เป็นข่าวสด ๆ ร้อน ๆ รายงานแบบร้อนอกร้อนใจทันทีทันใด
เมื่อได้อ่านข่าวยังไม่ทันจบก็มีกะใจจะรายงานแฟน ๆ เวปนี้แล้ว
ข่าวดังกล่าวคือ "ย้ายที่ตั้งมหาเถรสมาคมไปยังบริเวณพุทธมณฑล"
ซึ่งมีข่าวมานานแล้วตั้งแต่มีสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นเอกราช
เอ๊ย เป็นอิสระ ไม่ต้องเป็นกินศาสนา เอ๊ย กรมการศาสนา
อาศัยชายคากระทรวงศึกษาธิการอยู่เหมือนกินน้ำใต้ศอกมาเนิ่นนาน แนวไอเดียนั้น
ทีแรกก็คิดกันไม่ออก คือพระสงฆ์ก็คิดแต่จะแยกตัวออกไปปกครองตนเอง
แต่กฎหมายยังไม่เอื้ออำนวย ก็จึงขอเป็นเอกเทศจากกระทรวงศึกษาธิการก่อน
ถ้าไม่ได้ก็จะขอเป็นกระทรวงพระพุทธศาสนา
จะหาพระมาเป็นรัฐมนตรีเป็นองค์แรกในประวัติศาสตร์ซะเลย
โดนขู่เข้าแบบนี้
รัฐบาลและรัฐสภาก็ยินยอมพร้อมใจให้พระสงฆ์ไทยไปตั้งสำนักใหม่อยู่ได้
แต่ก็ต้องขึ้นตรงต่อสำนักนายกรัฐมนตรี
ถ้านายกไม่อยากคุมพระก็อาจจะหารองนายกหรือรัฐมนตรีช่วยท่านอื่นมาคุมพระแทน
และแล้วเราก็ได้นายวิษณุ เครืองาม
มาเป็นผู้ควบคุมสำนักงานพระพุทธศาสนาแบบที่เรียกว่า
"ไดเร็กซ์"
เป็นคนแรก ก็โก้เก๋ดีกว่ายุคก่อน ๆ
ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการมักจะมอบงาน
"กรมการศาสนา"
ให้แก่รัฐมนตรีช่วย ซึ่งไม่มีอำนาจต่อรองในทางการเมือง
ให้เป็นผู้กำกับดูแล นอกนั้นก็ปล่อยให้พวกกรมกิน เอ๊ย
กรมการศาสนาดำเนินงานตลอดไป
กรมการศาสนานั้น แต่ไหนแต่ไรมาก็ตั้งอยู่บนตึก ๆ
หนึ่งในบริเวณกระทรวงศึกษาธิการ
เป็นสถานที่ที่พระสงฆ์ไทยคุ้นเคยกว่าวัดพระแก้วเสียอีก
เพราะขึ้นง่ายลงง่าย แต่ต่อมา
เมื่อมีสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติขึ้นมาแล้ว เป็นการประกาศเจตนารมย์ของพระสงฆ์ไทยว่า
"จะไม่ขออยู่ภายใต้ชายคากระทรวงศึกษาธิการอีกต่อไป" ดังนั้น
เมื่อได้สำนักงานพระพุทธศาสนาสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีขึ้นมาจริง ๆ
ก็จำต้องย้ายบ้านหนี ไม่งั้นก็ต้องอายโยม นี่แหละที่ทำให้เกิดไอเดียหาที่อยู่ใหม่ของพระสงฆ์ไทย
สุดท้ายก็มาสะดุดตาบนทำเลทอง นั่นคือพุทธมณฑล เพราะที่ว่างยังมีอีกเยอะ
พุทธมณฑลสร้างขึ้นมาโดยเจตนาของรัฐบาลและคณะสงฆ์รวมทั้งประชาชนคนไทยที่นับถือพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
เรื่องก็มาแต่คัมภีร์อรรถกถาที่ว่า เมื่อพระนางปชาบดีโคตมี
พระแม่น้าขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงผนวชเป็นพระภิกษุณีเป็นรูปแรกในประวัติศาสตร์สตรีโลกแล้วนั้น
พระพุทธองค์ตรัสพยากรณ์ว่า "ถ้าหากสตรีจักไม่ออกบวชในพระศาสนานี้
พระสัทธรรมจะดำรงอยู่นานถึงพันปี แต่บัดนี้ เมื่อมีภิกษุณีแล้ว
