วัดไทยลาสเวกัส..ในวิกฤติโควิด-19

 

 

หนึ่งปีที่ผ่านไป

 

TIMELINE :

 

ปลายปี 2562 มีข่าวทางสื่อว่า มีไวรัสชนิดหนึ่งระบาดในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ดูท่าอันตราย น่าจะคุมไม่อยู่ และอาจจะระบาดหนักไปทั่วโลก เหมือนไข้หวัดซาร์ในอดีต ต้นปี 2563 ข่าวสารเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ พระสงฆ์วัดไทยลาสเวกัส ซึ่งเปิดสภากาแฟพูดคุยวิเคราะห์ข่าวสารบ้านเมืองในทุกเช้า จึงจ้องดูไวรัสตัวดังกล่าวอย่างไม่กะพริบตา

15 กุมภาพันธ์ 2563 ทางคณะสงฆ์ได้ตกลงแจ้งแก่ญาติโยมว่า ทางวัดขอประกาศ "ปิดวัด" ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรน่าจะดีขึ้น ทั้งนี้การปิดวัดมีมาตรการสำคัญคือ พระสงฆ์จะไม่ออกนอกวัด นอกจากมีกิจจำเป็น ส่วนญาติโยมก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาภายในวัด จะให้ส่งอาหารเพียงที่หน้าประตูวัดเท่านั้น ส่วนงานวัดอื่นใดที่เคยมี คือการทำบุญตักบาตรในทุกวันพุธประจำสัปดาห์ก็ดี งานวันมาฆบูชา งานสงกรานต์ งานวิสาขบูชา งานเข้าพรรษา รวมทั้งงานกฐิน จะต้องยกเลิกไปก่อนทั้งหมด ยกเว้นสถานการณ์คลี่คลายแล้วจึงจะแจ้งให้ทราบ

ตกปลายเดือนมิถุนายน 2563 ทางรัฐบาลสหรัฐ ดูเหมือนว่าจะมีนโยบาย "ไม่ปิดประเทศเพราะกลัวเศรษฐกิจพัง" รัฐบาลทรัมป์จึงประกาศ "ผ่อนปรน" ให้ผู้คนไปไหนมาไหนได้ และนั่นจึงเริ่มมีเสียงจากญาติโยมที่เคยมาวัดว่า "ขอให้เปิดวัดเพื่อทำบุญเข้าพรรษาซักวัน" ซึ่งทางวัดก็เห็นสมควร จึงประกาศทำบุญเข้าพรรษาในวันที่ 5 กรกฎาคม ทั้งนี้ยังต้องมีมาตรการป้องกันไวรัสอย่างเคร่งครัด ซึ่งทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี

แต่ปรากฏว่า ในวันต่อมา คือ 6 กรกฎาคม หลวงพ่อพระครูอุดมพัฒนาทร เริ่มมีอาการไข้และไอ จึงขอตัวไม่อธิษฐานเข้าพรรษาร่วมกับพระทั้งหมด โดยท่านจะทำพิธีเพียงลำพัง

8 กรกฎาคม 63 ท่านพระครูสุธรรมโสภณ แจ้งว่า รู้สึกมีไข้และเริ่มไอ ทางวัดจึงขอให้หลวงพ่อพระครูอุดมพัฒนาทรและท่านพระครูสุธรรมโสภณ "กักตัว" รักษาตัวอยู่ในห้องพัก (ยกเว้นเข้าห้องน้ำ) ส่วนอาหารการขบฉันนั้น จะได้จัดถวายถึงในห้องพัก

9-10-11 กรกฎา หลังจากรอดูอาการมานานหลายวัน พระมหานรินทร์ จึงตัดสินใจ นำหลวงพ่อพระครูอุดมพัฒนาทรและท่านพระครูสุธรรมโสภณ ไปตรวจหาเชื้อไวรัสที่ศูนย์ UMC ทางฝั่งตะวันตกของเมือง โดยคุณตุ้ย ลูกสาวของหลวงพ่อ เป็นผู้ประสานงาน ในวันต่อมา (12 กรกฎา) ปรากฏผลว่า หลวงพ่อทั้งสองมีผลเป็นบวก (ติดเชื้อ) ส่วนพระมหานรินทร์มีผลเป็นลบ (ไม่ติดเชื้อ)

