|
BARROW AND ESKIMO IN THE PAST
แบโร่ว์บนแผนที่โลก
ก่อนอื่นก็ต้องขอยอมรับเลยว่า เกิดมาก็ไม่เคยรู้จักมักจี่กับเมืองนี้ ที่ชื่อ..แบโร่ว์ ไม่เคยรู้ว่ามีเมืองชื่อแบบนี้อยู่บนโลกใบนี้ ยิ่งเรื่องว่าอยู่ที่ไหน ใครอยู่ หรืออยู่กับใคร ยิ่งไม่ต้องพูดถึง พูดจาภาษาฝรั่งว่า Never mind
แต่ก็ดังที่เรียนท่านผู้อ่านไปในตอนต้นนั่นแหละว่า ทราบชื่อเมืองมาจากเพื่อนๆ พระธรรมทูตที่สึกออกไป ขึ้นไปประกอบสัมมาอาชีพอยู่ที่เมืองแบโร่ว์ รัฐอลาสก้า
จากนั้นมา แบโร่ว์ก็อยู่ในความทรงจำของผู้เขียน เพราะมีเพื่อนๆ แวะเวียนไปมาอยู่ตลอดเวลา ร่วมๆ 20 ปี นอกจากชื่อเมืองและข้อมูลของบรรดาเพื่อนๆ แล้ว ข้อมูลด้านอื่นก็เริ่มเพิ่มเติมเข้ามาทีละนิด
เอสกิโมยุคอพยพ
ข้อมูลแรกที่ผู้เขียนทราบก็คือ แบโร่ว์เป็นถิ่นที่อยู่ของชนชาวเอสกิโม (Eskimo) ซึ่งมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า "อีนูอิต-Inuit" แต่ชาวโลกจะรู้จักพวกเขาในนามชนเผ่าเอสกิโมเสียเป็นหลักเพราะเรียกง่ายกว่า ซึ่งชื่อ "เอสกิโม" นั้น ถูกแปลความหมายว่า คนกินเนื้อดิบ (Eaters raw meat) คำว่า Raw (อ่านว่า รอ) นั้น แปลว่า ดิบ ไม่ได้ปรุง ซึ่งเราจะพบบ่อยๆ ในฉลากน้ำผึ้งว่า Raw Honey แปลว่าน้ำผึ้งดิบ ไม่ได้ผ่านการกรองและพาสเจอไรท์
อย่างไรก็ตาม นามว่า "เอสกิโม" นั้น ว่ากันว่าคนเผ่านี้ไม่ชอบให้เรียก ชอบแต่จะให้เรียกว่า เนทีฟ-ชนพื้นเมือง หรือคนเมืองเสียมากกว่า แบบว่าถ้าไปทักเขาว่าเป็นเอสกิโมก็คงจะพูดคุยกันไม่สนุก เพราะเราไปดูถูกเขาก่อนแล้ว นึกไปก็คงคล้ายคำต้องห้ามหลายคำที่เราท่านได้ยิน เช่น นิโกร จีไอ ในต่างประเทศ ในไทยเราก็มี เช่น ลาว ก็ถือว่าเป็นคำดูหมิ่น แม้แต่คำว่า "ชาวเขา" เดี๋ยวนี้ก็ห้ามใช้แล้ว กำหนดให้ใช้ใหม่ว่า "ชนเผ่า" เพราะเขาไม่พอใจเช่นกัน
Bering Strait : ช่องแคบเบอริ่ง คั่นระหว่างสองทวีปเอเชีย-อเมริกา และสองอภิมหาอำนาจ สหรัฐ-รัสเซีย
ภาพการล่องเรือแคนูข้ามช่องแคบเบอริ่งของชาวมองโกล
