ส่องพฤติกรรม

 

"สุจินต์ บริหารวนเขตต์"

 

อริยะในผ้าลาย

 

 

ผู้กล้าหาญ "ชี้โทษ" พระเณรทั้งแผ่นดิน

 

 

Who is she and How is she ?

 

 

 

 

 

 

 

 

 

สุจินต์ นักศึกษาพระอภิธรรมจนช่ำชอง

 

 

 

 

แต่ก่อนก็สอนอภิธรรม แต่ภายหลังเปลี่ยนบทบาทเป็นกราดเกรี้ยว เหมือนประจำเดือนไม่มา หันมาด่าพระเณรทั่วประเทศ เปิดพระไตรปิฎกตรวจสอบองค์กรสงฆ์ คำก็ไม่ถูก สองคำก็ไม่ต้อง สามคำก็ไม่ใช่พระ สี่คำก็ไม่ใช่เณร ผิด ผิด ผิด และผิด ไม่มีถูกเลย พระสงฆ์ไทยไม่มีใครกล้าเถียง เพราะไม่มีใครได้บรรลุธรรมเป็นอรหันต์ ขนาดวัดป่าบ้านตาดของหลวงตาบัวก็เงียบ กลัวโดนด่าเรื่องหาทองคำไว้ในกุฏิจนไฟคลอกตาย สุจินต์เลยได้ใจ เอาใหญ่ ไล่เบี้ยแม้กระทั่งสามเณรรุ่นเหลน เป็นวีรเวรของ..สุจินต์

 

 

 

แต่โบราณก็สอนว่า ถ้าจะสอนใคร ก็ต้องทำตัวเองให้ได้ก่อน มิเช่นนั้นก็จะเข้าตำรา  "ไม่ล้างเท้าก่อนขึ้นธรรมาสน์" แม้ว่า "สุจินต์" จะมิใช่พระ แต่ถ้าจะอาจหาญสอนพระ ก็ต้องตรวจสอบ "พฤติกรรม" ของสุจินต์ ว่าเธอดีจริงหรือไม่ ถึงได้กล้าสอนพระ หากพิสูจน์ไม่ได้ว่าดีจริง ก็อาจจะเข้าในข้อหา "มือถือสาก ปากถือศีล"

 

 

 

บทแรกที่ต้องตั้งคำถามก็คือ เรื่องการแต่งตัวของสุจินต์ ซึ่งปากก็อ้าง "เป็นนักแสดงธรรม" ซึ่งตามหลักการก็ควรต้องแสดงออกในทาง "สันโดษ" กินใช้ง่ายๆ แต่งเนื้อแต่งตัวก็ต้องง่ายๆ เหมือนพระภิกษุสามเณรซึ่งมีผ้าเพียง 3 ติดตัวตลอดเวลา ไม่ว่าจะกินจะเที่ยวก็..ชุดเดียวกัน ไม่มีพระเณรองค์ไหนสามารถใช้ "สีอื่น" นอกจากสีเหลืองหรือสีกรัก อันนับเข้าในสี "กาสาวะ" การเป็นพระเณรจึงต้องอยู่ในสี หรือ "เครื่องแบบของพระพุทธเจ้า" อยู่ตลอดเวลา ถือว่าไม่ง่ายที่ใครจะใช้เครื่องนุ่งห่มแบบนี้ตลอดชีวิต นี่ยังมินับเรื่องการกินการนอน ซึ่งพระเณรนั้นต้องพำนักอาศัยใน "วัด" ซึ่งเป็นที่อยู่รวมกัน ไม่มีใครเป็นเจ้าของแบบถาวร คือต้องพร้อมที่จะย้ายที่นอนอยู่ตลอดเวลา แถมกินก็ต้องกินพร้อมกัน นอนก็ต้องนอนพร้อมกัน ตื่นก็ต้องตื่นพร้อมๆ กัน เป็นระเบียบปฏิบัติที่วัดทุกวัดจะมีมาตรฐานทั่วประเทศ การดำรงเพศของพระภิกษุสามเณร ไม่ว่าจะบวชตามประเพณี หรือบวชเพื่อพ้นทุกข์ก็ตาม ก็ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบนี้ทั้งสิ้น การจะบอกว่า "บวชเพื่อพ้นทุกข์" หรือไม่ จึงไม่สามารถจะตอบคำถามได้ เพราะบางทีผู้ที่บวชเพื่อมุ่งพ้นทุกข์ กลับไม่พบความหลุดพ้น บางคนประกาศ "บวชไม่สึก" แต่ก็เห็นสึกไปทุกราย แต่คนที่บวชตามประเพณีกลับปฏิบัติจนพ้นทุกข์ได้ แบบนี้ก็มีให้เห็น มันไม่แน่เสมอไป ขนาดในสมัยพุทธกาล ซึ่งเชื่อว่าแต่ละท่านที่มาบวชก็ล้วนแต่อยากพ้นทุกข์ แต่เพียงแค่ 45 พรรษา ปรากฏว่าสิกขาบทหรือข้อห้าม ถูกตั้งไว้มากมายหลายพันข้อ ถ้าสุจินต์เกิดทัน พระพุทธเจ้าก็คงจะถูกสุจินต์กล่าวหาว่า "หย่อนยาน" ไม่คัดคนก่อนบวช ปล่อยปละละเลย จนเกิดปัญหาให้ต้องตั้งพระวินัยขึ้นมามากมายจำไม่หวาดไม่ไหว หนทางเดียวที่น่าจะแก้ปัญหาพระศาสนาได้ก็คือ ตั้งให้สุจินต์สังฆราช ซึ่งอาจจะได้ "นิกายผ้าลาย" มาแทนผ้าเหลือง เชื่อหรือไม่ก็ขอได้โปรด..Take a look

