ส่อแววไม่ยอมเลิกรา
สำนักพุทธฯโพสต์ข้อหาเจ้าคุณเอื้อน
คดียังไม่สิ้นสุด กลับมาห่มผ้าเหลือง
ผิด ม.208
อา.. ดูท่าว่าสงครามระหว่าง สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กับ อดีตเจ้าอาวาสวัดสามพระยาและวัดสระเกศ จะไม่จบง่ายๆ เสียแล้ว มีข้อสังเกตตรงที่ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษา "ยกฟ้อง" เจ้าคุณเอื้อนและพระเลขา ทางสำนักพุทธฯ ก็คงเกาะติดคดีนี้เช่นกัน แต่ไม่มีการนำเอาข่าว "ยกฟ้อง" นั้น นำเสนอทางเพจของสำนักพุทธฯ แต่สำนักพุทธฯ กลับนำเอาข่าว "ตั้งข้อหาเจ้าคุณเอื้อนกลับมาห่มผ้าเหลือง" โดยอ้างว่าคดียังไม่สิ้นสุด ผู้ที่ฝ่าฝืนจะผิดกฎหมายอาญา มาตรา 208 ซึ่งระบุว่า
นี่หมายถึงว่า มาตรว่าจะเอาผิดในข้อหาโกงเงินวัดหรือฟอกเงินวัดไม่ได้ ทางสำนักพุทธฯ ก็ยังสามารถเอาผิดในข้อหา "แต่งกายเลียนแบบพระภิกษุ" ได้อีก
กรณีที่ทางเพจ THE TRUTH บ่งความผิดเกี่ยวกับมาตรา 208 นั้น ก็มีเงื่อนไขตรงที่ว่า "คดียังไม่สิ้นสุด" หมายถึงยังมี "ศาลฎีกา" ให้โจทก์ คือสำนักพุทธฯ (อัยการ) ยื่นฎีกาได้อีก ดังนั้น จึงเห็นว่าคดีนี้ยังไม่สิ้นสุด
แต่ความจริงแล้ว คดีนี้จะสิ้นสุดหรือไม่ ก็อยู่ที่ทางสำนักพุทธฯ (อัยการ) จะทำการยื่นฎีกาหรือไม่ ถ้ายื่น, คดีก็เดินหน้าต่อ ถ้าไม่ยื่น, คดีก็สิ้นสุดตรงนี้ ตรงที่อุทธรณ์
แน่นอนว่าในทางกฎหมาย สำนักพุทธฯ มีสิทธิที่จะฎีกา
แต่ในทางพระศาสนา ถ้าสำนักพุทธฯ ยื่นฎีกาต่อ ก็จะแสดงให้เห็นว่า เจ้าหน้าที่รัฐ มีเจตนาจะทำร้าย-ทำลาย พระสงฆ์ ให้ถึงที่สุด เหมือนมีเจตนาอาฆาตมาแต่เดิม
ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะว่า ถ้าทางรัฐบาลไทยและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้ทำหน้าที่ในการพิทักษ์ผลประโยชน์ของแผ่นดิน จึงทำการฟ้องร้องพระสงฆ์ ที่เห็นว่า "น่าจะทำผิด" นั่นก็ยังเชื่อว่าไม่เจตนา เพราะเป็นการปฏิบัติหน้าที่ ถ้าไม่ฟ้องก็ถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เช่นกัน
แต่เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาออกมาเช่นนี้ ก็สมควรที่จะ "หยุด" คือว่าเพียงพอแล้ว พิสูจน์ความจริงกันแล้ว ข้อเท็จจริงปรากฏแล้วว่า พระท่านมิได้โกง เงินไม่ได้หายไปไหน ถูกใช้ไปในการก่อสร้างวัดวาอาราม เจตนาของรัฐในการอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนา ก็มิได้เสียหาย จึงสมควรแก่เหตุ หยุดการฟ้องร้องไว้แต่เพียงเท่านี้ ปล่อยพระท่านไปปฏิบัติศาสนกิจของท่านเสีย
ถ้าทำได้เช่นนี้ ก็จะเชื่อว่ารัฐบาลและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ไม่มีเจตนาในการทำลายพระสงฆ์ ภาพลักษณ์ของรัฐบาลก็จะสวยงามในสายตาของประชาชน
แต่ถ้ารัฐบาลยังยืนยันจะฟ้องร้องต่อไปอีก แถมยังหาสาเหตุเพิ่ม โดยอ้างการทำผิด ม.208 นั่นแสดงว่า รัฐและสำนักพุทธฯ มีเจตนาจะเข่นฆ่าพระเหล่านั้นให้ล้มหายตายจากไป โดยใช้คดีความเป็นตัวถ่วงดึง ทั้งๆ ที่ศาลก็เคยระบุว่า "การจำคุกจำเลยในคดีนี้ ไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติศาสนา"