หัวค่ำวันที่ 12 นั้น มีการปรึกษาหารือกันหลายฝ่าย โดยเบื้องแรกทางวัดพยายามจะจัดหาที่พักชั่วคราว เพื่อรักษาอาการของหลวงพ่อทั้งสองรูป แต่หาสถานที่ไม่ได้ จึงมีคนเสนอว่า เมื่อหาที่ให้ผู้ป่วยไม่ได้ ก็น่าจะหาที่ให้ผู้ไม่ป่วย ได้ออกไปพำนักนอกวัด ส่วนในวัดก็ยกให้เป็นสถานพยาบาลของผู้ป่วย ซึ่งเชื่อว่าจะหาสถานที่ได้ง่ายกว่า เพราะใครๆ ก็คงไม่อยากรับผู้ป่วยด้วยโรคนี้

คุณแม่ปาน เพชรนาค จึงได้ต่อสายไปยัง "ท่านพระมหาอภัย ปภงฺกโร" เจ้าอาวาสวัดป่าพุทธยานันทาราม ถามถึงสถานที่ที่ท่านใช้กักตัวเองหลังกลับจากเมืองไทยเมื่อต้นปี ซึ่งทางท่านพระมหาอภัยก็ยินดีเจรจากับ คุณโยมพิมล มิลเลอร์ เจ้าของบ้านพักบนถนนโบนันซ่า รัฐอริโซน่า ซึ่งทางคุณโยมพิมลก็ยินดีถวายบ้านหลังดังกล่าวให้พระวัดไทยลาสเวกัสได้ไปพักเป็นการชั่วคราว โดยมิได้คิดค่าใช้จ่ายใดๆ เลย

 

13 กรกฎาคม 2563 พระมหานรินทร์ นรินฺโท ได้ย้ายไปพำนักที่อาศรมโบนันซ่า ของคุณโยมพิมล มิลเลอร์ ในเมืองไวท์ฮิลส์ รัฐอริโซน่า ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองลาสเวกัสไปประมาณ 1 ชั่วโมง

 

14 กรกฎาคม 2563 พระมหากฤตพจน์ กิตฺติโสภโณ ซึ่งทราบผลตรวจว่าไม่ติดเชื้อ ได้ย้ายไปพักนักกับพระมหานรินทร์ ที่อาศรมโบนันซ่าด้วย

ภายในวัดไทยลาสเวกัส จึงมีเพียง หลวงพ่อพระครูอุดมพัฒนาทร พระครูสุธรรมโสภณ และพระมหาถาวร กลฺยาณเมธี อยู่เพียง 3 รูป โดยทั้งสามรูปมีผลตรวจเป็นบวกทั้งหมด

ปัญหาสำคัญก็คือ เวลานั้น ทางโรงพยาบาลทุกแห่ง ไม่ยอมรับผู้ป่วยเข้าพักรักษาอาการ เว้นแต่ผู้ป่วยหนักระดับโคม่าเท่านั้น หากทราบว่าผู้ติดเชื้อยังหนุ่มและอาการไม่รุนแรง ทางโรงพยาบาลก็จะบอกว่า "Stay home" คือให้รักษาตัวอยู่ในบ้าน ใครดันทุรังไปโรงพยาบาลก็จะถูกส่งกลับทุกรายไป ไม่ไล่ก็เหมือนไล่

