ตลกร้าย !
วิษณุเล่นสำนวนวัดกลางสภา รัฐบาลคืนผ้าเหลืองให้พระไม่ได้ เพราะไม่ได้ยึดผ้าเหลืองมา แถมยังไม่สามารถเป็นอุปัชฌาย์ให้ได้อีกด้วย ฟังแล้วอยากร้องไห้อาลัยผ้าเหลือง
อา.ก็ต้องขอคารวะ อาจารย์วิษณุ เครืองาม ซักสามครั้ง ในฐานะที่รับเปลี่ยนบทบาทจาก "เนติบริกร" มาเป็น "สัปเหร่อ" ในวันนี้ มิใช่แค่เรื่อง "เผาพระ" ที่รองวิษณุพูด แต่พูดหลายเรื่อง แต่ละเรื่องก็สำคัญระดับบิ๊กตู่ไม่กล้าพูด ทั้งๆ ที่กล้าทำ กล้าทำ แต่ไม่กล้ายอมรับ ยิ่งทำผิดแล้วไม่คิดแก้ไข ประเทศไทยจะไปอย่างไร พระพุทธศาสนาจะเดินทางไหน หรือพระไทยจะต้องอ่านพระไตรปิฎกภาษาอังกฤษกันแล้ว ไชโย
เรื่องแรก ที่อาจารย์วิษณุพูดถึง ก็คือ พรบ.พระปริยัติธรรม ซึ่งผ่านสภาไปในปี 62 ที่ผ่านมา เวลานี้กำลังทำกฎหมายลูกกันอย่างคร่ำเคร่ง เห็นตั้งพงศ์พรเป็นกรรมการใหญ่ คุมประชุมกรรมการพระปริยัติธรรมทุกนัด เป็นเรื่องเด่นที่ท่านรองวิษณุนำมาเปิดโชว์กลางสภาในเวลานี้
ถัดมาก็คือ การแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาอังกฤษทั้งชุด อาจารย์วิษณุเล่นมุกว่า ไม่เคยมีรัฐบาลใดในโลกทำได้ แต่รัฐบาลประยุทธ์กำลังจะทำ แม้ว่าตอนต่อๆ ไปนั้น ท่านจะพูดถึงอะไรก็ตาม ก็จะมาติดขัดตรงที่ "เงิน" คือรัฐบาลไม่มีเงิน แต่สำหรับการแปลและพิมพ์พระไตรปิฎกภาษาอังกฤษฉบับนี้ รัฐบาลมีเงิน แถมจ่ายไปเรียบร้อยแล้วด้วย จะเสร็จทันหรือไม่ก็ไม่รู้ล่ะ เพราะแค่เริ่มต้น ก็คงต้องไปวัดระยะระหว่างการแปลกับม็อบการเมือง ใครจะไวกว่ากัน
มาถึงเรื่องสำคัญ ก็คือ พรบ.อุปถัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนา ซึ่งเริ่มร่างกันมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลทักษิณ ผ่านรัฐบาลสุรยุทธ์ สมัคร สมชาย ยิ่งลักษณ์ มาจนถึงประยุทธ์ ยักย้ายถ่ายเทกันมาเรื่อยๆ ล่าสุด ถ้าจำกันได้ เจ้าคุณประสาร ได้ประสานงานพรรคฝ่ายค้าน โดยเฉพาะก็คือ พรรคเพื่อไทย นำเสนอเป็นร่างกฎหมายเข้าสู่สภา เมื่อเดือนกุมภา ต้นปีนี้เอง เลยกลายเป็นร่างของพรรคเพื่อไทยแทน
และก็สมดังที่ท่านรองวิษณุกล่าวว่า เป็นกฎหมายใช้เงิน ซึ่งผู้จ่ายคือรัฐบาล ดังนั้น จึงให้ผ่านไม่ได้ แต่รัฐบาลจะเอาร่างดังกล่าวมาแก้ไขร่วมกับมหาเถรสมาคม แล้วจะผลักดันให้ผ่านเป็นกฎหมาย "ในนามของพรรคพลังประชารัฐ" ต่อไป จะบอกว่าเป็นการปล้นผลงานก็คงว่าได้ แต่จะต้องเนียน คือดัดแปลงพันธุกรรมเสียก่อน ใส่กล่องเข้าสภาตีตราเป็นผลงาน "รัฐบาลบิ๊กตู่" คนไม่รู้ก็เชื่อว่าเป็นจริง