สัทธรรมจักดำรงอยู่ได้เพียง 500 ปีเท่านั้น" แต่ต่อมาภายหลัง
พระอรรถกถาจารย์ก็กลัวว่าพระธรรมวินัยจะเสื่อมตามคำพยากรณ์
จึงเสริมเติมแต่งเข้าไปว่า ที่ว่าพระสัทธรรมจะดำรงอยู่ได้แค่ 500
ปีนั้น เป็นการพยากรณ์ภูมิพระอรหันต์เท่านั้น หลังจากห้าร้อยปีแล้วนั้น
ยังจะมีพระพุทธศาสนาอยู่ แต่ผู้บรรลุธรรมขั้นพระอรหันต์จะไม่มี
ถ้าจะมีก็เป็นขั้นต่ำกว่านั้น ได้แก่พระอนาคามีลงมา
และการบรรลุธรรมของมนุษย์ก็จะสิ้นสุดลงไปเรื่อย ๆ
ลดภูมิธรรมลงจากพระอนาคามี ก็เหลือแต่พระสกิทาคามี พระโสดาบัน
จนกระทั่งเป็นกัลยาณปุถุชน คือคนสามัญผู้มีศีลธรรมเท่านั้น
จำนวนวันเดือนปีเหล่านี้ ท่านคำนวนลงตัวที่อายุพระพุทธศาสนาได้ 5000
ปีพอดี ปีที่ห้าพันนั้น แม้สัญญลักษณ์ของพระพุทธศาสนาก็จะเหลือแต่เพียงผ้าเหลืองห้อยหู
แต่คนก็รู้ว่า คือพระภิกษุในบวรพระพุทธศาสนา
แม้จะมีลูกมีเมียแบบสามัญชนคนทั่วไปก็ตาม จากนั้นก็จะเข้ากลียุค
เป็นยุคที่ไร้พระพุทธเจ้ามาอุบัติ ศาสนธรรมก็ไม่มี
ผู้คนก็คงจะหันไปถือผีถือเจ้าเข้าทรงเหมือนเก่า ต้องรอให้มนุษย์มีอายุ
80000 ปี (แปดหมื่นปี) อีกครั้งหนึ่ง
จึงจะมีพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่มาเกิดเพื่อโปรดสัตว์โลก นั่นคือ
พระศรีอริยะเมตไตรย์ ใครอยากเกิดในยุคนั้นก็ต้องอดใจรอมากหน่อย
ทีนี้ เมื่อมีคำพยากรณ์ขยายความว่า
"อายุพระพุทธศาสนาจะสิ้นสุดลงใน พ.ศ. 5000"
เช่นนี้แล้ว
เมื่อมาถึงปีที่ 2500 หลังพุทธปรินิพพาน
ก็นับเป็นกึ่งกลางระหว่างอายุของพระพุทธศาสนาพอดี
ประเทศในแถบถิ่นบ้านเรา เช่น ศรีลังกา พม่า ลาว เขมร และไทย
ต่างก็ดีใจที่พระพุทธศาสนาอยู่มาได้ครึ่งอายุแล้ว
จึงจัดงานฉลองอายุพระพุทธศาสนาเสียใหญ่โต
พม่าทำการสังคายนาพระไตรปิฎก
สร้างถ้ำสัตตบรรณคูหาจำลองเหมือนในปี พ.ศ. 1
ส่วนไทยเรานั้นก็ไม่น้อยหน้า รัฐบาลไทยสมัยนั้น
อยากจะทำประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาแห่งโลกกับเขามั่ง
จึงทำการเวนคืนที่ดินในท้องที่จังหวัดนครปฐม ได้เนื้อที่มา 2500 ไร่
เท่ากับจำนวน พ.ศ. พอดี แล้วก็บรรจงสร้างเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนา
จำลองเอาสังเวชนียสถานทั้งสี่ในอินเดียมาไว้พร้อมสรรพ
สร้างที่พำนักสมเด็จพระสังฆราช
พระพุทธรูปองค์ประธานก็จำลองแบบมาจากพระลีลาศิลปะสุโขทัย
มอบให้ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ชาวอิตาลี-ไทย
ซึ่งเป็นปรมาจารย์ด้านนี้เป็นผู้ออกแบบปั้นหุ่น
สถานที่แห่งนั้นตั้งชื่อว่า พุทธมณฑล
ตามที่กล่าวมานี้ แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลไทยในสมัยนั้น
