประเทศไทย กิน ขี้ ฉี่ นอน บวช และจนได้เป็นพระราชาคณะ พูดออกมาได้อย่างไรว่ากฎหมายไทยไม่สำคัญ

เพราะกฎหมายไทย เป็นระบบที่สร้างขึ้นโดยประชาชนคนไทย อันมีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุข มีพระพุทธศาสนาเป็นที่ศรัทธามายาวนาน จะมาขอใช้บริการพระพุทธศาสนา แต่ไม่ยอมรับกฎหมายไทยซึ่งใช้ปกครองประเทศไทยนั้น คนที่มีพฤติกรรมเช่นนี้เขาเรียกว่าอะไร ?

เอาละ นั่นเป็นประเด็นส่วนตัวระหว่างพระพรหมวังโสกับประเทศไทยและกฎหมายไทย

 

 

ต่อไปเราจะไปพูดถึงสิ่งที่พระพรหมวังโสอ้างว่า "มีจิตใจผูกพัน" นั่นคือ พระธรรมวินัย

พระธรรมวินัยที่พระพรหมวังโสมีจิตใจผูกพันเป็นสากล ไม่มีขอบเขตนั้น ถามว่า เป็นพระธรรมวินัยแบบไหน แบบศรีลังกา พม่า ลาว เขมร จีน ญวน เวียตนาม เกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน อเมริกัน อังกฤษ ออสเตรเลีย หรือว่าแบบไทยๆ ?

คำตอบที่ชัดเจนก็คือ แบบไทย เพราะพระพรหมวังโสบวชในคณะสงฆ์ไทย

ถ้าพระพรหมวังโสอ้างว่า พระพุทธศาสนาเป็นสากล ไม่เกี่ยวกับประเทศไทย ไม่มีข้อจำกัดอยู่เฉพาะกฎหมายคณะสงฆ์ไทย ก็แล้วไฉนพระพรหมวังโสไม่ไปบวชที่ประเทศอื่น มาบวชกับคณะสงฆ์ไทยในประเทศไทยทำไม ถามด้วยว่า มีใครไปกราบกรานให้คุณมาบวชเป็นพระสงฆ์ไทยไม่ทราบ คุณเสนอหน้ามาเอง มาขอศึกษา ขอบวชในคณะสงฆ์ไทย แต่ภายหลังกลับตระบัดคำพูดว่า ผูกพันอยู่กับพระธรรมวินัยเท่านั้น มิได้เกี่ยวข้องกับกฎหมายไทย (ซึ่งพระสงฆ์ไทยใช้ปกครองตามพระธรรมวินัย)

ถ้าพระธรรมวินัยเป็นของสากลดังพระพรหมวังโสอ้างจริง ก็ทำไมไม่บวชเองแต่ต้น โกนหัวเอง หาหนังสือมาท่องเอง แล้วตั้งตัวเองเป็นพระสิ จะเข้าไปขอบวชต่อ สมเด็จพระพุฒาจารย์ ท่านทำไม ?

แม้แต่เรื่องภิกษุณีนี่ก็เถอะ ถ้าหากพระธรรมวินัยไม่เกี่ยวข้องกับคณะสงฆ์ไทยจริง การที่สตรีเหล่านั้นจะไปบวชที่ไหนก็ไม่สำคัญ เพราะมันไม่เกี่ยวกับคณะสงฆ์ไทย แต่การที่ใครเข้ามาอาศัยใบบุญคณะสงฆ์ไทย จนได้รับการยอมรับในระดับสากล ภายหลังกลับมาปรามาสคณะสงฆ์ไทยว่าคับแคบ หรือรู้พระธรรมวินัยน้อยกว่าตัวเอง แบบนี้ใช้ได้หรือ

ความซื่อสัตย์ซื่อตรง ต่อหลักการและอุดมการณ์ นั่นต่างหาก ที่จะเป็นหลักชี้ชัดถึงความเป็นพระและความเป็นพุทธ ไม่ใช่พุทธกะล่อน พุทธหลอกลวง หรือพุทธอีแอบ

 

หลักการที่ถูกต้องคืออะไร ?