วิธีการรักษาก็คือ ตามอาการ ใครมีไข้ก็กินยาแก้ไข้ ใครไอก็กินยาแก้ไอ ใครท้องร่วงก็กินยาแก้ท้องเสียไปตามอาการ ซึ่งถ้านับอาการของคนทั้งโลกแล้วก็คงเกิน 108 โรค การรักษาตามอาการจึงเป็นการรักษาที่มั่วที่สุดของโลก ลองผิดลองถูกกันไป หมอเองก็จนปัญญา เพราะไม่มีตัวยารักษาอาการใดๆ คนไทยส่วนใหญ่ก็จะมุ่งไปที่ยาสมุนไพรตัวสำคัญอันได้แก่ ฟ้าทะลายโจร ซึ่งมีสรรพคุณแก้ไข้ได้ชงัด อื่นๆ ก็ดื่มน้ำมะนาวกับน้ำผึ้ง แก้ไอ ตามมาด้วยน้ำขิงและน้ำกระชาย ก็ตีความซะว่า หายใครหายมัน ตายใครตายมัน สถานการณ์เป็นเช่นนี้จริงๆ พูดแบบไทยๆ ก็คือว่า ตามยถากรรม ใครติดโควิดจึงถือว่าซวย ช่วยไม่ได้ ถึงแม้สถิติคนตายจะน้อยกว่าคนป่วยมาก แต่ใครติดโควิดก็จะกลายเป็นคนสังคมรังเกียจ ยิ่งกว่าเป็นขี้ทูดกุฏฐังในสมัยโบราณ ใครไม่ติดโควิดน่ะโชคดีแล้ว

"กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ" เป็นคาถามหานิยมในช่วงโควิดระบาด ขาดไม่ได้ก็คือยาไทรานอล ซึ่งว่ากันว่าช่วยแก้ไข้ได้ถูกโรค คนทั้งโลกจึงหันไปตุนยาไทรานอลกันทุกบ้าน ป่วยหรือไม่ป่วยก็ต้องมียาตัวนี้ไว้ก่อน เผื่อป่วยขึ้นมาจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปหาซื้อ สิ่งที่เหลือเชื่อก็คือว่า ยาไทรานอลขายดีและขาดตลาด ตามร้านขายยาแทบหาไม่เจอ ได้มาก็เพียงแผงสองแผง ใครเห็นก่อนก็คว้าก่อน มีไทรานอลไว้อุ่นใจเหมือนใกล้หมอ

เมื่อทางหมอไม่ให้ไปโรงพยาบาล คนไข้ก็จำเป็นต้องอยู่บ้าน พระวัดไทยลาสเวกัสที่ป่วยก็ถูกปฏิเสธไม่ให้ไปโรงพยาบาลเช่นกัน จึงจำเป็นต้องปรับวัดให้เป็นสถานพยาบาล และนั่นจึงเป็นสาเหตุว่า ทำไมเจ้าอาวาสวัดไทยลาสเวกัสจึงไม่อยู่วัดกลางพรรษา เพราะว่าต้องยกวัดให้เป็นโรงพยาบาลนั่นเอง

ตกวันที่ 18 กรกฎาคม อาการของหลวงพ่อพระครูอุดมพัฒนาทรค่อนข้างวิกฤต พระมหาถาวรจึงโทรเรียกรถโรงพยาบาลมารับตัวไปรักษา อีกสองวันต่อมา ท่านพระครูสุธรรมโสภณก็มีอาการขั้นเดียวกัน ท่านพระมหาถาวรจึงเรียกรถแอมบูแลนซ์เป็นครั้งที่สอง

และในคืนวันนั้นเอง (18 กรกฎาคม 63) ข่าวสารก็ดังไกลไปทั่วโลก ว่าพระธรรมทูตวัดไทยลาสเวกัส "ติดเชื้อโควิด-19" เป็นวัดแรกของโลก มีภาพพระที่ท่านป่วยกระจายไปทางสื่อออนไลน์ ทั้งเว็บไซต์ เฟสบุ๊ค ยูทู๊ป และปากต่อปาก

วัดไทยลาสเวกัส แทบจะตกอยู่ในสภาพ "แพแตก" เพราะมีข่าวเจ้าอาวาส "แหกพรรษา" หนีขึ้นเขาออกไปหลบภัยอยู่ต่างรัฐ ส่วนภายในวัดก็มีเพียงพระที่ป่วยเท่านั้นที่ยังคงอยู่ ใครที่รู้ข่าวก็กลัว ไม่กล้ามาวัด เพราะโรคนี้อันตราย โดยเฉพาะผู้สูงวัย ถ้าติดแล้วจะตายภายใน 3 วัน 7 วัน แล้วใครไหนจะกล้ามาวัด มันน่ากลัว