ต้องการให้พุทธมณฑลเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาของประเทศไทย
มุ่งหมายจะให้พระสงฆ์ไทยใช้เป็นศูนย์รวมในการจัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา
แบบศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
โดยไม่ต้องไปเช่าโรงแรมอื่นใดให้เสียเงินทอง ซึ่งนับว่าเป็นไอเดียอันประเสริฐ
แต่พระสงฆ์ไทยส่วนใหญ่กลับไม่รู้ความหมาย ถึงวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
เช่น วันวิสาขบูชา วันมาฆบูชา วันอาสาฬหบูชา วันอัฏฐมีบูชา เป็นต้น
น่าจะระดมพลกันมาทำกิจกรรมทางศาสนาที่พุทธมณฑล แต่กลับไม่มีใครทำ
ปล่อยให้รัฐบาลตั้งเจ้าหน้าที่และงบประมาณไว้อภิบาลไปวัน ๆ
ส่วนพระสงฆ์ไทยตั้งแต่สมเด็จพระราชาคณะลงมานั้นก็จัดกิจกรรมภายในวัดของตนเอง
ขายดอกไม้ธูปเทียนให้แก่คนที่มาวัดของตน พุทธมณฑลจึงมีก็เหมือนไม่มี
เพราะพระเราไม่มีหัว
ตามความเป็นจริงแล้ว เมื่อสิ้นกรุงศรีอยุธยา
เวลาบ้านเมืองถูกตีแตกนั้น พระสงฆ์ในกรุงศรีอยุธยาซึ่งมีมากถึง 3 นิกาย
ต่างหนีตายไปแบบลืมนิกายหมด ครั้นพระเจ้าตากสินกู้กรุงศรีคืนมาได้แล้ว
ทรงนิมนต์พระสงฆ์มาอยู่ร่วมกันอีกครั้ง คราวนี้พระสงฆ์ก็เอาเรื่อง
"นิกาย" กลับมาไว้ในกรุงธนบุรีขึ้น มีหลักฐานยืนยันว่า
ในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีนั้น
พระสงฆ์ไทยแตกแยกออกเป็นสามฝ่ายเหมือนในสมัยอยุธยา
เวลานั้นมีปัญหาให้วินิจฉัยว่า "คฤหัสถ์แม้จะยังครองเรือน
แต่ถ้าสามารถบรรลุธรรมเช่นพระโสดาปัตติผลได้
จะถือว่าเป็นผู้ประเสริฐกว่าพระภิกษุสามเณรสามัญคือที่ยังไม่ได้บรรลุธรรมหรือไม่
ถ้าถือว่าเป็นผู้ประเสริฐกว่า ก็แสดงว่า
พระภิกษุสามเณรสามัญควรจะทำการกราบไหว้เคารพคฤหัสถ์โสดาบันเป็นต้นนั้น
ได้หรือมิได้ประการใด"
คราวนี้พระสงฆ์ไทยแตกความเห็นออกเป็น 3
ก๊ก ก๊กแรกบอกว่า
"ไม่ด้าย ไม่ได้ เป็นไปไม่ได้
เพราะถึงอย่างไรคฤหัสถ์ก็ยังคงเป็นคฤหัสถ์
ไม่เคยครองผ้ากาสาวพัสตร์อันเป็นธงชัยแห่งพระอรหันต์
การจะให้พระสงฆ์กราบไว้ชาวบ้านที่บรรลุธรรมสูงกว่าจึงเป็นไปไม่ได้"
กองแรกนี้มีสมเด็จพระสังฆราช (ศรี) วัดระฆังโฆสิตาราม ฝั่งพระนคร
(คือนครธนบุรี ซึ่งมีสถานภาพเป็นเมืองหลวงในขณะนั้น) เป็นหัวหน้า
ก๊กที่ 2 มีพระโพธิวงศ์วัดหงส์รัตนารามเป็นหัวโจก
ได้อธิบายความหมายของคำถามข้างต้นนี้ว่า
"ปัญหาเขาถามเรื่องมรรคเรื่องผล
ว่ามีผลต่อสถานภาพสูงต่ำอย่างใดหรือไม่" แล้วก็ลงมติว่า
"ถ้าหากคฤหัสถ์มีภูมิธรรมสูงกว่าพระภิกษุสามเณรแล้วไซร้
