ยังไม่จบ !
พงศ์พรออกโรงชี้สถานะพระเจ้าคุณเอื้อน
คดียังไม่สิ้นสุด ห่มผ้าเหลืองไม่ได้
ถือว่าผิดกฎหมาย
เอ้า..มาละเหวย มาละวา มาแต่ของเรา ของเขาไม่เห็นมา..
อา..และแล้ว พระเอกตัวจริงเสียงจริงก็โผล่ เพราะคงทนไม่ไหว ที่กระแสเจ้าคุณเอื้อนสะท้านสะเทือนไปทั่วปัถพี พงศ์พรนอนอยู่บ้าน คงถูกคุณนายขนิษฐาต่อว่า ว่าเนี่ย คดีที่ไปฟ้องพระ ทำครอบครัวเราเดือดร้อนนะ จะไปวัดไปวาก็สู้หน้าผู้คนไม่ได้ เขาหาว่าครอบครัวเราเป็นเดียรถีย์ ฯลฯ นี่ก็น่าจะเป็นสาเหตุให้คุณพงศ์พร ร้อนอกร้อนใจ ล้ำหน้าออกมาแถลงไขเสียยาวยืด ทั้งๆ ที่ท่านรองนายกฯ วิษณุ เครืองาม สั่งการให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นผู้ชี้แจง แต่ทำไมกลายเป็น "พงศ์พร" ซึ่งมิได้เกี่ยวข้องกับสำนักพุทธฯ มานานหลายปีแล้ว ถึงปัจจุบันจะมีตำแหน่งเป็น "ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีด้านกิจการพระพุทธศาสนา" ก็ตาม มันคนละหน้าที่ นี่เห็นไหม วิบากกรรมเริ่มตามสนองแล้ว กินไม่ได้ นอนไม่หลับ อยู่ที่ไหนก็ไม่เป็นสุข
ตรงนี้จึงถือว่า "คุณพงศ์พรมาผิดฝาผิดตัว" ส่อเจตนาตามล้างตามผลาญเจ้าคุณเอื้อนและพระที่ถูกดำเนินคดีทั้งหมด มีข่าวด้วยว่า ก่อนจะแจ้งตำรวจจับกุมคุมขังพระนั้น พงศ์พรเคยเขียนสำนวนส่งตำรวจ ระบุว่า "พระเหล่านี้ต้องอาบัติปาราชิก" แสดงความเห็นเก่งกว่าสังฆราชเสียอีก จริงหรือไม่ล่ะ
แต่ไหนๆ ก็มาแล้ว คนเป็นถึงอดีต ผอ.พศ. และปัจจุบันเป็นที่ปรึกษานายกฯ ยกเหตุผลมาพูดมากมายเหมือนแม่น้ำ 5 สาย จะไม่ฟังกันเลยเจียวหรือ ฟังผมบ้างสิ ผมก็มีหัวใจนะ อิอิ
เรามาว่ากันถึง "สถานะ" ของเจ้าคุณเอื้อนกันนะ สถานะนั้นมี 2 สถานะ คือ สถานะทางกฎหมาย และสถานะทางพระธรรมวินัย
ในทางกฎหมายนั้น ว่าโดยหลักการแล้ว ก็มีอำนาจบังคับใช้เฉพาะทางร่างกาย เช่น มาตรา 29 ที่ระบุว่า ถ้าพระถูกจับกุมในคดีอาญา เจ้าพนักงานหรือศาลไม่อนุญาตให้ปล่อยตัว ก็ให้เจ้าหน้าที่มีอำนาจบังคับให้พระรูปนั้น..สละสมณเพศ
ในทางพระธรรมวินัยนั้น ระบุว่า การขาดจากความเป็นพระ ต้องใช้อาบัติปาราชิก 4 ข้อ มาเป็นหลักวินิจฉัย ไม่ได้ระบุว่าต้องใช้ พรบ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ด้วย เข้าใจตรงกันนะ
มีข้อสังเกตว่า พรบ.คณะสงฆ์ เลี่ยงที่จะใช้คำว่า "ลาสิกขา" แต่ท่านใช้คำว่า "สละสมณเพศ" แทน เพราะคงมองเห็นแล้วว่า มาตรว่าพระภิกษุรูปนั้นๆ จะถูกดำเนินคดี แต่ในเมื่อคดียังไม่สิ้นสุด จำเลยก็ยังไม่ถือว่าผิด ดังนั้น การจะจับพระสึกเลยนั้น ก็ผิดพระธรรมวินัย จึงเลี่ยงไปใช้คำว่า "สละสมณเพศ" แทน คือเอาผ้าเหลืองออกจากร่างกาย ให้ใช้ผ้าอื่นนุ่งห่มสู้คดีไปพลางก่อน ถ้าพิสูจน์ตัวเองว่าพ้นมลทินแล้ว ก็สามารถจะกลับมาห่มผ้าเหลืองได้ ดังในอดีตก็เคยมีกรณีพระพิมลธรรม วัดมหาธาตุฯ มาแล้ว