ศ.ดร.อุทิศ ศิริวรรณ พอทราบข่าว ก็รีบเขียนบทความถึงพระวัดไทยลาสเวกัสด้วยความห่วงใย ซึ่งต้องขอขอบคุณ "พี่ชายที่แสนดี" ด้วยความซาบซึ้งใจ ถึงจะอยู่ไกลถึงเมืองไทยก็ยังห่วงใย "พระมหานรินทร์" ศิษย์รุ่นน้องร่วมสำนักวัดบุพพารามและวัดบางนาในตลอดมา

สถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแองเจลิส ก็รีบติดต่อสอบถาม ทั้งตัวท่านกงสุลใหญ่ก็เดินทางมาเยี่ยมถึงวัดไทยลาสเวกัสด้วยตัวเอง เป็นการลงพื้นที่ในสภาวะวิกฤตที่ทำได้ยากยิ่ง ถือเป็นการทำงานในนามของ "รัฐบาลไทย" ในต่างประเทศ ก็ต้องขออนุโมทนาขอบคุณ "ท่านนายกฯบิ๊กตู่" มา ณ ที่นี้ ที่ท่านไม่ลืมวัดไทยลาสเวกัส

ญาติโยมที่รู้จักอีกมากมายก็เป็นห่วง ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ทั้งด้านมดหมอ หยูกยา อาหาร การติดต่อประชาสัมพันธ์ ที่สำคัญก็คือ ไม่กี่วันจากนั้น อากาศเมืองลาสเวกัสก็ทะลัก 150 องศา ร้อนสุดในรอบเกือบ 100 ปี ส่งผลให้แอร์คอนดิชั่นของวัด "พังลงอีก" ก็มีญาติโยมสงสารเข้าช่วยเปลี่ยนให้ใหม่ แต่กว่าจะเปลี่ยนได้ก็เกือบสัปดาห์เพราะนายช่างก็งานยุ่ง แถมสั่งแอร์มาเปลี่ยนทั้งตัวก็ต้องใช้เวลาหลายวัน มันไม่ง่ายเหมือนใจนึกถึงจะมีเงินในมือก็ตาม ช่วงนั้นพระมหาถาวรต้องอยู่แบบร้อนที่สุดในโลก มีเพียงพัดลมไอน้ำเปิดช่วยให้เย็นอยู่ภายในห้อง ส่วนตัวกุฏิทั้งหลังนั้นเหมือนถูกเผาผลาญไล่เชื้อโควิด โชคดีที่ช่วงนี้หลวงพ่อทั้งสองรูป ท่านถูกย้ายไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลซันไรซ์แล้ว ไม่งั้นคงร้อนตาย โยมบางท่านเห็นข่าวพระวัดไทยนอนกับพื้นก็สงสาร รีบส่งปัจจัยซื้อเตียงถวายทั้งวัด ทั้งๆ ที่ยังไม่เคยมาวัดไทยลาสเวกัสเลย

 

 

 

ผ้าพันแผล Wallgreen

ปิดให้เฉพาะผู้ผ่านการฉีดวัคซีนเท่านั้น

เท่ากับรับประกันคุณภาพว่าปลอดภัย

 

 

ถามว่าผู้เขียนรู้สึกอย่างไรและคิดอย่างไรในช่วงวิกฤตที่ว่านี้ ?

"ปลง" คือคำตอบสุดท้าย อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เรื่องสมบัติพัสถานของวัดวาอาราม ถือเป็นของภายนอก เวลานั้นทุกคนต้องคิดเพื่อหาทางเอาชีวิตรอดเท่านั้น เพราะถ้าชีวิตไม่รอด ทุกสิ่งก็หมดความหมาย ที่สำคัญ ถ้ามันจะถึงคราวตายก็ต้องตาย เมื่อไม่มีทางเลี่ยงก็ต้องยอมรับอย่างอาจหาญ เพราะในโลกนี้ไม่มีใครไม่ตาย