ก็ให้พระภิกษุสามเณรกราบไว้คฤหัสถ์ได้" ส่วนก๊กสุดท้ายนั้นแทงกั๊ก
คือจะว่าไหว้ก็ได้ ไม่ไหว้ก็ได้ สุดท้ายเสียงข้างมากก็ชนะ
สมเด็จพระสังฆราช (ศรี)
วัดระฆังโดนปลดให้ไปขนอาจมที่วัดหงส์แถมยังโดนเฆี่ยนหลังอีกรูปละ 50 ที
แล้วพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงยกพระโพธิวงศ์วัดหงษ์ขึ้นเป็นสังฆราชแทน
ประวัติศาสตร์ตรงนี้จารึกไว้ว่า
เป็นเหตุแห่งการสูญเสียอำนาจของพระเจ้าตากสินมหาราชด้วย
เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก
หรือเจ้าพระยาจักรี
ปราบดาภิเษกราชวงศ์จักรีขึ้นมาใหม่นั้น
ขั้นแรกก็ทรงรำงับดับความวุ่นวายในสังฆมณฑล ทรงนิมนต์สมเด็จพระสังฆราช
(พระโพธิวงศ์) วัดหงส์ลงไปเป็นพระธรรมธีรราชมหามุนี
แล้วทรงยกอดีตสมเด็จพระสังฆราช (ศรี)
ที่โดนปลดไปนั้นกลับคืนดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชดังเดิม
จากนั้นทรงเริมปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนาเสียใหม่
ให้มีเพียงนิกายเดียว และการจะมีนิกายเดียวได้นั้นก็ต้องดำเนินการหลายขั้น
นั่นคือ ต้องไม่ให้มีพระสังฆราชเกินหนึ่งพระองค์ในเวลาเดียวกัน ไม่งั้นยุ่ง
ต่อมาก็ต้องให้มีกองบัญชาการกลางของคณะสงฆ์เหมือนทำเนียบรัฐบาล
ทรงเลือกเอาวัดสลักเก่าซึ่งตั้งอยู่ในทิศเหนือของพระบรมมหาราชวังนั้น
ยกขึ้นเป็นวัดพระศรีสรรเพชร (ปัจจุบันคือวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์)
ทรงสร้างตำหนักสมเด็จพระสังฆราชขึ้น
แล้วโปรดอาราธนาให้สมเด็จพระสังฆราช เสด็จมาประทับ ณ วัดพระศรีสรรเพชร
จึงปรากฏว่า ในกาลต่อมา เมื่อสมเด็จพระสังฆราชสิ้นพระชนม์แล้ว
ทรงมีพระบรมราชโองการตั้งสมเด็จพระราชาคณะรูปใดขึ้นดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช
ก็ทรงโปรดให้อาราธนาให้เสด็จมาประจำ ณ วัดพระศรีสรรเพชรทุกพระองค์
มีงานแห่สมเด็จพระสังฆราชที่ยิ่งใหญ่มาก
ครั้นถึงรัชกาลที่ 4 ก็เริ่มมีปัญหา เมื่อเจ้าฟ้ามงกุฏเสด็จออกผนวชได้ไม่กี่วัน
สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระราชบิดาก็เสด็จสวรรคต
เจ้าฟ้าเจษฎาบดินทร์ได้ราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ 3 แทนเจ้าฟ้ามงกุฏซึ่งประสูติแต่พระอัครมเหสี
เจ้าฟ้ามงกุฏจึงจำต้องบวชเพื่อลี้ภัยการเมืองอยู่นานถึง 27 ปี
ในช่วงนี้ทรงไปเลื่อมใสในรีตพระมอญ วัดลิงขบ (ปัจจุบันคือวัดบวรมงคล)
ถึงกับทรงทำการผนวชซ้ำโดยไม่สึกเสียก่อน บนแพในแม่น้ำเจ้าพระยาหน้าวัดราชาธิวาส
การกระทำเช่นนี้ธรรมยุตเรียกว่า "ทัฬหีกรรม" แปลว่า ทำให้แน่นหนา
มั่นคง และทรงกระทำหลาย ๆ ครั้ง เพื่อความมั่นใจในการบวช
!