พฤติกรรมดังกล่าวของรัฐและสำนักพุทธฯ ย่อมจะสร้างความสังเวชใจให้แก่บรรดาพระภิกษุสามเณรทั่วประเทศ มองเห็นรัฐและสำนักพุทธฯ เป็นผู้ทำร้ายพระสงฆ์ แทนที่จะเป็นผู้ทำนุบำรุงพระศาสนา แบบว่าแรกนั้นมีศรัทธาถวายสังฆทาน พอพระเณรเอาไปใช้ไม่เป็นไปตามที่ตนประสงค์ ก็ฟ้องร้องเป็นเรื่องราวใหญ่โต ผิดกับแนวพระธรรมคำสอน
สาเหตุที่รัฐและสำนักพุทธฯ จะฟ้องร้องต่อศาลฎีกานั้น ก็มีเพียงสิ่งเดียว คือ ทิฐิมานะ คิดว่ารัฐและหน่วยงานรัฐจะแพ้ไม่ได้ มันจะเสียศักดิ์ศรี ฯลฯ ถ้าคิดแบบนี้ก็ลำบากใจแล้วล่ะ คนทำงานเพื่อบ้านเมืองและเพื่อศาสนา ถึงขนาดว่าพระเจ้าก็ยังไม่ยอม ถ้าเป็นคนอื่นๆ ก็คงจะอาฆาตมาดร้ายเข่นฆ่ากันตายทั้งเมือง ถามว่านี่หรือเมืองพุทธฯ
ดังนั้น คดีวัดสามพระยาก็ดี คดีวัดสระเกศก็ดี จะหยุดหรือเดินหน้าต่อไป ก็อยู่ที่รัฐบาลและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
แน่นอนว่า ถ้ารัฐและสำนักพุทธฯ ไม่ยอมหยุด ก็เท่ากับผลักให้จำเลยต้องหันหน้ามาสู้ คือต้องมีการฟ้องร้องรัฐและสำนักพุทธฯ ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งมันจะยืดเยื้อเสียหายในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา
ก็อยู่ที่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล และเป็นผู้นำชาวพุทธอยู่ในเวลานี้ จะวางท่าทีอย่างไร อยากให้บ้านเมืองสงบ ควรจะทำอย่างไร ไม่มีใครสอนนายกฯได้ แต่ทุกสิ่งที่ทำไป จะถูกบันทึกไว้ตราบนานเท่านาน จะเลือกนรกหรือสวรรค์ ก็เชิญ..
อดีตพระพรหมดิลก โผล่ห่มจีวรพบมีความผิด ! คดีเงินทอนยังไม่สิ้นสุด
จากที่ นายอรรณพ บุญสว่าง ทนายความนายเอื้อน กลิ่นสาลี อดีตพระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม) อดีตเจ้าอาวาสวัดสามพระยา กล่าวถึงศาลพิพากษายกฟ้องว่า เนื่องจากเห็นว่าจำเลยทั้งสองไม่ได้รู้เห็นเกี่ยวข้องกับการใช้เงินดังกล่าวเพื่อฟอกเงินทั้งนี้ งบดังกล่าว ทางวัดสามพระยาจัดให้มีการศึกษาในแผนกสามัญด้วย วัดสามพระยาจึงมีสิทธิรับงบประมาณนี้ ดังนั้น การใช้เงินใช้จ่ายในวัดสามพระยา ไม่ได้เป็นการฟอกเงิน จึงยกฟ้องจำเลยทั้งสอง เมื่อถามเกี่ยวกับคดีนี้จะขึ้นสู่ศาลฎีกาหรือไม่ นายอรรณพ กล่าวว่า จะต้องรอให้อัยการโจทก์เป็นผู้พิจารณาตามข้อกฎหมาย วันนี้จำเลยทั้งสองก็ดีใจที่ศาลอุทธรณ์มีความเห็นตรงกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ว่าเงินส่วนนี้ให้ใช้ในการก่อสร้างอาคารซึ่งเป็นที่พักของพระสงฆ์ ส่วนเรื่องสมณเพศของจำเลย นายอรรณพ กล่าวว่า ความจริงแล้วท่านทั้งสองก็ไม่ได้เปล่งวาจาสึก ยังรักษาดำรงพฤติการณ์เสมือนตอนเป็นพระอยู่ แต่ในทางกฎหมายอาจจะยังมีข้อโต้แย้ง ต้องทำความเข้าใจกัน ซึ่งจริงๆ แล้วท่านตั้งใจว่าหากศาลยกฟ้องจะเรียกร้องสิทธิในการแสดงออกด้วยการห่มเหลือง ขณะที่ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จำเลยทั้งสองซึ่งได้รับการประกันตัว สวมชุดขาวเดินทางมาศาล พร้อมมีกลุ่มพระสงฆ์และกลุ่มฆราวาสเดินทางมาร่วมติดตามฟังคำพิพากษาและให้กำลังใจจำเลย ต่อมามีรายงานว่า เมื่อช่วงเย็นหลังออกจากศาล อดีตพระพรหมดิลก และนายสมทรง อรรถกฤษณ์ อดีตพระอรรถกิจโสภณ ได้กลับมายังวัดสามพระยา กลับครองจีวร สู่สมณเพศ มีการสวดมนต์บทสังฆปิติถวายในพระอุโบสถ พร้อมอ่านคำพิพากษายกฟ้องในพระอุโบสถต่อหน้าคณะสงฆ์ โดยพระทั้ง 2 รูป กลับมาถือสมณเพศ โดยไม่ได้อุปสมบทใหม่ อย่างไรก็ตามผลคดีอดีตพระพรหมดิลก วัดสามพระยา ถูกพนักงานอัยการฟ้องเป็นจำเลยกรณีทุจริตงบเงินอุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษาของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พ.ศ.) คดีความผิดมูลฐาน/เจ้าพนักงานปบ.หน้าที่โดยทุจริต (ปอ.ม.157) ศาลชั้นต้นพิพากษา (5 มี.ค.63) ว่า ผิดฐานสนับสนุนจำคุก 8 เดือน รอลงอาญาไว้ 1 ปี 1. คดีอาญาฟอกเงิน 2.1 ชั้นสอบสวนจำเลยถูกจับและศาลมีคำสั่งให้ขัง จึงถูกเจ้าพนักงานใช้อำนาจตาม พรบ.คณะสงฆ์ฯ ม.30 สละสมณเพศก่อนเข้าเรือนจำ ทำให้ขาดจากการเป็นพระภิกษุแล้วตามกฎหมาย 2.2 ศาลชั้นต้นพิพากษา (16 พค.62) ว่าจำเลยผิดฐานฟอกเงิน ให้จำคุก 6 ปี 2.3 ศาลอุทธรณ์พิพากษา (23 ก.ย.63) ว่าจำเลยไม่รู้เป็นเงินที่ไม่มีสิทธิได้รับ จึงขาดเจตนา ไม่ผิดฐานฟอกเงิน ให้ยกฟ้อง 3. คดีแพ่งฟอกเงิน ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า เงินของจำเลยเป็นทรัพย์สินเกี่ยวกับการกระทำผิด จึงให้ตกเป็นของแผ่นดิน 1.7 ล้านบาท 4. ข้อพิจารณา 4.1 ตาม 2.1 จำเลยขาดจากการเป็นพระภิกษุแล้วย่อมไม่สิทธิแต่งกายเป็นพระภิกษุอีก หากฝ่าฝืนผิด ปอ.ม.208 (แต่กายเลียนแบบพระภิกษุ) เว้นแต่จะเข้าบรรพชาอุปสมบทใหม่ 4.2 แต่จำเลยยังเข้าบรรพชาอุปสมบทไม่ได้เพราะต้องห้ามตามกฎมหาเถรสมาคม (มส.)ฉบับที่ 17 ข้อ 14 เนื่องจากจำเลยยังต้องคดีอาญา โดยตาม 2.2 จำเลยถูกศาลชั้นต้นพิพากษาว่าผิด จำคุก 6 ปี แม้ปัจจุบันตาม2.3 ศาลอุทธรณ์จะพิพากษายกฟ้อง แต่ตาม 1 จำเลยยังอยู่ระหว่างรอการลงโทษ 1 ปีจะพ้นเมื่อ 5 มี.ค.2564 4.3 จะเห็นได้ว่าจำเลยทราบดี จึงแต่งชุดขาวมาศาลตลอด 4.4 แต่หลังฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ตาม 2.3 ปรากฏภาพจำเลยเผยแพร่ในสื่อว่าจำเลยสวมจีวรร่วมพิธีสังฆปิติ (สวดแสดงความยินดี)กับคณะสงฆ์ที่วัดสามพระยา 4.5 การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตาม ปอ.ม.208
ที่มา : สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ - THE TRUTH : 24 กันยายน 2563
|
WWW.ALITTLEBUDDHA.COM WAT THAI LAS VEGAS 2920 MCLEOD DRIVE LAS VEGAS NEVADA 89121 U.S.A. PHONE. 702-384-2264 |