การนุ่งห่มผ้าขาว ผ้าดำ ผ้าเขียว ผ้าแดง ผ้าลาย ผ้าหางกะรอก ผ้าป่านโทเร ผ้ามิสลิน ผ้าไหมไทย ไหมญี่ปุ่น ไหมสวิส หรือผ้าอื่นใดในโลก จึงมิใช่เหตุผลที่จะบอกว่า พระรูปนั้นมิใช่พระ เพราะในพระวินัยก็อนุญาตไว้ว่า ในกรณีฉุกเฉิน เช่น ถูกลักขโมยผ้าไป พระรูปนั้นไม่มีผ้าเหลืองใส่ ก็อนุญาตให้ใช้ผ้าอื่นใด หรือแม้กระทั่งใบไม้ ปกปิดร่างกายไปพลางก่อน และอนุญาตให้ "ขอผ้า" ได้อีกด้วย เพราะมันจำเป็น จึงต้องยกเว้นเป็นกรณี นี่เห็นไหม อัจฉริยภาพของพระบรมศาสดา จึงทำให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญา เพราะว่ามีเหตุผล
ดังนั้น การถูกฟ้องร้องในคดีอาญา จึงไม่ถือว่าทำให้ขาดจากความเป็นพระ
การถูกบังคับให้สละสมณเพศ ตาม พรบ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ก่อนถูกคุมตัวเข้าห้องขัง ก็ยังไม่ถือว่าทำให้ขาดจากความเป็นพระ
ความเป็นพระจะสิ้นสุดเพราะพระธรรมวินัยเท่านั้น กฎหมายแพ่ง อาญา พาณิชย์ คำสั่งศาล การบังคับจับกุมคุมขังของเจ้าหน้าที่ หรือวิธีการอื่นใดในโลก ไม่มีอำนาจในการวินิจฉัยให้ขาดจากความเป็นพระ
การสละสมณะเพศ ตามความใน พรบ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 จึงถือว่าไม่ใช่การลาสิกขา เพราะลาสิกขาจะต้องมีการ "เปล่งวาจา" ประกอบร่วมด้วย จึงจะถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัย แล้วถามว่า อดีตพระพิมลธรรมก็ดี อดีตพระพรหมดิลกก็ดี มีหลักฐานพยานยืนยันว่าท่านไม่ได้เปล่งวาจาลาสิกขา จะถือว่าท่านขาดจากความเป็นพระได้อย่างไร
การที่นายพงศ์พรอ้างว่า การขาดจากความเป็นพระมี 2 หลัก คือหลักพระธรรมวินัยกับหลักกฎหมาย นั้น ถือว่าพูดผิด เข้าใจผิด และผิดอย่างมหันต์ เพราะความจริงแล้ว การจะขาดจากความเป็นพระมีเพียงหลักเดียว คือหลักพระธรรมวินัย เท่านั้น หลักกฎหมายไม่สามารถทำให้ขาดจากความเป็นพระได้
หลักกฎหมายจะเข้าข่าย "ปาราชิก" ได้นั้น มีเพียงวิธีการเดียว คือการพิสูจน์ว่าจำเลย (พระ) นั้นทำผิดกฎหมายจริง และการทำผิดนั้น "เข้าข่ายอาบัติปาราชิก" ทางศาลสงฆ์จึงจะนำเอาความผิดมูลฐานที่เกี่ยวเนื่องกับอาบัติปาราชิกนั้น ไปวินิจฉัยให้พระภิกษุรูปนั้น "สิ้นสุดสมณภาวะ" แม้ไม่ลาสิกขาก็ถือว่าขาดจากความเป็นพระทันที
ไม่มีแห่งใด ที่จะใช้ "หลักกฎหมาย" มาบังคับให้พระลาสิกขา เพียวๆ
ถ้ามี ก็แสดงว่า กฎหมายอยู่เหนือพระธรรมวินัย รวมทั้ง พรบ.คณะสงฆ์ 2505 ก็จะถือว่าเป็นการสร้าง "พระธรรมวินัยเทียม" ขึ้นมา และถ้าเป็นเช่นนั้น กฎหมายฉบับนั้นๆ ก็ใช้ไม่ได้ เพราะขัดแย้งกับพระธรรมวินัยเสียเอง
