Who is she ? แม่ชีเบญจวรรณ
 


    
เปรี้ยงปร้างขึ้นมาทันใด
ในขณะที่ข่าวเจ้าของอาบอบนวด (นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎิ์) กับเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายสถานีที่กำลังครึกโครม เป็นปัญหาว่าด้วยส่วยหรือคือการคอรัปชั่นในวงการราชการบ้านเรา บทนี้ไม่มีพระเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่มีสตรีนางหนึ่งซึ่งเราเรียกว่า "แม่ชี" เข้ามามีบทบาทด้วย เราจึงต้องตามไปดูว่าแม่ชีคนนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร ทำไมคนจึงขึ้นกันจัง ไม่แพ้หลวงพ่อพระเกจิดัง ๆ เลย

     จาก
เดอะ เนชั่น สุดสัปดาห์ เล่าย่อ ๆ ว่า แม่ชีเบญจวรรณนั้น นามเดิมก็คือเบญจวรรณ นามสกุล เสมาชัย เป็นชาวฝั่งธน กรุงเทพฯ เคยแต่งงานมีลูกมีเต้ามาแล้ว คุณแม่เล่าว่า "แม่ไม่มีอดีต มีแต่ปัจจุบัน ถ้าเราไปเล่าถึงอดีตส่วนมากมันจะดีมาก แต่ดีไม่เหมือนใคร ดีแบบโลดโผน ดีแบบสูงสุด แล้วเราไปเล่าให้คนฟังมันไม่ได้ เดี๋ยวเป็นการอ้างโน่นอ้างนี่ มันก็ไม่ดี มันน่าเกลียด เพราะฉะนั้นใครมาถามเรื่องอดีตไม่มี จะคุยกับฉันไหม จะคุยก็คุย ถ้าไม่คุยก็ไม่คุย ถ้าไม่คุยก็ออกไป เพราะวันนี้ฉันเป็นแม่ชี" ฟังสำนวนของเธอ เอ๊ย ของคุณแม่แล้วรู้สึกว่าไม่ธรรมดาเลย

     ก่อนหน้าจะมาดังนั้น แม่ชีแสวงหาที่สงบก็มาพบสถานที่สงัด นั่นคือ
วัดพระญาติการาม ต. ไผ่ลิง อ.พระนครศรีอยุธยา จ. พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นวัดของสุดยอดเกจิอาจารย์ไทยในอดีต คือหลวงพ่อกลั่น เจ้าของยันต์ขอเบ็ด เขียนใส่หลังเหรียญ ปั๊มออกมาลูกศิษย์ลูกหาเล่นกันเหรียญละเป็นล้าน !

     ราวปี 2530 แม่ชีเบญจวรรณได้สร้างสำนักชีขึ้นภายในวัดใหญ่แห่งนี้ ใช้เงินทุนประมาณ 20 ล้านบาท ! ประกาศเป็นสำนักชีที่ไม่ธรรมดา เพราะหลังจากนั้นก็มีลูกศิษย์ลูกหาถึงระดับไฮโซโผเข้าหาแม่ชีขอเป็นที่พึ่งพิง วัตรปฏิบัติส่วนตัวนั้นแม่ชีพูดแบบมีคมว่า
"แม่ไม่เคร่งเกินไป เดี๋ยวเครียด ไม่เครียดเกินไป เดี๋ยวเคร่ง เวลาจะสอนอะไรใครต้องไปเรียนรู้ก่อน แต่เราจะสอนจากใจ อย่างที่ได้ยิน ได้มาบวชเป็นแม่ชี นุ่งขาว ห่มขาวก็เรียกว่าดีแล้ว ศีล 8 ก็พยายามรักษาให้ได้" เด็ดไหมล่ะ