 

 

 

 


 

 

 

 

 

แอ่นแอ๊น ! ดูกันเองนะฮะ พุทธศาสนิกชนทุกท่าน ดูพฤติกรรมจาก "เสื้อ-ผ้า-หน้า-ผม" ของ "คุณนายสุจินต์" นักอภิธรรมปากตะไกร แว้งกัดผ้าเหลืองทั่วประเทศ แต่พอดูที่ตัวของสุจินต์เอง ก็เห็นแต่ความรุ่มรวยหรูหรา เปลี่ยนเสื้อผ้าวันละชุด ปากก็ทาลิปสติกสีหวานๆ เป็นการประจานไปในตัวเธอเองนั่นแหละ ว่าพูดกับทำเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ?

 

 

ใครที่ได้เห็น "ประมวลภาพสุจินต์" นิดหน่อย (หนึ่งในร้อย) เหล่านี้แล้ว คงงงว่า นี่มันภาพของนักปฏิบัติธรรม-นักเผยแผ่ธรรม หรือว่าเป็นภาพของ "นางแบบ" โฆษณาขายผ้าหรือสินค้าแบรนด์เนมกันแน่ แน่จริงทำไมไม่โกนผมและใช้ผ้าบังสุกุลห่อศพ !

 

 

ถ้ามองให้ลึกไปกว่านั้น ก็คงจะมองออกว่า ที่บ้านของสุจินต์มีโกดังใส่เสื้อผ้ากางเกงผ้าพันคออยู่กี่รถสิบล้อ ซึ่งเธอคงไม่บอกนะว่าไปชักบังสุกุลเอามาจากป่าช้าวัดดอน เงินที่ไปเป่าหูสาวกได้มาน่ะเธอเอาไปจ่ายค่าอะไรมากที่สุด และในแต่ละวัน ก่อนเธอจะออกบ้านไปพ่นน้ำลายหากินด้วยการด่าพระเณรนั้น เธอต้องมองกระจกวันละกี่ครั้ง แต่ละครั้งมีใครคอย "คัดชุด-ปรับลุก" แต่งตัวให้ จนมั่นใจว่า "ไม่หวั่นแม้วันมามาก"

 

 

 

 

 

 

 

 

วาจาคำพูดส่องใจสุจินต์

 

 

 

 

 

 

พระอานนท์ไม่ได้เรียนจบด๊อกเตอร์

 

ถูกต้อง

 

และที่ถูกต้องด้วยก็คือ

พระอานนท์ไม่ได้เรียนพระอภิธรรมด้วย

 

 

 

 