การออกมาพูดของพงศ์พรในวันนี้ จึงเห็นได้ชัดว่า พงศ์พร ไม่มีความรู้ทางด้านกฎหมายและพระธรรมวินัย จึงบอกว่า พระจะขาดจากความเป็นพระเพราะกฎหมายหรือพระธรรมวินัยข้อใดข้อหนึ่ง ไปถาม "มหาวอ-ศาสดาของพงศ์พร" ดูสิ ว่าจริงหรือไม่ ? ส่วนรายละเอียดอื่นๆ นั้น เราคงไม่จาระไน เพราะไม่มีเวลา เอาไว้ว่ากันวันหลัง นะ เจริญพร
หนึ่งข้อก็ขาด !
ผอ.สำนักพุทธฯ ชี้เงินทอนวัดไม่จบ เจ้าคุณเอื้อน ห่มเหลืองไม่ได้คดีเงินทอนวัดยังไม่จบ อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ "พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์" เตือนอดีตเจ้าคุณเอื้อน รีบร้อนห่มเหลือง อาจเข้าข่ายแต่งกายเลียนแบบสงฆ์ เหตุคดีทุจริตเงินวัดยังคา ส่วนที่ศาลยกฟ้องเป็นแค่ข้อหาฟอกเงิน
พร้อมแจงรายละเอียด 3 กลุ่มความผิด ทั้งทุจริต ฟอกเงิน และริบทรัพย์ ยกกฎมหาเถรฯ ประกอบพระธรรมวินัย หากเข้าข่ายปาราชิกแล้วย่อมบวชใหม่ไม่ได้อีก พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (อดีต ผอ.พศ.) กล่าวถึงกรณีศาลอุทธรณ์ยกฟ้องอดีตพระพรหมดิลก หรือ เจ้าคุณเอื้อน อดีตเจ้าอาวาสวัดสามพระยา ในความผิดฐานฟอกเงิน จนมีข่าวเตรียมกลับมาห่มจีวรอีกรอบ เพราะไม่เคยเปล่งวาจาสึก ว่า คดีเงินทอนวัดที่อดีตพระพรหมดิลกตกเป็นจำเลย เป็นคดีที่พนักงานอัยการยื่นฟ้องกรณีทุจริตงบอุดหนุนการศึกษาพระปริยุติธรรมแผนกสามัญศึกษา แบ่งออกเป็น 3 คดี คือ 1. คดีความผิดมูลฐาน เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 5 มี.ค.2563 ว่าอดีตพระพรหมดิลกมีความผิดฐานสนับสนุนให้เกิดการทุจริต มีโทษจำคุก 8 เดือน แต่โทษจำให้รอลงอาญาไว้ 1 ปี ซึ่งขณะนี้ยังไม่พ้นกำหนด 1 ปี และยังไม่ชัดเจนว่ามีการยื่นอุทธรณ์ด้วยหรือไม่ 2. คดีอาญาฐานฟอกเงิน ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 16 พ.ค.2562 ว่าอดีตพระพรหมดิลกมีความผิด ให้จำคุก 6 ปี แต่ล่าสุดศาลอุทธรณ์พิพากษาเมื่อวันที่ 23 ก.ย.2563 สรุปว่าจำเลยไม่รู้ว่าเป็นเงินที่ไม่มีสิทธิ์ได้รับ จึงขาดเจตนา ไม่มีความผิดฐานฟอกเงิน ให้ยกฟ้อง 3. คดีแพ่ง ฐานฟอกเงิน ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าเงินในบัญชีเงินฝากของอดีตพระพรหมดิลกเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด จึงให้ตกเป็นของแผ่นดิน 1.7 ล้านบาท พ.ต.ท.พงศ์พร กล่าวต่อว่า หลังศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาเมื่อวาน มีประเด็นที่ต้องพิจารณาดังนี้ ประเด็นแรก อดีตพระพรหมดิลกขาดจากความเป็นพระหรือยัง เรื่องนี้เมื่อตรวจสอบย้อนหลังไปในชั้นสอบสวน จำเลยถูกจับกุมและศาลมีคำสั่งให้ขัง ไม่อนุญาตให้ประกันตัว จึงถูกเจ้าพนักงานใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (พ.