เมื่อสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงสวรรคตในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2394 นั้น วันรุ่งขึ้น
พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฏได้เสด็จปริวัตรสึกออกมาเสวยราชสมบัติ เฉลิมพระนาม
"พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" รัชกาลที่ 4 แห่งราชวงศ์จักรี
ช่วงนี้มีปัญหาหลายฝ่าย โดยเฉพาะภัยคุกคามจากประเทศทางตะวันตก ได้แก่
อังกฤษและฝรั่งเศษ
เป็นเหตุให้สมเด็จพระจอมเกล้าต้องหาหนทางสร้างชาติไทยให้แข็งแกร่ง
ปัจจุบันมีคนแย้งว่า แม้กระทั่งแท่นมนังคศิลาที่อ้างว่าเป็นที่ประทับนั่งของพ่อขุนรามคำแหงนั้น
ก็พระจอมเกล้าเป็นผู้สร้างขึ้น
ศิลาจารึกหลักที่หนึ่งก็เป็นฝีพระหัตถ์ของพระจอมเกล้าจอมปราชญ์ของไทยเรานี่เอง
ลายสือไทยจึงไม่ใช่ผลงานการสร้างของพ่อขุนราม แต่พ่อขุนรามตัวจริงก็คือ
สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นผู้สร้างชาติไทยขึ้นไว้ เพื่อต่อกรกับชาติอังกฤษและฝรั่งเศษ
จริงหรือไม่ก็ไม่รู้
รู้แต่ว่า สมเด็จพระจอมเกล้านั้นทรงผนวชยาวนานมากถึง 27
ปี เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์นั้นทรงมีพระชันษาถึง 47 ปีแล้ว
ทีนี้เมื่อทรงเป็นทิด ก็ย่อมติดกลิ่นอายผ้าเหลืองไปถึงในวัง
ใครไม่เชื่อก็ลองไปฟัง ส.ส. อดีตมหาเปรียญอภิปรายในรัฐสภาสิ
ไม่ต่างกับพระเทศนาเท่าใดเลย พระจอมเกล้าทรงพิจารณาเห็นว่า
อันกิจการบ้านเมืองในเวลานั้น ผู้มีอิทธิพลส่วนใหญ่ก็คือพระสงฆ์
เพราะชาวบ้านเชื่อพระพอ ๆ กับเจ้า
แต่พระสงฆ์ไทยเรานั้นก็หมกมุ่นแต่สักเสกเลขยันต์ ไม่ทันสมัย สู้มิชชั่นนารีชาวอังกฤษและอเมริกันไม่ได้
พวกหมอบลัดเล่ย์เอาแท่นพิมพ์มาพิมพ์หนังสือขายจำหน่ายจนรวย
แต่พระไทยเล่นจารไว้ในใบลาน คงไม่ทันการณ์ถ้าไม่ปฏิรูปคณะสงฆ์
สรุปก็คือว่า คณะสงฆ์ไทยเป็นปัญหาในการพัฒนาประเทศแบบใหม่
สมเด็จพระจอมเกล้าจึงทรงมุ่งมั่นในการปฏิรูปคณะสงฆ์
โดยพยายามจะเปลี่ยนพระสงฆ์ไทยให้เป็นธรรมยุติเสียให้หมด
แต่ถูกต่อต้านอย่างหนัก ทั้งจากเชื้อพระวงศ์และพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์
งานปฏิรูปคณะสงฆ์จึงล้มเหลว
คณะธรรมยุติที่ทรงตั้งขึ้นมาก็ทรงเข็นไปได้แค่มีตำแหน่งสูงกว่าพระนิกายเก่าเท่านั้น
ถ้านับจำนวนแล้วก็สู้เขาไม่ได้
ทีนี้ เมื่อเคยมีประเพณีแห่สมเด็จพระสังฆราชไปประทับ ณ
วัดมหาธาตุ แต่นั่นมันสมัยที่พระสงฆ์ไทยยังไม่มีธรรมยุติ
บัดนี้มีธรรมยุติจะให้ไปอยู่วัดมหาธาตุก็คงไม่เหมาะ