ตรงนี้ต้องขอนำเสนอเพื่อความสมบูรณ์

คือขอบอกต่อท่านผู้อ่านเลยว่า พระพรหมวังโสนั้นโมเมเฉไฉไม่พูดให้ตรงประเด็น อ้อมแอ้มไปถามสมเด็จพระพุฒาจารย์ว่า "บวชภิกษุณีที่นอกประเทศไทยนั้นผิดกฎหมายคณะสงฆ์ไทยไหม" ซึ่งคำถามอย่างนี้ถือได้ว่าใช้ไม่ได้ ไม่ใช่คำที่สมควรถาม

คำถามที่ควรถามก็คือ ถามว่า การบวชภิกษุณีในสมัยปัจจุบันนั้น ตามหลักพระธรรมวินัยในสายเถรวาททำได้ไหม ถูกธรรมถูกวินัยหรือไม่ ?

เพราะถ้าถามเรื่องกฎหมายระหว่างประเทศ ก็ย่อมจะได้ช่องว่า "ถ้าทำที่เมืองไทยผิด แต่ทำในต่างประเทศนั้นไม่ผิด" คำว่า "ผิด-ไม่ผิด" นี้ เป็นการตีความตามขอบเขตอำนาจของกฎหมายไทย แต่ไม่ใช่การวินิจฉัยด้วยหลักการของพระธรรมวินัย เพราะถ้ายึดถือพระธรรมวินัยจริง ถ้าถูกธรรมถูกวินัยแล้วก็ย่อมถูกทุกสถานในกาลทุกเมื่อ หรือถ้าผิดธรรมผิดวินัย ไม่ว่าจะทำที่ไหนในโลกก็ผิดทั้งสิ้น เพราะพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าไม่มีเขตคั่นว่าด้วยกฎหมายหรือขอบเขตของประเทศใดๆ หรืออีกนัยหนึ่ง กฎหมายไทยไม่มีอำนาจใดๆ ที่จะไปกำหนดว่า "พระธรรมวินัยถูกหรือผิดในขอบเขตประเทศนี้เท่านั้น" เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นขอบเขตที่กำหนดไว้ในพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้ามาแต่เดิมเอง

แต่กฎหมายของคณะสงฆ์ไทยนั้น ตราขึ้นตามพระธรรมวินัย ไม่ขัดไม่แย้งกับพระธรรมวินัยสายเถรวาทที่คณะสงฆ์ไทยสังกัดอยู่ จงรู้ไว้ด้วยว่า กฎหมายคณะสงฆ์ไทยกับพระธรรมวินัยนั้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน นับถือพระพุทธศาสนาเถรวาทแบบไทยก็ย่อมหมายถึงว่ายอมรับกฎหมายคณะสงฆ์ไทย ถ้าไม่ยอมรับกฎหมายคณะสงฆ์ไทย ก็หมายถึงว่าไม่ยอมรับนับถือคณะสงฆ์ไทยสายเถรวาท เท่ากัน