ร.บ.สงฆ์) มาตรา 30 ให้สละสมณเพศก่อนเข้าเรือนจำ ทำให้ขาดจากความเป็นพระแล้วตามกฎหมาย การขาดจากความเป็นพระ มี 2 หลัก คือ หลักพระธรรมวินัย สละสมณเพศด้วยการลาสิกขา เปล่งวาจา และถอดจีวรออก เรียกว่า "สึกเอง" กับขาดจากความเป็นพระเพราะอาบัติหนัก หรือ "ครุอาบัติ" ได้แก่ ปาราชิก 4 ฆ่าคน, ลักทรัพย์, เสพเมถุน, อวดอุตริมนุสธรรม ถ้ากระทำอย่างใดอย่างหนึ่งใน 4 อย่างนี้ ถือว่าขาดจากความเป็นพระ ณ ขณะที่ทำนั้นเลย (ขาดโดยอัตโนมัติ) อีกหลักหนึ่ง คือ หลักกฎหมาย (พ.ร.บ.สงฆ์) มี 2 มาตราที่เกี่ยวข้อง คือ มาตรา 29 ถูกจับในคดีอาญา แล้วพนักงานสอบสวนไม่อนุญาตให้ประกันตัว ก็ให้สละสมณเพศเสียก่อนที่จะนำตัวเข้าห้องขัง กับมาตรา 30 เมื่อมีคำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลให้จำคุก กักขัง หรือขังพระภิกษุ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจดำเนินการให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศ กรณีของอดีตพระพรหมดิลก พ.ต.ท.พงศ์พร บอกว่า เคยไม่ได้รับอนุญาตจากศาลให้ประกันตัว จึงขาดจากความเป็นพระตั้งแต่วันนั้น เพราะถูกดำเนินการตาม พ.ร.บ.สงฆ์ มาตรา 30 จะเห็นได้ว่าตอนไปขึ้นศาล ช่วงที่ไม่ได้รับประกันตัว อดีตเจ้าคุณเอื้อนก็ใส่ชุดนักโทษ เมื่อได้ประกันก็ใส่ชุดขาว แสดงว่าเจ้าตัวรู้ดีว่าขาดจากความเป็นพระแล้ว ประเด็นที่สอง อดีตพระพรหมดิลกกลับมาห่มจีวรได้ทันทีเลยหรือไม่ ประเด็นนี้อธิบายได้ว่า อดีตเจ้าคุณเอื้อนไม่สามารถกลับมาห่มจีวรได้ เพราะถือว่าขาดจากความเป็นพระไปแล้ว หากจะห่มจีวร ต้องกลับมาบวชใหม่ โดยมีพระอุปัชฌาย์ แต่หากไม่มีการบวชใหม่ แล้วไปห่มจีวร ก็จะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 208 ว่าด้วยการแต่งกายเลียนแบบสงฆ์ ประเด็นที่ 3 อดีตเจ้าคุณเอื้อนกลับมาบวชใหม่ได้หรือไม่ คำตอบคือ ยังเข้าบรรพชาหรืออุปสมบทไม่ได้ เพราะต้องห้ามตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 17 ข้อ 14 เนื่องจากอดีตพระพรหมดิลกยังต้องคดีอาญาอยู่ คดียังไม่ถึงที่สุด แม้คดีฟอกเงินในศาลอุทธรณ์ ศาลจะยกฟ้องก็ตาม แต่อัยการยังมีสิทธิ์ฎีกา ขณะที่คดีทุจริตก็ยังไม่พ้นระยะเวลารอลงอาญา ที่สำคัญ การรอลงอาญาแปลว่ามีความผิด และมีโทษ เพียงแต่โทษยังไม่ต้องรับทันทีเท่านั้น และที่ต้องไม่ลืมก็คือ คดีแพ่งที่ศาลสั่งริบทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน แม้คดีจะยังไม่ถึงที่สุด แต่มีข้อพิจารณาว่าการได้มาซึ่งทรัพย์สินโดยมิชอบ เข้าข่ายปาราชิกหรือไม่ หากเข้าข่ายก็ไม่สามารถกับมาบวชได้อีกเลย ซึ่งประเด็นนี้ขึ้นกับการวินิจฉัยของฝ่ายสงฆ์ ส่วนกรณีที่มีการยกเคสของ พระพิมลธรรม (อาจ อาสภเถระ) ถูกจับกุมคุมขังเมื่อปี พ.