จึงทรงโปรดให้ประทับอยู่วัดเดิมคือวัดบวรนิเวศน์นั่นแหละ
แม้ภายหลังจะมีสมเด็จวัดอื่นได้เป็นสังฆราช ก็ทรงอนุญาตว่า
"ไม่จำเป็นต้องไปอยู่วัดมหาธาตุอีกต่อไป"
ประเพณีแห่งสังฆราชก็เลยสูญหาย ความหมายก็คือพระสงฆ์ไทยไม่มีสำนักงานกลางมาตั้งแต่นั้น
ที่เกริ่นนำมายืดยาวนี้ ก็เพื่อจะเข้าเรื่องนี้
คือเรื่องศูนย์บัญชาการพระพุทธศาสนา ที่ทราบข่าวว่า
คณะสงฆ์ไทยจะย้ายสำนักงานทั้งหมดไปไว้ที่พุทธมณฑล
ก็นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดียิ่ง ที่พระสงฆ์ไทยจะได้มีปรินซิเปิล ออฟฟิศ
กันเสียที
ถ้านับปีที่เราสูญเสียสำนักงานกลางไปก็ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพน เป็นต้นมา ถ้านับเวลาจากพ.ศ. 2394
ถึงปี 2546 ก็ได้ 152 ปี พอดี ที่คณะสงฆ์ไทยไม่มีที่ทำงาน
เราต้องอาศัยกรมการศาสนาเป็นสำนักเลขาธิการของคณะสงฆ์ไทย
โดยเฉพาะก็คือมหาเถรสมาคมมาโดยตลอด
จนกระทั่งเปลี่ยนมาเป็นสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาตินี่แหละ
ในสมัยรัชกาลที่ 1 นั้น
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงมีสายพระเนตรยาวไกล
ให้พระสงฆ์ไทยใช้วัดมหาธาตุเป็นสำนักงานกลางเป็นแห่งแรก
เป็นวัดที่ไม่มีเจ้าอาวาสอย่างถาวร
หากแต่สมเด็จพระสังฆราชทุกพระองค์ต้องเสด็จมาประทับที่วัดนี้
พอถึงรัชกาลที่ 4 เรากลับมีสายตาสั้นลง
ทำลายศูนย์กลางพระพุทธศาสนาเพราะมีปัญหาเรื่องนิกาย
จะเปลี่ยนให้เป็นธรรมยุติเสียทั้งหมดก็ไม่เอา
จะปล่อยให้เป็นแบบเก่าเหมือนเดิมก็จะอายเขา
เพราะว่าอุตสาห์ไปบวชใหม่ตั้งหลายรอบแล้ว เดี๋ยวคนจะหาว่าเล่นลิเก
คณะสงฆ์ไทยจึงอยู่ในภาวะ สองหาง-หนึ่งหัว จนเข้ายุคนำพาประเทศแพ้สงครามเศรษฐกิจเป็นทาสไอเอ็มเอฟ
ในปี พ.ศ. 2540
เรื่องสำนักงานกลาง
หรือศูนย์กลางบัญชาการของคณะสงฆ์ไทยจึงเป็นการแสดงออกถึงเอกภาพ
มีฐานบัญชาการอย่างเป็นทางการ
ไม่ใช่ใครได้เป็นสังฆราชก็ยกกองบัญชาการไปไว้ที่นั่น
ถ้าสังฆราชองค์ก่อนตายไป
ก็ต้องย้ายเป็นกองบัญชาการสัญจรหรือจรจัดไปตามยถากรรม
นำมาซึ่งความไร้เอกภาพ ความไม่แน่นอน ให้ตายเถอะ ตั้งแต่บวชมาได้ 20
กว่าปีมานี้แล้ว ผู้เขียนเคยไปวัดสังฆราชแค่ครั้งเดียวเอง มันเกร็ง ๆ
ยังไงไม่รู้ ดูไม่ใช่สำนักงานกลางที่เราจะเข้าออกได้อย่างสะดวกใจ
การออกมาให้ข่าว "จะย้ายฐานบัญชาการของคณะสงฆ์ทั้งหมดไปไว้ที่พุทธมณฑล"
ของพระพรหมวชิรญาณ ซึ่งเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม
แถมตำแหน่งโฆษกรัฐบาลคณะสงฆ์อีกเก้าอี้หนึ่งนั้น จึงนับเป็นมิติเก่า