ทีนี้ถ้าตีความตามแบบพระพรหมวังโสที่ว่า กฎหมายคณะสงฆ์ไทยบังคับใช้ไม่ถึงออสเตรเลีย ดังนี้ ก็ย่อมจะหมายความว่า พระพรหมวังโสบวชเป็นพระในคณะสงฆ์ไทย ภายใต้กฎหมายของไทย ก็ย่อมจะเป็นพระเฉพาะในเขตประเทศไทยเท่านั้น ออกนอกประเทศไทยไปแล้วก็ไม่ใช่พระ แม้แต่ในออสเตรเลียก็ไม่มีพระแม้แต่รูปเดียว สรุปตามความเห็นของพระพรหมวังโสก็คือว่า ตนเองไม่ใช่พระ เพราะไปอยู่ในออสเตรเลียนั้นกฎหมายไทยไปไม่ถึง ดังนั้น เมื่อพระพรหมวังโสบวชในคณะสงฆ์ไทย แต่ดันไปอยู่นอกเขตปกครองของคณะสงฆ์ไทย จะมีความเป็นพระไทยได้อย่างไร เรียกได้ก็แต่ นายพรหมวังโสเท่านั้น และเมื่อถือตามนี้ การบวชภิกษุณีของผู้ที่เรียกตัวเองว่าคณะสงฆ์วัดโพธิญาณ เมืองเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย นั้น ก็คือการเล่นปาหี่ ไม่มีผล เพราะคนที่เข้าร่วมชุมนุมทั้งหมดนั้นไม่ใช่พระ !

 

สรุปตรงนี้ก็ได้ความว่า พระพรหมวังโสนั้น ไม่มีความรู้ในเรื่องพระธรรมวินัย แต่โง่ก็ยังไม่วายอวดฉลาด อาจหาญตีตราครูบาอาจารย์ว่าโง่กว่าตน พยายามตีความเข้าข้างตัวเองว่าทำอะไรที่ออสเตรเลียไม่ผิดกฎหมายไทย ตีไปตีมาเลยกลายเป็นว่า ตัวเองขาดจากความเป็นพระตั้งแต่ออกจากประเทศไทยไปแล้ว เพราะกฎหมายคณะสงฆ์ไทยไปไม่ถึง ก็จบเห่กัน เป็นอันรู้กันว่า ที่นุ่มเหลืองห่มเหลืองอยู่เต็มวัดโพธิญาณ ออสเตรเลียนั้น ไม่ใช่พระ

 

เราไปดูวินาทีตัดสินพระธรรมวินัยของพระพรหมวังโสกันบ้างเป็นไร

พระรูปนี้เขียนไว้ว่า "อย่างไรก็ตาม มีพระเถระบางท่าน ยกประเด็นถามถึงฐานะของผู้หญิงที่ได้รับการอุปสมบทไป ผมยอมรับว่า พวกเขาจะไม่ถูกยอมรับในประเทศไทย แต่ว่าการบวชนั้นเป็นไปอย่างถูกต้อง และพวกเขาคือภิกษุณี พระเถระอีกท่านอ้างว่า การบวชนี้เป็นโมฆะ เนื่องจากทิฐิวิบัติ ซึ่งท่านได้อธิบายว่า ไม่ได้รับอนุมัติจากคณะสงฆ์วัดหนองป่าพง ใครก็แล้วแต่ที่มีความรู้เรื่องสังฆกรรมจะรู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเหลวไหล อย่างไรก็ตาม ความเห็นนั้นทำให้การประชุมตกลงให้ผมเลือกระหว่าง ถ้าอาจารย์พรหมวังโสประกาศท่ามกลางสงฆ์ว่า ผู้หญิง 4 ท่านนั้นไม่ใช่ภิกษุณี ก็จะไม่มีโทษ ถ้าไม่อย่างนั้น วัดโพธิญาณจะถูกถอดถอนออกจากความเป็นสาขาของวัดหนองป่าพง ผมหยุดไปหนึ่งนาที และก็คิดย้อนไป พิจารณาแล้วว่า ผมไม่สามารถทำผิดพระวินัยและบอกว่าพวกเขาไม่ใช่ภิกษุณีได้ และผมก็ไม่อาจจะขัดความปรารถนาของคณะสงฆ์วัดโพธิญาณและโยมเป็นพันคน ที่สนับสนุนการบวชภิกษุณี ผมเลยปฏิเสธ"

นั่นแหละคือฟางเส้นสุดท้ายระหว่างวัดในเครือหลวงพ่อชากับวัดโพธิญาณ ซึ่งขาดสะบั้นไปในวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ.2552