ทางพระผู้ใหญ่ทั้งในสหรัฐอเมริกาและเมืองไทย ทุกรูปก็ห่วงใย

ในสหรัฐอเมริกานั้น หลวงพ่อพระเทพพุทธิวิเทศ ประธานสมัชชาสงฆ์ไทย ได้บัญชาให้พระราชธรรมวิเทศ รองประธานในฝั่งตะวันตก ให้ช่วยดูแล ซึ่งทางหลวงพ่อรองฯ ก็ติดตามถามไถ่มาโดยตลอด ทั้งส่งปัจจัยมาช่วยค่ารักษาพยาบาลอีก รวมทั้งวัดอื่นๆ อีกหลายวัด ไม่ว่าจะเป็นท่านอาจารย์พระครูโสภณศาสนวิเทศ วัดพระธาตุดอยสุเทพ นิวแม๊กซิโก ท่านเจ้าคุณฤทธิ์ วัดอตัมมยตาราม และอีกมากมายหลายวัด ก็ถามไถ่ส่งกำลังใจมาให้ตลอด ทำให้บรรยากาศวัดไทยลาสเวกัส อบอุ่นขึ้นในพริบตา

หลวงพ่อสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดยานนาวา ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ ท่านก็เป็นห่วง ได้กำชับผ่านทางประธานสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกา เมตตาบารมีของพระเดชพระคุณฯ กว้างไกลไปทั่วโลก

หลวงพ่อพระธรรมเสนาบดี วัดพระธาตุดอยสุเทพ ต้นสังกัดของพระมหานรินทร์ เจ้าอาวาสวัดไทยลาสเวกัส ท่านยิ่งเป็นห่วง เหมือนพ่อห่วงลูก สั่งการผ่านท่านพระครูโสภณศาสนวิเทศ ให้รายงานอาการป่วยของพระและอัพเดทสถานการณ์ของวัดไทยลาสเวกัสอย่างต่อเนื่อง ถึงกับกำชับว่า ขาดเหลืออะไรขอให้บอกทันที หลวงพ่อท่านอยู่ไกลก็เหมือนใกล้

ท่านเจ้าคุณพระบวรรังษี วัดระฆังโฆสิตาราม ที่เคารพนับถือมานาน ก็ติดตามถามไถ่ไม่ขาด (หมดค่าโทรศัพท์ไปหลายพัน) ท่านอวยชัยให้พรว่า "ขอให้พระวัดไทยรีบๆ หายป่วยนะ จะถวายพระสมเด็จร้อยปีรูปละองค์" แหมเหมือนได้ยาดี ไม่รีบหายก็ไม่ได้พระสมเด็จฯ

ท่านเจ้าคุณเหลา ประธานองค์กรพระธรรมทูตไทยในอังกฤษ ก็เป็นห่วงเป็นใย กลัวพระมหานรินทร์ตายจะขาดคนเขียนข่าว รีบส่งจดหมาย "ทำใจดีๆ อย่ารีบเป็นอะไรไปเด้อ พรรคพวกคิดถึง" ซึ่งก็คงคิดถึงจริงๆ แหละ ป่านนี้ยังไม่ได้ใช้หนี้เลย

เจ้าคุณประสาร ท่านก็เป็นห่วง รีบแจ้งนักข่าวว่า "พระมหานรินทร์ยังไม่ตาย" คือไม่ติดโควิด แต่ย้ายไปพักนอกวัดเท่านั้น

แต่พวกที่อยากให้ตาย (จริงๆ) ก็อาจจะมีนะ ในโลกใบนี้ คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ โบราณว่า ใครรัก ใครชัง ก็ดูกันตอนวิกฤตนี่แหละ

มากมายหลายกระแส เหมือนละบทละครเรื่อง..หลายชีวิต ของคึกฤทธิ์ ปราโมช

คณะสงฆ์วัดไทยลาสเวกัส ขอกราบขอบพระคุณพระเถรานุเถระทุกรูปทุกพระองค์ ทั้งที่เอ่ยนามและมิได้เอ่ยนามมา ณ โอกาสนี้

 

 

 

 

ใบนัดหมอไปฉีดวัคซีนเข็มที่ 2

ลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 10.00 น. (เช้า)

 

แน่นอนว่า จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่รู้ว่า เชื้อไวรัสโควิด เข้ามาติดพระวัดไทยลาสเวกัส ได้อย่างไร ?