(เพราะมิติใหม่มันผ่านมาร้อยห้าสิบกว่าปีแล้ว)
ก็ยังดีที่เพิ่งจะมามีสติ แต่ก็ขอติงสติไปยังพระพรหมวชิรญาณองค์เดิมอีกนั่นแหละ
เพราะท่านเคยอยู่อเมริกามานาน
แม้ปัจจุบันจะไปเป็นเจ้าอาวาสวัดยานนาวาแล้วก็ตาม
อดีตนั้นท่านเคยเป็นถึงประธานสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกา จึงนับว่าพระพรหมวชิรญารเป็นอดีตประธานสมัชชาสงฆ์ไทยในยูเอสเอองค์แรกที่ได้เป็นกรรมการมหาเถรสมาคม
ดังนั้น เรื่องต่อไปนี้จึงเป็นคำถามเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ของพระพรหมวชิรญาณเอง
ขอได้โปรดสดับนะขอรับ อะแฮ่ม
ทราบว่า พระเดชพระคุณ ฯ เป็นประธานดำเนินการสร้างวัดนวมินทราชูทิศขึ้นในเมืองบอสตัน
มลรัฐแมสสาจูเสต ในวงเงินหลายร้อยล้านบาทไทย ตีเป็นเงินดอลด่าก็ไม่น่าต่ำกว่าสิบล้านเหรียญ
นี่ประเมินตามคำรายงานของพระมหาวินัย เลขาธิการสมัชชาสงฆ์ไทย
ในที่ประชุมใหญ่เมืองไมอามี่ปีนี้นะครับ
พระเดชพระคุณ ฯ ก็ทราบดีว่า
สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกนั้น
เขามีทำเนียบขาวเป็นสำนักงานกลาง
ซึ่งประธานาธิบดีทุกคนต้องมาพำนักที่นี่ ใครพ้นจากตำแหน่งก็ต้องออกไป
ในฐานะที่พระพรหมวชิรญาณเคยเป็นประธานสมัชชาสงฆ์ไทยมาก่อน
ก็ย่อมจะทราบดีว่า สมัชชาสงฆ์ไทยไม่มีสำนักงานกลาง แม้จะอ้างว่า วัดพุทธวราราม
เดนเวอร์ เป็นสำนักงานกลาง ก็เป็นแต่เพียงนาม คือวัดพุทธวรารามไม่ใช่สมบัติของสมัชชาสงฆ์ไทย
แต่เป็นเพียงสถานที่จดทะเบียนสมัชชาสงฆ์ไทยเท่านั้น พูดง่าย ๆ ก็คือว่า
เป็นสถานที่ซึ่งเราขอเอาป้ายสมัชชาสงฆ์ไทยไปติดไว้ในนาม
"สำนักงานกลาง"
เท่านั้น นอกนั้นไม่ใช่ของสมัชชาสงฆ์ไทย
แต่ในขณะดำรงตำแหน่งประธานสมัชชาสงฆ์ไทยหลายสมัย
ก็ไม่เห็นว่าพระพรหมวชิรญาณจะคิดสร้างสำนักงานกลางสมัชชาสงฆ์ไทยขึ้นมา
เพื่อใช้เป็นฐานบัญชาการของสมัชชาสงฆ์ไทย แม้แต่บัดนี้
ที่ท่านกลับไปดำรงตำแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคม
และเป็นผู้ออกมาพูดเรื่องย้ายสำนักงานกลางไปไว้ที่พุทธมณฑลทั้งหมด
แต่ในประเทศสหรัฐอเมริกากลับปรากฏข่าวว่า พระพรหมวชิรญาณทุ่มเงินเป็นล้าน
ๆ สร้างวัดนวมินทราชูทิศ เพื่อเป็นเกียรติแก่ตนเอง
ไม่ใช่เพื่อสมัชชาสงฆ์ไทย ถามว่าเพื่ออะไร
เพื่อให้ท่านได้มีผลงานเอกอุเป็นของตนเองเพื่อจะเป็นสมเด็จเท่านั้นนะหรือ
ส่วนประเทศชาติศาสนาโดยส่วนรวมได้ประโยชน์อะไรในการนี้บ้าง
ขอให้พระเดชพระคุณตอบในเรื่อง
"วิสัยทัศน์"
นี้ให้เป็นที่ชื่นอกชื่นใจหน่อยเถิดขอรับ พระคุณท่าน ???
|