อีกทางหนึ่งนั้น พรบ.อุปถัมภ์ ฉบับนี้ ร่างในสมัย "สมเด็จเกี่ยว" วัดสระเกศ เป็นประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ถือว่าเป็นร่างของมหานิกาย ถ้าผ่านสภาก็จะถือว่าเป็นผลงานของมหานิกายฝ่ายเดียว ธรรมยุตไม่เกี่ยว ไม่ได้รับอานิสงส์ แต่วันนี้ ธรรมยุตได้เป็นใหญ่ จะให้ผ่านก็ต้อง "เปลี่ยนสีจีวร" หรือทำ "ทัฬหีกรรม" บวชซ้ำในธรรมยุต จึงจะผ่านได้ ไม่งั้นไม่มีทาง ดูแต่โครงการหมู่บ้านศีลห้านั่นประไร สมเด็จช่วงตั้งขึ้นมา เวลานี้แคระแกรน ลดฐานะลงให้ "เจ้าคุณแย้ม" เป็นประธาน อย่านับแต่ฝ่ายธรรมยุตไม่ยุ่งเลย มหานิกายก็ไม่เอา
นี่คือเหลี่ยมทางการเมืองที่เขี้ยวสุดๆ บอกแล้วไงว่า ไม่มีที่ไหนในโลก ที่รัฐบาลจะยอมให้กฎหมายของฝ่ายค้านผ่านสภา แล้วให้รัฐบาลเป็นคนหาเงินจ่าย ใครทำก็โง่บัดซบ เล่นการเมืองไม่เอาคะแนนเสียงก็ไม่ควรเป็นนักการเมือง
ข่าวเด่นประเด็นร้อนที่สุด ในการพูดของท่านวิษณุ ก็คือ คดีเงินทอนวัด ซึ่งผ่านการพิจารณาของหลายศาลหลายคดีแล้ว แนวโน้มออกมาว่า "พระไม่ผิด เพราะไม่ได้โกง" แต่ที่ผิดเพราะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เลยโดนข้อหาที่รัฐประเคนให้ ส่งผลให้ไม่สามารถกลับมาครองผ้าเหลืองได้จนป่านนี้ จึงมีเสียงเรียกร้องให้ "คืนสมณเพศ" ให้แก่พระที่ถูกรัฐบาลประยุทธ์จับกุมคุมขังสิ้นอิสระภาพ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นสำนวน "คืนผ้าเหลือง" ให้แก่พระเหล่านั้น
วิษณุพูดจาสะเด็ดมาก บอกว่า "รัฐบาลไม่ได้ยึดผ้าเหลืองของพระไว้ จึงไม่สามารถคืนผ้าเหลืองให้ได้" ถ้าดูเป็นภาพถ่ายมันก็ดูเป็นจริง เพราะไม่เห็นมือของรัฐบาลไปยึดผ้าเหลือง แต่กระบวนการ "กระชากผ้าเหลือง" นั้น มาจากรัฐบาลแน่นอน ดังนั้น ที่ท่านรองวิษณุพูดกลางสภา จึงถือว่าโกหกพระ
กระบวนการทำคดีเงินทอนวัดนั้น ถ้าไม่เริ่มต้นมาจากรัฐบาล ผ่านสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ส่งเรื่องผ่านไปยังตำรวจ ปปช. และ ปปง. แล้ว จะไปถึงโรงถึงศาลและถึงคุกตะรางได้อย่างไร การบอกว่า "รัฐบาลคืนผ้าเหลืองให้ไม่ได้ เพราะไม่ได้ยึดไว้" นั่นเท่ากับว่ารัฐบาลปัดสวะ ไม่ยอมแก้ไขในสิ่งผิดที่ตนเองได้กระทำลงไป
แน่นอนว่า สมัยพระพิมลธรรม (อาจ) วัดมหาธาตุนั้น รัฐบาลสฤษดิ์ ก็ไม่ได้คืนความชอบธรรม คืนยศคืนตำแหน่งให้ แต่รัฐบาล คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้คืนให้ในปี พ.ศ.2518 หลังจากสฤษดิ์ตายไปแล้วกว่า 10 ปี
วันนี้ ถ้ารัฐบาลประยุทธ์คืนผ้าเหลือง คืนยศตำแหน่งให้แก่พระที่ถูกจับกุม ก็เท่ากับว่ารัฐบาลยอมรับผิด ซึ่งก็ไม่เคยมีใครทำมาก่อน มันมีเดิมพันสูงมาก ยากจะเป็นไปได้ในโลกใบนี้