เรื่องการศึกษา สุจินต์เธอยิงคำถามระดับปรมาณูว่า "พระด๊อกเตอร์ พระรับปริญญา บวชทำไม ท่านพระอานนท์เป็น ดร.เรียนทางโลกไหม" แหมพระด๊อกเตอร์ทั่วไทยได้ยินก็สะอึกซีฮะ ไม่กล้าสวนหมัดสุจินต์ เพราะเธออ้าง "พระอานนท์อัครสาวกไม่มีประวัติเรียนมหาลัยจนจบด๊อกเตอร์เลย" เอ้อเฮอ สุจินต์เธอยอดมาก ขนาด "พระมหาไพรวัลย์" ว่าที่ด๊อกเตอร์ก็ยังทนไม่ไหว ต้องออกมาออดอ้อน "โยมยายสุจินต์" ชักแม่น้ำทั้งห้ามาหว่านล้อม เพื่อขอจบ "ด๊อกเตอร์" ในอนาคต ถ้าขอไม่ได้ผล ทาง มจร. ก็คงไม่อนุมัติปริญญา

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

แต่สุจินต์เธอคงจะตกวิชาประวัติศาสตร์ศาสนาสมัยใหม่ เลยลืมไปว่า สมเด็จพระสังฆราชอัมพร เมื่อครั้งยังเป็น "พระมหาอัมพร" อยู่นั้น ท่านได้เดินทางไป "เรียนทางโลก" ที่มหาวิทยาลัยพาราณสี ประเทศอินเดีย จนจบปริญญาโท ก่อนจะมาเป็น "สมเด็จพระสังฆราชไทย" ในวันนี้ แบบนี้สุจินต์เธอไหว้ไม่ได้ใช่ไหม เพราะไม่ได้บวชเพื่อบรรลุ ปัจจุบันสมเด็จพระสังฆราชอัมพรก็ยังดำรงตำแหน่ง "นายกสภามหามกุฏราชวิทยาลัย" ซึ่งอธิการบดีก็เป็นพระในวัดราชบพิธเช่นกัน ถ้าเป็นของนอกศาสนาดังสุจินต์เธอว่า คงมิเป็นเดียรถีย์ทั้งวัดราชบพิธดอกหรือ ?

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

"รับปริญญาไม่น่าเลื่อมใส" สุจินต์ใส่หมัดสอง แต่พอมองไปในโปรไฟล์ของสุจินต์เอง ก็มีภาพปรากฏว่า วันที่ 11 ธันวาคม 2553 สุจินต์เธอ "รับเชิญ" ไปถวายความรู้ให้แก่พระภิกษุสามเณรที่ศึกษาอยู่ในมหามกุฎราชวิทยาลัย จนลืมไปว่า นั่นก็คือการสนับสนุนกิจกรรมการเป็น "ด๊อกเตอร์" ที่สุจินต์เธออ้างว่าพระอานนท์ไม่เคยเรียนมาก่อนนั่นเอง แบบนี้เขาเรียกว่า "สับปลับ" พูดอย่างทำอย่าง เวลาตัวเองไปทำก็ถูก แต่เวลาคนอื่นทำก็ผิด สุจินต์น่าจะเปลี่ยนชื่อเป็น "จิญจมานวิกา" ได้แล้ว เพราะตอแหลได้พอกัน

 

 

 

 

 

 

 

 

"ปริญญาเป็นยาพิษสำหรับพระเณรในพระพุทธศาสนา" สุจินต์เธอตั้งอภิปรัชญาไว้เช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นปริญญาระดับไหน มหาวิทยาลัยอะไร ก็ไม่เหมาะไม่ควรทั้งสิ้น รวมทั้งรางวัลต่างๆ นั้นด้วย มันของกระจอกนอกศาสนา ขนาดพระอานนท์ยังไม่เคยเรียน แล้วพระเณรรุ่นนี้จะเรียนไปทำไม มันก็ถูกของสุจินต์นะจ๊ะ

 

 

แต่พอมองไปที่ "โปรไฟล์" ของสุจินต์เอง กลับพบว่า ตัวเธอเองก็ใช่ย่อย เพราะวิ่งไล่ล่าโล่และปริญญามาสะสมไว้จนล้นตู้ แถมกลัวคนไม่รู้ เลยเอาไปขยาย "ความเดียรถีย์" ไว้ในประวัติของตัวเองประจานไปทั่วโลกอีก แก้ผ้ากลางลานวัดเห็น "ของลับ" หมดเลยสุจินต์เอ๋ย สมบัติเดียรถีย์เต็มบ้าน ยังมาอ้างเป็นพุทธบริสุทธิ์ เวลาตายคงจะเอาไปพิมพ์ในหนังสืองานศพด้วยละสิ เท่ห์เป็นบ้า