     กับอุดมการณ์ในการบวชนั้น แม่ชีบอกว่า
"เพื่อสร้างคน" ก็ไม่รู้ว่าสร้างแบบไหน กับลูกศิษย์ลูกหามากหน้าหลายตาที่มาหา หลายคนเป็นถึงระดับนายพลนายพันและคุณหญิงคุณนาย แม่ชีบอกหลักการว่า "แม่ไม่เคยพูดดีกับลูกศิษย์ นายพัน นายพล จะมาคุยกับเรา แต่ต้องนั่งข้างล่าง ไม่มียศมีศักดิ์ เอาไปวางไว้หน้าวัด มาที่นี่แล้วต้องรักกัน สมมติว่าลูกเป็นนายสิบ มีลูกศิษย์อีกคนมีปัญหาทุกข์ร้อนอะไร แม่จะบอกว่า ให้ท่านมาช่วยคนนี้หน่อย ก็ต้องช่วย" นี่กระมั่งที่มีคนไปขอความช่วยเหลือเยอะ แม้กระทั่งตำรวจ

     อย่างไรก็ตาม กับความหลากหลายของผู้คนที่มาหา ทำให้แม่ชีก็ต้องมีลีลาในการแก้ปัญหาทั้งเฉพาะหน้าและลับหลัง คุณแม่สารภาพไม่บาปว่า
"บางทีก็ต้องเตรียมโกหก เช่น 3 วัน ลูกศิษย์บางคนพาเมียมา 3 คนอย่างนี้ ไอ้คนสุดท้ายมาถามว่า แม่ขา วันนี้เขาพาเมียคนนั้นมาหรือคะ ? เราต้องรีบตอบว่า ไม่รู้ จำไม่ได้ คนแยะ ไปตอบให้คนมีเรื่องมันก็บาปอีก มันก็ต้องมุสาวาทาทั้งวัน ข้อนี้รับไม่ได้อยู่แล้ว บางทีมันก็มีแค่ 7 แต่จะเจ็ดข้อก็ทำให้ได้เถอะลูก..."

     ก็แสดงว่าแม่ชีบางทีก็ถือศีล 8 แต่บ่อยครั้งก็เหลือแค่ 7 เพราะต้องฟอลโล่ตามสถานการณ์อันจำเป็น เช่นเรื่องเมียน้อยเมียหลวงนี่ แม้แต่เรื่องที่สื่อมวลชนไปสัมภาษณ์ว่า
"นายชูวิทย์มาหาเมื่อไหร่" แม่ชีก็ไม่ตอบ บอกว่าเป็นโรคอัลไซเมอร์ เพราะถ้าบอกก็จะเป็นผลต่อคดี "อุ้มนายชูวิทย์"

     ปัจจุบันแม่ชีเบญจวรรณมีอายุ
71 ปี แก่ขนาดนี้ก็ยังมีข่าวร้ายเมื่อไปพัวพันกับคดีของนายชูวิทย์ ข่าววันที่ 30 สิงหาคม 2546 รายงานว่า แม่ชีถูกลงขันฆ่าปิดปาก โดยตัวแม่ชีเบญจวรรณเองได้เผยกับนายชูวิทย์ซึ่งไปหาที่วัดพระญาติว่า "ขนาดแม่เป็นแม่ชียังทราบว่าจะมีคนมาลงขันฆ่าแม่เพราะเรื่องของลูก ถ้าใครจะมาฆ่าแม่แม่ก็ยอมได้"

 

อา..ใครกันนะจะใจดำอำมหิตถึงขนาดฆ่าแม่ชีได้ล 

พระมหานรินทร์ นรินฺโท
วัดไทย ลาสเวกัส รัฐเนวาด้า สหรัฐอเมริกา
3 กันยายน 2546

 

 

 
E-Mail ถึง บก.
peesang2003@hotmail.com

All Right Reserved @ 2003
This Website Sponsored by

 

www.alittlebuddha.com เจ้าของ : วัดไทย ลาสเวกัส 2920 McLeod Dr. Las Vegas Nevada 89121 USA (702) 384-2264