ส่วนกรณีที่โยนภาระไปให้แก่ "มหาเถรสมาคม" เป็นผู้พิจารณาว่าจะพระที่ถูกจับกุมคุมขังดำเนินคดีอยู่ในเวลานี้นั่น ยังเป็นพระหรือว่าสิ้นสุดไปแล้ว นั่นก็ถูก แต่ว่ากระบวนการเริ่มต้นนั้น ยังไงก็ต้องมาจาก "รัฐบาล" คือสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ในฐานะเลขาธิการมหาเถรสมาคม (ภายใต้การบัญชาการของนายกรัฐมนตรี) ต้องเป็นผู้นำความเข้าแจ้งแก่มหาเถรสมาคม เพื่อดำเนินการ ถ้ารัฐบาลไม่เริ่มต้น มหาเถรสมาคมจะทำเองนั้น ไม่มีทาง
สาเหตุก็คือว่า ในมหาเถรสมาคมเอง ก็ยังมีเส้นมีสาย หรือสายใครสายมัน สายโน้นได้ สายนี้ไม่ได้ ก็ชิงดีชิงเด่นกันอยู่อย่างนี้ และการที่พระผู้ใหญ่หลายรูป "ถูกปลดจากตำแหน่ง" มันก็ส่งผลให้อีกหลายรูป "ได้เป็นแทน" แต่ถ้าจะคืนยศคืนตำแหน่งให้รูปเดิม ถามว่า พระที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในขณะนี้จะไปอยู่ที่ไหน ทำใจได้หรือไม่
เห็นไหมว่า มันไม่มีทางเป็นไปได้เลยในทางปฏิบัติ เว้นแต่เปลี่ยนรัฐบาล แล้วอีกฝ่ายได้ขึ้นมาครองอำนาจ นั่นก็อาจจะเป็นไปได้
ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี
ในส่วนของการอุปถัมภ์ค้ำจุนพระพุทธศาสนานั้น เป็นภารกิจตามรัฐธรรมนูญ ที่รัฐบาลต้องทำ และเป็นนโยบายของรัฐบาลอยู่แล้ว รัฐบาลชุดที่แล้ว ซึ่งนายกฯ ก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ เนี่ย ได้เสนอร่างกฎหมายสำคัญฉบับหนึ่งเข้าสู่สภา เป็นกฎหมายที่ต่อสู้กันมายาวนาน และไม่เคยสำเร็จ รัฐบาลที่แล้วเสนอเข้าสภาสำเร็จ ออกมาประกาศใช้แล้ว คือพระราชบัญญัติการศึกษาพระปริยัติธรรม ซึ่งรับรองคุณวุฒิและส่งเสริมทำนุบำรุงการศึกษาของพระ นั่นเป็นสิ่งที่ท่านนายกฯได้ติดตามเอาใจใส่ จนกระทั่งสามารถออกมาเป็นกฎหมายได้สำเร็จ
เรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง เรารู้จักพระไตรปิฎก พระไตรปิฎกนั้นมีเป็นภาษาไทย มีเป็นภาษาบาลี แต่แปลกนะครับ ในโลกนี้ไม่มีพระไตรปิฎกฉบับภาษาอังกฤษ ที่จะให้ฝรั่งเขาได้อ่านและเข้าใจ หมายถึงแปลเป็นภาษาอังกฤษนะฮะ
สมาคมบาลีปกรณ์ในอังกฤษ เคยพยายามแปล แต่ก็ไม่ครบ 45 เล่ม ท่านนายกฯ ได้สั่งการเมื่อไม่นานมานี้ว่า ให้จัดการแปลพระไตรปิฎกทั้ง 45 เล่ม เป็นภาษาอังกฤษ อนุมัติงบประมาณให้ดำเนินการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว และได้ถวายเรื่องนี้ให้มหาเถรสมาคมได้รับเป็นผู้ร่วมดำเนินการด้วย เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ทรงรับเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ท่านนายกฯรับเป็นประธานฝ่ายฆราวาส คณะสงฆ์มอบหมายให้ท่านเจ้าคุณพรหมบัณฑิต วัดประยุรวงศาวาส เป็นประธานดำเนินการ ท่านนายกฯ มอบให้ผมเป็นประธานดำเนินการฝ่ายฆราวาส ร่วมกับท่านเจ้าคุณพรหมบัณฑิต และงานก็จะได้เริ่มต้นตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เป็นครั้งแรกในโลกนะครับ
