เจอพระเณรขับจับได้ทันที
มหาเถรชี้เป้า
หวังกำราบพระขับรถทั่วประเทศ
ห้องประชุมมหาเถรสมาคม ตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร THE ROOM WHERE IT HAPPENED
อา..ปัญหาเรื่องการขับขี่รถยนต์ของพระภิกษุสามเณรนั้น รู้สึกว่าจะพูดกันมาหลายรอบแล้ว แต่ละรอบก็หมดรอบหมดคำพูดเอาเฉยๆ เหตุผลเยอะมาก บางคนก็พูดมาก จนหาข้อสรุปไม่ได้ สมเด็จช่วงฯ ในฐานะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เลยประกาศ "ห้ามพระสงฆ์ภาคเหนือขับรถยนต์" พอหันไปดูอีก 3 ภาค (รวมทั้งธรรมยุต) ทุกภาคที่เหลือต่างนิ่งเงียบกันหมด ไม่มีใครสนองนโยบายสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์เลย แม้แต่สำนักพุทธฯ ก็เฉยเมย ไม่รู้ไม่ชี้ (ถ้ารู้ชี้ วันนี้คงไม่ต้องพูดซ้ำกับบทเก่า)
แต่ครั้งนี้ กลายเป็นสำนักพุทธฯ เสียเอง ที่นำเรื่องเข้า มส. แล้ว มส. ก็กลายเป็นเบี้ยไล่ให้พงศ์พร เอ๊ย ให้ณรงค์อีก สำนักพุทธฯว่าไง มส. ก็ว่างั้น ใครขืนเห็นแย้ง เห็นต่าง หรือคัดค้าน ก็อาจจะถูกขึ้นบัญชีดำ สมัยหน้าก็อาจจะไม่ติดโผกรรมการ มส. อีกรอบ เห็นไหม ว่ากว่าจะเป็น มส. ได้ก็ยากแล้ว รักษาเก้าอี้ยิ่งยากกว่าเสียอีก
ก่อนหน้านี้ เมื่อเจ้าหน้าที่จับพระเณรขับรถได้ ก็จะนำไปให้พระผู้ปกครองว่ากล่าวตักเตือนหรือลงโทษ แต่ต่อไปนี้ เมื่อมติ มส. ครั้งนี้มีผลใช้แล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่ต้องนิมนต์พระเณรรูปที่ขับขี่รถยนต์ไปให้เจ้าคณะพิจารณาความผิดอีกต่อไป เจอตรงไหนก็จับตรงนั้น จับได้แล้วก็ตั้งข้อหาและจับสึกได้ทันที นี่คืออะไร ?
ก็คือว่า การออกมติ มส. ครั้งนี้มานั้น ถือว่าเป็นการ "โอนอำนาจ" การสอบสวนลงโทษพระภิกษุสามเณรไปให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ถือว่าเป็นพฤติการณ์ที่แปลกประหลาดที่สุดในโลก เพราะที่ไหนๆ ใครเขาก็ต้องตั้ง "เขตแดน" แห่งอำนาจของตน เรียกว่าอาณาจักร ส่วนพระพุทธศาสนานั้น ท่านเรียกว่า พุทธจักร
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงสร้าง "พระธรรมวินัย" ขึ้นมาเป็นตัวบทกฎหมาย สำหรับปกครองอาณาจักรของพระองค์ ซึ่งก็ใช้กันมานานถึง 2563 ปีกว่าแล้ว ในประเทศที่เคารพนับถือพระพุทธศาสนา ต่างก็ "ยกอำนาจให้พระ" เป็นผู้ดูแลกันเองในด้านพระธรรมวินัย ถ้าจะกระทำการอื่นใดเหนือพระธรรมวินัยแล้ว ก็จะต้อง "ให้พระสึกกันเอง" เสียก่อน เหมือนกรณีจับพระเข้าคุก ก็ต้องให้พระสึกพระ มิใช่ให้ตำรวจสึกพระ ถ้าตำรวจสึกก็ต้องเป็นประเทศที่นับถือศาสนาอื่น มิใช่เมืองพุทธ
ดังนั้น ถ้าเปรียบเทียบแล้ว การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจับพระส่งให้พระสังฆาธิการ (พระผู้ปกครอง) ทำการสอบสวนและลงโทษ จึงถือว่าเหมาะสมที่สุด ส่วนการที่มหาเถรสมาคมชี้เป้าให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ "จับพระสึก" ได้เองเลยนั้น ถือว่าเป็นดึงเจ้าหน้าตำรวจเข้ามาร่วมปกครองพระสงฆ์ด้วย มองยังไงก็ไม่น่าไว้วางใจ ถ้าต่อไปมีอะไรก็โยนให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองไปจัดการ ไม่ว่าพระว่าเณรต้องขึ้นโรงพักเหมือนฆราวาสญาติโยม แบบนี้ไม่ต้องมีมหาเถรสมาคมก็ได้ เพราะมีก็ไม่มีประโยชน์อะไร มีก็เหมือนไม่มี