 

ในการประชุมครั้งนี้มีความเห็นแตกต่างกัน ดังนี้

คณะสงฆ์เห็นว่า การบวชภิกษุณีของพระสงฆ์วัดโพธิญาณโดยมีพระพรหมวังโสเป็นอุปัชฌาย์นั้น ผิดพระวินัย เพราะใช้ภิกษุณีต่างนิกายมาทำการอุปสมบท ผสมกับพระสงฆ์ในสายเถรวาท โดยไม่ผ่านการยอมรับของคณะสงฆ์อีกต่างหากด้วย

แต่พระพรหมวังโสกลับเห็นว่า ตนเองทำถูกแล้ว

เป็น 1 เสียง ต่อ 159 เสียง

ยืนยันว่า "ตัวเองถูก" ในขณะที่เสียงส่วนใหญ่ 159 เสียงนั้น วินิจฉัยว่าผิด

ผิดทั้งด้านพระธรรมวินัย ผิดทั้งด้านจริยาพระสังฆาธิการ เหมือนๆ กับข้าราชการทำผิดระเบียบวินัยฉะนั้น แต่ 1 ต่อ 159 เสียงที่เถียงหัวชนฝาของพระพรหมวังโสนั้นคงจะถูกกฎหมายออสเตรเลียละกระมัง จึงภูมิใจนักหนาว่าตนเองทำถูก

พระพรหมวังโสดึงดันหัวชนฝา เพราะรู้อยู่แก่ใจว่า ยังไงเสียคณะสงฆ์ไทยก็ไม่มีปัญญาไปไล่จับภิกษุณี 4 รูปนั้นสึก เพราะอยู่คนละประเทศ ขืนไปจับสึกจริง พระสงฆ์ไทยเสียอีกที่จะผิดกฎหมายออสเตรเลีย ข้อหาละเมิดสิทธิส่วนบุคคล

ดังนั้น เมื่อพระพรหมวังโส คำนึงถึงฐานเสียงต่างแดน ดันได้แก่ พระสงฆ์วัดโพธิญาณ ซึ่งตกชะตากรรมร่วมกันหรือโดนข้อหาเดียวกัน รวมทั้งญาติโยมในออสเตรเลียอีกประมาณ 1,000 คน ซึ่งถ้าหากพระพรหมวังโสยินยอมน้อมรับความผิด ก็จะต้องสูญเสียฐานที่มั่นในออสเตรเลียรวมทั้งการสนับสนุนจากญาติโยม 1,000 คนนั้น คิดสะระตะดังนั้น พระพรหมวังโส จึงตัดสินใจไม่ยอมรับผิด

 

เป็นการตัดสินอิงผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นสำคัญ

ไม่ใช่เรื่องพระธรรมวินัย !

 

พระพรหมวังโสยอมแลกระหว่าง

ครู อุปัชฌาย์ อาจารย์ และพระร่วมสำนักทั่วโลกมากมายถึง 159 เสียง กับผลประโยชน์ในอาณาจักรส่วนตัวที่ออสเตรเลีย จึงสร้างอภิมหากาพย์ ประกาศให้โลกทราบว่า 1 เสียง ของตนเองนั้น ถูก ขณะที่ 159 เสียงของคณะสงฆ์นั้น ผิด

 

และเรื่องนี้ก็มีตัวอย่าง

กรณีพระอานนท์ถูกปรับอาบัติในหลังพุทธกาล ข้อหาที่ท่านได้รับก็คือ

1. เอาเท้าคีบชุนจีวรพระสุคต ซึ่งเป็นการไม่แสดงความเคารพ

2. ให้ผู้หญิงเข้าสักการะพระพุทธสรีระ จนน้ำตาเปื้อนพระพุทธสรีระ

3. ขวนขวายให้สตรีเพศได้เป็นภิกษุณี (กรณีพระนางโคตมี)