 

 

 

 

 

 

 

 

ณรเล่นเกม

ถูกสุจินต์ขับไล่ว่า บวชทำไม ไม่ควรบวช

 

 

 

สุจินต์เกิดปี 2469 อีกเพียง 5 ปีก็ครบ 100 ปี ถ้าเทียบกับภาพสามเณรที่นางคนนี้เอามาประจาน ก็คงเกินหลาน ประมาณเหลนหรือโหลนของเธอ ซึ่งเด็กๆ เหล่านี้ เข้ามาบวชเพื่อขัดเกลานิสัยหยาบๆ ของเด็กเป็นเบื้องต้น เหมือนคนเรียนภาษาก็ต้องเริ่มเรียนไวยากรณ์ก่อน แต่ยายสุจินต์กลับเกรี้ยวกราดตะบึงตะบอนใส่ ไล่สึกพ้นวัด เพียงแค่..เล่นเกม ผิดระดับปาราชิกเลยหรือ ?

 

 

ถามว่า ถ้าใครมีคุณย่าคุณยายปากร้ายไม่เลือกวัยแบบยายสุจินต์นี่ ลูกหลานเหลนโหลนจะดีใจไหมเอ่ย ? พระมหาไพรวัลย์ ถึงกับสวนกลับว่า "อายุมากแล้ว" ความหมายคือ ใกล้เข้าโลงแล้ว หาคนลากศพให้ได้ก่อนเถอะ เพราะพระเณรคงไม่มีใครไปเผายายคนนี้แน่ๆ ถ้ายังไม่เปลี่ยนสันดาน

 

 

 

 


 

 

 

สร้างโลโก้ต่อต้านพระเณร

งานหลักของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาของสุจินต์

 

 

 

 

ก็ตามประวัติว่า สุจินต์ เธอเรียนมาทางด้านพระอภิธรรม ซึ่งถือว่าเป็นศาสตร์ที่ลึกซึ้งถึงจิตใจ การพูดจาและสื่อสารอาการใดๆ ก็ตาม ก็เชื่อว่าควรจะละเอียดลึกซึ้งตามไปด้วย จะว่าอภิธรรมเป็นศาสตร์ผู้ดีในทางพระพุทธศาสนาก็ว่าได้

 

 

แต่สุจินต์กลับไม่มีคุณสมบัติผู้ดีเลยซักนิด แถมยังแพร่เชื้อแห่งความกักขฬะไปยัง "สาวก" หรือบริวารในมูลนิธิของเธอ ให้มองพระเณรเป็นเหมือนศัตรูหมู่มาร ระดมกันทำป้าย "ประจานพระ-เณร" อย่างเป็นล่ำเป็นสัน ล้ำเส้นระหว่าง "ผ้าเหลือง-ผ้าลาย" ผิดวิสัยอุบาสิกาผู้ปรารถนาดีต่อพระสงฆ์องค์เณร

 

 

จึงต้องตั้งคำถามว่า "นี่สุจินต์ เธอจะช่วยหรือว่าทำลาย"

 

 

 

 



 

 

 

ปิดท้ายอีกหลายรูป ซึ่งแสดงให้เห็นถึง "พฤติกรรม" ของสุจินต์เอง ว่าเธอวางตัวอย่างไร ในฐานะ "ผู้ปฏิบัติและสอนธรรม" หรือว่าเธอทำตัวประหนึ่ง "พระสงฆ์" เสียเอง หรืออาจจะกล่าวได้ว่า ทำตัวเหนือกว่าพระสงฆ์สามเณรเสียอีก ถ้าเทียบได้ก็คงใกล้ๆ กับ เชื้อพระวงศ์

หนึ่งภาพ แทน 1,000 คำพูด เห็นแล้วก็ต้องถอนใจ "เฮ้อ" สุจินต์ เธอไม่น่ามาเสียคนตอนแก่เลย

 

 

 

 

อะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะ ดอทคอม รายงาน : 29 มิถุนายน 2563

 

 

 

 

WWW.ALITTLEBUDDHA.COM WAT THAI LAS VEGAS 2920 MCLEOD DRIVE LAS VEGAS NEVADA 89121  U.S.A.  PHONE. 702-384-2264