ดูอย่างประเทศต่างๆ ต่างก็วางกองกำลังป้องกันเขตแดนของตัวเองอย่างหนาแน่น ทั้งในน้ำ บนบก และในอากาศ ไม่ยอมให้ใครล้ำแดนใครถ้าจะเข้าไปในเขตแดนอื่น ก็ต้องได้รับการยินยอมอนุญาตจากเจ้าของเขตแดนนั้นๆ ซึ่งก็คือ "วีซ่า" จึงจะสามารถเข้าไปในเขตแดนของคนอื่น และยังต้องมี "ข้อจำกัดต่างๆ" สำหรับผู้ที่เข้ามานั้น ว่าอยู่ได้นานเท่าไหร่ ไปไหน ทำอะไรได้บ้าง ในระหว่างที่อยู่ในเขตแดนของผู้อื่น ขืนเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตก็ต้องโดนจับ หลายประเทศถึงกับทำสงครามเพราะปัญหา "เขตแดน" ที่ตกลงกันไม่ได้
แม้แต่ "วิสุงคามสีมา" ก็ถือว่าเป็นเขตแดนที่ทางพระเจ้าแผ่นดินทรงยกถวายแก่พระพุทธเจ้า เป็นแดนพุทธจักร สมัยโบราณนั้น บริเวณโบสถ์วิหาร ถือว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ สามารถคุ้มภัยให้แม้กระทั่งนักโทษการเมืองได้ อย่างในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีกษัตริย์ลี้ภัยการเมืองมาบวช ดังเช่น พระมหาจักรพรรดิ เป็นต้น
มหาเถรสมาคมก็คือรัฐบาลคณะสงฆ์ เหมือนรัฐบาลไทย ต้องปกป้องคุ้มครองขอบเขตประเทศไทย และประชาชนคนไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศและเดินทางไปต่างประเทศ ถ้ามหาเถรสมาคมไม่ยอมปกครองพระภิกษุสามเณร แต่โอนอำนาจไปให้แก่เจ้าหน้าที่รัฐ ก็ชัดเจนว่า คงจะเป็นแผน "ลงจากหลังเสือ" คือยุบทิ้งมหาเถรสมาคม ในระยะยาว เพราะเขาก็มองออกว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ปกครองพระเณรได้ แม้ไม่มีมหาเถรสมาคม ถามว่าจะเอากันอย่างนั้นหรือ ?
นี่คือทัศนะที่แตกต่างจากมหาเถรสมาคม ลำพังครอบครัวหนึ่งๆ มีลูกชายหญิง หากทำผิดพลาดประการใด พ่อแม่ก็ต้องทำการลงโทษด้วยตนเอง ไม่มีใครยกลูกให้คนอื่นเฆี่ยนตี ใครที่ทำอย่างนี้ก็แสดงว่าเป็นพ่อแม่ที่ไม่ได้เรื่อง ปกครองดูแลลูกไม่เป็น สุดท้ายลูกก็ไม่นับถือเป็นพ่อแม่อีกต่อไป เป็นได้แค่พวก..ไข่ทิ้ง
ก็ทำต่อไปเถอะฮะ ท่านกรรมการมหาเถรสมาคม และท่านผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สิ่งใดที่พวกท่านคิดว่าดี ก็เชิญ เอ๊ย นิมนต์ทำไปเถิด ประเดี๋ยวมันก็จะเกิดผลให้เห็นเอง มันจะพิสูจน์ในตัวของมันเองว่าสิ่งที่พวกท่านคิด สิ่งที่พวกท่านทำนั้น มันดีหรือเลวต่อพระพุทธศาสนา และต่อองค์กรสงฆ์ แต่อย่างน้อย สิ่งที่พวกท่านทำไปนั้น มันก็ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ไทยไปแล้ว สายเกินไปเสียแล้ว เหมือนจรเข้ในตุ่ม ขืนพลิกตัวก็เสียพระ
เมื่อตำรวจเป็นที่ปรึกษาด้านพระพุทธศาสนา ก็ย่อมจะนิยมใช้วิธีการของตำรวจในการจัดการปัญหาพระเณร
ขึ้นต้นเป็นมะลิซ้อน "ปรับปรุงพฤติกรรมของพระภิกษุสามเณร" พอแตกใบอ่อนเป็นมะลิลา "มหาเถรสมาคมแบ่งอำนาจให้ตำรวจปกครองพระสงฆ์ สามารถจับสึกได้เลย"
ใช่หรือครับ เพ่ ถ้างั้น เดี๋ยวเอาทหารมาคุมสำนักพุทธ ดีมะ !