ชนเผ่าเหล่านี้เป็นเผ่าเดียวกับชาวเอสกิโมในแคนาดา กรีนแลนด์ และเดนมาร์ค นักสำรวจตรวจพบว่า พวกเขาใช้ภาษาเดียวกัน (เหมือนพวกอารยันในอินเดียและยุโรป จัดเป็นเครือญาติของพระพุทธเจ้า) จึงถือเป็นเผ่าเดียวกัน ภาษานั้นคือ อีนุกติตุด (Inuktitut) ที่ว่านี้เป็นเพียง "กลุ่มภาษา" เพราะว่าโดยความเป็นจริงแล้ว เอสกิโมแต่ละเผ่าในแต่ละประเทศก็มีสำเนียงภาษาที่แตกต่างกัน แต่จับเค้าโครงได้ว่าเป็นกลุ่มภาษาเดียวกัน เหมือนคนไทย-ลาวในหลายภูมิภาคฉะนั้น
จาก..มองโกล เป็น..เอสกิโม
จำนวนประชากรเอสกิโม่ทั่วโลกล่าสุดนั้น ท่านประมาณว่า
สหรัฐอเมริกา มีจำนวน 16,000 คน แคนาดา มีจำนวน 65,000 คน กรีนแลนด์ มีจำนวน 50,000 คน เดนมาร์ค มีจำนวน 16,000 คน
Arctic Circle
ชนเผ่าเหล่านี้ เดิมทีนั้นท่านว่าเป็น "ชาวมองโกล" อาศัยอยู่ในเขตไซบีเรียเมื่อหลายพันปีก่อน (บ้างว่านานถึงหมื่นปี) ก่อนจะย้ายขึ้นไปยังขั้วโลกเหนือ กระจายกันอยู่รอบวงล้อมที่เรียกว่า Arctic Circle แปลว่า วงรอบมหาสมุทรอาร์คติก ซึ่งมหาสมุทรแห่งนี้เป็นผืนน้ำคลุมขั้วโลกเหนือ ชาวเอสกิโมซึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่รอบๆ มหาสมุทร จึงถือว่าอยู่รอบๆ ขั้วโลกเหนือไปด้วย โดยเมื่อมองจากแผนที่แล้ว จะเห็นว่ามีดินแดน "สูงสุด" ของหลายทวีปและหลายประเทศ ที่เรียงรายอยู่ตาม Arctic Circle
โดยระยะทางนั้น ท่านประมาณว่า ชาวมองโกลในไซบีเรีย เริ่มออกเดินทางจากไซบีเรียตะวันออก ข้ามช่องแคบเบอริ่ง (Bering Strait) ไปยังแผ่นดินอลาสก้าอันอยู่ฝั่งตรงกันข้าม เมื่อถึงแล้วก็กระจายกันไปหลายทาง บางกลุ่มยังอ้อมไปยังแคนาดา จนไปสุดขอบฟ้าที่..กรีนแลนด์
ว่าโดยระยะเวลานั้น ท่านประมาณว่า ช่วงที่ชาวมองโกลเริ่มอพยพจากถิ่นฐานไปนั้น น่าจะอยู่ที่ราวๆ 16,000 ปี ที่ผ่านมา ยุคนั้นเป็นยุคน้ำแข็ง แต่ว่าไปช้าๆ สำหรับชาวเอสกิโมในเขตแบโร่ว์นั้น ท่านว่าเพิ่งจะเข้าไปอยู่ได้ไม่นาน มีหลักฐานว่าเข้ามาในปี พ.ศ.2393 หรือเมื่อ 170 ปี ที่ผ่านมานี่เอง
เอสกิโม
สาเหตุแห่งการย้ายถิ่นฐานนั้น สมัยโบราณจะมีอยู่ 3 ทาง คือ
1. บ้านแห้งเมืองแล้ง ไม่มีน้ำอุปโภคและบริโภค จำใจต้องย้ายเมืองใหม่ เหมือนพระเจ้าอู่ทองย้ายจากเมืองไตรตรึงส์ไปสร้างกรุงศรีอยุธยาขึ้นมา เพราะว่าแม่น้ำจรเข้สามพันเปลี่ยนสาย ตัวเมืองจึงแห้งขอด อยู่ต่อไปไม่ได้
2. เกิดภัยสงคราม ข้าศึกประชิดเมือง จะสู้ก็ไม่ไหว อยู่ก็ตาย ไปคงจะรอด จึงประกาศให้ทุกคนทำการ "ทิ้งเมือง" ดังพระเจ้าเชียงรายทิ้งเมืองไว้เบื้องหลัง อพยพลงมาจนถึงเมืองไตรตรึงส์ ก่อนทายาทรุ่นต่อมาจะพัฒนาสร้างเป็นกรุงศรีอยุธยา