ศ.2505 เพราะถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ถูกสังฆมนตรี สันติบาล และสารวัตรทหารถอดจีวร แต่ท่านไม่เปล่งวาจา และรักษาพระธรรมวินัยระหว่างถูกควบคุมตัว กระทั่งศาลมีคำพิพากษาว่าพระพิมลธรรมไม่มีความผิด จึงถือว่าไม่ขาดจากความเป็นพระนั้น ประเด็นนี้ พ.ต.ท.พงศ์พร อธิบายว่า ช่วงที่เกิดคดีพระพิมลธรรม ในปี 2505 ตอนที่ถูกจับสึก เป็นเดือน เม.ย. ขณะนั้นยังไม่ได้ใช้บังคับ พ.ร.บ.สงฆ์ โดย พ.ร.บ.ฉบับนี้ ประกาศเมื่อวันที่ 31 ธ.ค.2505 และมีผลบังคับใช้ในวันรุ่งขึ้น คือวันที่ 1 ม.ค.2506 เหตุนี้จึงไม่สามารถนำกรณีของพระพิมลธรรม มาเทียบกับอดีตพระพรหมดิลกได้ เนื่องจากอดีตเจ้าคุณเอื้อนต้องอยู่ภายใต้บังคับของ พ.ร.บ.สงฆ์ ถือว่าขาดจากความเป็นพระ และยังไม่สามารถกลับมาบรรพชาหรืออุปสมบทใหม่ได้ หากมีการสวมจีวรตามที่ปรากฏภาพในสื่อสังคมออนไลน์ ก็ต้องถือว่ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 208 แต่งกายเลียนแบบสงฆ์ ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนที่มีบางฝ่ายพยายามโจมตีว่า อดีตพระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่ไม่มีความผิด แต่ถูกกลั่นแกล้งใส่ร้ายนั้น พ.ต.ท.พงศ์พร บอกว่า รัฐบาลหรือสำนักงาน พศ. มีฐานะเป็นส่วนราชการ ถือว่าเป็นนิติบุคคลผู้จ่ายเงินงบประมาณ ผู้รับงบประมาณต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ คืองบที่กำหนดให้ใช้เพื่อการใด ก็ต้องใช้เพื่อการนั้น ฉะนั้น เมื่อมีการใช้เงินผิดวัตถุประสงค์ ก็จะผิดตาม พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณด้วย และเมื่อมีการทุจริตก็ต้องไปร้องทุกข์กล่าวโทษ แต่บทบาทของสำนักพุทธฯ ร้องทุกข์เฉพาะคดีปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตเท่านั้น ส่วนคดีฟอกเงิน สำนักพุทธฯไม่ได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษ หน่วยงานที่ร้องทุกข์คือ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. เพราะเป็นคดีสืบเนื่อง แต่สังคมมักเข้าใจผิดว่าเป็นการดำเนินการของสำนักงาน พศ. ทั้งหมด
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ : 25 กันยายน 2563 |
WWW.ALITTLEBUDDHA.COM WAT THAI LAS VEGAS 2920 MCLEOD DRIVE LAS VEGAS NEVADA 89121 U.S.A. PHONE. 702-384-2264 |