4. ไม่ทูลถามพระศาสดาว่าสิกขาบทเล็กๆ น้อยๆ (ขุททกาขุททกสิกขาบท) ที่ทรงมีพระวาจาอนุญาติให้เพิกถอนได้นั้นมีอะไรบ้าง

ทั้ง 4 ข้อนี้ พระอานนท์ท่านอธิบายเป็นรายข้อ ท่านบอกว่า บางอย่างถูกสถานการณ์บังคับ เช่นเวลานั้นมืดค่ำแล้ว เกรงว่าสตรีมารอสักการะพระบรมศพจนดึกดื่นก็จะเป็นอันตรายในเวลากลับ จึงอนุญาตให้เข้าไปสักการะพระบรมศพก่อน เรื่องพระนางโคตมีนั้นท่านยอมรับว่าทำจริง ข้อแรกก็เช่นกัน ส่วนข้อสุดท้ายนั้นท่านยอมรับว่า เวลานั้นสับสน เพราะพระพุทธเจ้าใกล้จะปรินิพพาน ทำให้ตนเองไม่มีสติพอที่จะซักถามว่าสิกขาบทเล็กน้อยนั้นคืออะไร ทั้งหมดนี้พระอานนท์เข้าใจว่าท่านไม่ผิด แต่เพราะเคารพมติสงฆ์ เมื่อพระสงฆ์เห็นว่าผิด ท่านก็ขอยอมรับผิด ด้วยความเคารพสงฆ์

 

เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นขณะที่พระอานนท์บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว

ขนาดอรหันต์ยังยอมรับมติสงฆ์ว่าผิด เหตุผลคือ เคารพมติสงฆ์

แต่พระพรหมวังโสเป็นเพียงปุถุชน กลับดันทุรังหัวชนฝา ไม่เคารพมติสงฆ์

 

ถ้าถามแบบนักเลงหน่อยก็อาจจะต้องพูดว่า Who are you ?

 

แต่แม้ว่าพระพรหมวังโสและคณะจะถูกขับออกจากคณะสงฆ์สายวัดหนองป่าพงและการดูแลของคณะสงฆ์ไทยแล้วก็ตาม พระพรหมวังโสก็ยังดันทุรังอยู่ตลอดมาว่า "ผมบอกได้ว่า การตัดสินใจนี้ไม่เกี่ยวกับการที่เรื่องนี้เป็นความลับหรืออย่างไร แต่ว่าเกี่ยวกับการบวชที่เกิดขึ้น ผลตัดสินถอดถอนวัดโพธิญาณจากความเป็นสาขาของวัดหนองป่าพง มีแค่เหตุเดียว คือการที่ผมไม่ยอมกล่าวว่า การบวชเป็นโมฆะ"

คำสุดท้ายนี้แหละ ที่แสดงถึงการ "ตระบัดสัตย์" อย่างแรงของพระพรหมวังโส เพราะพระพรหมวังโสสมอ้างเอาเองว่า พระเถรานุเถระที่เข้าประชุมในวันนั้น ยอมรับการทำสังฆกรรมว่าถูกต้อง แต่ต้องการเพียงให้พระพรหมวังโสปฏิเสธสถานภาพความเป็นภิกษุณีของสตรีทั้ง 4 ท่านเท่านั้น นอกนั้นไม่มีอะไร

ถามว่าเป็นจริงหรือ ?