มหาเถรสมาคมใช้ยาแรง เจอพระขับรถ ตร.จับได้ทันที
มหาเถรสมาคม ไฟเขียวตำรวจพบพระ-เณร ขับรถ บังคับใช้กฎหมายได้เช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป ผอ.สำนักพุทธฯชี้พระหากขับรถชนคนตายโดนโทษ 2 เด้ง ทั้งโทษอาญาและโทษวินัยสงฆ์ อาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระ
เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. นายณรงค์ ทรงอารมณ์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า จากการประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) ได้มีมติ เรื่อง กรณีพระภิกษุสามเณรขับขี่รถยนต์ และรถจักรยานต์ โดยตามที่ปรากฏข่าวทางสื่อสารมวลชน กรณีพระภิกษุสามเณรขับขี่รถยนต์ และรถจักรยานยนต์ เป็นเหตุให้เกิดความสูญเสียทั้งในด้านชีวิตและทรัพย์สิน และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของประชาชน ส่งผลกระทบต่อความศรัทธาและความเลื่อมใสของพุทธศาสนิกชนนั้น พศ. เห็นควรนำเสนอ มส. เพื่อโปรดทราบ เพื่อมีมาตรการป้องกันเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าว ทั้งนี้ที่ประชุม มส. มีมติรับทราบ และให้ พศ. ดำเนินการ ดังนี้
1. แจ้งเจ้าคณะจังหวัดทั้ง 2 ฝ่าย ทราบ เพื่อแจ้งเจ้าคณะผู้ปกครองใกล้ชิดตามลำดับ สอดส่อง ดูแล กำชับให้พระภิกษุสามเณรปฏิบัติเอื้อเฟื้อต่อพระธรรมวินัย กฎหมายบ้านเมือง และจารีตประเพณี 2. แจ้งมติ มส. นี้ ไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการตรวจตรา การขับขี่รถยนต์ และจักรยานยนต์ของพระภิกษุสามเณรเยี่ยงประชาชนทั่วไป
นายณรงค์ กล่าวต่อไปว่า นับเป็นครั้งแรกที่ มส. มีมติให้แจ้งไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ดำเนินการกับพระภิกษุสามเณรที่ขับขี่รถยนต์รถจักรยานยนต์ โดยบังคับใช้กฎหมายเช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป ซึ่งจะต่างจากแต่ก่อนที่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจพบพระภิกษุสามเณรขับขี่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ส่วนใหญ่จะปล่อยตัวไป หรือนำตัวไปให้เจ้าคณะผู้ปกครองตักเตือนเท่านั้น แต่หลังจากมีมติ มส. นี้ไปแล้ว เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจพบพระภิกษุสามเณรขับขี่รถยนต์รถจักรยานยนต์ จะสามารถบังคับใช้กฎหมายจราจรได้เช่นเดียวกับประชาชนทั่วไปได้ทันที ทั้งนี้ ขอแจ้งไปถึงพระภิกษุสามเณรทั่วประเทศด้วยว่า ถ้าไม่มีความจำเป็นจริงๆ ไม่ควรที่จะขับขี่รถยนต์ หรือรถจักรยานยนต์ นอกจากจะไม่เหมาะสมแล้ว หากเกิดอุบัติเหตุขับไปชนคนเสียชีวิต จะส่งผลให้มีความผิดทางวินัยเข้าขั้นอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นสงฆ์ ไม่สามารถกลับมาบวชใหม่ด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้มีเพียงคณะสงฆ์หนเหนือเท่านั้น ที่มีมาตรการเกี่ยวกับการห้ามพระภิกษุสามเณรขับขี่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ โดยได้มีประกาศคณะสงฆ์หนเหนือ เรื่อง ห้ามพระภิกษุสามเณรขับขี่รถยนต์และจักรยานยนต์และระเบียบคณะสงฆ์หนเหนือ ว่าด้วยการห้ามพระภิกษุสามเณร ขับรถยนต์ หรือจักรยานยนต์ พ.ศ.2557 โดยมีสาระสำคัญคือ ห้ามพระภิกษุสามเณรขับขี่รถยนต์ หรือรถจักรยานยนต์ไปตามท้องถนน หรือที่สาธารณะ ยกเว้นการทำงานในวัด แต่ให้อยู่ในดุลยพินิจของเจ้าอาวาสหากละเมิด ให้เจ้าอาวาสว่ากล่าวตักเตือน หากยังทำผิดซ้ำเป็นครั้งที่ 2 และ 3 ให้ลงโทษตามสมควร และรายงานความผิดไปยังเจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ และเจ้าคณะจังหวัดตามลำดับหากผู้ที่กระทำความผิดเป็นพระสังฆาธิการ ตั้งแต่ระดับผู้ช่วยเจ้าอาวาสขึ้นไป เมื่อว่ากล่าวตักเตือนแล้ว 3 ครั้ง ยังกระทำความผิดอีก จะถูกลงโทษโดยระงับการขอตำแหน่งและสมณศักดิ์ ตั้งแต่ 1-3 ปี
ข่าว : เดลินิวส์ : 22 มิถุนายน 2563 |
WWW.ALITTLEBUDDHA.COM WAT THAI LAS VEGAS 2920 MCLEOD DRIVE LAS VEGAS NEVADA 89121 U.S.A. PHONE. 702-384-2264 |