3. ห่าลง เกิดโรคอหิวาต์ขึ้นในเมือง ผู้คนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง ใครไม่หนีก็ตาย สุดท้ายจึงหนีไปกันทั้งเมือง
ชาวมองโกลในไซบีเรียก็คงจะเจอปัญหาใดปัญหาหนึ่งจึงอยู่ไม่ได้ จำใจต้องย้ายออกจากบ้านเกิดเมืองนอนไปตายเอาดาบหน้า จนกลายมาเป็นชาว "เอสกิโม่" ในปัจจุบัน
ว่าด้วยรูปร่างหน้าตาของชาวเอสกิโมนั้น ท่านบรรยายง่ายๆ ว่า ก็เหมือนชาวมองโกล ถ้ายังนึกไม่ออกก็ขอบอกอีกว่า หน้าตาคล้ายชาวเขาเผ่าต่างๆ ในบ้านเรา หรือแถบยูนนานของจีนนั่นแหละ
Igloo (อิ๊กลู) บ้านน้ำแข็งของเอสกิโม
ที่อยู่อาศัยของชาวเอสกิโมนั้น ค่อนข้างจะประหลาด คือเราท่านทราบว่า พวกเขาอาศัยอยู่ในน้ำแข็ง หรือสร้างบ้านด้วยน้ำแข็ง ถามว่าไม่แข็งตายหรือ ?
ตอบง่ายๆ ว่า ถ้าตายก็คงไม่ได้เห็นเอสกิโม แต่ถ้าตอบอย่างเป็นวิชาการก็ควรพูดว่า เชื่อว่าชาวเอสกิโมมีพัฒนาในการอยู่อาศัยในบริเวณน้ำแข็ง ครอบคลุมตั้งแต่ ที่อยู่อาศัย อาหารการกิน วัฒนธรรมประเพณี การเดินทาง ฯลฯ ทำให้พวกเขาสามารถอยู่รอดปลอดภัยในดินแดนอันหนาวจัดคือขั้วโลกเหนือได้
มองอย่างง่ายๆ ว่า ความหนาวนั้นมี 2 ระดับ คือหนาวเพราะอากาศ และหนาวลม หรือพายุ เมื่อชาวเอสกิโมถูกพายุหิมะกระหน่ำ จึงหาที่กำบัง แม้จะเป็นน้ำแข็ง แต่ก็ยังดีกว่าอยู่กลางพายุ จึงมีคนคิดที่จะสร้างรั้วน้ำแข็งขึ้นมาป้องกันพายุ จนกระทั่งพัฒนาเป็น "บ้านน้ำแข็ง" หรือ อีกลู ดังกล่าว เดี๋ยวนี้หาอยู่ยากแล้วล่ะบ้านน้ำแข็งน่ะ ใครอยากจะนอนอาจจะต้องจ่ายแพงกว่าโรงแรมห้าดาวเสียด้วยซ้ำ
เอสกิโมรุ่นบุกเบิก
ใบหน้าแสดงความทรหดอดทน ทั้งหว้าเหว่เอกาในแดนน้ำแข็ง ทั้งลำบากยากแค้นตั้งแต่ที่อยู่อาศัยไปจนอาหารการกินสารพัด แต่..พวกเขาก็อยู่รอดปลอดภัยได้อย่างน่าอัศจรรย์
จับปลา อาชีพหลักของชาวเอสกิโม
มาถึงเรื่องอาหาร ซึ่งเนื่องมาจากดินแดนที่พวกเขาอยู่นั้นหนาวจัด พืชผักไม่สามารถจะอาศัยอยู่ได้ หนทางสุดท้ายที่เอสกิโมจะได้อาหารมาประทังชีวิตก็คือ ลงทะเลหาปลา ต่อมาก็เพิ่มเติมเป็น การยิงนก ล่าสัตว์ เอาเนื้อมาทำอาหาร ส่วนหนังนั้นก็ใช้ทำเสื้อผ้าให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย
ล่าปลาวาฬ กิจกรรมลงแขกของชาวเอสกิโม
การล่าปลาวาฬนั้น ถือว่าเป็นกิจกรรมสำคัญของชาวเอสกิโม เพราะปลาวาฬตัวใหญ่กว่าช้างหลายตัว แรงจึงมีมหาศาลไปด้วย โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในน้ำจะเพิ่มกำลังเป็นเท่าตัว การจับจึงต้องใช้คนจำนวนมาก เมื่อได้มาก็แบ่งสันปันส่วนกันทุกครัวเรือน
มันปลาวาฬนั้นนิยมเอาไปทำน้ำมัน ทั้งเป็นอาหารและให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย
เนื้อปลาวาฬ นิยมเอาไปทำอาหาร เชื่อว่าถ้าได้กินเนื้อปลาวาฬแล้ว ร่างกายจะเข้มแข็งสุดยอด ทำให้อยู่รอดในความหนาวเหมือนปลาวาฬได้
แบ่งปันปลาวาฬ
เมื่อการล่าปลาวาฬนั้นอันตราย จึงต้องมีผู้ชำนาญการพิเศษ ไม่ต่างไปจากตำแหน่งหมอช้างทางบ้านเรา ผู้ชำนาญการจับปลาที่เรียกว่ากัปตันนั้น มีอำนาจในการแบ่งสันปันส่วนปลาวาฬอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ตำแหน่งนี้ถือว่ามีเกียรติสูงยิ่งในชาวเอสกิโม อยู่ก็สบาย ตายก็มีเกียรติยศ
การล่าปลาวาฬนั้น แม้ในทางนานาชาติจะมีกฎห้าม แต่สำหรับชาวเอสกิโมแล้วยังคงได้รับการผ่อนปรน เพราะถือว่าเป็นประเพณีมาเนิ่นนาน อีกทั้งปัจจุบันนี้ ชาวเอสกิโมก็ยังคงใช้เครื่องมือล่าปลาวาฬแบบโบราณ นั่งเรือแคนู ใช้ฉมวกทิ่ม มิได้ใช้อะไรไฮเท็คช่วยเหมือนชาวญี่ปุ่น ใครเห็นก็สงสาร ปล่อยให้เขาล่ากันต่อไปเถอะ อย่าห้ามเขาเลย ดุสิ แต่ละปีก็มีข่าวชาวเอสกิโมออกหาปลาวาฬแล้วจมน้ำตาย แบบว่าเอาชีวิตเข้าแลก ซึ่งทางรัฐบาลสหรัฐอเมริกาก็คงจะกำหนดโควต้าไว้ว่าจะล่าได้ปีละไม่เกินกี่ตัว และล่าในช่วงไหน เพราะบางฤดูอาจจะเป็นช่วงที่ปลาตั้งท้อง ก็ต้องห้าม
เมื่อล่าได้ปลามาแล้ว ก็จะแจกจ่ายกันไปกินไปใช้ฟรีๆ ไม่มีการซื้อขาย เหลือกินก็เก็บไว้ในตู้เย็นธรรมชาติ ถึงฤดูกาลใหม่ก็ล่ากันใหม่ หมุนเวียนไปเรื่อยๆ จนกว่าชาวเอสกิโมจะเบื่อล่าปลาวาฬไปเอง
สุนัขไซบีเรีย ชำนาญการลากจูงบนน้ำแข็ง เป็นพาหนะชั้นเลิศของชนชาวขั้วโลกเหนือ
นอกจากนั้นแล้ว อาหารการกินของชาวเอสกิโมก็คงจะวนเวียนอยู่กับ "ปลา-เนื้อ เนื้อ-ปลา" เพราะว่าไม่มีผักผลไม้ให้ทาน จะหาซื้อที่ไหนก็ไม่ได้ เพราะไม่มีทางติดต่อไม่ว่าทางบกหรือทางทะเล ในช่วงแรกที่อพยพเข้ามาในดงน้ำแข็งนั้นก็ลำบาก ไม่มีไฟหรือเชื้อไฟในแถบนั้นเลย เลยจำใจต้องกินปลาเนื้อดิบๆ จนได้ชื่อเอสกิโมดังกล่าว แต่ก็แปลกอีก พวกญี่ปุ่นกินดิบๆ จนได้นาม "แดนปลาดิบ" ก็ไม่เห็นจะโกรธเคืองอะไร