เพราะถ้าจะติดจากญาติโยมที่มาทำบุญวันเข้าพรรษา (5 กรกฎา) ก็น่าจะมีญาติโยมป่วย แต่โยมที่มาทำบุญกลับไม่มีใครป่วยเลยซักคน !

มีพี่ทิดอินทร ซึ่งเป็นทหาร ไปตรวจแล้วพบเชื้อ แต่ท่านพระมหากฤตพจน์นั้นสนิทกับพี่ทิดอินทร ก็ไม่ติดเชื้อ จึงไม่สามารถจะปักใจได้ว่าเชื้อนั้นมาจากพี่ทิดอินทร

นี่คือปริศนาน่าฉงน ?

แต่เมื่อสถานการณ์คลี่คลาย ทุกคนก็ไม่ติดใจหาสาเหตุอันใด มีแต่เพียงความเห็นอกเห็นใจกันในความลำบาก ไม่มีใครอยากรู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร รู้แค่ว่า "มันเกิดขึ้นแล้ว และผ่านไปแล้ว" ก็แค่นั้น เหลือไว้เพียงความทรงจำ

 

 

 

พระมหานรินทร์ และพระสงฆ์วัดไทยลาสเวกัส

เข้ารับการฉีดวัคซีนเป็นเข็มที่ 2 ในเช้าวันนี้ (23 กุมภาพันธ์ 2564)

โดยมี คุณโยมไก่ ธนศร ฟาวเลอร์ เป็นผู้ฉีดถวายทั้งสองครั้ง

 

 

สถานการณ์ต่อ

6 สิงหาคม 2563 หลวงพ่อพระครูอุดมพัฒนาทร หลังจากหมอเช็คอาการแล้วว่า หายจากไวรัสโควิด-19 โดยสมบูรณ์แล้ว จึงอนุญาตให้กลับมาพักฟื้นที่วัด รวมเวลารักษาในโรงพยาบาลทั้งสิ้น 19 วัน

9 สิงหาคม 2563 พระมหานรินทร์ และพระมหากฤตพจน์ ได้ย้ายจากอาศรมโบนันซ่า กลับสู่วัดไทยลาสเวกัส รวมเวลาพำนักในสถานที่แห่งนี้ทั้งสิ้น 27 วันด้วยกัน

30 กันยายน 2563 ท่านพระครูสุธรรมโสภณ หลังจากพักรักษาอาการอยู่นาน จึงได้รับอนุญาตให้กลับวัดได้ในสภาพที่ปลอดไวรัส รวมเวลาอยู่ในโรงพยาบาลทั้งสิ้น 72 วัน

ส่วนพระมหาถาวรนั้น แม้จะมีผลแล็ปบอกว่า "ติดเชื้อ" แต่ไม่มีไข้ หรืออาการป่วยอื่นใด และสุดท้ายในวันที่ 5 สิงหาคม 2563 ท่านได้เข้ารับการตรวจอาการอีกครั้ง ปรากฏว่าไม่มีเชื้อไวรัสแล้ว

สรุปว่า ณ วันที่ 30 กันยายน 2563 พระสงฆ์วัดไทยลาสเวกัส ทุกรูป ปลอดจากไวรัสโควิด-19 และวัดไทยลาสเวกัสก็เข้าสู่ปรกติตั้งแต่นั้น แต่สถานการณ์ภายนอกก็ยังคงไม่น่าไว้วางใจ จึงต้องปิดวัดต่อไปอีกจนกระทั่งปัจจุบัน

 

สิ่งสำคัญ ที่คนทั้งโลกมุ่งหวังว่าจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาไวรัสระบาดได้ในตอนนี้ก็คือ วัคซีน จะเป็นภูมิคุ้มกันชั้นดีที่ใครๆ ก็อยากจะฉีดวัคซีน ซึ่งการฉีดวัดซีนในสหรัฐอเมริกานั้น แม้จะเริ่มตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม 2563 แต่ก็ติดช่วงเลือกตั้ง ทำให้ไปไม่ถึงไหน แถมยังใช้ระบบ "ฉีดให้แก่ผู้สูงวัยและกลุ่มเสี่ยง รวมทั้งแพทย์หมอพยาบาลและอาสาสมัครสาธารณสุขเป็นกลุ่มแรกๆ" พวกเราซึ่งไม่อยู่ในกลุ่มแรกๆ ก็จำต้องเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่วัคซีนจะมาถึง

และแล้วก็มีข่าวดี ในต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2564 เมื่อมีข่าวว่า พระไทยในลาสเวกัสหลายวัด ได้เข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มแรกแล้ว สอบถามทราบความว่า ทางคุณโยมไก่-ธนศร Fowler ซึ่งเป็นหัวหน้าเภสัชอยู่ที่ร้านขายยา Wallgreen ถนน Lake Mead กับถนน Jones ด้านเหนือของตัวเมืองลาสเวกัส ได้จัดวัคซีนฉีดถวายให้แก่พระสงฆ์ตามวัดต่างๆ ด้วยเหตุผลว่า วัดต่างๆ ถือเป็นสถานที่ประชาชนไปทำบุญ พระสงฆ์จึงเป็นกลุ่มที่ต้องสัมผัสผู้คนมากมาย จำเป็นต้องได้วัคซีนก่อนเช่นกัน

3 กุมภาพันธ์ 2564 โดยการประสานงานของคุณโยมตุ๊กตา จึงทำให้พระสงฆ์วัดไทยลาสเวกัส ได้เข้ารับการฉีดวัคซีนเป็นเข็มแรก

23 กุมภาพันธ์ (วันนี้) พระสงฆ์วัดไทยลาสเวกัส ได้รับการฉีดวัคซีน เข็มที่สอง และถือว่าได้รับวัคซีนโดยสมบูรณ์แล้ว

 

 

เอกสารบันทึกการฉีดวัคซีนทั้งสองครั้ง

ระยะห่าง 20 วัน  2-3 :  2-23 (เดือน 2 วันที่ 3 และ 23)

ประเภทของวัคซีน คือ PFIZER-BioNTECH

 

 

ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2563 ถึงกุมภาพันธ์ 2564 1 ปีเต็มๆ กับการผจญโรคร้าย-โชคร้าย กลายเป็นวัดไทยวัดแรกในสหรัฐอเมริกา ที่มีพระสงฆ์ติดเชื้อโควิด-19 แต่ในวิกฤตินั้นก็กลับกลายเป็นโอกาส ให้แก่คณะสงฆ์วัดไทยลาสเวกัส ได้รับความอุ้มชูจากสังคมรอบข้างในยามวิกฤต

วันนี้ วัดไทยลาสเวกัส ได้ผ่านจุดอันตราย ถึงจะยังไม่ปลอดภัยเต็มร้อย แต่ก็ค่อยมั่นใจว่า พวกเราผ่านความเป็นความตายระดับโลกมาแล้ว เมื่อได้รับการฉีดวัคซีนครบทั้ง 2 เข็มในวันนี้ จึงมีความหวังว่า เราจะได้เดินหน้าในการพัฒนาวัดไทยลาสเวกัส ให้เป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาของไทยในสหรัฐอเมริกาอีกแห่งหนึ่ง

ซึ่งทั้งสิ้นทั้งปวงนี้จะมาถึงจุดนี้ไม่ได้เลย หากไม่ได้รับความช่วยเหลือเกื้อกูลทั้งจากรัฐบาลไทย จากคณะสงฆ์ไทย และจากพุทธศาสนิกชนชาวไทย อย่างที่ต้องเรียกว่า..ไม่มีวันลืม

ขอกราบขอบพระคุณ ในความเมตตาของพระเถรานุเถระทุกรูปทุกพระองค์ และขออนุโมทนาขอบคุณในพลังศรัทธาของพุทธศาสนิกชนทุกท่าน มา ณ โอกาสนี้

 

ในนามคณะสงฆ์วัดไทยลาสเวกัส รัฐเนวาด้า สหรัฐอเมริกา

 

พระมหานรินทร์ นรินฺโท
วัดไทยลาสเวกัส รัฐเนวาด้า สหรัฐอเมริกา
23 กุมภาพันธ์ 2564

 
 

 

 

ALITTLEBUDDHA.COM  WAT THAI LAS VEGAS 2920 MCLEOD DRIVE LAS VEGAS NEVADA  89121 USA (702) 384-2264