ยกฟ้องเจ้าคุณเอื้อน
ศาลอุทธรณ์ชี้วัดสามพระยามีสิทธิ์ใช้เงิน
จึงไม่ผิดข้อหาฟอกเงิน
3 ชาวพุทธ ผู้มีอำนาจ ในการจับพระสึก
อา.. ก็ดังที่ "เรา-อะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะ" เคยฟันธงล่วงหน้ามาหลายครั้ง แม้ว่าศาลชั้นต้นจะพิพากษาว่า "ผิด" แต่สำนวนคดีนี้ แม้แต่เด็กอนุบาลก็อ่านออก ว่าพระที่ถูกจับสึกและคุมขังดำเนินคดีนานหลายปีนั้น ท่านจะผิดได้ยังไง ในเมื่อไม่ได้เอาเงินไปเข้าพกเข้าห่อเข้าย่ามตัวเอง เพราะศาลเองก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจำเลยเอาเงินไปใช้ส่วนตัว เมื่อไม่มีพยานหลักฐานใดๆ ก็ยังหลับหูหลับตาลงโทษ แบบนี้มันมีในหลักยุติธรรมตรงไหน
วันนี้ ศาลอุทธรณ์ เหมือนสอนศาลชั้นต้น ว่าให้ใช้วิจารณญาณอันเที่ยงธรรม อย่าทำตามกระแส บ้านเมืองไร้ขื่อไร้แปก็เพราะสถาบันตุลาการไม่วางตัวเป็นกลางนี่แหละ จะปกป้องประเทศชาติบ้านเมืองได้ ก็ต้องทำให้ประชาชนเห็นว่าพวกท่านไร้อคติ
แน่นอนว่า คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ นอกจากจะพลิกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้ว ก็ยังมีผลไปถึง "สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ" และ "รัฐบาลไทย" ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเวลาที่จับกุมคุมขังพระท่านนั้น ยังอยู่ในช่วง..ปฏิวัติ
การทำอะไรผลีผลาม โดยเฉพาะกับงานพระศาสนาอันละเอียดลึกซึ้งนั้น เคยส่งผลให้ "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" มีตราบาปมาแล้ว วันนี้ ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ต้องเดินตามรอยสฤษดิ์ไปอีกครั้ง ทั้งๆ ที่มีตัวอย่างให้ศึกษา ประวัติศาสตร์มันไม่น่าจะซ้ำรอยเลย
รัฐบาลไทย เหลือหนทางสุดท้าย คือกราบขอขมาพระสงฆ์ทุกรูป คืนผ้าเหลือง คืนตำแหน่ง คืนฐานันดรศักดิ์ และเยียวยาท่านให้เหมาะสมกับบาปกรรมที่ทำลงไป ไม่เช่นนั้นถึงตายไปก็คงไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด
อุทธรณ์กลับยกฟ้อง "อดีตเจ้าอาวาสวัดสามพระยา - ผู้ช่วย" ไม่ผิดฟอกเงิน 5 ล้าน งบโรงเรียนพระปริยัติธรรม ชี้ขาดเจตนาไม่ทราบเป็นเงินเกี่ยวกับการทำผิด ใช้เงินบูรณะวัด
วันที่ 23 กันยายน 2563 เวลา 10.00 น. ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.นครไชยศรี ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีหมายเลขดำ อท.196/2561 คดีฟอกเงินทุจริตจัดสรรงบประมาณสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ของวัดสามพระยา ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปราบการทุจริต 1 เป็นโจทก์ฟ้อง นายเอื้อน กลิ่นสาลี อดีตพระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม) อดีตเจ้าอาวาสวัดสามพระยา, กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) และเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร กับนายสมทรง อรรถกฤษณ์ อดีตพระอรรถกิจโสภณ และเลขาเจ้าคณะกรุงเทพ เป็นจำเลยที่ 1-2
ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต เพื่อให้ความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานฯ, ร่วมกันฟอกเงินอันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 กรณีอัยการยื่นฟ้อง เมื่อวันที่ 15 ส.ค. 2561 ว่า จำเลย ร่วมกันฟอกเงิน จากการทุจริตจัดสรรเงินงบประมาณ พศ. ปี 2557 ให้กับวัดสามพระยา จำนวน 5 ล้านบาท ในงบส่วนอุดหนุนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม ทั้งที่ไม่มีโรงเรียน โดยเจ้าอาวาสวัดสามพระยา นำงบที่ได้มานั้นไปใช้ก่อสร้างอาคารร่มธรรมแทน ทั้งที่ไม่มีสิทธิได้รับเงินนั้นมาตั้งแต่แรก
คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษา เมื่อวันที่ 16 พ.ค. 2562 ว่า กระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดต่างกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายมาตรา 90 ให้จำคุกจำเลยที่ 1 ฐานร่วมกันฟอกเงิน 2 กระทงๆ ละ 2 ปี ให้จำคุกนายเอื้อน หรืออดีตพระพรหมดิลก รวมจำคุก 6 ปี และนายสมทรง หรืออดีตพระอรรถกิจโสภณ จำเลยที่ 2 จำคุก 2 กระทงๆ ละ 1 ปี 6 เดือน รวมจำคุก 3 ปี โจทก์และจำเลยต่างอุทธรณ์
วันนี้ จำเลยทั้งสองซึ่งได้รับการประกันตัว สวมชุดขาวเดินทางมาศาล พร้อมมีกลุ่มพระสงฆ์และกลุ่มฆราวาสเดินทางมาร่วมติดตามฟังคำพิพากษาและให้กำลังใจจำเลย
ศาลอุทธรณ์ ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เกี่ยวกับเรื่องการขออนุมัติงบศึกษาพระปริยัติธรรมนั้น หาใช่เฉพาะวัดที่มีโรงเรียนศึกษาพระปริยัติธรรม
แต่วัดสามพระยา มีโรงเรียนสอน ตั้งแต่ระดับอนุบาล ย่อมมีสิทธิ์ในการใช้งบดังกล่าว
จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลภายนอก ไม่เกี่ยวกับสำนักงาน พศ. ซึ่งไม่มีหลักฐานว่าจำเลยทราบว่าเงินเกี่ยวกับการกระทำความผิด ในหนังสือระบุได้รับเงินเกี่ยวกับการบูรณะปฏิสังขรณ์ แสดงว่าจำเลยที่ 1 เข้าใจว่าเป็นงบบูรณะปฏิสังขรณ์ เมื่อได้รับงบ 5 ล้านบาทตามเช็คแล้ว จำเลยได้มอบอำนาจให้มีการถอนเงินจ่ายค่าก่อสร้างอาคารร่มธรรม
วัดมีการก่อสร้างอาคารและโอนเงินชำระหนี้จริง
โดยจำเลยจ่ายเงินให้ผู้ดูแลการก่อสร้าง เชื่อได้ว่าจำเลยในฐานะผู้ดูแลวัดได้นำเงินไปทำนุบำรุงวัด แม้วัดสามพระยาไม่มีโรงเรียนพระปริยัติธรรมและไม่ได้นำเงินไปใช้โดยตรง ก็ไม่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนทรัพย์สินที่เป็นการกระทำความผิดมูลฐานฟอกเงิน ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ส่วนอุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น
จำเลยทั้งสอง จึงไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ.ฟอกเงินฯ พิพากษากลับยกฟ้อง
ภายหลังพิพากษาแล้ว นายสมทรง หรืออดีตพระอรรถกิจโสภณ จำเลยที่ 2 ถึงกับยกมือไหว้และร่ำไห้ด้วยความดีใจ รวมถึงพระสงฆ์และกลุ่มฆราวาสที่เดินทางมาให้กำลังใจก็ร่วมแสดงความยินดีด้วย นายอรรณพ บุญสว่าง ทนายความ ให้สัมภาษณ์ภายหลังศาลยกฟ้องว่า วันนี้ ศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่าจำเลยทั้งสองไม่ได้รู้เห็นเกี่ยวข้องกับการใช้เงินดังกล่าวเพื่อฟอกเงิน ซึ่งงบดังกล่าวทั้งวัดสามพระยาก็จัดให้มีการศึกษาในแผนกสามัญด้วย วัดสามพระยาจึงมีสิทธิรับงบประมาณนี้ ดังนั้น การใช้เงินใช้จ่ายในวัดสามพระยาไม่ได้เป็นการฟอกเงิน จึงยกฟ้องจำเลยทั้งสอง ส่วนคดีจะขึ้นสู่ศาลฎีกาหรือไม่นั้น จะต้องรอให้อัยการโจทก์เป็นผู้พิจารณาตามข้อกฎหมาย วันนี้จำเลยทั้งสองก็ดีใจที่ศาลอุทธรณ์มีความเห็นตรงกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ว่าเงินส่วนนี้ให้ใช้ในการก่อสร้างอาคารซึ่งเป็นที่พักของพระสงฆ์
ส่วนเรื่องสมณเพศ ความจริงแล้วท่านทั้งสองก็ไม่ได้เปล่งวาจาสึก และยังรักษาดำรงพฤติการณ์เสมือนตอนเป็นพระอยู่ เเต่ในทางกฎหมายอาจจะยังมีข้อโต้เเย้ง ตรงนี้เราต้องทำความเข้าใจกัน ซึ่งจริงๆ แล้ว ท่านตั้งใจว่าหากศาลยกฟ้อง จะเรียกร้องสิทธิในการเเสดงออกด้วยการห่มเหลือง
ที่มา : แนวหน้า : 22 กันยายน 2563 |
WWW.ALITTLEBUDDHA.COM WAT THAI LAS VEGAS 2920 MCLEOD DRIVE LAS VEGAS NEVADA 89121 U.S.A. PHONE. 702-384-2264 |