สหายหลายท่านเล่าให้ฟังว่า เจออะไรที่เคลื่อนไหวได้ พวกเอสกิโมก็กินหมดแหละ ยกเว้นคนเท่านั้น ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นปลาวาฬ ปลาโลมา แมวน้ำ สิงห์โตทะเล หมีขาวขั้วโลก กวางคาลิบู ปลาเล็กปลาน้อย นกเป็ดต่างๆ ฯลฯ ล้วนตกเป็นอาหารของชาวเอสกิโมมาหมดแล้ว จะมีพิเศษก็เห็นจะเป็น "สุนัขไซบีเรีย" ชาวเอสกิโมรัก นิยมเลี้ยงไว้ประจำบ้าน ใช้งานลากจูงพาหนะไปในกลางหิมะแทนวัวควาย
สิ่งหนึ่งซึ่งต้องถือว่ามีความจำเป็นสำหรับชาวเอสกิโมเป็นอย่างยิ่ง เป็นชูชีพช่วยพยุงชีวิตไม่ให้หนาวตายในน้ำแข็ง สิ่งนั้นคือ เหล้าว็อดก้า ซึ่งมีคุณสมบัติ "ทำให้เลือดอุ่น ไม่แข็งตาย" ชนเผ่าต่างๆ ในแถบประเทศทางขั้วโลกเหนือต้องกินเพื่อประทังชีวิตทั้งชายและหญิง บางทีถ้าเราฟังภาษาเอสกิโมออก ก็อาจจะได้ยินเขาคุยกันว่า "สุราเป็นยาวิเศษ เหล้าเท่ากับชีวิต ชีวิตเท่ากับเหล้า" แถมเมื่อกินเหล้าเข้าไปแล้ว พวกเนื้อสัตว์หรือปลา กินดิบๆ ก็อร่อย คนไทยก็กินลาบหลู้คู่กับเหล้ามานานแสนนาน ทั้งที่มิได้อยู่ในถิ่นหนาวเลย
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันนี้ มีกฎหมายห้ามมิให้ชาวเอสกิโมซื้อหาสุราและเครื่องดื่มมึนเมากินเอง แต่มีเอเย่นต์ดำเนินการแทน โดยผู้ต้องการดื่มเหล้านั้นต้องลงทะเบียนและแสดงสิทธิ์ทุกครั้งในการซื้อ แถมยังจำกัดปริมาณอีกด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันมิให้ชาวเอสกิโมดื่มเหล้าหนักเกินไป เป็นอันตรายถึงชีวิต ซึ่งก็ไม่น่าเชื่อว่าจะมีกฎหมายแบบนี้บนโลกใบนี้ ที่สามารถขึ้นทะเบียนคนดื่มเหล้าและจำกัดปริมาณของการดื่มได้เด็ดขาด แต่แบโร่ว์เขาทำได้จริง รัฐบาลและคณะสงฆ์ไทยน่าจะศึกษาและนำแบโร่ว์มาเป็น "เมืองต้นแบบ" ของหมู่บ้านรักษาศีลห้า เพราะเห็นๆ อยู่ว่า ยิ่งให้ศีลมากก็ยิ่งดื่มมาก
เล่าเรื่องเมืองแบโร่ว์และชาวเอสกิโมในอดีต ก็คงต้องจบลงเพียงเท่านี้
|
พระมหานรินทร์ นรินฺโท 3 กันยายน 2562 |
ALITTLEBUDDHA.COM WAT THAI LAS VEGAS 2920 MCLEOD DR. LAS VEGAS NV 89121 U.S.A. 702-384-2264