ก็การที่คณะสงฆ์วัดหนองป่าพง ลงมติให้พระพรหมวังโสเลือกเอา ระหว่างว่าจะยอมระบุว่าสตรีทั้ง 4 ไม่ใช่ภิกษุณี กับการถูกขับไล่จากคณะสงฆ์นั้น ข้อแรกนั้น ย่อมหมายถึงว่า คณะสงฆ์วัดหนองป่าพงไม่ยอมรับการทำสังฆกรรมของพระสงฆ์วัดโพธิญาณที่มีพระพรหมวังโสเป็นประธานต่างหาก เพราะถ้าหากว่าคณะสงฆ์ท่านยอมรับการทำสังฆกรรมแล้ว ท่านจะมาคาดคั้นให้พูดว่าเป็นโมฆะไปทำไม

เพราะสาระสำคัญที่ท่านให้พระพรหมวังโสยอมรับว่าสตรีทั้ง 4 ไม่ใช่ภิกษุณีนั้น ก็คือการให้พระพรหมวังโสยอมรับการว่าการทำสังฆกรรมครั้งนี้ไม่มีผล คือเป็นโมฆะนั่นเอง ทำเป็นโง่ไปได้

เหล่านี้แหละคือประเด็นทั้งทางกฎหมายและพระธรรมวินัย ที่ผู้เขียนได้นำเสนอในวันนี้

 

 

จากเรื่องราวที่นำเสนอทั้งหมดนี้ ชี้ให้เห็นว่า พระพรหมวังโสเป็นคนเช่นไร ?

1. มาขอบวชในคณะสงฆ์ไทย แต่ไม่ยอมรับการปกครองของคณะสงฆ์ไทย

2. หลอกถามสมเด็จพระพุฒาจารย์ ซึ่งสมเด็จฯ ท่านตอบแบบมีภูมิ แต่ก็ยังมิวายเอาท่านไปแอบอ้าง ซึ่งสมเด็จพระพุฒาจารย์ต้องออกมาปฏิเสธว่า "ที่พระพรหมวังโสอ้างไปนั้นไม่ถูกต้อง"

3. รู้อยู่ว่าพระพุทธศาสนาในประเทศไทย เป็นผลผลิตของคณะสงฆ์ไทย ซึ่งได้รับพระบรมราชูปถัมภ์จากสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย และได้รับความคุ้มครองจากรัฐบาลไทย ทั้งได้รับการสนับสนุนจากพุทธศาสนิกชนชาวไทย โดยมีการตราพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ไทยโดยเฉพาะ เมื่อปี พ.ศ.2505 พระพรหมวังโสแรกนั้นทียอมรับกฎหมายคณะสงฆ์ไทย แต่พอไปถึงออสเตรเลียก็ตระบัดสัตย์ ทั้งนี้โดยอาศัยเหตุที่ว่า ขอบเขตของกฎหมายไทยบังคับไปไม่ถึงออสเตรเลีย แต่การไม่ยอมรับนั้นเป็นเรื่องส่วนตัว ซึ่งถ้าพระพรหมวังโสซื่อสัตย์ซื่อตรงต่อหลักการอันดีแล้ว ควรที่จะลาออกจากคณะสงฆ์ไทยเสียก่อน แล้วจะทำอย่างไรก็ไม่มีใครว่า แต่นี่เวลามาประเทศไทย อะไรๆ ก็เอาหมด เอาแม้กระทั่งเจ้าคุณ พอไปถึงออสเตรเลียกลับบอกว่า ผมไม่เกี่ยวกับประเทศไทย

4. นอกจากจะทำปู้ยี่ปู้ยำกับคณะสงฆ์ไทยในด้านกฎหมายแล้ว ด้านพระธรรมวินัย พระพรหมวังโสก็ยังยโสโอหัง ประกาศว่า "พระเถระที่เข้าประชุม (รวมทั้งหลวงพ่อเลี่ยมและหลวงพ่อสุเมโธ) มีความรู้ในพระวินัยน้อย และน้อยกว่าตน"

5. เมื่อจะตัดสินใจว่าจะเลือกอะไร ระหว่าง พระธรรมวินัย+หมู่คณะ+อุปัชฌาย์อาจารย์ กับการถูกขับไล่ออกไปจากหมู่คณะผู้ถือพระธรรมวินัยเป็นหลัก พระพรหมวังโสกลับเลือกเอา วัดโพธิญาณ+กำลังสนับสนุนจากญาติโยมชาวออสเตรเลียอีก 1,000 คน เป็นเหตุผลตัดสนใจ "แตกหัก" จากต้นสังกัดเดิม