ท่านอาจารย์นิยม (ส.ส.นิยม เวชกามา) ได้สอบถาม ขออภัยที่เอ่ยนามท่านหลายครั้ง สอบถามเรื่องราชพระราชบัญญัติอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา ซึ่งรัฐบาลไม่รับรอง
ที่จริงการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนานั้น ท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็เสนอเป็นกฎหมายเข้าสภาเองได้ แต่ที่ต้องเดือดร้อนส่งไปให้ท่านนายกฯลงนามรับรอง เพราะเป็นกฎหมายการเงิน ทีนี้เพราะเมื่อเป็นกฎหมายการเงิน ก็ต้องดูกันให้รอบคอบ เพราะว่ากฎหมายการเงินก็คือกฎหมายที่ใช้เงิน ในร่างกฎหมายนั้นบังเอิญใช้เงินเยอะครับ สำนักงบประมาณก็คิดว่า สำนักงานพระพุทธศาสนาฯเองก็คิดว่า และคณะสงฆ์เองก็คิดว่า อาจจะยังไม่ใช่ความจำเป็นเร่งด่วนในขณะนี้
แต่แนวทางที่เสนอมานั้นน่ะ ถูกต้องแล้ว เพราะฉะนั้น ยังไม่สามารถที่จะรับรองได้ในสถานการณ์ขณะนี้ ไม่ได้ขัดข้องในเรื่องความแตกแยกขัดแย้งอะไรกับใครหรอกครับ แต่มันใช้เงิน เพราะฉะนั้น เรื่องนี้จะมีการนำไปปรับปรุงในส่วนของรัฐบาล ให้ภาระในการใช้เงินมันลดลง เพราะว่าการที่จะอุปถัมภ์โดยใช้เงินในส่วนอื่น รัฐบาลก็ทำอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีกฎหมายหรือไม่
ก็เอาเป็นอันว่า ก็จะมีฉบับของรัฐบาลในโอกาสอันสมควร ซึ่งต้องใช้เวลายกร่าง โดยจะทำร่วมกับคณะสงฆ์ต่อไป
มีการสอบถามเรื่องคืนผ้าเหลือง บังเอิญเรื่องคืนผ้าเหลืองนั่นน่ะ รัฐบาลน่ะไม่ได้ไปยึดผ้าเหลืองมา เพราะฉะนั้น จะบอกให้รัฐบาลคืนน่ะยาก แต่มันสำคัญอยู่ตรงคณะสงฆ์
เมื่อท่านมีอธิกรณ์ต้องคดี ศาลจะตัดสินไปว่าผิดหรือไม่ผิดก็ตามทีนั้น ก็อยู่ที่ว่าท่านพ้นจากภิกขุภาวะหรือไม่ ถ้าไม่พ้น ก็ไม่ต้องไปคืนผ้าเหลือง ท่านก็ครองผ้าเหลืองได้ต่อไป
แต่ถ้าหากว่าพ้น ก็เป็นเรื่องที่ท่านต้องไปบรรพชาอุปสมบทกันใหม่ และคณะสงฆ์จะยอมรับหรือไม่รับ รัฐบาลจะเข้าไปเป็นอุปัชฌาย์ให้ก็ไม่ได้ ก็คงจะต้องว่ากันไปในส่วนนั้น
แต่เมื่อกลับไปสู่ภิกขุภาวะแล้ว มาถึงชั้นว่า แล้วสมณศักดิ์ล่ะ ตรงนี้รัฐบาลเกี่ยวครับ ก็จะได้ว่ากันในลำดับต่อไป ขอให้เป็นไปตามขั้นตอนที่ถูกต้องก็แล้วกัน
ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี พูดในสภาผู้แทนราษฎร 10 กันยายน 2563
ที่มา : รัฐสภาไทย : 10 กันยายน 2563 |
WWW.ALITTLEBUDDHA.COM WAT THAI LAS VEGAS 2920 MCLEOD DRIVE LAS VEGAS NEVADA 89121 U.S.A. PHONE. 702-384-2264 |