 

ก็เลยเข้าอีหรอบ "สละพระธรรมวินัยเพื่อรักษาตัวเอง"

ดังหลวงพ่อประยุทธเคยกล่าวไว้อีกกรณีหนึ่ง

 

เรื่องพระพรหมวังโสนี้ ถ้ามองในแง่ของสิทธิสตรีเพศ ซึ่งกำลังเบ่งบานอยู่ทั่วโลกในเวลานี้ ก็ย่อมจะเปิดโอกาสให้พระพรหมวังโสกลายเป็นฮีโร่ระดับโลก ซึ่งพระพรหมวังโสก็คงเห็นโอกาสเงินโอกาสทองเช่นนั้น จึงตัดสินใจแหกกฎ-แอบบวชให้สตรีไปดังกล่าว หนำซ้ำ เมื่อกระทำการลงไปแล้ว น่าที่พระพรหมวังโสจะใช้วิธีการอันละมุนละม่อมในการชี้แจงแถลงไขให้คณะสงฆ์และสาธารณชนได้รับทราบ ตามแบบฉบับของนักบุญที่ดี แต่พระพรหมวังโสกลับอหังการ-มมังการ แอบอ้างและกล่าวตู่ว่าประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ทรงชี้ช่องให้ทำสังฆกรรมบวชภิกษุณีนอกราชอาณาจักรไทย ประกาศไม่ยอมรับกฎหมายไทย ไม่ให้คุณค่าในความเป็นพระราชาคณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว องค์พระประมุขของชาติไทย ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเมตตาพระราชทานให้ รวมทั้งยังดูหมิ่นเหยียดหยามพระเถรานุเถระร่วมสำนักสายวัดหนองป่าพงทั่วโลกว่าโง่เง่ากว่าตน มีความรู้ในพระธรรมวินัยน้อยกว่าตน ยังมินับพฤติกรรมโกหกหลอกลวงปลิ้นปล้อนในอดีตอีกสารพัด โกหกแม้กระทั่งขณะนั่งอยู่ในท่ามกลางคณะสงฆ์ในวัดหนองป่าพงซึ่งเป็นสถานที่หลวงพ่อชาละสังขาร

ประมวลเหตุและผลตามหลักฐานที่ประจักษ์ชัดเจนเช่นนั้น น่าที่พระพรหมวังโสจะประกาศตัวเองเป็นนักบุญ แต่กลับกลายเป็นการประจานตัวเองว่าเป็น ซาตาน เป็นผู้ฉวยโอกาสทุกอย่างประดามีในโลกนี้ ย่ำยีทุกอย่างเพื่อสนองความอยากของตน ไม่แยแสแม้แต่พ่อและแม่ผู้บังเกิดเกล้า

 

คนเช่น พระพรหมวังโส นี้ พระบาลีเรียกว่า โมฆบุรุษ

เป็นคนที่ไม่มีค่าในสายตาของผู้เขียนเลย

 

สมควรแล้ว ที่พระสงฆ์ไทยและพระเถรานุเถระในสายวัดหนองป่าพงทั่วโลกลงมติ "อเปหิ" ขับไสไล่ส่งพ้นคณะสงฆ์ไทย

 

Get out !

   


พระมหานรินทร์ นรินฺโท
วัดไทย ลาสเวกัส รัฐเนวาด้า สหรัฐอเมริกา
20
ธันวาคม 2552
7
:15 P.M. Pacific Time.

 

 

 
E-Mail ถึง บก.
peesang2003@hotmail.com

All Right Reserved @ 2003
This Website Sponsored by

 

alittlebuddha.com  วัดไทย ลาสเวกัส 2920 McLeod Dr. Las Vegas Nevada 89121 USA (702) 384-2264